ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๗๐

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ นี่คือเราเริ่มรู้จักสภาพรู้ว่าหลากหลายมาก และก็สภาพรู้ไหนสะสมสภาพรู้ไหนไม่สะสม สภาพที่เป็นโลภะ อกุศลทั้งหลายสะสม เกิดแล้วดับจริง แต่สืบต่อไปถึงจิตขณะต่อไปซึ่งเกิดเพราะจิตนั้น ก็รับทุกอย่าง มีทุกอย่างซึ่งจิตนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่หายหกตกหล่นไปไหนเลย ทันที ทันทีที่จิตขณะก่อนดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ ทันทีเร็วมากหารอยต่อไม่เจอ ไม่มีระหว่างคั่น แม้เห็นกับได้ยินขณะนี้ ดับไปตั้งเท่าใด

    อ.นภัทร เพราะฉะนั้นพูดถึงคำว่าการสะสม อย่างแม้กระทั่งตัวผมเองมาฟังท่านอาจารย์แรกๆ ผมก็มีความคิดที่ว่า ฟังแนวทางเจริญวิปัสสนา แล้วก็นั่งสมาธิไปด้วยก็น่าจะดี

    ท่านอาจารย์ น่าจะดี นั่นอะไร

    อ.นภัทร น่าจะดี เพราะว่ามีทั้งปัญญา แล้วก็มีทั้งสมาธิที่เป็นสมถะ

    ท่านอาจารย์ ปัญญารู้อะไร

    อ.นภัทร รู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นไม่ต้องทำสมาธิ ขณะนั้นมีสมาธิเกิดร่วมด้วยเป็นสัมมาสมาธิ คุณนภัทรสะสมมาที่จะฟังธรรมทีละคำหรือเปล่า

    อ.นภัทร สะสมมา

    ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร สมถะคืออะไร

    อ.นภัทร สมาธิก็คือความตั้งมั่นของจิตจนแนบแน่น

    ท่านอาจารย์ สมาธิได้แก่สภาพธรรมที่มีจริง นามธรรมหรือรูปธรรม ตอนนี้เราก็เพิ่ม ๒ คำ สภาพที่เกิดมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เป็นรูปธรรม และสภาพรู้เรายังไม่แยกจำแนกเลย แต่ธาตุรู้เป็นนามธรรม

    อ.นภัทร สมาธิก็เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ สมาธิเป็นนามธรรม นามธรรมก็แยกออกเป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ใช้คำว่าจิตต จิตตัง หรือมโน มานัส อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าเป็นธาตุที่กำลังรู้สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏให้รู้ เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะว่าไม่ได้จำ ไม่ได้โกรธ จิตล้วนๆ เฉพาะจิตเป็นปัณฑระ ยังไม่กล่าวถึงเจตสิก สภาพนามธรรมที่เป็นที่อาศัยเกิดกับจิต และเป็นปัจจัยให้จิตเกิดได้ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดต้องอาศัยปัจจัย ปัจจัยที่ทำให้รูปแต่ละรูปเกิด ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้นามแต่ละนามเกิด คนละปัจจัย เพราะฉะนั้นปัจจัยของรูปใดก็เป็นปัจจัยของรูปนั้น เกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับจิตก็มีสภาพนามธรรมซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้จิตเกิด ใช้คำว่าเจตสิกไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้นจิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ สำหรับสภาพนามธรรมที่เป็นปัจจัยให้จิตเกิดอาศัยกัน และกันเกิด เกิดพร้อมกัน ใช้คำว่าเจตสิกต่างกันเป็น ๕๒ ประเภท แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งไม่ปะปนกันเลย ด้วยเหตุนี้บางครั้งจะกล่าวถึงนามธรรม ๕๓ คือจิต ๑ เจตสิก ๕๒ เพราะจิตก็มีลักษณะที่รู้แจ้งอย่างเดียว เหมือนกับโลภะก็ติดข้องอย่างเดียว โทสะก็ขุ่นเคือง หรือว่า ประทุษร้ายอย่างเดียว แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง

    ด้วยเหตุนี้ก็คือ ถ้ากล่าวถึงจิตให้ทราบว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ถ้ากล่าวถึงเจตสิกต้องมีจิตเกิดร่วมด้วย เพราะว่าเจตสิกจะเกิดนอกไปจากจิตไม่ได้เลย ต้องอาศัยกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน ถ้าจิตนี้รู้อารมณ์นี้ อีกจิตหนึ่งรู้อารมณ์อื่น เจตสิกที่เกิดกับจิตนั้นไม่ได้เป็นปัจจัยให้อีกจิตหนึ่งเกิด แต่ละหนึ่งจริงๆ ด้วยเหตุนี้เจตสิกที่เกิดกับจิตเห็นดับ ไม่ใช่เจตสิกที่เกิดกับจิตได้ยิน เป็นเจตสิกประเภทเดียวกัน ๗ ประเภท แต่ไม่ใช่อันเก่าที่เกิดกับจิตเห็น กลับมาเกิดกับจิตที่ได้ยิน นี่คือความรวดเร็วอย่างยิ่ง เพื่ออะไร ไม่ใช่เรา อย่างไรอย่างไรก็ตาม ถ้ามีความอยากรู้ อะไร แต่ถ้ารู้ไม่ใช่เรา เริ่มค่อยๆ คลายกว่าจะถึง ไม่ต้องห่วงว่าสภาพธรรมจะเป็นอย่างไร เป็นอย่างนั้นเอง แต่ปัญญารู้ อย่าเป็นเราที่พยายามจะไปรู้ ไปเรียก ไปแสวงหา แต่ว่าให้เข้าใจตัวจริงขณะนั้น แม้แต่ความติดข้องก็มี รู้ไหม ยังไม่รู้ก็ไม่รู้จนกว่าจะรู้เท่านั้นเอง หมายความว่าเราจะคุ้นหูกับชื่อต่างๆ เรื่องราวของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ตัวจริงของธรรมเวลานี้ไม่ได้ปรากฏสักอย่าง เพราะฉะนั้นที่ใช้คำว่าสมาธิเป็นธรรมหรือเปล่า

    อ.นภัทร เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมประเภทไหน

    อ.นภัทร เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรมประเภทไหน

    อ.นภัทร เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิกประเภทไหนอีก เห็นไหม เพราะมีตั้ง ๕๒ ก็แบ่งเป็นประเภท ประเภทที่เกิดกับจิตได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเกิดกับกุศล อกุศล ได้หมดเลย กับต้องเกิดกับอกุศลเท่านั้น หรือต้องเกิดกับจิตฝ่ายดีเท่านั้น นี่ก็แยกกันชัดเจน ซึ่งเราจะค่อยๆ รู้ความต่างกัน เพราะฉะนั้นสำหรับสมาธิที่ว่าเป็นเจตสิกประเภทไหน ประเภทที่ต้องเกิดกับจิตทุกขณะ นี่คือการศึกษาธรรมเพื่อละคลายความเป็นเรา จะไปทำสมาธิ ทำทำไม เกิดแล้ว ไม่ว่าเมื่อใดก็เกิดแล้ว แต่ไม่รู้แล้วไปทำ ทำไม เพราะอะไร

