ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
ตอนที่ ๙๔๖
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยฟังพระธรรม จะบวชหรือ แค่นี้เราก็ต้องรู้ เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุไม่รู้ธรรมวินัย เป็นภิกษุหรือไม่ ถ้ามีใครก็ตามที่เพียงอยากบวชสมควรบวชไหม เพราะเหตุว่าการบวชไม่ได้หมายความว่าใครๆ ก็บวชได้ ง่ายมากเลย อยากจะบวชก็ไปขอบวช นั่นไม่ใช่พระภิกษุในธรรมวินัย และไม่ใช่พระภิกษุในครั้งพุทธกาลด้วย เพราะว่าก่อนที่จะบวชเป็นคฤหัสถ์อย่างชาวบ้านธรรมดา ไม่มีใครสงสัยเลย เรื่องคฤหัสถ์ใช่ไหม แต่เมื่อเห็นผู้ที่เป็นภิกษุ ต้องรู้ว่าภิกษุเป็นใคร ไม่ใช่นี่เป็นพระ นี่เป็นพระภิกษุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียดว่า ก่อนเป็นภิกษุก็คือคฤหัสถ์อย่างนี้เอง แล้วทำไมบวช ทำไมไม่เป็นคฤหัสถ์ ต่างกันมาก ไม่ใช่เพราะอยากบวช ถ้าอยากบวชไม่ใช่พระพุทธศาสนา ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บวชเพราะอยากบวช แต่ว่าผู้นั้นต้องได้ฟังพระธรรมก่อน
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นภิกษุทุกรูปที่เป็นภิกษุในธรรมวินัย ต้องรู้ธรรมต้องเข้าใจธรรม และก็มีศรัทธาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต ซึ่งสูงกว่าเพศของคฤหัสถ์ เปรียบไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าต้องเป็นกุศลตั้งแต่ตื่นจนหลับ กิจของพระภิกษุไม่ใช่กิจของชาวบ้าน ไม่ใช่กิจของคฤหัสถ์ พระภิกษุจะหุงหาอาหารเองไม่ได้ จะไปทำงานมีหุ้นส่วน หรือมีธุรกิจธุรกรรมต่างๆ ไม่ได้เลย ต้องรู้จริงๆ ความต่างของคฤหัสถ์กับบรรพชิต ก็คือ คฤหัสถ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล ไม่ใช่ภิกษุ เพราะฉะนั้นความต่างกันก็คือ เป็นเพศที่สละ ไม่ใช่เพียงแค่ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ เงินทอง เพราะเป็นสิ่งที่ติดข้องมานาน แล้วก็ถ้าสามารถที่จะสละได้ ต้องสละเพื่อที่จะได้สิ่งที่ดีกว่า เพราะเหตุว่าพระภิกษุบวช เพราะเห็นภัยในสังสารวัฏเกิดแล้วตาย แต่ระหว่างเกิดยังไม่ตาย เก็บขยะสิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้นเลย เมื่อไม่รู้ เห็นมีความชอบเกิดขึ้นติดข้องในสิ่งนั้น ขยะหรือเปล่า หรือดี โทสะเกิดขึ้น ขุ่นเคืองใจดีไหม เก็บขยะทุกวันจนตาย
เพราะฉะนั้นพระภิกษุต้องเป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏว่า เกิดแล้วตายจริง แต่ก่อนจะตาย ทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ สะสมความไม่รู้ ต่อเมื่อมีบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน มีโอกาสได้ฟังคำจริงของผู้ที่ทรงตรัสรู้ และรู้ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เข้าใจ ขัดเกลากิเลส และรู้ตามได้ในเพศของบรรพชิต ซึ่งสละเพศคฤหัสถ์โดยสิ้นเชิง ผู้นั้นจึงสมควรที่จะเป็นบุตรที่เกิดจากอุระของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์ตรัสเองว่า ภิกษุในธรรมวินัย ก็คือเป็นบุตรที่เกิดจากพระอุระของพระองค์ พระอุระก็คือปัญญา ไม่ใช่เป็นอย่างอื่นเลย ปัญญาอย่างเดียวที่ทำให้บุคคลธรรมดา อย่างเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณได้เลย เพราะฉะนั้นใครที่จะประพฤติตามพระองค์ได้ จึงสมควรเป็นภิกษุในธรรมวินัย เพราะเหตุว่าเพศนี้เป็นเพศของพระอรหันต์เพราะอะไร ปัญญาเป็นสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อใครก็ตาม หญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ ได้ฟังแล้วก็อบรมเจริญขึ้น สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสในเพศคฤหัสถ์ได้ เป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามีได้ เป็นพระอนาคามีได้ เป็นพระอรหันต์ได้ตามลำดับ แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่สามารถที่จะอยู่ในเพศคฤหัสถ์ได้อีกต่อไป แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ไปบวช นั่นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้จริงๆ แต่ก่อนอาจจะไม่รู้ว่า