ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955


    ตอนที่ ๙๕๕

    สนทนาธรรม ที่ สวนปาล์มฟาร์มนก จ.ฉะเชิงเทรา

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธาตุหรือธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปถามใครว่าเข้าใจเท่าใด ก็สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราเลยสักอย่าง แต่ก็เข้าใจเท่าใด เห็นก็ไม่เข้าใจใช่ไหม แล้วชีวิตก็แล้วแต่ ไปคิดถึงเจตสิกบ้าง ไปคิดถึงนั่นบ้าง นี่บ้างก็เป็นธรรมดา แต่ว่าไม่ใช่การขัดเกลา เพราะเหตุว่าสมถภาวนา การอบรมเจริญความสงบเพราะเห็นโทษของกิเลส มีตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาลจนกระทั่งสามารถสงบระงับได้จริงๆ ไม่เหมือนคนยุคนี้เลยไม่รู้อะไรเลย สมาธิก็ไปนั่งทำ ทำแล้วก็คิดว่านิ่ง สงบ เห็นนั่นเห็นนี่ แต่กิเลสทั้งนั้นก็ไม่รู้ แต่คนในครั้งโน้นมีการสะสมปัญญาระดับขั้นที่สามารถที่จะถึงความสงบ ซึ่งต้องประกอบด้วยปัญญาทุกขั้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงที่สุดของความสงบ คืออรูปฌานขั้นเนวสัญญานาสัญญายตน นี่เป็นแต่เพียงชื่อว่าความสงบของจิตมีหลายระดับ ระดับนั้นก็คือว่าสูงสุดกว่านั้นไม่มีแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบอกว่านั่นเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไหม เทียบกันไม่ได้เลย ต่อให้จะไปสงบอย่างไร ถึงขณะที่ว่ามีอรูปไม่ใช่รูปเป็นอารมณ์ ทำอิทธิปาฏิหาริย์อะไรๆ ได้ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะเหตุว่าไม่ใช่หนทางที่จะนำออกจากสังสารวัฏ อยู่ไปเช่นนี้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก เป็นคนชาตินี้ ชาติหน้าเป็นอะไรไม่รู้ ชาติก่อนเป็นอะไรไม่รู้ เดี๋ยวก็เป็นคนอีก เดี๋ยวก็เกิดบนสวรรค์อีก เดี๋ยวก็เกิดที่โน่นที่นี่อีก ออกจากสังสารวัฏไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่เห็นโทษของการเกิด

