ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949


    ตอนที่ ๙๔๙

    สนทนาธรรม ที่ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น

    วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ แล้วก็พระเครื่องเป็นอย่างไร ทุกคำต้องเข้าใจถูกต้องคืออะไรก่อนก่อนที่จะพูดอย่างผ้ายันต์ เราก็รู้ว่าคืออะไร คือผ้าผืนหนึ่ง แล้วคิดว่าวิเศษ มีความสามารถปกป้องอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้จนกระทั่งว่าใครทำ คนนั้นสามารถจะทำให้ผ้านั้นเป็นผ้าพิเศษ อิทธิฤทธิ์ขึ้นมาได้หรือ แล้วทำโดยวิธีใดทั้งหมดไม่มีเหตุผลเลย นอกจากเป็นการลวงให้เห็นว่าเป็นที่พึ่ง แต่ที่พึ่งจริงๆ ไม่ใช่ผ้าแน่นอน ต้องเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะศึกษาอะไร ก่อนอื่นเพื่อเข้าใจชัดเจน ต้องตั้งต้นว่าคืออะไร พระเครื่องคืออะไร

    ผู้ฟัง จริงๆ โดยส่วนตัวก็ไม่ได้เชื่อในเรื่องพระเครื่อง สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง พระธรรมก็เป็นอะไรที่ทำให้เราอุ่นใจ ก็แขวนคอไว้ตลอดคุณพ่อให้มากับสร้อยคอ แต่อุ่นใจแบบไม่เข้าใจพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครพูดถึงความดีว่าทำความดี แล้วก็ความดีนั่นเองคุ้มครอง กับมีพระเครื่อง แต่ไม่พูดถึงให้ทำความดี หรือว่าให้เป็นคนดีเลย เพราะฉะนั้นคนในครั้งพุทธกาลฟังพระธรรมไม่ว่ายามใด ก็ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องอาศัยอะไร เพราะเหตุว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเช้าสายบ่ายค่ำได้ สมัยนี้ก็ด้วยการฟังพระธรรม และเข้าใจ เพราะฉะนั้นการบูชาสูงสุด คือบูชาด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ความจริง อย่างที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องระลึกอยู่ ไม่จำเป็นต้องมีพระเครื่อง แต่กาลภายหลังต่อมาก็มีผู้ที่ ห่างจากพระศาสนา ก็หาที่อาศัยซึ่งจะเป็นที่พึ่ง แต่ที่พึ่งอย่างนั้นไม่ใช่การเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายความว่า เมื่อมีพระเครื่องแล้วจะเข้าใจธรรมหรือว่าจะเป็นคนดี แต่กลับกลายเป็นสิ่งซึ่งทำให้หลงเข้าใจผิด คิดว่าพระเครื่องจะช่วยให้ปลอดภัย ซึ่งไม่ได้เข้าใจเรื่องของเหตุ และผล คือกรรม และผลของกรรมเลย ในครั้งพุทธกาลมี "เจติยะ" หรือเจดีย์ที่เราใช้คำนี้ คือสิ่งที่ควรบูชาหรือเคารพ มีอะไรบ้างในครั้งพุทธกาล

    อ.คำปั่น ก็มี "ปริโภคเจดีย์" ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ใช้สอยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ หรือว่าแม้เครื่องบริขารต่างๆ ซึ่งเป็นที่ใช้สอยของพระองค์ ก็ผู้ที่เข้าใจความจริงก็สามารถที่จะน้อมระลึกถึงพระองค์ได้ แม้ได้เห็นหรือว่าได้ไปพบในสถานที่ตรงนั้น ก็เป็นที่เคารพสักการะได้ ด้วยความระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ผู้ที่เข้าใจความจริง ก็สามารถที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็มีการศึกษามีการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงก็เป็นสิ่งที่ควรแก่การบูชา ที่เรียกว่า "ธรรมเจติยะ" ด้วย ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงที่ควรแก่การเคารพ ควรแก่การศึกษาให้เข้าใจอย่างยิ่ง และเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็มีพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นที่เคารพสักการะบูชาที่เป็น "ธาตุเจดีย์" และเมื่อผู้มีศรัทธาเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้อื่นได้น้อมระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มี "อุทเทสิกเจดีย์" ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็เป็นเครื่องเตือนให้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำแปลของ อุทเทสิกเจดีย์ คือ

    อ.คำปั่น ก็คือสิ่งที่ควรบูชาที่แสดงขึ้นเจาะจงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่กล่าวถึงก็คือพระพุทธรูป เป็นต้น