พระภิกษุคือใคร ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมได้เข้าใจธรรม เห็นโทษของสังสารวัฏ จึงสามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือนได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นคฤหัสถ์อย่างท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านเป็นพระโสดาบัน หมอชีวกโกมารภัจจ์ก็เป็นพระโสดาบัน ท่านก็ทำกิจธุระของท่าน รักษาพระภิกษุ รักษาคนไข้ ท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านก็ทำการค้าขาย วิสาขามิคารมารดา ก็มีชีวิตตามปกติของเพศคฤหัสถ์ แต่พระภิกษุจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ มีทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ แม้แต่จะหุงหาอาหารเองยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เดี๋ยวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าพระภิกษุคือใคร แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจะบวชไหม ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม จะเห็นว่าตนเองสามารถที่จะดำรงเพศของภิกษุ ซึ่งต้องดำเนินตามรอยพระบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติอย่างไร พระภิกษุที่เป็นบุตรที่เกิดจากพระอุระ คือพระปัญญาของพระองค์นั้นก็ต้องประพฤติตามด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงทรงบัญญัติสิกขาบท "สิกขา" หมายความว่า ศึกษา ศึกษาที่นี่ไม่ใช่ตัวหนังสือ หรือว่าไปเรียนหนังสือที่ไหน แต่สิกขาคือ ความประพฤติ สิกขาบทคือบทข้อที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามเมื่อเป็นภิกษุ ถ้าภิกษุใดล่วงสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ คือประพฤติผิดจากที่ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นโทษตามลำดับ ตั้งแต่หนักจนถึงเบาที่สุด หรือว่าจากเบาที่สุดไปถึงหนักที่สุด ทุกข้อต้องปลงอาบัติ หมายความว่า ต้องประพฤติให้ถูกต้องตามพระวินัย ที่จะกลับคืนเข้าสู่หมู่คณะของพระภิกษุต่อไป ซึ่งต้องกระทำตามพระวินัย ทำเองก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ภิกษุคือใคร ก็เป็นเรื่องยาวพอสมควร แต่พุทธบริษัทต้องรู้จักภิกษุ มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่รู้ว่าใครเป็นภิกษุ และใครไม่ใช่ภิกษุ
ผู้ฟัง ขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่า สำหรับเด็กระดับชั้นประถม มัธยมต้น ควรเรียนรู้ธรรมประการใดบ้าง
ท่านอาจารย์ คงไม่ลืมว่าการฟัง ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรทั้งหมด ก็เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่ว่าถ้าเราอยากให้เข้าใจอย่างนี้ อยากให้เขาเข้าใจเรื่องนั้น แต่เขาไม่สนใจเรื่องนั้นเลย เขาไม่ได้อยากฟังเรื่องนั้น การที่เราอยากให้เขาฟังสิ่งที่เราจะพูดก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะว่าเขาไม่สนใจ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เหมือนที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง ก็คือว่าไม่ว่าสถานการณ์ใด มีอะไรเกิดขึ้นขณะนั้น ถ้ามีการที่จะสนทนาให้เขาคิดให้เขาไตร่ตรองดีชั่วด้วยตัวของเขาเอง ก็เป็นหนทางที่ทำให้เขาไม่เบื่อที่จะต้องนั่งฟังเรื่องอื่น ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องจากพระไตรปิฎก หรือชาดกหรืออะไร แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขา เพราะฉะนั้นคิดว่าถ้าเด็กแต่ละคนก็หลากหลายมาก ทั้งชีวิตของครอบครัว วงศาคณาญาติ พี่น้องเพื่อนฝูง ถ้าเขามีปัญหาหรือว่าเขาสนใจเรื่องอะไร ให้เขาถามได้ ซึ่งเขาก็อาจจะต้องเตรียมคำถามมาก่อนก็ได้ เมื่อรู้ว่าจะมีโอกาสได้ฟังเรื่องที่มีคนสามารถจะให้เขาได้มีความคิดที่ถูกต้อง เพราะบางทีเราก็ต้องปรึกษาหารือกัน ไม่ว่าเรื่องอะไรว่าอะไรควรไม่ควร มากน้อยแค่ไหน