    มีท่านผู้หนึ่งท่านฟังธรรม แล้วท่านก็เห็นว่าสังสารวัฏ ก็ย้ำอยู่อยู่ตรงนี้ ตรงขณะที่เห็นนี่เอง เดี๋ยวก็ได้ยิน ทุกอย่างแค่หนึ่งขณะสั้นๆ ท่านก็ตั้งความหวังปรารถนาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ว่าเมื่อใดก็ได้ แต่ขอให้เป็นชาติที่สบายๆ เห็นไหม ความหวังหมดไหม แทนที่จะบอกว่าจะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ตาม ชาติไหนก็ตาม ขอได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นเห็นโลภะ เห็นกำลังของโลภะไม่สิ้นสุดเลย หนทางเดียวก็คือว่า การรู้ความจริง เมื่อนั้นโลภะก็จะปรากฏให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เป็นโทษเพราะติดข้อง ติดข้องจะนำมาซึ่งความสุขได้อย่างไร พอสูญเสียก็เป็นทุกข์กันแล้ว ไม่ได้อย่างใจก็เป็นทุกข์กันแล้ว แล้วมีหรือที่ใครจะไม่ตาย เกิดมาแล้วตายทุกคน แต่ถ้ามีปัญญาจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็ตายได้ เมื่อใดก็ตายได้ ตายแล้วก็เกิด ถ้าคนที่ยังไม่เห็นโทษจริงๆ ก็ยังคิดว่าแล้วเราก็ได้เกิดอีก เกิดอีกเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ก็ปรารถนาหรือหวังว่าผลของบุญจะทำให้เกิดในที่ที่ดี นั่นก็คือความติดข้อง เพราะฉะนั้นความติดข้องยากมากเลย ถึงพระอนาคามียังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ยังติดข้องในความเป็น ซึ่งไม่เป็นไปด้วยโทสะ ไม่เป็นไปด้วยความติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ก็ยังติดข้องในความเป็น เห็นไหม กำลังของกิเลสซึ่งเกิดเพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้พอได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ในความที่เป็นผู้ที่ประเสริฐสุด ใครที่มีโอกาสได้ฟัง เราก็ยินดีด้วยเพราะยากแสนยาก และฟังแล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าถ้าฟังผิด ไม่ตรงนิดเดียว ต่อให้เข้าใจปริยัติ ศึกษาเรื่องจิตเจตสิก มีโรงเรียนมีอะไรๆ ก็ตามแต่ เป็นครูเป็นอาจารย์ก็ตามแต่ ในเถรสูตรพระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีความเห็นผิดได้ ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องสอดคล้องกันหมด และก็ต้องละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ต้องเร่งขวนขวายว่าจะไม่อยากเกิด ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น เพราะขณะนั้นคิดอย่างนั้นก็เกิดแล้ว ต้องทั้งหมดเลย ไม่เหลือเลยเป็นธรรมทั้งหมด นี่เป็นขั้นฟัง กว่าจะเป็นผู้ที่มีสัจจญาณมั่นคงว่าเป็นอย่างนี้ แล้วแต่ไม่มีเราที่จะไปทำอะไรได้ เมื่อใดที่สติสัมปชัญญะเกิด รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แค่ตรงลักษณะ อย่างเวลานี้มีแข็ง ใครรู้ตรงแข็งบ้าง เวลานี้มีเสียง ใครรู้ตรงเสียงบ้าง แค่รู้ตรงนั้น ผู้นั้นก็จะเห็นความเป็นอนัตตาว่า ไม่ได้มีการที่เราจะไปทำให้เกิดขึ้น แต่ความเป็นเรานี้จะตามไปชนิดซึ่งปัญญาต้องเกิดขึ้น สามารถที่จะเห็นว่าแม้ขณะนั้นก็ยังเป็นเรา กว่าจะละได้ทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นเรื่องเข้าใจทั้งหมดเลย และก็เป็นปกติ เริ่มเห็นความยากยิ่ง ยิ่งยากนี่ขั้นฟัง และก็จะยากสักเพียงใดกว่าที่จะรู้จักตัวธรรมทีละหนึ่งทีละหนึ่ง ด้วยความเป็นปกติที่ไม่ใช่เราทำ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ พรรษา ทำให้เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรื่องตัวตน ไม่ใช่เรื่องใครจะไปทำอะไรได้ทั้งสิ้น จะมีสำนักปฏิบัติจะศึกษาธรรม จิตเท่าใด เจตสิกเท่าใด ก็ไม่ใช่เพื่อที่จะไปสอบ หรือว่าไปมีประกาศนียบัตรหรืออะไร แต่เป็นเรื่องละด้วยความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ละไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงฟังจึงเข้าใจขึ้น เพื่อที่จะละ

    ผู้ฟัง การศึกษาธรรมให้เข้าใจธรรมทีละคำ จะส่องให้เห็นถึงความไม่เป็นเรา ยกตัวอย่างเช่น เสียง เพราะอย่างไรเบญก็ยังคิดว่านี่เสียงของเบญ เสียงท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องไตร่ตรอง เป็นเรื่องค่อยๆ เข้าใจ คุณเบญพูดถึงเสียง

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเสียงไม่เกิด มีเสียงไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ยังไม่เห็นหรือว่าใครก็ไปทำให้เสียงเกิดไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่อย่างนี้อย่างหนูจะให้เสียงเลยก็พูด

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้มีเสียงเลยได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ให้มีเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้มีเลย

    ผู้ฟัง ข้างนอกหนูคงบังคับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ไม่ให้มีเลย

    ผู้ฟัง ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า เข้าใจธรรมไหม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพียงแค่เสียงก็ส่องไปถึงข้อความทั้งหมดในพระไตรปิฎก เป็นอนัตตา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นไหม การที่ศึกษาธรรมทีละคำทั้งหมด ค่อยๆ ตามไปถึงสิ่งที่มีขณะนี้ต้องมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้ด้วย จะให้เสียงเป็นหวานไม่ได้ จะให้เสียงเป็นแข็งไม่ได้ จะให้เสียงเป็นเย็นไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นเสียง ใครบังคับได้ ไม่ให้มีเสียงได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้มีแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้มีเย็นได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือธรรม สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ กว่าจะถึงความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องอาศัยการฟังอย่างมั่นคงด้วย