    ท่านอาจารย์ เมื่อพระอรหันต์รูปใดปรินิพพานแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้สร้างเจดีย์เป็นการระลึกถึงพระอรหันต์รูปนั้น เพราะฉะนั้นเจติยะก็คือ ที่ระลึกถึงที่จะทำให้ระลึกถึง เหมือนอย่างกับเวลานี้บ้านเราก็มีต้นโพธิ์มากมาย เราก็รู้ว่านี่แหละเป็นที่ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทับ และก็ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ต้นโพธิ์ ณ สถานที่เดิม แต่เพียงเห็นต้นโพธิ์ก็สามารถที่จะทำให้รู้ว่า นี่คือสัญลักษณ์ หรือว่าหมายความว่า ทำให้ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็เป็นเครื่องให้ระลึก แต่เครื่องระลึกที่ดีที่สุดคือ ธรรมเจดีย์ ระลึกถึงพระธรรม มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกประการหนึ่งไม่ว่าพระพุทธรูปหรือพระเครื่องใดๆ ก็ตาม ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ไม่มีทางที่จะแม้เหมือนหรือคล้ายคลึงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นพระพักตร์ต่างๆ ปางต่างๆ ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถที่จะสร้าง หรือทำให้มีรูปซึ่งเสมือนกับพระองค์ได้เลย