เพราะฉะนั้นถ้าเด็กแต่ละคนมีคำถาม หรือเตรียมคำถามหรืออยากรู้เรื่องอะไร แต่ไม่ใช่อยากรู้เรื่องอริยสัจ เป็นไปไม่ได้เลย แค่ได้ยินแล้วก็บอกว่า ให้เด็กเข้าใจอริยสัจ หรือพละ ก็ไม่รู้ อธิบายไปในทางซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องธรรมดา ทำให้ปกปิดคำสอนที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม ถ้าเขาสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่คำถามบางคำถามก็นำไปสู่ธรรมได้ เช่น เคยได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้าไหม พระธรรม พระสงฆ์ คือใคร ให้ความรู้ตามสมควร แต่ข้อสำคัญก็คือว่า ถ้าเป็นคำถามที่มี และสมควรที่จะตอบ คนตอบสามารถให้ความเข้าใจในความจริงของธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน อันนั้นก็จะเป็นประโยชน์ แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่สนใจ และเราก็พยายามให้เขาสนใจเรื่องนี้ เขาก็ยังคงไม่สนใจอยู่นั่นเอง เหมือนทุกคน ไม่ว่าจะวัยไหน
สนทนาธรรม ที่ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
อ.คำปั่น คำว่าชีวิต แม้ว่าจะเป็นคำธรรมดาที่กล่าวถึง แม้คำนี้คำเดียวจะนำไปสู่ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างไร กราบเรียนท่านอาจารย์กับข้อความที่กล่าวถึงว่า ความสำคัญของชีวิต
ท่านอาจารย์ เวลามีค่าแน่นอน แล้วเราไม่รู้ว่า จะมีเวลาอีกนานเท่าใด เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้รู้ว่า แทนที่จะอยู่ในโลกนี้โดยอยู่มาตั้งนาน แล้วก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเรารู้อะไรบ้าง เราคิดว่าเรารู้เรื่องวิชาการต่างๆ แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ก็เป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีใครบ้างที่จะสนใจที่จะคิด แม้แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร ทำไมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามีค่า และเกิดมาได้ยินคำนี้ แต่ว่าจะมีโอกาสได้เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ถึงคุณค่าของคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีค่ายิ่งกว่าวิชาการใดๆ เพราะเหตุว่าวิชาการที่เราเรียนมา ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แม้แต่คำว่าชีวิต เราเกิดมาก็ได้ยินบ่อยๆ คำว่าชีวิต แต่ชีวิตจริงๆ รู้หรือเปล่าว่า คือเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้จะมีชีวิตไหม
เพราะฉะนั้นแม้แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ความจริงว่า แล้วเดี๋ยวนี้คืออะไร แต่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่เหมือนคำสอนของคนอื่นที่สอนแต่วิชา และคำที่ไม่ทำให้รู้ขณะนี้ตามความเป็นจริง นี่เป็นความที่ต่างกันมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่มีโอกาส ได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เริ่มจะเห็นค่าว่าไม่มีใคร นอกจากพระองค์เท่านั้น ที่จะทำให้เรารู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรสำคัญที่สุด แค่นี้ แค่คำถามแต่ละคำถาม เราก็คิดไม่ออกว่า อะไรสำคัญที่สุด ตั้งแต่เกิดจนตาย บางคนบอกว่า ทรัพย์สินเงินทอง บางคนบอกว่า วิชาความรู้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นช่วยให้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ได้หรือไม่ ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ได้ยิน คำว่า "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" แล้วเป็นผู้ที่สามารถที่จะได้ฟังคำของพระองค์ ต้องเป็นผู้ที่สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน การฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ฟังเผินๆ ไม่ใช่เพียงเปิดพจนานุกรม ปทานุกรม และก็คำนี้หมายความว่าอะไร นั่นไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ทางเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือได้ฟังคำของพระองค์อย่างละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนจะได้ฟังพระธรรมหรือเปล่า เห็นไหม ได้ยินแต่คำ แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด ถ้าจะนับถือใคร