ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950


    ตอนที่ ๙๕๐

    สนทนาธรรม ที่ สวนปาล์มฟาร์มนก จังหวัดฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ เช่น ความไม่รู้กับความรู้ แค่นี้ คิดสั้นๆ ง่ายๆ อะไรดีกว่ากัน ความรู้ต้องดีกว่าความไม่รู้ มีใครบอกว่าความไม่รู้ดีกว่าไหม ถ้าคิดว่าความไม่รู้ดีกว่าก็ไม่มาฟังแล้วใช่ไหม แต่ที่มาฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะว่าไม่รู้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังด้วยความเคารพว่าลึกซึ้งละเอียด แต่ละคำเป็นจริงทุกขณะ แต่ไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ เพราะว่ายังไม่ได้มีความเข้าใจในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นประมาทแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย ศึกษาธรรมทีละคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มั่นคงแน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ภาษาไทยคือมีจริง แต่อีกภาษาหนึ่ง เช่น ภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนาสืบต่อคำสอนไว้ที่เราใช้คำว่า ปาละ หรือ ปาลี คนไทยก็บอกว่าภาษาบาลี ไม่มีคำว่า "สิ่งที่มีจริง" แต่มีคำว่า "ธรรม" เพราะฉะนั้นจะใช้คำไหนก็ได้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ก็มี มีสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงไหม ก็มี ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคำขอให้เข้าใจในภาษาของตนของตน ไม่ว่าใครจะพูดภาษาอะไรก็ตาม ก็มีความเข้าใจคำนั้นในภาษาของตน พอได้ยินคำอื่นที่ไม่ใช่ภาษาของตน แต่ความหมายเหมือนกันก็เข้าใจได้ คำนี้ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงนั่นเอง

    เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง สัพเพ ทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เริ่มตั้งแต่ตรงนี้ กว่าจะขัดสิ่งที่มีมากด้วยความไม่รู้ที่อยู่ในจิต สะสมอยู่ในจิตนานแสนนานให้ค่อยๆ หมดสิ้นไปทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น กิเลสดีไหม กิเลสะ ได้ยินจนคุ้นหู สภาพธรรมนั้นมีจริง แต่เป็นสภาพธรรมที่เศร้าหมอง ที่หมายความว่าไม่บริสุทธิ์ ไม่สะอาด ไม่ทำให้เป็นสุข เกิดเมื่อใดเป็นทุกข์เมื่อนั้น แต่ไม่เห็น มีทุกข์อยู่ล้อมรอบตัวก็ไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเป็นทุกข์สักอย่าง แต่ว่าถ้าไม่มีการเห็นจะมีทุกข์ไหม ถ้าไม่มีการได้ยินเลยจะมีทุกข์ไหม จะไม่มีการคิดนึกเลยจะมีทุกข์ไหม เพราะฉะนั้นอะไรเป็นทุกข์ เห็นไหมย้อนกลับไปได้เลย เห็นก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะถ้าไม่มีเห็นก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีเรื่องราวต่างๆ จากการเห็น