    ต้องทราบคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ให้ทำ แต่ให้เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าไม่รู้ก็คือ ดับแล้ว ดับแล้ว ดับแล้ว เพราะฉะนั้นจะอาศัยอะไรที่จะรู้ถูก ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม จนกระทั่งความเข้าใจไม่ใช่เรา ธรรม ความเข้าใจก็เป็นธรรม เริ่มเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยในความไม่ใช่เรา เพราะว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ระหว่างนี้ที่ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นเป็นปริยัติ จนกระทั่งรอบรู้แทงตลอด ในคำว่าธรรมซึ่งเป็นอนัตตา เดี๋ยวนี้ไม่ไปไหน ทำไมจะต้องไปสำนักไหน เพราะว่าธรรมเดี๋ยวนี้ต่างหากที่เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นปัญญาที่สามารถเริ่มเข้าใจ จนกระทั่งละความเป็นเรา ก็ค่อยๆ เข้าใจ โดยความเป็นอนัตตา รู้ไหมว่าจะได้ยินอะไร รู้ไหม ไม่รู้ เพราะฉะนั้นสติเป็นอนัตตา จะเกิดเมื่อใดใครรู้ รู้ไหมว่า สติจะเกิดเมื่อใด แต่มีตัวตนไปทำ เพราะคิดว่าการที่ทำนั่นเองคือสติ เรียกชื่อว่า สติ แต่เป็นเรากำลังดูด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่สติ และไม่ใช่ปัญญา ด้วยเหตุนี้แต่ละคำ ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    อ.วิชัย ดังนั้นช่วงแรกกล่าวถึงความไม่รู้ และความเห็นผิด ถ้าไม่รู้ ก็คือไม่เข้าใจ แม้แต่คำว่า "ปฏิบัติ" คืออะไร กระทำอะไรก็คือไม่รู้ เหมือนอย่างที่เห็นขณะนี้ ก็คือไม่รู้ แล้วก็คิดว่าเป็นเราที่เห็น ก็เหมือนกับกล่าวคำว่า "สติ" หรือ "วิปัสสนา" สติคืออะไร วิปัสสนาคืออะไร ไม่ใช่เพียงการกล่าวคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสคำนี้จริง แต่ทรงแสดงลักษณะของธรรมนี้ด้วย สติเป็นสภาพอย่างหนึ่งที่ระลึกได้ เมื่อเกิดขึ้น ขณะที่เข้าใจเป็นกุศลจิต สติเกิดแล้วทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับไป แต่เมื่อมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น จะรู้ว่าขณะนี้สภาพธรรมทุกอย่างเกิดแล้วทำกิจหน้าที่ และก็ดับไป บังคับได้ไหม จะไม่ให้เห็นขณะนี้ บังคับได้ไหม จะไม่ให้ได้ยินขณะนี้ เมื่อสติหรือว่าความเข้าใจเกิด ก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แต่ผู้ที่มีปัญญาก็จะรู้ว่า การเจริญขึ้นของความรู้ความเข้าใจนั้น จะเกิดได้อย่างไร ถ้าไม่ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะเข้าใจอย่างนี้ได้ไหม จะรู้ไหมว่า เห็นเป็นธรรมไม่ใช่เรา จะรู้ไหมว่าได้ยินเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ไม่รู้ แล้วก็ถือผิดคิดว่าเป็นเรา ก็เช่นเดียวกัน เมื่อไม่รู้กล่าวคำว่าสติ กล่าวคำว่าวิปัสสนา ไม่รู้ว่าสติคืออะไร วิปัสสนาคืออะไร แต่ไปทำ เข้าใจในสิ่งนั้นหรือเปล่า แต่กล่าวได้ใช่ไหม เมื่อไม่รู้ก็คิดผิดว่าสิ่งนั้นถูกต้อง ในเมื่อไม่มีจริงอย่างนั้นเลย ไม่รู้จักสภาพของสติ ไม่รู้จักสภาพของวิปัสสนา ดังนั้นอวิชชาคือความไม่รู้ จึงมากมายเหลือเกิน ต้องอาศัยพระธรรมเท่านั้นที่จะแสดงทุกอย่างตามความเป็นจริงว่า สติคืออะไร ปัญญาคืออะไร วิปัสสนาคืออะไร ถ้าบุคคลที่มีความเข้าใจกล่าวทุกคำเป็นความรู้ทุกคำ ไม่มีข้อสงสัยเลย ดังนั้นถ้ากล่าวว่า ไม่ต้องฟังพระธรรมแต่ปฏิบัติธรรมเลย ถูกไหม ไม่ถูกอย่างแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีใครปฏิบัติธรรมได้ไหม ในเมื่อรู้ตั้งแต่ต้นว่า ไม่มีใครมีแต่ธรรม เพราะฉะนั้นต้องเป็นธรรมที่ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นธรรมก็มีจิต และเจตสิก รูป รูปไม่ใช่สภาพรู้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ แต่จิตเจตสิกเป็นสภาพรู้ และก็มีเจตสิกที่ไม่รู้มากมายที่สะสมมา ถ้ายังคงเป็นความไม่รู้อยู่ แล้วอะไรไปปฏิบัติธรรม ก็ความไม่รู้ที่สะสมมามากนั่นเอง เข้าใจว่าปฏิบัติธรรม แต่ความจริงก็คือว่าเป็นเราเพราะไม่เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงลุ่มลึก และก็ทรงแสดงตามลำดับขั้นว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมเลย เขาบอกให้ปฏิบัติธรรม เขาเป็นใคร แล้วเขาให้เข้าใจอะไร ในเมื่อไม่ได้บอกให้เข้าใจอะไรเลย แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถเห็นแจ้ง สภาพธรรมในความไม่ใช่ตัวตนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผล เพราะธรรมทำให้เป็นผู้ที่ไม่หลงผิดไม่เข้าใจผิด แต่ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นผิดไม่ตรงตามพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ และเชื่อใครที่ให้ไปดูลมหายใจ หรือทำเอง ต้องเชื่อคนอื่นแน่ เพราะไปทำลมหายใจ ไปทำการดูลมหายใจ ถ้าไม่มีการบอกเล่าให้ไปทำ ไปดู จะไปทำไปดูไหม ก็ไม่ไปทำไม่ไปดู แต่เพราะเชื่อคนอื่น ซึ่งไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ ใครก็ตามที่ทำให้เข้าใจถูก ผู้นั้นกล่าวตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ผู้ใดไม่ทำให้มีปัญญาความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น แล้วก็ให้ทำจะถูกหรือเขาเป็นใคร

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้ใคร ไปปฏิบัติ ไปทำ ไม่ให้เขาเข้าใจอย่างนั้นหรือ หรือว่าทรงแสดงธรรมจนกระทั่งเกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย รู้ว่าไม่มีเราแม้แต่สภาพที่ระลึก คือ สติ เป็นธรรมที่เป็นโสภณ จะเกิดได้ต้องอาศัยการฟัง จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีเราไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ เราไม่เคยรู้ใช่ไหมว่าไม่ใช่เรา และคิดจะเกิดเมื่อใด คิดอะไรก็ไม่รู้ แต่มีปัจจัยเกิดก็เกิดขึ้น ได้ยินก็ไม่รู้ล่วงหน้าว่า จะได้ยินเมื่อใด จะได้ยินอะไร แต่เมื่อมีปัจจัยเกิดขึ้น ได้ยินจึงเกิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัจจัยที่ปัญญาที่จะเข้าใจสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ จะเป็นน้่งทำอะไรสักเท่าใด ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตามลำดับขั้นจริงๆ ปริยัติ ถ้าไม่มีความรอบรู้อย่างมั่นคงจริงๆ ไม่มีปัจจัยที่สติสัมปชัญญะ สติปัฏฐาน จะเกิดระลึก และเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นปฏิปัตติ ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิบัติมีไม่ได้เลย และถ้าไม่มีการที่สติจะระลึกบ่อยๆ เนืองๆ ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ สภาพธรรมก็จะปรากฏอย่างที่ได้ฟังไม่ได้ แต่สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ปรากฏกับผู้ที่ได้เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ละคลายความเป็นตัวตน และคนนั้นก็รู้ว่า ขณะใดหลงลืมสติ คือ สติสัมปชัญญะไม่เกิด สติปัฏฐานไม่เกิด และขณะใดสติเกิดเพราะปัญญา ปัญญาสามารถเข้าใจถูก แต่ว่าถ้าไม่ใช่ปัญญาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย

    สนทนาธรรม ที่ สวนปาล์มฟาร์มนก จังหวัดฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.คำปั่น กล่าวถึงความสำคัญจริงๆ ของการที่มีโอกาสได้ฟังธรรม ได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งคนเป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ พระไตรปิฎกเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมาก และก็คนที่จะศึกษาจริงๆ โดยความละเอียดโดยความรอบคอบ ก็สามารถที่จะเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎกได้ถูกต้อง เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ยากยิ่งที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่ามีอยู่ในขณะนี้เอง ข้อสำคัญที่สุดฟังธรรมก็คือต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร มีหรือเปล่า อยู่ที่ไหน ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้ว่า เราฟังอะไร หาไม่เจอ แต่ว่าก่อนอื่นต้องทราบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ยังไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดอะไรเลยทั้งสิ้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้โดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย และจะเข้าถึงความละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรม ต้องรู้ว่าเราฟังคำของผู้ที่ประเสริฐที่สุดในสากลจักรวาล เลิศกว่าบุคคลใดๆ ทั้งสิ้นเพราะตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ใครเคยคิดบ้างว่า จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่กำลังมี ก็ไม่เคยคิดเลย ไม่คิดด้วยว่ามีความจริงอะไรเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ไม่ใช่ว่าฟังแล้ว เราจะเข้าใจทันทีทั้งหมด แต่จะได้ยินได้ฟังคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน และรู้ได้เลยว่า ถ้าไม่ได้ฟังคำนั้น จะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ได้ยินได้ฟังคำซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่เคยเข้าใจอย่างนั้นมาก่อน ก็รู้ว่า มีบุคคลที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงของทุกคำ ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ เพราะฉะนั้นจะเห็นความยิ่งใหญ่ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าในสากลจักรวาลไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย ไม่ว่าบนสวรรค์ หรือว่าในพรหมโลกก็ตาม เพราะว่าเป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งทำให้มีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ด้วย

    อ.คำปั่น การที่มีโอกาสได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ ได้สะสมความเข้าใจ จากการฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวันคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็พูดให้เข้าใจสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน แล้วก็ถ้าไม่มีใครสนใจฟัง ไต่ถาม ก็ไม่รู้ว่า จะฟังเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จะฟังเรื่องอะไร

    อ.คำปั่น ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ และก็สิ่งที่มีจริงคืออะไร