    ผู้ฟัง เรื่องสมาธิที่ผมมีความสนใจมาก คือว่าการที่เราจะไปนั่งสมาธิ ผมได้ฟังอาจารย์ท่านพูดว่า เราจะต้องปริยัติก่อน อยากเรียนถามท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แต่ทั้งหมดที่ฟัง เพื่อเข้าใจอะไร เวลาฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง เพื่อให้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ บรรลุธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง บรรลุธรรมคือสิ่งที่ความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ความเป็นจริงคืออะไร เดี๋ยวนี้ก็มีทุกอย่างปรากฏ

    ผู้ฟัง ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเรารู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงหรือยัง

    ผู้ฟัง ก็รู้ไม่หมด

    ท่านอาจารย์ รู้จากใคร ที่ว่ารู้ไม่หมด

    ผู้ฟัง ของพระพุทธเจ้าที่สอนมา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเห็นความต่าง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่เหมือนใครเลยทั้งสิ้น ต่อให้เราจะไปนั่งสมาธิแล้วคิดเอง หรือว่ามีคนบอกให้เรานั่งสมาธิแล้วคิด ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องรู้เลยว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไม่ใช่คำของใครทั้งสิ้นที่ไม่รู้ และพระองค์ตรัสรู้ความจริงของสิ่งซึ่งมีจริงๆ แต่คนอื่นไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง และคนอื่นไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ลึกซึ้งไหม

    ผู้ฟัง ลึกซึ้ง

    ท่านอาจารย์ รู้ง่ายไหม

    ผู้ฟัง ไม่ง่าย

    ท่านอาจารย์ เวลาฟังแล้วต้องไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจแต่ละคำหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องแต่ละคำ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ จะไม่รู้เลยว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เช่นภาษาบาลี ไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่มีอีกภาษาหนึ่งหมายความอย่างเดียวกัน แต่พูดคนละภาษา เพราะฉะนั้นเรากำลังจะฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง นี่คือภาษาไทย ภาษาบาลีก็คือ ศึกษา ภาษาบาลีใช้คำว่า สิกขา ศึกษาธรรม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมก็คือศึกษา พิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี นี่คือหลักที่สำคัญ เพราะฉะนั้นใครจะพูดเรื่องอะไรก็ตามแต่ พูดเรื่องสมาธิ เดี๋ยวนี้มีสมาธิไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี รู้ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง เพราะเราก็ตั้งใจฟัง

    ท่านอาจารย์ นี่เราเอง ยังไม่ได้รู้ว่าธรรมที่เป็นสมาธิแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องตั้งต้นด้วยคำว่าสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่ใช่เรา จะพูดถึงสมาธิ จะพูดถึงเห็น จะพูดถึงคนโน้นคนนี้สอนทั้งหมดคือไม่ใช่เรา เมื่อไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดเอง แต่ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่งปะปนกันไม่ได้ เห็นไหม เริ่มเข้ามาหาความจริงของสิ่งที่มีจริงธรรมดาธรรมดา เห็นมีจริงไหม ได้ยินมีจริงไหม คิดมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเป็นเรา เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงว่าสิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นถ้าตอบว่าเป็นธรรมก็คือไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสมาธิคืออะไร คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง แต่ก่อนอะไรก็ไม่รู้ทำตามๆ กัน แต่พอฟังพระธรรมรู้ทุกคำว่าคืออะไรก่อน ตั้งต้นด้วยคืออะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เห็นมีจริงใช่ไหม แล้วเห็นเป็นอะไร คือเริ่มต้นฟังคำของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นคำคนอื่นเขาไม่บอกว่าเห็นคืออะไร เขาให้ไปทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ให้ทำสมาธิ ทำวิปัสสนา แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นตั้งต้นด้วยคำว่าคืออะไรทุกคำ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีเห็นจริงๆ เห็นคืออะไร เห็นคือเห็น นี่เป็นคำของพระพุทธเจ้าแน่นอน เห็นไม่ใช่คน เห็นไม่ใช่สัตว์ เห็นไม่ใช่ของใคร เห็นไม่ใช่มีใครทำให้เกิดเห็น เห็นเกิดเป็นเห็นเท่านั้น ไม่เป็นอื่น กว่าจะรู้ว่าที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่มีจริงทั้งหมดเป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังธรรมก็คือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีว่าไม่ใช่เรา ถึงจะเป็นธรรม แต่ถ้าฟังแล้วไปปฏิบัติไปทำนั่นทำนี่ ไม่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ขณะนั้นก็ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เหมือนคำของคนอื่น เพราะคำของคนอื่นมีแต่บอกให้เราทำ ให้เราได้ ให้เป็นสมาธิ ให้นิ่ง แต่ไม่เคยบอกเลยว่าคืออะไร คือไม่ใช่เราไม่พูดเลย ถ้าพูดว่าไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้เห็นไม่ใช่เรา เพราะอะไร เห็นเกิดแล้วใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้น ทำได้ไหม ก็ทำไม่ได้ มีความมั่นคงในความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง

    นี่คือฟังคำสอนไม่ว่าจะฟังเรื่องไหนทั้งสิ้น ก็จะต้องมาเพื่อความเข้าใจถูกว่าไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้วให้ไปทำสมาธิให้ไปนิ่ง และอะไรก็ไม่รู้สักอย่าง ไม่รู้เมื่อใดก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น สิ่งที่มีไม่เรียกก็ได้ แต่ก็มี สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เหมือนกันหรือต่างกัน เห็นไหม ต้องเป็นความคิดของเราหมายความว่าการฟังพระธรรม ทำให้เกิดความคิดไตร่ตรองจึงจะเป็นความเข้าใจ เพื่อให้รู้ว่าเข้าใจนั้นไม่ใช่เรา เห็นไหม การฟังธรรมต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ฟังไม่ใช่ความเข้าใจของคนอื่น ฟังแล้วไตร่ตรอง เราได้ยินมาอย่างนี้ แต่เราเข้าใจอย่างนี้หรือยัง เขาบอกว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ แต่เราเข้าใจอย่างนี้หรือยัง ถ้าเข้าใจอย่างนี้คือเข้าใจ แม้ไม่เข้าใจก็ไม่ใช่เรา ก็เป็นความละเอียดจนกระทั่งเป็นความเข้าใจซึ่งไม่หวั่นไหว ไม่ใช่เรา มั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดก็คือฟังเพื่อให้รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา โดยเข้าใจว่าคืออะไร ไม่ใช่ตอบเฉยๆ ว่าไม่ใช่เรา แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่ใช่เราแล้วคืออะไร ก็ต้องตอบได้ อะไรที่ไม่ใช่เรา ก็เห็นเป็นเห็น เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วเห็นดับไป แล้วไม่กลับมาอีก จะเป็นเราได้อย่างไร ดับหมดแล้วเมื่อสักครู่นี้ไม่เหลือเลย ยากที่จะรู้ได้ แม้แต่ตายจากโลกนี้เห็นชัดๆ ว่าไม่เหลือเลย แต่ก่อนจะตายก็ไม่เหลือเลย ก็ไม่รู้ทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่ากว่าจะรู้ แม้แต่ตายยังไม่รู้เลย ยังเป็นคนนั้นตายคนนี้ตาย คือไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจขึ้นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ ที่มีเพราะเกิดขึ้นปรากฏว่ามี อย่างเสียง ก่อนมีเสียงก็ไม่มี แต่พอมีเสียงก็รู้ว่าเสียงต้องเกิดเป็นเสียง เป็นอื่นไม่ได้ มีเสียงจริงๆ เมื่อเกิดขึ้นเป็นเสียง เพื่อละความไม่รู้ ไม่ต้องไปคิดถึงสมาธิ ไม่ต้องไปคิดถึงอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าอย่างที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น คนยุคนั้นเห็นโทษของความติดข้อง ในรูป ในเสียง ในทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ว่าถ้าไม่ติดข้อง จิตสงบไม่เดือดร้อนวุ่นวาย อบรมความสงบของจิตจนถึงขั้นสมาธิสูงที่สุด สมาธิที่นี่ต้องหมายความถึงความสงบที่มั่นคง จึงปรากฏอาการของความสงบเป็นลักษณะของสมาธิ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะถึงขั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ที่สุดของความสงบ ก็ไม่ใช่หนทางเป็นมิจฉาปฏิปทา เพราะไม่รู้สิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้นคำสอนพระพุทธเจ้าจะเริ่มตรงที่รู้สิ่งที่กำลังมี เพราะว่ามีสิ่งที่มีไม่เคยขาดเลยเกิดแล้วดับไปแล้ว ไม่เหลือเลยก็จริง ก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อเร็วมากแน่นมาก ติดกันแยกไม่ออกเลย จึงต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป กว่าจะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ตามปกติซึ่งเกิดดับ เพราะฉะนั้นเราก็เป็นผู้ฟัง และรู้ว่าคำของพระพุทธเจ้าทุกคำให้เกิดปัญญา ไม่ใช่ให้ไปทำ ไม่ใช่ให้สงบ ไม่ใช่ให้นิ่ง นั่นไม่ใช่ปัญญา แต่ปัญญาคือสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีด้วย ไม่ใช่ความจริงที่มาคิดกันว่า นั่นจริง นี่จริง แต่เดี๋ยวนี้อะไรที่มีจริง และเข้าใจอันนั้น นั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าพูดคำอะไรตั้งต้นด้วยคำว่าคืออะไร

