ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
ตอนที่ ๙๕๙
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ต้องมีความเข้าใจในปริยัติ แล้วละด้วย ไม่ได้หวังเยื่อใยอะไรเลยทั้งสิ้น ในขณะนั้นสภาพธรรมก็ปรากฏ ความสงสัยหมดไหม ไม่มีทางเลยความสงสัยหมดเมื่อใด โสตาปัตติมรรคจิตเกิดเมื่อใด ดับวิจิกิจฉานุสัย ใช้คำภาษาบาลี แต่หมายความว่าความสงสัยจะต้องมีไปตามลำดับว่า ในขั้นต้นสงสัยอะไร ในขั้นต่อไปสงสัยอะไร แล้วต่อไปสงสัยอะไร และปัญญาจะค่อยๆ ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น ที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่สงสัยเพราะเข้าใจขึ้น จากระดับนี้ไปอีกอันหนึ่ง ยังสงสัยอยู่ จนกระทั่งละเอียดขึ้นไม่สงสัยในสิ่งนั้น เป็นหนทางรู้ และละโดยตลอด ขั้นต่อไปก็คือว่า รู้ความต่างของปริยัติ และปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อใด เมื่อนั้นรู้เลยว่านี่ไม่ใช่ขั้นปริยัติ แต่ต้องเป็นความรู้ในขณะนั้น
อ.นภัทร แล้วแข็งที่เป็นปฏิเวธ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เวลานี้สติเกิดหรือเปล่า
อ.นภัทร เวลานี้สติไม่ได้เกิด
ท่านอาจารย์ แล้วเวลาที่สติเกิด
อ.นภัทร ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นขั้นไหน
อ.นภัทร เป็นขั้นปฏิปัตติ
ท่านอาจารย์ แล้วสติรู้ทั่วหรือยัง
อ.นภัทร ก็ยังไม่รู้ทั่ว
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นขั้นปริยัติ ต้องต่างกับปฏิปัตติ ปฏิปัตติต้องต่างกับปฏิเวธ
อ.นภัทร ฉะนั้นปฏิเวธคือการแทงตลอด ที่ว่ารู้ทั่ว
ท่านอาจารย์ สภาพที่เราเคยได้ยินได้ฟังทั้งหมด ไม่สงสัยเลย ก็ปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องสงสัย แต่ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจแล้วก็ค่อยละ ค่อยๆ ละไปเรื่อยๆ ส่วนสภาพธรรมประเภทใด ระดับใด ขั้นใดจะเกิดขึ้นรู้อะไร ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย แม้แต่สติจะเกิดเมื่อใดก็รู้ไม่ได้ สติเกิดแล้วสติรู้อะไรก็รู้ไม่ได้ เพราะยังไม่เกิดทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องละ ถ้าเรื่องติดเมื่อไหร่ก็คือ ปิดทันทีไม่เกิด
อ.อรรณพ ปัญญาขั้นปริยัติส่องให้เห็นความสว่างได้เพียงใด
ท่านอาจารย์ ไม่ได้สว่างอะไรเลย
อ.อรรณพ ยังไม่สว่างใช่ไหม
ท่านอาจารย์ อยู่ในความมืด แล้วก็ได้ยินคำแว่วๆ พูดถึงสิ่งที่มี ก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้อยู่ไหนเกิดดับ เพียงแต่รู้เรื่องราว
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นอรรถว่าปัญญาเป็นแสงสว่าง เมื่อส่องให้รู้สภาพธรรม
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าวิชชาเมื่อใด ใช้คำว่าญาณเมื่อใด
อ.อรรณพ จักษุแสงสว่าง
ท่านอาจารย์ เมื่อใด อย่าไปคิดดีไหม เรื่องสติปัฎฐาน เรื่องสติสัมปชัญญะ คิดเพียงแค่เข้าใจวันนี้ที่ได้ฟังเพิ่มขึ้นไหม ละเอียดขึ้นสักนิดหนึ่งไหม เพราะว่าคำเก่าๆ แต่ว่าความเข้าใจซ้ำทีละนิดทีละหน่อย จากการที่ฟังวันนี้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เห็นเหมือนเดิมไหม เห็นเหมือนเดิม แต่สะสมความเข้าใจต่างหากทีละเล็กทีละน้อยทีละเล็กทีละน้อย แต่เห็นยังเป็นเห็นอย่างนี้ แต่ส่วนความเข้าใจก็รู้ได้ จะฟังต่อไปถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้ หรือต่อไป เห็นก็คือสิ่งที่มีจริงที่เป็นธาตุรู้ รู้แต่คำนี้ สิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธาตุรู้ ตราบใดที่ธาตุรู้ยังไม่ปรากฏ ก็มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยว่าไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส เพราะกำลังมีสิ่งที่ธาตุนั้นกำลังรู้ คือเห็น นานเท่าใดกว่าปัญญาที่เกิดจากขั้นการฟังจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วก็ละคลาย ไม่ต้องไปหวังอะไรเลยทั้งสิ้น แต่เข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วเพิ่มขึ้นระดับไหน ก็รู้ด้วย ระดับขั้นที่เหมือนที่เคยได้ฟังครั้งแรกนั่นเอง คือเห็นก็เป็นเห็นอย่างนี้ แต่หารู้ไม่ว่าจากการฟังแต่ละครั้ง และความเข้าใจเล็กน้อย น้อยมากแต่ละครั้ง กำลังเป็นสังขารขันธ์ทำหน้าที่ของปัญญาอย่างเงียบที่สุด ไม่มีใครไปก้าวก่ายได้เลย มิฉะนั้นก็ตัวตนก็ไปทำหน้าที่ของปัญญา
เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถไปจับ ไปสั่งไปบังคับได้ แต่รู้ว่าเข้าใจเมื่อใดก็คือไม่ใช่ขณะที่ไม่เข้าใจ และจะมากน้อยเท่าใดก็คือเดี๋ยวนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ก็ยังเหมือนเดิม แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่าปัญญากำลังทำกิจของปัญญาทุกขณะที่เข้าใจ จึงเข้าใจความหมายของคำว่า สังขารขันธ์ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ โลภะก็ทำหน้าที่ของโลภะ ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา สงสัยก็ทำหน้าที่ของสงสัย แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องละโดยตลอด แต่ถ้ามีความหวัง หรือมีความต้องการซึ่งแอบแฝง ซ่อนเร้นยากที่จะรู้ได้ กั้นอยู่ตลอด เครื่องกั้นอันนี้ยังไม่ออกไป ก็ออกยาก เพราะว่าสะสมมานานมากที่จะออกมาทุกรูปแบบ ให้เป็นผู้ที่สนใจที่จะรู้ชื่อรู้คำต่างๆ อันนี้เป็นปัจจัยเท่าใด ทำให้เกิดปัจจยุบบันเท่าใด เป็นปัจจนิกเท่าใด แล้วเดี๋ยวนี้ฟังเรื่องเห็นไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังทุกอย่างเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่จะไม่ใช่เราจริงๆ เมื่อใด ปัญญาระดับใดก็แล้วแต่ปัญญาที่กำลังทำหน้าที่สะสมอยู่เรื่อยๆ เหมือนจับด้ามมีด ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย ไม่เห็นปัญญาใช่ไหม เพราะปัญญาไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นสติปัฎฐานเกิดแล้วถามใครไหมว่านี่สติปัฎฐานหรือเปล่า
อ.อรรณพ ถ้ามาถามให้รับรองก็ไม่ใช่แน่ แต่บางคนเขาไม่ถาม ไม่ให้ใครรับรองเพราะเขาคิดผิดไปเองว่า เขาได้แล้วก็มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า หลากหลายจริงๆ เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงเปล่งอุทานว่าอย่างไร
อ.อรรณพ พบแล้ว คือนายช่างเรือนคือโลภะตัณหานี่เอง ซึ่งเห็นยากจริงๆ
ท่านอาจารย์ แม้แต่ทรงแสดงโดยนัยของพระอภิธรรม จักขุวิญญาณเกิดเห็นดับ จิตที่เกิดสืบต่อไม่ได้ทำทัสนกิจอย่างจักขุวิญญาณ แต่ทำสัมปฏิฉันนกิจ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็ต่างกัน แต่เวลานี้อะไรปรากฏ ไม่มีเลยสักอย่างเดียว ฟังทำไม ฟังเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ค่อยๆ ละ ฟังเพื่อละ ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะไปพยายาม ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพบนายช่างผู้สร้างเรือน กับไม่พบ ไม่เห็น ทั้งๆ ที่กำลังมี เพราะเห็นแล้ว ยังไม่ทันที่รูปที่ปรากฏจะดับ ติดข้องแล้ว ไม่รู้แล้ว
อ.อรรณพ แม้ฟังธรรมอยู่ อยากฟังธรรม อยากเข้าใจ ก็เป็นโลภะที่ละเอียด ละเอียดเข้าไป
ท่านอาจารย์ ไม่เห็นนายช่างผู้สร้างเรือนเลย
ท่านอาจารย์ ฟังธรรมแล้วก็ยังสร้างอยู่
ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้นั่งอยู่อย่างนี้ โลภะตลอดเพราะเห็นตลอด และไม่รู้ความจริงของเห็น ปัญญาที่อบรมเกิดท่ามกลางอกุศล คิดดู กว่าจะค่อยๆ เจริญขึ้นด้วยความมั่นคง เป็นเรื่องละ เป็นเรื่องไม่ได้หวัง เป็นเรื่องค่อยๆ เข้าใจ แล้วไม่ประมาทในความเข้าใจ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม เพื่อให้รู้ว่าเราไม่รู้ดีไหม
อ.อรรณพ ดี
ท่านอาจารย์ ไม่รู้แค่ไหน ต้องตรงด้วย
อ.อรรณพ ไม่รู้มากกว่าที่เราคิดว่าไม่รู้ โลภะมากกว่าที่เราคิดว่าเรามีโลภะ
ท่านอาจารย์ ไม่ประมาท มีความไม่รู้มากกว่าที่คิด
อ.อรรณพ เพราะว่าปัญญายังไม่ได้ส่องสว่างให้เห็นถึงอกุศล ที่มีมากมายเหล่านี้ได้ แต่เมื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ว่ามาก
ท่านอาจารย์ และถ้ารู้ว่าสภาพธรรมที่สามารถรู้จักโลภะ เห็นโลภะว่าเป็นโลภะ คือปัญญาเท่านั้น ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังเข้าใจน้อยอยู่ ไม่ต้องไปมุ่งหวังที่จะไปเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าต้องเป็นปัญญาที่สามารถเห็นแม้โลภะ รู้เลยนี่ผิด ปัญญาจึงสามารถค่อยๆ ละความไม่รู้ และสิ่งที่ผิดได้ หนทางผิดมีตลอด
อ.อรรณพ ถ้าได้ประโยชน์ แม้แต่ข้อความเดียวว่า ปัญญาเป็นสังขารขันธ์ก็เตือนใจให้คลายโลภะ ที่จะหวังว่าจะได้ปัญญาเร็วๆ ปัญญาจะได้ไปถึงขั้นปฏิปัตติ ปฏิเวธ
ท่านอาจารย์ แม้แต่จะผิดปกติทั้งๆ ที่เป็นปกติ ปัญญาก็ยังรู้ว่านั่นอะไร นี่คือประโยชน์ของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนอาจจะพอใจที่จะศึกษาอภิธรรม เป็นเรื่องที่ไม่เคยฟังมาก่อน ละเอียดลึกซึ้งมาก ก่อนจิตเห็น ก็ยังมีจิตที่ไม่เห็น แต่รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบคิดดู แล้วเดี๋ยวนี้จิตนั้นอยู่ไหนก่อนเห็น แล้วเห็นหนึ่งขณะดับ แล้วก็มีจิตที่เกิดต่อไม่เห็น แต่รู้สิ่งที่จิตเห็นแล้วเห็น โดยมีวิตกเจตสิกเกิด จึงสามารถที่จะมีอารมณ์นั้นได้ ทั้งหมดเราเรียนทำไม ไม่ใช่ว่าเราจะเก่ง เรียนให้เป็นผู้ที่รอบรู้ แต่เรียนให้รู้ว่าธรรมไม่มีใครสามารถที่จะไปดลบันดาลอะไรได้เลยทั้งสิ้น เป็นเรื่องความละเอียดแล้วก็ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งปัญญาเท่านั้นที่จะเห็น และปัญญาจะรู้เลย นำไปในกิจทั้งปวง กิจทั้งปวงที่นี่ ก็คือกิจที่เป็นกุศลที่เป็นบารมี เพราะว่าจริงๆ แล้ว ยิ่งรู้ว่าอกุศลมากเท่าใด เกิดมาเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส โดยการที่ว่า ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลาได้ และปัญญาเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถที่จะละอกุศล ซึ่งมีกำลังที่จะเกิดบ่อยมากกว่า
ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจคำว่าบารมี แม้เพียงเล็กน้อยนิดหน่อยก็สามารถที่จะลดปริมาณจำนวนของอกุศล ซึ่งถ้ากุศลไม่เกิดก็เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นการศึกษาพระอภิธรรมให้ทราบว่าเพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่ขวนขวายอยากจะไปรู้เหมือนอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงกับใคร ท่านพระสารีบุตร แล้วเราได้ฟังบ้าง เกิดอยากเข้าใจมากๆ อย่างนั้นเลย กับการที่เรารู้ว่า ทั้งหมดก็เป็นสิ่งซึ่งเดี๋ยวนี้ เราสามารถจะรู้ได้แค่ไหน ปัญญาของเราถึงระดับที่จะสนใจมากมายจนกระทั่งลืมว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง นี่คือศึกษาอภิธรรมผิด ทำให้ฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านที่นี่หมายความถึง อกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ต้องไปเป็นเรื่องราวใหญ่โต ฟุ้งซ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ฟุ้งซ่านก็คือเจตสิกชนิดหนึ่ง อุทธัจจเจตสิกเป็นสภาพที่ไม่สงบ