    การฟังพระธรรมจึงต้องเป็นการฟังเพื่อไม่ใช่เราจะเข้าใจธรรม เราจะละกิเลส เราจะรู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แต่ฟังขณะนั้นเพราะไม่รู้ และรู้ว่ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้ ได้ยินได้ฟังคำนั้นแล้วจะเข้าใจความจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะบอกได้เลย จึงฟังด้วยความเคารพว่า ฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น เพราะเหตุว่าเข้าใจก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่เข้าใจก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา วิชาความเข้าใจถูกความเห็นถูกความรู้ถูกก็เป็นธรรม อวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงก็เป็นธรรม เดี๋ยวนี้มีไหม ก็มีเดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา จนกว่าจะได้ฟังธรรม เพราะฉะนั้นเวลาสั้นๆ ก็เป็นแต่เพียงให้เราได้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และทรงพระมหากรุณาที่จะให้สัตว์โลก ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้เอง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำซึ่งยากที่จะรู้ได้ แต่รู้ได้เมื่อฟังต่อไป เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่พอได้ยินคำไหนที่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้ได้เลยว่า เป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ ซึ่งคนอื่นจะไม่มีความสามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงได้ ถ้าไม่เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นก็รู้ความต่างของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนับถือใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วฟังใครหรือไม่ฟัง ถ้านับถือจริงๆ เป็นสัจจะ ความตรงก็คือว่า ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ฟังดีกว่าไหม สบายดี ก็เป็นคนที่ไม่รู้ต่อไป แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวว่า เป็นที่พึ่งเป็นที่เคารพบูชาสูงสุด เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจธรรมต้องเป็นผู้ที่จริงใจ เป็นบารมี แล้วก็อธิษฐานคือความมั่นคงว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้รู้ได้แน่ แต่ต้องเพราะความเข้าใจ ซึ่งเกิดจากการได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่จะรู้หรือไม่รู้ จะรู้เมื่อใดก็ฟังเมื่อนั้น

    ผู้ฟัง เวลาเราเห็นภาพที่มักจะนำทุกข์มาให้เรา เราก็รู้สึกว่า เราจะต้องใช้สติสู้ อย่างเช่น เราเห็นศัตรูเดินมา เราก็มีความรู้สึกว่า ทำไมจิตเราจะต้องว้าวุ่น เราก็เลยมีการรู้สึกตัว พยายามใช้สัปปายะสู้ตลอดเวลา อยากได้คำแนะนำว่า ควรจะทำอย่างไร เพื่อที่จะไม่ให้จิตขุ่น เวลาได้เห็นอะไร ได้ฟังอะไรที่ไม่ถูกใจ

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี่เป็นคำของใคร

    ผู้ฟัง เป็นคำของตัวเอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังไม่ใช่คำที่เกิดจากความเข้าใจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เมื่อสักครู่นี้พูดคำว่าสติ สติคืออะไร

    ผู้ฟัง ก็คือการระลึกรู้

    ท่านอาจารย์ ระลึกรู้อะไร

    ผู้ฟัง ระลึกรู้ว่าขณะนี้ เรากำลังกระทบ ตาเราเจอสิ่งที่ต้องกระทบ

    ท่านอาจารย์ กำลังยืนรู้ไหม

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ กำลังพูดรู้ไหม กำลังเห็นรู้ไหม แล้วสติเมื่อใด

    ผู้ฟัง สติก็อยู่ตอนนี้ ว่าเรากำลังจะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ยังไม่ได้เข้าใจแต่ละคำ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมประมาทไม่ได้เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาให้ผู้ฟังเกิดปัญญาความเห็นถูกของตนเอง ต้องไม่ลืม การฟังธรรมถ้าไม่เข้าใจถูก ไม่มีประโยชน์เลย ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ก็เสียเวลาที่จะฟัง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้ว่าสัตว์โลก สะสมความไม่รู้มานานแสนนานมากเท่าใด ตั้งแต่เช้ามาทุกชาติจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ตอนเย็น ตอนค่ำใดๆ ก็ตามแต่ เกิดที่ไหนก็ตาม ก็ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นเห็นความลึกซึ้งของธรรมจนแม้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงธรรม เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นเราจะคิดว่าได้ยินคำว่าสติก็รู้จัก ได้ยินคำว่าเห็น อะไรพวกนี้ เหมือนกับว่ารู้แล้ว รู้แล้วกำลังเห็นก็รู้ กำลังได้ยินก็รู้ กำลังพูดก็รู้ แต่ว่าไม่ใช่สติ เห็นเป็นเห็น เป็นสติไม่ได้ ได้ยินกำลังได้ยิน มีเสียงปรากฏ และมีสภาพที่กำลังได้ยินเสียง เพราะได้ยินไม่ใช่เสียง ถ้าไม่มีการได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้ ถ้าเสียงไม่มี ได้ยินก็เกิดไม่ได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นขณะนี้เสียงเป็นเสียง หรือว่าเสียงเป็นอะไร หรือเสียงเป็นเรา เห็นไหม

    การฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่าทำอย่างไร เราเห็นคนที่เราไม่ชอบแล้วเราจะไม่ขุ่นเคืองใจ แม้แต่เห็นก็ยังไม่รู้เลย ไม่ชอบก็ไม่รู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่รู้ นี่เริ่มเห็นความต่างกันของความคิดของแต่ละคนเอง กับพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง ละเอียดอย่างยิ่ง แม้แต่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เสียงไม่ใช่ได้ยิน คิดไม่ใช่เรื่องราว แต่มีคิด มีจำ คิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ได้ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ แต่เรื่องราวไม่ใช่คิด แต่คิดกำลังคิดถึงเรื่องราวที่จำไว้

    เพราะฉะนั้นแต่ละชาติที่เกิดมาสะสมความไม่รู้ไว้นานมาก พอถึงโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ต้องมีความเข้าใจว่า ไม่ใช่เรื่องเราจะต้องการอะไรจากพระธรรม แต่รู้ว่าเพราะไม่รู้ จึงเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เพราะยังมีกิเลส แต่ว่าถ้ามีความรู้มีความเข้าใจขึ้น ความติดข้องน้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมด เพราะฉะนั้นที่จะดับการที่โกรธคนที่ไม่ชอบ ทำได้ไหม ทำมาหลายวันแล้วใช่ไหม สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง คิดว่าอย่างนั้น แต่คิดว่าเป็นเราทำหรือ ความจริงไม่มีเรา แต่มีธรรม เห็นเป็นเราหรือเปล่า ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า เห็นเกิดขึ้นแล้วเห็นก็ดับไป หาอีกไม่ได้เลยในสังสารวัฏ แล้วเราจะอยู่ที่ไหน ในเมื่อเพียงแค่เห็นแล้วดับแล้วเข้าใจว่าเป็นเรา ก็ผิดแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเห็น ทิฏฐิหรือความเข้าใจ มี ๒ อย่าง ความเห็นผิด กับ ความเห็นถูก

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มไตร่ตรองว่า ก่อนฟังพระธรรม เราเห็นผิดมากน้อยแค่ไหน และเห็นอะไรผิด และเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว เราเข้าใจแค่ไหน ที่จะรู้ว่าเริ่มมีความเห็นที่ถูกต้อง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเราฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจ เพื่อที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างไรๆ ใครบอกวิธีไหนก็ยังต้องโกรธต่อไป เห็นคนที่ขุ่นใจก็ยังต้องเป็นอย่างนั้นต่อไป

    ผู้ฟัง เข้าใจแล้ว เพราะว่าไปยึดว่า มีตัวเรา เป็นเรา เป็นเขา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.คำปั่น เวลาที่อกุศล อย่างเช่น โทสะเกิดขึ้น ก็ไม่สบายใจ ก็มีความอยากความต้องการ ที่จะไม่ให้มีโทสะ ไม่อยากมีโทสะ แล้วในทางคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่จะเป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายอกุศล อย่างเช่น โทสะ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ให้ทำ หรือว่าให้เข้าใจ