    ผู้ฟัง ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง กว่าจะละความเป็นเราได้ ก็คิดดูก็แล้วกัน ถ้าสำหรับคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย ก็ไม่มีหนทางเลย แต่สำหรับคนที่ฟังธรรมแล้ว ก็ยากแสนยาก

    ผู้ฟัง ผมสนใจเรื่องความตาย คือจุติจิตกับปฏิสนธิจิต ก็เคยได้ฟังมาว่า เหมือนกับว่าก่อนจะตายก็จะมีกุศลหรืออกุศลที่จะทำให้จุติจิตไปเกิดเป็นปฏิสนธิ

    ท่านอาจารย์ จุติไม่ไปเกิดเป็นปฏิสนธิ แต่หมายความว่าจิตทุกขณะนี้เกิดแล้วต้องดับ แล้วไม่กลับมาอีก แม้จิตเห็นเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่จิตเห็นขณะก่อนซึ่งที่ดับไปแล้ว ใหม่เลยเหมือนไฟต้องอาศัยเชื้อไฟ ไฟจึงจะเกิดขึ้นได้ เป็นไฟใหม่ตลอด ไม่ใช่อาศัยเชื้อเก่าที่จะทำให้ไฟเกิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นจิตทุกจิตคือหนึ่ง แล้วจิตแต่ละจิตเกิดแล้วทำกิจหน้าที่เฉพาะของตน เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ เราคิดว่าเป็นเราทำหน้าที่ลูก หน้าที่พ่อ หน้าที่อะไรก็ตามแต่ แต่ไม่ใช่เลย หน้าที่ของจิตแต่ละขณะทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าจิตเกิดแล้วจะทำหน้าที่หนึ่งหน้าที่ใด มีหน้าที่ของจิตทั้งหมด ๑๔ หน้าที่ หรือ ๑๔ กิจ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่หน้าที่ของจิตอื่นเลย ไม่ใช่หน้าที่ของจิตที่มีโลภะเกิดร่วมด้วย โทสะเกิดร่วมด้วย แต่เป็นจิตที่เกิดขึ้นเห็นเพราะกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว เป็นปัจจัยให้ต้องเห็นแล้วแค่เห็นดับ แต่สิ่งที่เกิดต่อนำมามากมายมหาศาล เป็นเรื่องเป็นราวเป็นโลภะเป็นโทสะ เป็นกำลังทุ่มเถียงกัน เจรจากันทั่วโลกวุ่นวายไปหมด ก็เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะทำกิจหนึ่งใดแล้วก็ดับ แค่นั้นเองใน ๑๔ กิจ เพราะฉะนั้นจุติจิตคืออะไร เห็นไหม ต้องตั้งต้นที่ว่าคืออะไร คือจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้ หมายความว่าอะไร หมายความว่าจิตขณะสุดท้ายของชาตินี้เกิดขึ้น ทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้โดยศัพท์ใช้คำว่าเคลื่อน พ้นไป หมดไป เพราะฉะนั้นจิตขณะนั้นไม่ดำรงภพชาติอีกต่อไป แต่ว่าเกิดขึ้นเพื่อถึงที่สุด ทำที่สุดของชาตินี้ในขณะนั้นว่าจะเป็นบุคคลนั้นอีกต่อไปไม่ได้เลย จึงใช้คำว่า มรณะ หรือตาย หรือจุติซึ่งเป็นกิจของจิต เพราะฉะนั้นคุณพจน์สงสัยก่อนจุติจิต หรือหลังจุติจิต หรือขณะจุติ

