ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
ตอนที่ ๙๕๖
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมแอตต้ารีสอร์ท เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
วันที่ ๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ผู้ฟัง คือคล้ายกับว่าให้เราทำจิตสงบๆ พอเราใกล้ตาย
ท่านอาจารย์ เราทำแล้วก็สงบ ความจริงขณะนั้นเป็นโลภะเพราะต้องการ นั่นเป็นเรื่องของกรรมด้วย เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราห้ามไม่ให้เห็นได้ไหม กรรมที่ได้กระทำแล้วในแสนโกฏกัปทำให้เห็นเดี๋ยวนี้เกิด เพราะฉะนั้นกรรมหนึ่งที่ทำแล้ว ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ใครจะให้เราไปนั่งทำสงบ ไปคิดอะไรก่อนตาย ชวนกันไปก็ไม่เป็นผล เพราะเขาไม่เข้าใจเหตุที่จะทำให้เกิด
ผู้ฟัง คืออย่างปัจจุบัน ผมก็มีญาติพี่น้องพี่ป้าน้าอาอะไรที่อายุมากแล้วบางทีก็นอนโรงพยาบาลอะไร เขาก็นิยมนำพระมาอะไรอย่างนี้ แล้วก็มาสวดบ้าง อะไรบ้างจะถูกต้องไหม
ท่านอาจารย์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำทิ้งไม่ได้ ทิ้งหมายความว่าเราเอาของคนอื่นมาแทรกแล้ว เราเอาคำของคนอื่นมาแทรกอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาได้ไหม ใครเอาพระพุทธรูป และเอาอะไรไปให้พระเทวทัตก่อนจะจุติได้ไหม ที่จะไม่ลงอเวจีไม่ไปเกิดที่นั่น เพราะฉะนั้นแล้วแต่เหตุธรรมทั้งหลายต้องเป็นไปตามเหตุ มีคำที่ตรัสไว้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้เป็นอนัตตาก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจน ทุกคำจะไม่ผิด และทุกคำสอดคล้องมา เพื่อที่จะให้เข้าใจชัดเจนขึ้น
ผู้ฟัง แล้วถ้าเช่นนั้นเราจะช่วยเหลือญาติพี่น้อง คนที่ป่วยหนักได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าช่วยเขาเดี๋ยวนี้ได้ ก็ช่วยเขาตอนนั้นได้ แล้วเดี๋ยวนี้ช่วยได้ไหมตอนนี้
ผู้ฟัง ก็ต้องแนะนำให้เขาฟังธรรม
ท่านอาจารย์ แล้วช่วยได้ไหม แนะนำแล้วช่วยได้ไหม
ผู้ฟัง เขาไม่ค่อยฟัง
ท่านอาจารย์ ก็อย่างนี้ เพราะฉะนั้นตอนจะตายยิ่งเหมือนเลย ไม่ได้ต่างกับเดี๋ยวนี้เลย ตอนไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น ตอนเป็นตอนตายก็มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ มีกุศล อกุศล ตามเหตุตามปัจจัย แล้วเขาเป็นญาติเฉพาะชาตินี้ใช่ไหม คุณพจน์มีญาติพี่น้องกี่คนชาติก่อน
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ใครเป็นใคร อยู่ที่ไหน
ผู้ฟัง ไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ไม่รู้เลย ชาติก่อนก็ห่วงใยคนที่จะใกล้จะตายอย่างนี้ แต่ถึงเวลาก็ไม่รู้จักกันเลย ไม่รู้จักแม้ตัวเรา เพราะไม่ใช่เราอีกต่อไป ใครก็ไม่รู้ นี่บ้านใครก็ไม่รู้ ที่แท้เคยอยู่มาตั้งนานใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่เป็นอนัตตา ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนที่จะเป็นเราได้สักขณะเดียวเพราะหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวจริงๆ ไม่มี แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นก็หลงเข้าใจว่ายังมี แต่ความจริงทุกอย่างแค่จากไม่มี แล้วก็มีนิดเดียว แล้วก็หมด แล้วไม่เหลือเลย ก็เหมือนตอนที่ยังไม่มี ตอนที่ยังไม่เกิด ก็ไม่มีเราใช่ไหม พอเกิดเป็นเรา พอตายแล้วเราอยู่ไหน ก็ไม่มี ไม่รู้จะอายุยืนอายุสั้นแค่ไหนก็ตามแต่ ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยคือไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมดเป็นเห็นแล้วก็จำ แล้วก็คิด แล้วก็สุข แล้วก็ทุกข์ตลอดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นในบรรดาธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นสังขารธรรมทั้งหลาย ปัญญาเป็นเลิศ แล้วอย่างนี้จะไปนั่งสมาธิแล้วได้ประโยชน์อะไร ไปนั่งติดข้องไม่รู้อะไร ชวนกันไปแต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะไม่รู้เพราะติดข้อง
สนทนาธรรมระหว่าง เดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙
อ.นภัทร ได้มีโอกาสสนทนากับเพื่อนที่ฟังธรรมกับท่านอาจารย์ แล้วก็บุคคลที่เป็นเพื่อนมีความเข้าใจว่า ในขณะที่ดื่มเหล้า สติปัฏฐานสามารถที่จะเกิดได้ในขณะที่เขาดื่มสุรา ที่เกิดได้เพราะว่ากลิ่นก็รู้ รสก็รู้ในขณะที่ดื่ม ผมก็บอกว่า ที่กินเหล้า สติจะเกิดได้อย่างไร เพราะขณะนั้นไม่ได้เป็นไปในกุศล เพราะฉะนั้นสติก็คือโสภณเจตสิกที่จะเกิดกับกุศลที่ระลึกเป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง หรือในการที่จะอบรมเจริญสมาธิที่เป็นสมถะ หรือว่าเจริญปัญญาที่เป็นวิปัสสนา
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นก็รู้สึกว่าเราฟังธรรม เพื่อเราจะเจริญสติปัฏฐานหรือว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังกล่าว คือการเริ่มต้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเหตุว่าเราประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าจะรู้ได้โดยง่าย แค่ได้ยิน ก็สติปัฏฐาน เจริญสติปัฏฐาน แต่ความจริงต้องรู้ว่าเดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังมีจิตซึ่งไม่รู้จัก แล้วก็ยึดถือว่าเป็นจิตของตัวเอง แต่จิตนั้นมาจากไหน ในแสนโกฏกัปนับไม่ถ้วนเลย ทั้งเห็นแล้วก็ไม่รู้ ได้ยินแล้วก็ไม่รู้ และยึดถือว่าเป็นเรามานานแสนนาน แต่พอได้ยินคำสอนมุ่งหน้าที่จะเจริญสติปัฎฐาน แล้วก็ไม่รู้เลยว่าจิตของแต่ละคนหนาแน่นไปด้วยกิเลส ซึ่งเหมือนจมอยู่ใต้มหาสมุทร ไม่ได้โผล่ขึ้นมาให้เห็นชัดๆ อย่างเราจะพูดเรื่องโลภะเดี๋ยวนี้ก็มี เห็นหรือยัง เห็น พูดเรื่องอะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดคนที่ศึกษาพระอภิธรรมก็จะมีเรื่องของจิตเจตสิกรูป ตอบได้หมดเลย จิตมีเท่าไหร่ แล้วเดี๋ยวนี้หายไปไหน อยู่ที่ไหน จมอยู่ใต้มหาสมุทรหรือเปล่า มืดสนิท ไม่สามารถที่จะมีปัญญาที่เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะลงไปถึงการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งไม่เคยปรากฏให้รู้เลย แม้ในขณะนี้ก็เห็น ไม่ใช่ไม่มีเห็น และเห็นก็ไม่ใช่เรา ฟังกี่ครั้งก็ตามแต่ จะสติปัฏฐานเกิดไหม หรือว่าจะค่อยๆ ละความไม่รู้ความติดข้องในเห็นที่กำลังเห็น โดยที่ว่าไม่ได้เจาะจงว่าแล้วเมื่อใด เราฟังนานเท่าใด แล้วสติสัมปชัญญะจะเกิดแล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นคือความเป็นตัวตนมากมายมหาศาล ไม่เคยหายไปไหนเลย แม้แต่เพียงฟังแล้วเมื่อใดสติปัฏฐานจะเกิดจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ หารู้ไม่ว่าถ้าไม่ใช่ปัญญา อะไรๆ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ เราใช้คำว่าปัญญา เพราะเราชินกับคำนี้ตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไปโรงเรียน คนนั้นก็มีสติปัญญามาก