    อ.คำปั่น ก็คือขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอะไรที่มีจริง เห็นไหมการฟังธรรมไม่ใช่เผิน ฟังสิ่งที่มีจริงถ้าไม่จริงจะฟังไหม ไม่ฟัง แต่ทั้งๆ ที่มีจริง คนไม่ฟังมีมาก เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ก็รู้เพียงความจริงคร่าวๆ ว่าเกิดแล้วตาย อย่างนี้มีใครสงสัยไหม ไม่มีใครสงสัย แต่อะไรเกิด อะไรตายไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้เลยว่าตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลก ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า มีเกิด มีตาย แต่อะไรเกิดไม่รู้ อะไรตายไม่รู้ แล้วระหว่างที่ยังไม่ตาย มีอะไรก็ไม่รู้ นี่คือความไม่รู้ได้ยินคำว่า "อวิชชา" ไหม คนที่ไปวัด ก็จะได้ยินคำว่า "ปฏิจฺจสมุปฺปาท" ชื่อยาวเป็นภาษาบาลี ไม่ต้องสนใจคำที่ไม่รู้จัก แต่ว่าพอเข้าใจคำไหนจะเข้าใจได้ เวลาที่ได้ยินภาษาบาลี ก็จะรู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่เรารู้จักนั่นเอง แต่เป็นคนละภาษาคนละชื่อ เพราะเหตุว่าเป็นคนละเชื้อชาติ แต่คนไทยก็พูดในสิ่งที่เราสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำว่า "อวิชชา" โดยมากทุกคนจะได้ยินคำว่า "วิชา" ความรู้ เพราะฉะนั้น "อะ" หมายความถึงไม่ อวิชชาก็คือไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีไหม เห็นไหม เดี๋ยวนี้เองรู้หรือเปล่า แม้ได้ยินชื่อนี้ ก็ยังไม่รู้ ได้ยินแต่ชื่อ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรม ไม่ใช่ไปจำชื่อ ไม่ใช่ให้ไปคิดด้วยความเป็นเรา แล้วอย่างนี้เป็นอย่างไร แล้วอย่างนั้นเป็นอย่างไร แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากเสียเวลาเลย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้กำลังเป็นไปทุกขณะโดยไม่มีใครทำ เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แต่ไม่รู้เลยว่านี่เองคือเกิด เพราะถ้าไม่มีการเกิดขึ้นมาของธรรมเลย ก็ไม่มีอะไรจะปรากฏ แต่เกิดแล้วมี สิ่งที่มีนั่นเองเป็นธรรม และใครทำให้เกิดได้ มีใครทำอะไรได้ไหม ถ้าไม่ศึกษาธรรมคิดว่าทำได้ แต่ทำเห็นได้ไหม ทำได้ยินได้ไหม ใครทำได้ยินได้ มีหูจริง ไหนลองทำได้ยินให้เกิดขึ้น ทำไม่ได้เลย แต่ได้ยินเกิดแล้ว นี่คือธรรม เพราะฉะนั้นอวิชชาคือการไม่รู้ สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะ เป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็เพราะเหตุว่ามีจริง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจ

    เพราะว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่ตรัสว่าธรรมทั้งหลายทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา อนัตตาหมายความว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เช่น ขณะนี้คุณคำปั่น เราใช้คำว่าคุณคำปั่น เป็นอนัตตาหรือเปล่า หรือว่าเป็นคุณคำปั่น เห็นไหม ถ้าเป็นคุณคำปั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ตามีจริงไหม จริง เป็นธรรม เห็นมีจริงไหม เป็นธรรม เพราะฉะนั้นทุกอย่างเวลานี้ที่ปรากฏหมายความว่า เกิดแล้วจึงปรากฏ แล้วดับไปใครรู้

    เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่า อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่คำว่าทุกข์ของชาวบ้าน ของทุกคนที่ยังไม่เคยฟังธรรมก็คิดว่า เจ็บปวด ป่วยไข้ ไม่สบาย ทุกข์ยาก เป็นทุกข์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความทุกข์ที่ใครก็บังคับบัญชา แก้ไขไม่ได้เลย คือทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ไม่เหลือเลย ติดข้องในสิ่งที่ดับไปหรือเปล่า ดับแล้วไม่เหลือ ถ้าเป็นเสียงดนตรีจำได้ สนุกสนานเพลิดเพลิน เสียงคน เสียงเรื่องราวต่างๆ ทั้งวัน ที่ได้ยิน ได้ยินเสียงแล้วก็คิดเรื่องตามเสียงนั้น แต่ทุกอย่างก็ดับไปเพราะเสียงดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็ทำให้ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าเพียงจากไม่มีเลยแล้วก็เกิดมีขึ้นชั่วคราวสั้นมาก แล้วก็หมดสิ้นไป แล้วไม่กลับมาอีก จะกล่าวว่ายังมีอยู่ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นกว่าแต่ละคำที่ได้ฟังจะสะสมอยู่ในจิตใจ ซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าถึงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งเกิดจึงปรากฏแล้วก็ดับ เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้ อวิชชา ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมมานานมาก นับไม่ถ้วนเลย จะให้เป็นก้อนเป็นแท่งก็ใหญ่โตมหึมายิ่งกว่าภูเขาในจักรวาลใดๆ รวมกันทั้งสิ้นทั้งหมด และก็ยังมีความยึดถือติดข้องด้วยความเป็นตัวตนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องฟังทีละคำ จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคง ขณะที่กำลังเข้าใจนั่นเอง ที่ค่อยๆ ชำระล้างสิ่งที่สกปรกเพราะไม่รู้ เดือดร้อนมากมายด้วยกิเลส ความเศร้าหมอง ความทุกข์ที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะว่ามีสภาพของความไม่ดีงามสะสมอยู่ในจิตมาก เช่น ความไม่รู้ กับความรู้แค่นี้ คิดสั้นๆ ง่ายๆ อะไรดีกว่ากัน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    27 พ.ย. 2567