เพราะฉะนั้นแต่ละคำ กว่าที่เราจะเข้าใจได้จริงๆ ถึงลักษณะของเจตสิกซึ่งไม่ใช่เราทั้งหมดที่ฟัง ไม่ใช่ไปฟังจำนวน ไม่ใช่ไปฟังอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น ที่จะเป็นผู้ที่รอบรู้ในปริยัติ ไม่ใช่เรา เพราะรอบรู้ไม่ใช่เรารอบรู้ในปริยัติ เรื่องผิดจะตามเข้ามาง่ายมาก เพราะเหตุว่าเรามีความเห็นผิด และความไม่รู้สะสมมานานมาก เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ ศึกษาอภิธรรมโดยไม่ถูกต้อง ก็คือทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน แล้วก็ศึกษาพระสูตร บางคนยังไม่ศึกษาอภิธรรม ยังไม่ศึกษาพระวินัย ชอบฟังพระสูตรเป็นเรื่องราว เหมือนกับนิยายหรืออะไรๆ ที่สนุกสนาน เรื่องก็แปลก เรื่องแปลกๆ มากในพระสูตร อ่านดูแล้วเป็นอย่างนี้ได้ แต่ก็เป็นได้จริงๆ แล้วเป็นไปแล้วด้วย แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ศึกษาเรื่องราวในอดีต เราจะไม่รู้เลยว่าอะไรที่เกิดขึ้นในอดีต และก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งก็เป็นไปตามเหตุการณ์นั้นๆ พอศึกษาบางคนก็ค่อยๆ เริ่มเห็นคุณเห็นโทษ เห็นบาปเห็นบุญ แต่ก็ยังเป็นเรา
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าการศึกษาต้องรู้ความประสงค์จริงๆ ว่าถ้ายังคงเป็นเราอยู่ก็คือ ไม่ได้รอบรู้ในธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่คำเดียว ธรรมยังไม่เป็นธรรมเลย ทีนี้ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม พอรู้ว่าพระสูตรมีพระอภิธรรมแน่ๆ ทุกอย่างต้องมีคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะไม่ใช่อภิธรรมนี่ไม่มี แต่แสดงหลากหลายนัยตามอัธยาศัยที่ควรที่จะเตือนเดี๋ยวนั้นทันที แม้แต่จะยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา เห็นขอนไม้ลอยมา ก็ตรัส คิดดู พบกันเหมือนขอนไม้ที่ลอยมาเจอกัน แล้วก็แยกกันไปทุกชาติ ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว ฟังทำไมบ่อยๆ ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเที่ยงยั่งยืนที่จะเป็นเราได้ เพียงแค่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นเจอกันชาติก่อน กี่ชาติมาแล้วก็ไม่รู้ หลายร้อยปี หรือหลายพันปีมาแล้ว ก็ไม่รู้ แต่ชาตินี้ไม่เห็นรู้จักเลย ใครก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลย ก็มารู้จักกันใหม่ พอจากชาตินี้ ชาติหน้าก็ไม่ใช่คนเก่าเลยสักนิดเดียว ก็ไม่รู้จักกันต่อไปอีก ใช่ไหม ไม่มีเก่ามีแต่ใหม่ เพราะเหตุว่าดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ฟังอย่างนี้เกื้อกูลต่อการที่จะค่อยๆ คล้อยไปว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้นศึกษาพระอภิธรรม ศึกษาพระสูตร บางคนยังไม่เห็นคุณของคำที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติเป็นวินัย เกื้อกูลเดี๋ยวนี้เลย กาย วาจา ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก จะมีการกระทำทางกาย และวาจาไหม และการกระทำตั้งแต่เช้ามา ถ้าเป็นพระภิกษุจะรู้ได้ว่าอกุศลเท่าใด แม้แต่จะขยับเขยื้อนไปด้วยความต้องการ ถ้าเป็นในทางผิด เป็นการประพฤติล่วงละเมิดพระวินัยที่ทรงบัญญัติ สำหรับผู้ที่ขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความหยาบความละเอียดของธรรม อย่างแม้แต่จะพูดเล่น อดได้ไหม สะสมมาใช่ไหม ภิกษุเป็นอาบัติเพราะต้องเป็นผู้สงบ เจตนาตั้งไว้แล้วว่าจะขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งตามพระวินัย แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่พระภิกษุ พูดเล่นได้ทุกคนก็หัวเราะ ก็สนุกสนานก็เป็นธรรมดา แต่สามารถที่ปัญญาจะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม นี่ก็เป็นการอบรมเจริญปัญญาในเพศที่ต่างกัน แต่ไม่ใช่ให้ตัวตน โลภะพาเราไปนั่งขัดสมาธิ มีชีวิตอีกอย่างหนึ่ง แบบที่ว่าไม่ใช่ชีวิตของคฤหัสถ์เลย แต่ก็จะไปทำเหมือนกับว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัด รองเท้าไม่ใส่ ใคร ทำไมไม่ใส่ โลภะหรือเปล่า หรือว่าขัดเกลา ไม่สามารถจะขัดเกลาอะไรได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