ต้องรู้ใช่ไหมว่าผู้นั้นมีคุณเพียงใด สมควรแก่การกราบไหว้บูชา ไม่มีใครอื่นที่ยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์ต้องมีสิ่งซึ่งไม่เหมือนใครเลยทั้งสิ้น นั่นคือพระปัญญาคุณ ได้ยินคำว่า "ปัญญา" ทุกคำก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วปัญญาคืออะไร คนที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เผิน แต่ทุกคำคืออะไร อะไรทำให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นไม่ได้ เป็นอย่างไรตั้งแต่เกิดก็เป็นไปจนกระทั่งถึงตาย แค่นั้นเองใช่ไหม แต่จะไม่เปลี่ยนจนกว่าจะมีความเข้าใจธรรมขึ้น ก็เปลี่ยนจากคนที่ไม่รู้เป็นคนที่รู้
เพราะฉะนั้นคำว่า "พุทธะ" ต้องเข้าใจความหมายก่อน พุทธะคือผู้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นอีกคำหนึ่งในภาษาบาลี ซึ่งไม่ใช่ภาษาไทยก็คือ ปัญญา เราใช้คำในภาษาบาลีมาก ภาษาบาลีคือภาษามคธี ซึ่งชาวเมืองมคธเขาพูดเป็นชีวิตประจำวันของเขา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับชาวเมืองใด ก็พูดภาษาของชาวเมืองนั้น เหมือนกับเราขณะนี้เราไม่ได้พูดภาษามคธี ไม่ได้พูดภาษาบาลี แต่เราพูดภาษาไทย แต่ทุกคำในภาษาหนึ่ง ก็จะมีความหมายเหมือนกันถ้ามีความเข้าใจ เช่น เห็น ธรรมดามากเลยใช่ไหม ไม่มีใครไม่รู้จักเห็น แต่ภาษาอีกภาษาหนึ่งใช้คำว่า "จักขุวิญญาณ" ก็คือพูดถึงสิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำตามที่ได้คุ้นเคยกับคำนั้นตั้งแต่เกิด แต่ไม่เปลี่ยน ลักษณะของเห็นไม่ว่าจะใช้คำว่าอะไรก็ตาม ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร ภาษาอื่นจะใช้คำว่าอะไร เห็นก็เห็นเหมือนกันไหม เห็น เห็นที่นี่ เห็นที่นั่น เห็นที่โน่น เห็นเป็นเห็น แต่แค่นี้ ยังไม่พอที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าต้องฟังอีกนาน แล้วก็ทุกคำต้องเข้าใจละเอียด แล้วก็ถึงที่สุดแม้แต่คำว่า "ธรรม" คำเดียว การศึกษาธรรมไม่ใช่เผินๆ แล้วคิดว่าเข้าใจ แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ คำเดียวนั่นเอง เข้าใจได้แค่ไหน
เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลยทราบไหมว่าธรรมคืออะไร ใครทราบ ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม แต่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ตอบได้ไหมว่าธรรมคืออะไรธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นคำว่าตรัสรู้ไม่ใช่หมายความว่า รู้ธรรมดา เรารู้เรื่องนั้น เรารู้เรื่องนี้ แต่ตรัสรู้ ตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ใครจะพูดถึงเรื่องเห็นถึงที่สุดได้บ้าง และก็เห็นเป็นชีวิตหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นชีวิต เพราะจริงๆ ละเอียดมาก แม้แต่ตั้งแต่เกิดจนตายหมายความว่า ที่คนที่เกิด พูดถึงมนุษย์ก่อน ก็มีรูปร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รูปนั้นเป็นชีวิตหรือเปล่า มีเรื่องอีกมากที่จะค่อยๆ เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงตรัสรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นเห็นเป็นชีวิตแน่ๆ ใช่ไหม ตา ไม่พูดถึงเห็น แต่พูดถึงตา เป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือเปล่า งงกันไปหมด ถ้าจะได้ฟังคำถาม แต่คำตอบทุกคำถามมีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเวลาสั้นๆ ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำสอนได้ละเอียด แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ข้องใจสงสัย และก็ฟังจริงๆ ไตร่ตรองจริงๆ ก็สามารถที่จะรู้ว่า นั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม ก็คือว่าเป็นเรื่องที่อยากจะสนทนาเรื่องอะไรที่สนใจ ก็จะมีคำตอบที่จะสนทนากันในเรื่องนั้น เพราะเรื่องของธรรมมีมาก แม้แต่ตาก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม แข็งก็เป็นธรรม กลิ่นก็เป็นธรรม ไม่มีอะไรที่มีจริงๆ แล้วไม่ใช่ธรรม แต่ว่ารู้หรือเปล่าว่าแต่ละหนึ่งที่มีจริงต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะมีไหม เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะค่อยๆ ขยายความจริง ที่มีอยู่ในขณะนี้ลึกยิ่งขึ้นทุกครั้งที่เข้าใจขึ้น จนกระทั่งเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอเชิญ ถ้ามีเรื่องที่จะสนทนา