ได้คะแนนเท่าใด อะไรๆ แต่นั่นไม่ใช่ความเข้าใจ สิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตายว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นคำที่ลืมไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นคำที่จะละความติดข้อง ความต้องการ แต่ถ้าเป็นคำอื่นจะมุ่งหน้าให้เราไปต้องการ ไปเป็นตัวตนที่จะรู้อย่างนั้นจะรู้อย่างนี้ แต่ลืมสนิทว่าจิตที่สะสมอกุศลมาหนาแน่นมาก แม้พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ก็ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน ในสังสารวัฎที่ผ่านมาทั้งหมดเต็มไปด้วยเรา เต็มไปด้วยความต้องการ เต็มไปด้วยความอยากได้ แม้แต่เพียงการฟังธรรมก็อยากจะรู้อย่างนี้ อยากจะเข้าใจอย่างนั้น ซึ่งเป็นสิ่งซึ่งแสนที่จะยากว่าเมื่อใดปัญญาจะเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องตัวเราจะไปพากเพียรพยายาม แต่เป็นเรื่องสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริง ซึ่งถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ทุกคนประมาท โดยเฉพาะคนที่คิดว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง กล่าวกันว่าธรรมไม่ลึกซึ้ง คำนี้หมายความว่าอย่างไร ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ไม่เคารพในการที่ธรรมเดี๋ยวนี้ต้องบำเพ็ญบารมีกันนานเท่าใด กว่าจะไม่ใช่เราที่กำลังเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นแต่ละคำละเอียดมาก ไม่ใช่เราที่กำลังเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ หลายชั้นไหม ไม่ใช่เราที่กำลังเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้นตั้งแต่แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอะไร เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะมีความรู้ความเข้าใจได้ทันทีตรงตามที่ได้ฟัง เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไหม แค่นี้ต้องอาศัยกาลเวลานานเท่าใด เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ คือรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยากละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าใครที่มีความเป็นตัวตนเป็นเราจะถึงได้เลย มีแต่ว่าขณะนั้นเครื่องกั้นเกิดก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่เคยรู้จักสภาพธรรมที่กั้นขวางการที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เมื่อเป็นความติดข้องที่ฉาบทาไว้เหนียวแน่นมาก หนาแน่นเหนียวแน่น แล้วจะเอาความเป็นตัวตนออกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น เห็น หรือว่ากำลังได้ยิน กำลังคิดนึกได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ต้องไปปรารภกันสนทนากันเรื่องดื่มเหล้าสติปัฏฐานเกิดหรืออะไร แต่ว่าขณะนี้หรือขณะนั้นหรือขณะใดก็ตาม จิตขณะนั้นปรากฏเองว่าไม่ใช่เรา และธาตุรู้เพียงได้ยินอย่างนี้ ไม่เห็นยากเลย ธาตุรู้ก็รู้ แต่เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นรู้ว่าสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ แค่เห็นแล้วดับ ชั่วหนึ่งขณะจิตจะเร็วสักเพียงใด เพราะเหตุว่าเพียงแค่หลับตา อะไรๆ ก็หายไปไหนหมดเลย หายไปเลยไม่เหลือเลย แต่พอลืมตาทำไมมากมายอย่างนี้ และแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริงๆ จะกระทบตาเป็นปัจจัยที่จะทำให้เห็นเดี๋ยวนี้กำลังเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ก็ไม่มีใครรู้เลย