แม้แต่การสะสม กิริยาอาการ ท่าทางเดิน นั่งทุกอย่างหมด วิธีการพูดโวหารต่างๆ แต่ละท่านไม่เหมือนกันเลย แม้ในครั้งพุทธกาลก็เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจในความละเอียดอย่างยิ่งของความประพฤติทางกายทางวาจา ไม่ต้องเป็นพระภิกษุก็ขัดเกลาได้ ถ้าได้ศึกษา และเข้าใจ ประโยชน์อย่างยิ่งของการที่รู้ว่า มากมายเหลือเกินอกุศล ตั้งแต่เช้ามาจะค่อยๆ ลดน้อยไปได้อย่างไร ก็ต้องเพราะปัญญาอย่างเดียว ถึงเราไม่ใช่พระภิกษุ แต่จากการที่เราได้เข้าใจพระวินัยที่ทรงบัญญัติแล้ว มีปัจจัยที่เราจะประพฤติตามไหม เราจะเป็นคนที่ละเอียดขึ้น และขณะที่ละเอียด เราก็ต้องรู้ว่าเพราะกุศลที่มีความเข้าใจ มีความเห็นว่าสิ่งใดควร และไม่ควร และมีความเมตตาต่อคนอื่นด้วย ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เพราะฉะนั้นก็เป็นประโยชน์ทุกคำ แต่ว่าต่างเพศหมายความว่า ถ้าบรรพชิตไม่ประพฤติตามก็ต้องโทษที่ล่วงละเมิดพระวินัย แต่สำหรับคฤหัสถ์ไม่เป็นอาบัติ เพราะเราไม่ได้เป็นบรรพชิต แต่ประโยชน์มหาศาล ต่อการที่เราจะทำเยี่ยงพระภิกษุ ขัดเกลากิเลสของเราเอง
อ.อรรณพ ซึ่งเรื่องของภิกษุไม่ถนอมบริขาร ผมว่าเป็นประโยชน์สำหรับคฤหัสถ์ด้วยมากๆ เพราะบางทีเราใช้ของส่วนรวม ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งๆ ไว้ ให้คนต่อไปเขาก็ต้องมาเก็บ มาทำ
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้ ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ทำแล้วดีงามหมด ลอง ใครก็ต้องรู้ว่างามต้องดีทั้งกายทั้งวาจา
อ.อรรณพ แล้วก็สอดคล้องกับเมื่อสักครู่ด้วยว่าแม้บุญเพียงเล็กน้อย ก็ไม่หมิ่นว่าเป็นกุศลเล็กๆ น้อยๆ เพราะฉะนั้นการดูแลสิ่งของส่วนรวมอะไรก็เป็นกุศล ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นจิตที่เป็นกุศลแล้ว ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจก็ไม่ต้องใส่คำก็เป็นบารมีไปด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปท่องบารมี ๑๐ ไม่ได้ทำเลย ชีวิตประจำวันเหมือนเดิม ใช่ไหม แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็รู้ว่าบารมี ก็คือทุกขณะที่เป็นกุศล
อ.อรรณพ แล้วก็ลวงว่าเหมือนกับเข้าใจบารมีแล้ว เพราะว่าจำได้หมดเลย ๑๐ อย่าง ตั้งแต่ทานบารมีไปถึงอุเบกขาบารมี แต่จริงๆ แล้วในชีวิตประจำวันไม่ได้มีกุศลจิตที่จะเป็นไปในการสะสมคุณความดี ที่จะนำไปสู่การดับกิเลสได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ แม้แต่ทานการให้ด้วยคำพูดก็ได้ ปิยวาจาเห็นไหม ใครสอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงเว้นเลย ที่จะให้กิเลสเกิดพอกพูนมากๆ แต่ทุกอย่างเป็นเครื่องขัดเกลาทั้งหมด วาจาที่น่าฟัง ฟังแล้วก็สบายใจ เป็นประโยชน์ไหม แล้วเราเองไม่ทำร้ายใครด้วย
อ.อรรณพ อกุศลเล็กน้อยก็ไม่ควรที่จะดูหมิ่นว่าจะไม่มาถึง แล้วกุศลเล็กน้อยก็ไม่ควรจะดูหมิ่นว่าจะไม่มาถึง
ท่านอาจารย์ เราคิดว่ากายวาจาของเราเป็นอย่างไรก็ช่างหรือเปล่า หรือคิดว่าถ้ากายดีวาจาดีเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แล้วใครที่จะสอนกายวาจาละเอียดมากเท่ากับพระวินัย ไม่มีเลย แต่ถ้าเราศึกษาพระวินัยแล้วเห็นประโยชน์จริงๆ ก็เป็นการที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งดีกว่าแน่นอน ไม่มีข้อเสียใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่ทราบคุณดำรงค์ มีตัวอย่างพระวินัย อะไรหรือเปล่า ที่คิดว่าประพฤติปฏิบัติตามในชีวิตประจำวัน