    อ.คำปั่น ให้เข้าใจ สำคัญก็คือความเข้าใจ ถ้าหากว่าเข้าใจว่าโทสะ เป็นอกุศล เป็นธรรมที่มีจริง ขณะนั้นก็คือความดีเกิดขึ้น เพราะว่าปัญญาเกิดขึ้น ทำกิจของปัญญา ไม่เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ ยังมีความไม่รู้ทุกวัน แล้วจะไม่โกรธ ลองคิดถึงเหตุผลเป็นไปได้ไหม โกรธเพราะไม่รู้ แล้วก็ยังไม่รู้อยู่เหมือนเดิมมากมายมหาศาล ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว แต่ทุกชาติมา แล้วก็จะให้ไม่โกรธเป็นไปได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นเชื่อใครไหม ถ้าเขาสามารถจะบอกว่า เขาสามารถสอนหรือพูดให้เราไม่โกรธได้ โดยไม่รู้อะไรเลย แล้วจะไม่โกรธเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่โกรธอะไรก็ยังไม่รู้เลย และโกรธคืออะไรก็ไม่รู้ ถามถึงอะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้น แต่จะไม่อยากโกรธ อยากจะหาวิธีทำให้ไม่โกรธก็ผิด ผู้นั้นไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย กี่ภพกี่ชาติก็ไม่รู้จัก เพราะมีความไม่รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าที่ว่าเราคืออะไร และโกรธเกิดขึ้นแล้วหมดไปไม่เหลือเลยก็ไม่รู้ด้วย เพราะฉะนั้นเต็มไปด้วยความไม่รู้ จึงอยู่มาในสังสารวัฏ ออกจากสังสารวัฏไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่รู้

    อ.คำปั่น ชัดเจนมากเลย เพราะว่ามีความไม่รู้มามากสะสมมานาน จะไม่ให้มีอกุศลเกิดขึ้นเป็นไปได้อย่างไร เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นจริงๆ ก็แสดงถึงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตาจริงๆ เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แล้วอะไรจะเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือปัญญา ความเข้าใจความจริงเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็นไม่รู้ใช่ไหม โกรธคนที่เราเห็น ก็ไม่รู้ใช่ไหมว่าโกรธอะไร คิดว่าเป็นเขา แล้วโกรธก็คิดว่าเป็นเราด้วย ทั้งหมดเพราะไม่รู้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลยที่จะไม่เป็นอย่างนั้น ในเมื่อตราบใดที่ยังไม่รู้

    ผู้ฟัง ได้หนังสือปรมัตถธรรมสังเขป แต่พอได้อ่านแล้วรู้สึกว่ายากมาก และก็ไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ทราบหรือยังว่า ทีละคำ

    ผู้ฟัง ทีละคำ เคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ธรรมตอนนี้เข้าใจหรือยัง ทุกอย่างเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มีเว้นบ้างไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีเว้น

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า คิดเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่ตัวตนสิ่งที่เที่ยงเลย เพราะว่าสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับ ไม่มีอะไรที่ไม่ดับอะไรเลย เกิดมาตัวเล็กๆ ยังไม่เป็นแขนขา แล้วทำไมเดี๋ยวนี้มาเป็นรูปร่างกายอย่างนี้ของเก่าไปไหน อยู่ที่ไหน ตามมาเก็บไว้หรือเปล่าทุกขณะ ไม่ใช่เลยใช่ไหม ต้องหมดสิ้นไปทุกขณะ แล้วก็มีการเกิดขึ้นใหม่ แล้วก็ดับไปอีกตลอดเวลา นี่คือคำคร่าวๆ แต่ว่าถ้าฟังธรรมต่อไป ก็จะได้ยินอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะมีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา เพราะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจากขั้นการฟังก่อน ขั้นฟังรู้ว่าเห็นเกิดแน่ๆ ใช่ไหม ถ้าเห็นไม่เกิด ก็ไม่มีเห็น ได้ยินขณะนี้ ได้ยินก็เกิดแล้ว มีเสียงปรากฏ ขณะที่ได้ยิน แล้วก็หายไปหมด เพราะฉะนั้นคำเหล่านี้จะได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าสามารถที่จะถึงเฉพาะขณะนั้นทันทีที่รู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่เคยมีทั้งหมดนี่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่เรา แต่ตราบใดที่ยังไม่เป็นอย่างนี้ มีจริงแต่ยังเป็นเรา ก็แสดงว่าความเข้าใจยังไม่พออย่างเห็นก็มีจริง แต่ยังเป็นเราเห็น เพราะฉะนั้นผิดแล้วใช่ไหม เพราะว่าเห็นเกิดแล้วดับไป เห็นที่เกิดแล้วดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร ได้ยินมีแค่นี้ แค่ได้ยิน มีเสียงแค่ปรากฏแล้วก็ดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถึงแม้จะรู้ว่าเสียงมีจริง ได้ยินมีจริง แต่ยังเป็นเรา ก็ยังต้องเข้าใจผิดต่อไปว่า สภาพธรรมซึ่งไม่เที่ยงเป็นเราได้อย่างไร ใช่ไหม ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง คงไม่ยากใช่ไหม ถ้าจะกล่าวคำนี้ ทราบไหมว่า มีที่พึ่งอย่างไร