เพราะฉะนั้นการเกิดดับของสภาพธรรม เหลือวิสัยที่ตัวตนความต้องการที่จะไปทำให้ประจักษ์แจ้งได้ จนกว่าจะเข้าใจถูกต้องว่าจริงๆ แล้วที่ภาษาไทยเราใช้คำว่าปัญญา หมายความว่าความเห็นถูก คือเข้าใจจริงๆ ในลักษณะที่เป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่มีโอกาสจะเกิดได้เลย ถ้าหากไม่ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความต่าง พระอรหันตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญพระบารมียิ่งด้วยปัญญาต้องถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ยิ่งด้วยปัญญา แต่ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยศรัทธา ก็ถึง ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ และเรายิ่งด้วยอะไรหรือเปล่า หรือว่าฟังก่อน ถ้ายิ่งด้วยวิริยะก็ถึง ๑๖ อสงไขยแสนกัป แล้วฟังกี่ครั้งแล้ว ฟังเท่าใดแล้ว นานพอที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ไม่ใช่เรา เพราะมีเหตุปัจจัยพอที่สติสัมปชัญญะจะเกิด ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็มีผู้ที่บอกให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ ในพระไตรปิฏกไม่มี เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง เพื่อที่จะให้คนอื่นมีโอกาสได้ฟังความจริง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟังต้องไตร่ตรองว่าจริงอย่างที่ได้ฟังหรือเปล่า ไม่ใช่ให้เชื่อเลย แต่ว่าพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะพูดความจริงของสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าให้เราเพียงฟัง เก็บความสงสัยเก็บความข้องใจเป็นเรื่องอื่นหมด แต่ลืมว่ากำลังฟังเรื่องจิต ธาตุรู้ สภาพรู้ มีจริงๆ ถ้าไม่มีขณะนี้ก็ไม่มีใครมานั่งอยู่ตรงนี้เลยทั้งสิ้นใช่ไหม แต่เพราะเหตุว่ามีธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ แล้วก็มีธาตุซึ่งไม่ใช่ธาตุรู้ สองอย่างนี้เท่านั้นซึ่งเกิดดับเพราะเหตุปัจจัย แล้วใครก็จะหยุดยั้งไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เมื่อวานนี้ก็ผ่านไปหมดไม่เหลือเลย วันนี้ก็กำลังจะผ่านไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดวันนี้ และก็ต้องมีพรุ่งนี้ต่อจากวันนี้อีกฉันใด ชาติก่อนก็เหมือนอย่างนี้ อยากรู้ไหมชาติก่อนเป็นใคร อยู่ที่ไหน อยากรู้ไหม ไม่อยาก แต่พอถึงชาติหน้า ชาตินี้เองเป็นชาติก่อนของชาติหน้า รู้ชัดเจน ไม่ต้องย้อนมานึกถึงว่า ชาติก่อนเราเป็นใคร ก็เป็นอย่างนี้ พอถึงชาติหน้าจะได้รู้ว่า ทำอะไรบ้างในชาตินี้ ดีชั่วมากน้อยเพียงใด แต่ว่าจริงๆ แล้วก็คือว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เราจะไม่ละโอกาสที่มีโอกาสจะได้เข้าใจความจริงของสิ่งซึ่งไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อที่จะรู้ว่าสติปัฎฐานเป็นอย่างไร เมื่อใดจะเกิด เกิดแล้วเป็นอย่างไร นั่นคือจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม เพื่อจะรู้สติปัฏฐาน เพื่อจะทำสติปัฎฐาน หรือว่าจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นเรื่องละเป็นเรื่องหนึ่ง เพราะไม่รู้ก็ฟัง ฟังเรื่องอะไร เรื่องที่มีจริง ฟังแล้วยังไม่รู้ ก็ยังไม่พอ แต่ทุกคำที่ได้ฟังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ใช่ไหม ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยความเป็นอนัตตา อันนี้ลืมไม่ได้เลย มิฉะนั้นอัตตาก็ขวางตลอดโดยที่ว่าไม่รู้เลย เพราะเคยขัดขวางการที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏมานานแสนนานเพราะความติดข้อง ด้วยเหตุนี้การสนทนาทั้งหมดก็เพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งแล้วแต่มีข้อสงสัยหรือว่า ต้องการที่จะเข้าใจเรื่องอะไร ก็เพื่อให้จิตซึ่งสะสมอกุศลความไม่ดีมามากมายมหาศาล ทรงอุปมาว่าเป็นโรคร้ายแรงมาก เน่าเหม็นสกปรกทุกอย่าง ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นการเข้าใจพระธรรมจริงๆ เท่านั้น จะเป็นสิ่งที่ค่อยๆ ชำระล้างความไม่รู้ ซึ่งเปรียบเหมือนกับเชื้อโรค และความสกปรก ความเน่าเหม็นต่างๆ ออกได้ เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ก็ต้องมีกิเลส เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่ว่าต้องเข้าใจก่อนในขั้นต้นว่าฟังเพื่ออะไร เพื่อชำระล้างจิตของแต่ละคน ซึ่งสะสมมานับประมาณไม่ได้ แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก เพิ่มเข้าไปอีกเรื่อยๆ ตราบใดที่ไม่เข้าใจธรรม
อ.นภัทร ที่นำมากราบเรียน ก็เพื่อที่จะเกื้อกูลให้เขาค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่พูดเรื่องนี้ เราฟังเพื่อขัดเกลาจิตซึ่งแต่ละหนึ่งคนสะสมมาหลากหลายมาก เพราะอะไร จิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะทีละหนึ่งขณะ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่สิ่งที่สะสมมาก็จะสะสมสืบต่อปรุงแต่งต่อไปให้เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกัน แม้แต่คนเดียวจิตหนึ่งขณะที่เกิดดับไปก็ไม่ซ้ำ ไม่มีอะไรซ้ำ ดับคือไม่กลับมาอีก
อ.นภัทร เพราะฉะนั้นเพื่อนเขามีความคิดเห็นว่า ในขณะที่ดื่มสุรา รสก็รู้ กลิ่นก็รู้ ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ ต้องมีปัญญามาก
อ.นภัทร เขาบอกว่าระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฏ เป็นกุศลไม่ใช่หรือ
ท่านอาจารย์ ใครพูดอย่างนี้ต้องมีปัญญามาก แต่ถ้ามีปัญญาไม่ถามใคร เห็นไหม มีกุศลเป็นปกติ มีสติปัฏฐานเป็นปกติ ต้องไม่ใช่เรา และถ้าขณะนั้นจะไม่รู้หรือว่าเป็นกุศลใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ว่าจะฟังเผินๆ ใครจะพูดอย่างไรก็สะสมมาที่จะคิดอย่างนั้นที่จะพูดอย่างนั้น ตัดไปเลย ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เราจะต้องไปคิดถึงเรื่องอื่น แต่ว่าให้รู้ตามความเป็นจริงว่า เมื่อใดก็ตามชาติไหนก็ตาม สภาพธรรมเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย แม้แต่เห็นขณะนี้ถ้าไม่มีตาแค่นี้ก็ไม่เห็น ไม่มีสิ่งที่กระทบตา ขณะนั้นก็ได้ยิน เพราะสิ่งนั้นไม่ได้กระทบตา จิตจะเห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลย ทุกอย่างละเอียดมากเพื่อรู้ เพราะฉะนั้นผู้นั้นเป็นผู้ที่หมดความสงสัย หรือคลายความข้องใจ ด้วยความเห็นถูกของตนเอง ไม่มีการที่เราจะไปคิดว่า แล้วคนนี้เขาพูดถูกหรือเปล่า ขณะนั้นก็คือว่าไม่มีความสำคัญ เขาพูดก็คือเขาคิด แต่ถ้าเราจะฟังไตร่ตรองสักนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้สติปัฏฐานเกิดหรือเปล่า ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลยคำว่าสติปัฏฐานคืออะไรก็ไม่รู้ เป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง ตอนเป็นเด็กไปโรงเรียน ก็มีสมุดพก ไม่ทราบสมัยนี้มีหรือเปล่า สมัยก่อนก็จะบอกว่าเด็กคนนี้มีสติปัญญาดี เก่งจัง แต่ว่านั่นเป็นภาษาไทย เพราะเหตุว่าภาษาไทยใช้คำของภาษาอื่น แต่ไม่ได้เข้าใจตามความหมายของคำนั้นเลย สติเป็นอกุศลไม่ได้ สติรู้อะไร ไม่ใช่สติเรียนหนังสือเก่ง เห็นไหม ผิด