ผู้ฟัง โดยส่วนตัวผม ผมไม่ได้ถืออุโบสถศีล ในสมัยพุทธกาลพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกเหล่านั้น พระองค์ท่านทรงปฏิบัติถือข้อวัตรข้อนี้ ในการฉันอาหารมื้อเดียวได้อย่างไร ผมพออ่านแล้วศึกษาแล้วก็เลยลองปฏิบัติดู แม้กระทั่งนอนกระดาน ก็ลองนอนดู ฟูกก็ไม่ได้นอน ทำมารวมทั้งหมด ๕ ปีแล้ว
ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า แล้วแต่การเห็นประโยชน์ใช่ไหม ไม่ได้มีการบังคับเลย เพราะเหตุว่าเราไม่ใช่ภิกษุ แต่จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้ว เครื่องสอนใจก็คือว่า การรับประทานของเรา กินเพื่ออยู่หรือไม่ใช่ กิเลสมากไหม ไม่รู้เลย แค่นี้ แค่พระวินัยก็ส่องถึงกิเลสแล้วว่ามากเพียงใด เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว อาหารพอที่จะอยู่ได้ในวันหนึ่งวันหนึ่ง แค่มื้อหนึ่งก็ได้
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ หรือว่าถ้าเราไม่ใช่พระภิกษุ รับประทานน้อยลงก็ได้ใช่ไหม เพราะเหตุว่าถ้ามากเหมือนเดิม รับประทานด้วยกิเลสหรือเปล่า แค่นี้ ทุกคำสามารถที่จะไตร่ตรอง และก็เป็นประโยชน์ และก็รู้ว่าเป็นเรื่องขัดเกลาหรือไม่ขัดเกลา และขัดเกลากิเลสจะไปหวังขัดเมื่อใด ทีเดียวเยอะๆ สติปัฏฐานมา รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏดับกิเลส หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ากิเลสหนาแน่นมากเหนียวแน่นมาก เมื่อใดที่มีการเข้าใจถูกต้อง และก็การกระทำที่ถูกต้องเมื่อนั้นก็คือการค่อยๆ เอาสิ่งที่ผิด และไม่รู้ออกไป เพราะฉะนั้นแค่การบริโภคอาหารของพระภิกษุ ก็เตือนแล้ว ท่านไม่ได้บริโภคอย่างคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ตามใจชอบ ตั้งแต่เช้ามาอะไรก็ได้ น้ำปลาพริก น้ำตาลอะไรก็ขาดไม่ได้ ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ทุกอย่างไม่ได้ขัดเกลาเลย แล้วเมื่อใดกิเลสหมด คิดว่าไปให้สติปัฎฐานเกิด แล้วก็จะได้หมดกิเลสหรือ ในเมื่อเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นพระวินัยมีคุณประโยชน์มาก สำหรับผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติขัดเกลา กายวาจาด้วย พร้อมกับการศึกษาพระอภิธรรม และพระสูตร เพราะว่าทุกคำมีประโยชน์ และทำให้เห็นตัวเองตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครบังคับ อนัตตามาแล้ว เราคิดว่าเราไม่บริโภคอาหารตอนหลังเที่ยง เป็นการบังคับเราด้วยอะไร ในเมื่อเราไม่ใช่พระภิกษุ ใครไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ขณะนั้นเป็นจิตอะไร แต่ถ้าเป็นพระภิกษุ ฉันไม่ได้แน่นอนนอกจากน้ำปานะ แต่สำหรับเราไม่มีใครบังคับ เราก็ทำ มองเห็นไหมว่าขณะนั้นอะไร เพราะฉะนั้นสติปัฎฐาน สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่เราจะต้องไปมีที่หนึ่งที่ใด ไปนั่งประพฤติปฏิบัติ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 901
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 902
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 903
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 904
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 905
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 906
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 907
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 908
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 909
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 910
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 911
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 912
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 913
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 914
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 915
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 916
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 917
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 918
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 919
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 920
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 921
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 922
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 923
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 924
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 925
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 926
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 927
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 928
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 929
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 930
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 931
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 932
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 933
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 934
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 935
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 936
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 937
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 938
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 939
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 940
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 941
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 942
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 943
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 944
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 945
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 946
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 947
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 948
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 949
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 950
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 951
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 952
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 953
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 954
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 955
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 956
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 957
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 958
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 959
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 960