    ผู้ฟัง อย่างไร

    ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง รัตนประเสริฐสุด สิ่งที่ประเสริฐเหนือสิ่งใดทั้งสิ้น มี ๓ รัตนตรัย ตรัยคือ ๓ สิ่งที่ประเสริฐสุด ๓ อย่างคือ "พระพุทธรัตนะ" ประเสริฐไหม ไม่มีใครเปรียบปานได้เลย ไม่ว่ายุคสมัยใด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศ เพราะอะไร เพราะปัญญา พระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ความจริง และบริสุทธิ์จากกิเลส ดับกิเลสได้เพราะปัญญา กิเลสมีมากมาย ไหนใครลองจะดับ ไปพากเพียรไม่โกรธสักสองสามวัน แล้วก็มาโกรธอีกอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ดับกิเลสเลย เพราะฉะนั้นปัญญาที่ถึงการดับกิเลสได้จริงๆ ไม่เกิดอีกเลย เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง และด้วยพระมหากรุณาจึงทรงแสดงทุกคำที่ได้ยิน ให้คนที่ได้ฟังได้ไตร่ตรองได้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราสะสมความไม่รู้มามาก การฟังพระธรรมจึงต้องฟังพระธรรมด้วยความละเอียดอย่างยิ่ง ด้วยความเคารพว่า สิ่งที่ได้ฟังจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ว่าให้ค่อยๆ ไตร่ตรอง

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เช่น ประโยคสั้นๆ ข้อความสั้นๆ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา ไม่ใช่เรา เมื่อใดจะรู้อย่างนี้ ไม่ใช่ทันทีทันใดที่ได้ฟังใช่ไหม เพราะอะไร เห็นเกิดแล้วดับ แต่ก็ยังเป็นเราเห็นเดี๋ยวนี้เพราะอะไร เพราะไม่ประจักษ์สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ตามปกติ ซึ่งถ้าเป็นปัญญาถึงระดับนั้นจริงๆ เป็นปกติจริงๆ จึงสามารถที่จะละคลายการยึดถือ จนกระทั่งดับได้เมื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน และก็ดับกิเลสได้ตามลำดับ ไม่ใช่ทั้งหมดทีเดียวเพราะเหตุว่ากิเลสมีมาก เพราะฉะนั้นอ่านหนังสือที่กล่าวถึงธรรมก็ต้องพิจารณาแต่ละคำให้เข้าใจ ตอนนี้เริ่มเข้าใจหรือยัง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีเราไหม จะมีโลกไหม จะมีต้นไม้ จะมีภูเขา จะมีจักรวาลไหม ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย แต่เพียงมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสิ่งนั้นเป็นโลก และก็ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งนั้นทันทีที่เกิดก็ดับ แต่สืบต่อจนกระทั่งปรากฏเหมือนเป็นสิ่งที่ยั่งยืน เป็นดอกไม้ เป็นคน เป็นห้อง เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ พวกนี้ นี่แสดงว่ายังไม่เข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ธรรมแต่ละหนึ่ง เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นต้องเป็นเห็น เห็นคิดไม่ได้ เห็นจำไม่ได้ เห็นโกรธไม่ได้ เมื่อรวมๆ กันแล้ว ก็กลายเป็น เราเห็น เราโกรธ เราคิด เราจำ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