ผู้ฟัง อยากจะรู้ว่า การที่เราเกิดมา เราเกิดมาเพื่อใช้กรรมอย่างไร
ท่านอาจารย์ พูดคำที่ไม่รู้จักตลอด จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วต้องละเอียดด้วย กรรมคืออะไร ไม่ว่าคำไหน ไม่ใช่พูดโดยไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นกรรมคืออะไร เกิดมาเพื่อใช้กรรม และกรรมคืออะไร ถ้าทั่วๆ ไปก็เข้าใจกันว่า กรรมคือการกระทำ การกระทำถ้าไม่มีจิต ไม่มีชีวิต ไม่มีกรรมแน่ ต้นไม้มีกรรมไหม โต๊ะมีกรรมไหม ไม่มี ต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิตถึงจะมีกรรม เพราะฉะนั้นกรรมก็คือการกระทำของอะไร ถ้าใช้คำที่คนไทยคุ้นหู ก็จิต แต่อธิบายจิตก็ไม่รู้อีกว่า จิตคืออะไร ถ้าไม่มีการฟังเลย ก็คิดว่าเข้าใจทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่จริงๆ แล้วต้องเข้าใจละเอียดกว่านั้น เช่น จิตคืออะไร จิตคือธาตุรู้ สภาพรู้ เดี๋ยวนี้มีไหม อยู่ที่ไหน คำถามจะทำให้เรารู้ว่า เราไม่รู้อะไรแน่ๆ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะว่าคำถามจะถามไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้เข้าใจมากขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งหมดความสงสัย แม้แต่จิตคืออะไร จิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ ถูกต้องไหม มีไหม ทุกคนมีจิต แล้วเดี๋ยวนี้จิตอยู่ไหน เห็นไหม จะไม่หยุดเลยจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นก็เพียงแต่เผินๆ ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวนี้มีจริง สิ่งที่มีชีวิตมีจิต มีสภาพรู้ มีธาตุรู้ ซึ่งทำให้ต่างกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ต้นไม้ ใบหญ้า ดิน ฟ้า อากาศ พวกนี้ไม่มีชีวิต ไม่มีจิต เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าสัตว์ มนุษย์ นก งู ปลา อะไรที่มีชีวิตทั้งหมด สภาพรู้ต้องมีขณะนั้นเป็นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้พอฟังแค่นี้ถ้าไม่คิดเลย ธรรมก็หยุดอยู่ตรงนั้น แต่ถ้าฟังแล้วไตร่ตรอง ก็จะมีความเข้าใจละเอียดขึ้น ทุกคนรู้จักว่าขณะนี้มีจิต แต่ขอถามต่ออีกนิดหนึ่งว่าจิตอยู่ไหน มีแล้วไม่รู้ ถ้าหาไม่เจอ แต่ถ้าเข้าใจขึ้น รู้เลย แล้วก็เข้าใจ จนกระทั่งว่าไม่ลืม ไม่ต้องถามใครอีกต่อไป มีจิตไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ตอนเกิดมีไหม
ผุ้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ มี ตอนหลับมีไหม
ผุ้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ ตอนตายมีไหม
ผู้ฟัง คิดว่าไม่น่ามี
ท่านอาจารย์ เห็นไหม คิดเองไม่ได้ อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะคิดเองได้ แต่ต้องฟัง ที่ว่าเป็นคนเกิด ถ้าไม่มีจิตเกิด เป็นคนไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่มีชีวิตทั้งหมด ต้องเพราะจิตเกิดขึ้นพร้อมกับรูปหลากหลาย รูปมนุษย์ก็ได้ รูปปลาก็ได้ รูปงูก็ได้ ถ้าไม่มีจิตก็ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นไม่ใช่มีแต่เฉพาะมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานเท่าที่อยู่ในโลกนี้ที่เรามองเห็นก็มีจิตด้วย สัตว์เดรัจฉานเห็นไหม เห็น เราเห็นไหม เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเรา หรือว่าเห็นเป็นนก หรือเห็นเป็นงู หรือว่าเห็นเป็นเห็น เป็นอะไรไม่ได้เลย เอารูปออกหมด มีแต่เห็น ถูกต้องไหม แต่ที่เราว่านกเห็น เพราะมีรูปที่ทำให้มองเห็น และจำได้ว่าเป็นนก มีปีก มีขา แต่พอเป็นงูเห็น เราก็จำได้ เพราะรูปนั้นทำให้รู้ว่างูเห็น แต่เห็นต้องเป็นเห็น นี่คือธรรม สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมได้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960