เพราะฉะนั้นเราก็ไม่เคยมีความเข้าใจคำที่เราพูดตั้งแต่เกิดจนตาย อันนี้แน่นอนที่สุด พูดผิดพูดถูก เพราะเหตุว่าแล้วแต่ภาษา ถ้าเราเอาภาษาอื่นมาใช้ แต่ไม่ได้เอาความหมายในภาษานั้นอย่างถูกต้องมาใช้ เราก็เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้หลายอย่างว่าถ้าไม่พิจารณาแล้วก็เอาคำของทางโลกมาใช้ ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมได้เลย ด้วยเหตุนี้ก็ตั้งต้นใหม่ด้วยคำธรรมดาที่เราใช้เป็นประจำวัน แต่ว่าค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มี ทำไมเราใช้คำธรรมดา เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีเป็นปกติธรรมดา แล้วก็ถ้าเราใช้คำอื่นที่เราไม่รู้จักเลยอย่างนี้ จะมาเข้าใจได้ไหม อย่างขณะนี้สติเกิด ไม่รู้เลยว่าสติคืออะไร เอาคำของเขามาใช้ สติ แต่ถ้าศึกษาธรรมเราเริ่มที่จะเข้าใจคำที่ได้ยินถูกต้องขึ้นว่าถ้าใช้คำว่าสติ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีธรรมที่เป็นสติ แต่ธรรมหลากหลายมากเลย ตั้งแต่ตื่นมาเฉพาะวันนี้วันเดียว เห็นไม่รู้อะไรบ้าง เหมือนไม่ได้ดับไปเลย เพราะตื่นแล้ว ตื่นแล้วก็เหมือนเห็นตลอดเวลาทั้งวันเลย แต่ได้ยินก็ไม่ใช่เห็น
เพราะฉะนั้นเริ่มค่อยๆ เข้าใจว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีเป็นปกติ แล้วใช้คำที่สามารถที่จะเข้าใจได้ตามปกติด้วย แล้วทุกคำที่พูดก็ต้องค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำที่พูดนั้นชัดเจน แม้ว่าคำนั้นจะเป็นคำภาษามคธี ซึ่งดำรงรักษาพระศาสนาไว้ จึงใช้คำว่าปาละหรือปาลี คนไทยก็บอกว่าบาลี ภาษาบาลี เพราะฉะนั้นแต่ละคำเดี๋ยวนี้ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ถ้ายังไม่เคยฟังธรรมเลย เดินดีๆ อย่าให้หกล้มต้องระวัง ต้องมีสติ ใช้คำอย่างนี้แล้วจะเข้าใจว่าอย่างไร ถ้าไม่ศึกษาธรรมก็ไม่มีทางจะเข้าใจเลย เพราะฉะนั้นเขาจะว่าอะไรก็ตามแต่ ถ้าบอกว่ามีสติในขณะที่เห็น เก่งไหม ถ้าเป็นสติปัฎฐาน ระดับไหน เพราะเหตุว่าสติมีหลายระดับ แต่ต้องเข้าใจว่าสติหรือไม่ใช่สติ เพราะเหตุว่านั่งอย่างนี้ก็ไม่ได้ตกเก้าอี้ มีสติหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะกล่าวว่ากำลังมีสติ เพราะฉะนั้นทุกคำประมาทไม่ได้เลย ใครจะได้ฟังธรรมหรือไม่ได้ฟังธรรม ใครจะได้ฟังผิดหรือถูก ใครจะได้ฟังมากหรือน้อย ใครจะเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น หรือว่าเผินๆ ก็เป็นเรื่องของแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องคำนึงเลย ถ้าเข้าใจจริงๆ เพราะอะไร เพราะเหตุว่าธรรมเกิดขึ้นทีละหนึ่ง เป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่เรา ก็ไม่รู้ แล้วก็ธรรมจริงๆ หนึ่งเกิดมาเป็นคนหรือยัง หรือเป็นอะไรหรือเปล่า แค่หนึ่งจิต ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ฟังดีๆ เข้าใจถูกต้องก็คือว่า เป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วดับ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960