    ผู้ฟัง คุณพ่อฝากถามว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า เพราะว่าคุณพ่อเชื่อวิทยาศาสตร์ แล้วก็คิดว่าตายแล้วสูญ แต่ตัวหนูเองก็สงสัยด้วย

    ท่านอาจารย์ เชื่อนักวิทยาศาสตร์ หรือเชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องคิด นักวิทยาศาสตร์กี่คนกี่สมัย ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ชาวโลกก็ตื่นเต้นกับผู้ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ได้พูดถึงความจริงซึ่งกำลังมีจริงๆ แต่พูดถึงเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าเพียงแค่ได้ยิน จะเลือกนับถือใคร จะยังคงนับถือนักวิทยาศาสตร์ต่อไป หรือว่าจะนับถือผู้ที่ไม่มีใครเปรียบได้เลย ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็สะสมความคิดหลากหลายมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสอนหลากหลายมาก ไม่ว่าจะสอนเรื่องอะไรก็ตาม แต่ผู้ที่ได้สะสมมาที่จะเป็นผู้ตรง แล้วก็เห็นประโยชน์ของการรู้ความจริง ก็จะไม่ไปเชื่อในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่จริง

    เพราะฉะนั้นใครบอกเขาว่าชาติหน้ามีจริงไหม ชาตินี้มีจริงไหม เชื่อเขาไหม แต่ยังไม่รู้เลยว่าชาตินี้คืออะไร เห็นไหม ตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก และถ้าเขาบอกเขาจะให้เราเข้าใจถูกได้อย่างไร ในเมื่อเขาเพียงแต่บอกว่ามี อีกคนหนึ่งก็บอกว่าไม่มี แค่ ๒ คนที่พูดต่างกัน จะให้เราเชื่อได้อย่างไร แต่คนที่บอกเราให้เข้าใจถูกต้องว่า ชาติคืออะไร ชาตินี้คืออะไร เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องใช่ไหมว่า แล้วจะมีชาติหน้าไหม ชาติก่อนมีหรือเปล่า หรือมีเพียงชาตินี้ชาติเดียว ถ้ามีเพียงชาตินี้ชาติเดียว ชาตินี้ยังคืออะไรอีก ถ้าไม่รู้ความจริงของชาตินี้ ก็ไม่รู้ เพียงแต่คิด ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นถ้ารู้ความจริงของชาตินี้ ก็รู้ได้เลย ชาติหน้ามีจริงไหม ชาติก่อนมีจริงไหม และชาตินี้มาจากไหน และจากชาตินี้จะไปไหน เป็นธรรมทั้งหมด แต่ต้องศึกษาทีละคำ ตอนนี้ไม่สงสัยในคำว่าธรรมแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร ปัญญา เห็นไหม พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ หมดจดจากกิเลส ถ้ายังมีกิเลสไม่ใช่เพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงพระมหากรุณา ความกรุณามีจริง แต่กรุณาของใครจะยิ่งใหญ่เสมอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะว่าไม่ใช่กรุณาเฉพาะคน แต่กรุณาสัตว์โลกทั้งหมด ไม่ว่าเป็นใครที่ไม่รู้ความจริง มีโอกาสที่ได้ฟัง มีโอกาสที่จะไตร่ตรอง มีโอกาสที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่ารีบร้อนจะไปดับกิเลส อย่ารีบร้อนที่จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม อย่ารีบร้อนที่จะรู้มากมายโดยเพียงชื่อ เช่น ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ พวกนี้ ไม่สำคัญเลย แต่เข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่า แต่เวลาที่มีความเข้าใจขึ้นเข้าใจทุกคำเพิ่มขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มีจริงเป็นธรรม ธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ใครเปลี่ยนแปลงได้ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    25 พ.ย. 2567