    ผู้ฟัง ก่อนจุติจิต

    ท่านอาจารย์ ก่อนจุติ ต้องมีจิตซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่จุติ แล้วทำหน้าที่อะไร เห็นไหม เพราะว่าจิตทุกประเภทต้องเกิดขึ้นทำหน้าที่ ถ้าเรากล่าวโดยคร่าวๆ ไม่ละเอียดถึงแต่ละขณะ กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดเพราะมีปัจจัย ถึงเวลานี้ก็เกิด เป็นอกุศลโดยเราไม่รู้เลยถึง ๗ ขณะยังไม่รู้เลย แต่ก่อนตายแค่ ๕ ขณะจะรู้ไหม ยิ่งน้อยกว่าเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้เวลานี้เห็นดับแล้วอีก ๓ ขณะ เป็นอกุศล โลภะ โมหะ ๗ ขณะยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นก่อนตายมีจิตเกิดก่อนตายที่เป็นกุศลอกุศลเพียง ๕ ขณะจะรู้ไหม ไม่รู้เลย สบายมาก ไม่ต้องกลัวความตายอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวเลยเหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้จิตเมื่อสักครู่นี้ก็ดับ จิตต่อไปก็เกิดสืบต่อ เพียงแต่ว่าเป็นคนใหม่ สิ้นสุดความเป็นบุคคลก่อนโดยสิ้นเชิงโดยประการทั้งปวง หมดความเป็นบุคคลนี้ จำอะไรไม่ได้ ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน บ้านช่องเป็นอย่างไร ไม่มีเลยที่จะกลับไปเป็นคนเก่าได้ ที่เรายังจำได้ เพราะเรายังเป็นคนนี้ก็มีเรื่องของชาตินี้ใช่ไหม แต่ว่ากรรมหนึ่งที่จะให้ผลในบรรดากรรมที่สะสมมาแสนโกฏกัป ยังสามารถที่จะให้ผลทำให้เกิดได้ ถ้ากรรมนั้นยังไม่ได้สิ้นสุด คือไม่ได้ให้ผลไปแล้วจนหมด ก็ยังสามารถที่จะทำให้เกิดได้

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผลของอกุศลไม่มีใครอยากเลือกเลย แต่ถึงเวลาที่กรรมนั้นที่เป็นอกุศลนั้นด้วยจะให้ผล ก็ทำให้จิตที่เกิดก่อนจุติเศร้าหมอง เมื่อมีอารมณ์ที่ปรากฏโดยกรรมนั้นเป็นปัจจัย ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นมีจิตเป็นกุศล และอกุศล เหมือนเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่าขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล แต่ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แต่พอจุติจิตเกิดก็คือว่า กุศล และอกุศลซึ่งเกิดก่อนเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติไม่มีระหว่างคั่นเลยเหมือนเดี๋ยวนี้เลย เพราะฉะนั้นสังสารวัฎไม่สิ้นสุด ไม่มีสักขณะเดียวที่ขาด จะต้องมีจิตเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย และเร็วมาก เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตเกิดเป็นผลของกรรมที่ทำให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติ หรือเป็นผลของอกุศลกรรมหนึ่งที่ทำให้จิตก่อนจุติเกิดขึ้นเป็นกุศล และอกุศลตามแต่เหตุ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากจุติเป็นวิบาก วิปากะเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งทำให้จิตเป็นกุศล และอกุศลก่อนตาย สบายมากเลยไม่รู้ตัว

    ผู้ฟัง ปัจจุบันนี้ก็เห็นมีคอร์สที่คล้ายๆ กับว่าเผชิญความตาย อย่างสงบอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ อย่าไปพูดเลย เขาไม่ได้มีปัญญาที่จะให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ตามเขาไป ก็ไม่ได้เข้าใจอะไร เพราะไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง คือคล้ายกับว่าให้เราทำจิตสงบสงบ พอเราใกล้ตาย

    ท่านอาจารย์ เราทำแล้วก็สงบ ความจริงขณะนั้นเป็นโลภะ เพราะต้องการ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 179
    23 พ.ย. 2567