    อ.นภัทร โลภะ

    ท่านอาจารย์ นั่น

    อ.นภัทร แต่ว่าที่ผมเรียนถามท่าน คือว่าเขาสะสมมา อยากจะนั่ง อยากจะอะไร

    ท่านอาจารย์ จะรู้ต่อเมื่อเกิด ไม่ใช่เมื่อเราไปทำ ต่างกันไหม จะรู้อัธยาศัยเมื่อเกิดบ่อยๆ ไม่ใช่เราไปทำ คนนี้โลภมาก อัธยาศัยสะสมมาบ่อยๆ จึงรู้ คนนี้ขี้โกรธ เขาก็สะสมความโกรธมาบ่อยๆ พอโกรธเกิดสะสมมา รู้เมื่อเกิด แต่ไม่ใช่ไปทำให้เกิด นี่คือความต่างกันอย่างมาก แม้แต่แต่ละคำต้องละเอียด ได้ยินคำว่าสงบ อย่าเพิ่งเข้าใจว่าสงบ มิฉะนั้นจะเหมือนเถระสูตร มีคำอธิบายมีอะไรทุกอย่าง แต่ก็เห็นผิด เข้าใจผิด ซึ่งอันตรายมาก มิฉะนั้นแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา เพราะรู้ว่าหนทางผิดมากมาย เพราะความไม่รู้ และความติดข้อง แต่หนทางละ ละเอียด และก็เป็นปกติ ต้องอดทน เพราะเป็นเรื่องของไม่ใช่เราที่จะทำ เพราะมีแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนการตรัสรู้ มีผู้ที่มีปัญญาระดับที่เห็นโทษของความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ที่เราใช้คำว่ากาม กามะ สภาพที่น่าใคร่ แต่ผู้มีปัญญาเห็นว่า ขณะนั้นเพียงชอบเกิดขึ้นนิดเดียว เดือดร้อนแล้ว จึงเป็นผู้ที่มีปัญญาที่สามารถจะรู้ได้ว่าจิตขณะที่สงบเป็นอย่างไร เพราะอารมณ์อะไร แล้วก็ต้องมีปัญญาด้วย ไม่ใช่เฉพาะอารมณ์ อารมณ์ไม่ได้ทำให้ปัญญาเกิด ถ้าอย่างนั้นก็ง่าย ไปหาอารมณ์ของปัญญา ปัญญาจะได้เกิด นี่เปล่าเลย แม้อารมณ์เป็นอารมณ์ของปัญญา แต่ไม่ใช่ว่าอารมณ์นั้นทำให้ปัญญาเกิด แต่เป็นเพราะมีความเห็นที่ถูกต้อง รู้สภาพจิตว่าขณะใดเดือดร้อน แม้นิดเดียวด้วยโลภะ

    อย่างเมื่อสักครู่นี้ ถ้าถามว่ามีโลภะไหม ทุกคนตอบว่าโลภะ แต่ไม่รู้ว่าเดือดร้อน ไม่มีปัญญาเท่าผู้ที่ในครั้งพุทธกาล ยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย สามารถที่จะมีปัญญารู้ได้ว่าขณะนั้นที่ติดข้อง เดือดร้อนแล้ว กระวนกระวายแล้ว ของเรา ที่ประตูมีของขาย เดินไปซื้อเลย ไม่เดือดร้อน แต่ถ้ารู้ว่าเพียงแค่รู้ ก็เดือดร้อน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่จิตจะสงบจริงๆ ด้วยปัญญา ต้องเพราะอารมณ์อะไร และขณะนั้นปัญญารู้ด้วยว่าสงบเพราะอะไร มิฉะนั้นแล้วอย่าใช้คำว่าสมถะ เพราะไม่มีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาระดับนั้น ก็ถูกหลอก ไปนั่งนิ่งๆ บ้าง หรือทำสงบบ้าง หรือไม่สนใจสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง เพ่งจ้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดบ้าง ทั้งหมดไม่ใช่ปัญญา

    อ.วิชัย แล้วอะไรจะเป็นความต่างของการไปทำ กับการอบรมที่ชื่อว่าเป็นภาวนา

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วยัง เดี๋ยวนี้ธรรม

    อ.วิชัย เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ รู้แล้วยัง

    อ.วิชัย ยังไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่ปรากฏเกิดแล้วควรรู้ และสามารถจะรู้เฉพาะสิ่งที่เกิดด้วย สิ่งที่ยังไม่เกิดรู้ไม่ได้ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว รู้ไม่ได้ จะรู้ความจริงได้ ในขณะนั้นสิ่งนั้นกำลังปรากฏ

    อ.วิชัย ก็คือเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.วิชัย เข้าใจขึ้นอีก เข้าใจขึ้นอีก

    ท่านอาจารย์ แน่นอน และต้องเป็นปัญญาที่รู้หนทางด้วย อันตราย น่ากลัวมาก ถ้าเป็นผู้ที่ประมาทคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเพียงก้าวผิดก้าวแรก ไปแล้ว สู่ก้าวต่อๆ ไป

    อ.นภัทร อย่างที่เรียนให้ทราบว่า เมื่อฟังท่านอาจารย์เริ่มแรกก็มีความคิดแบบนี้ แต่พอฟังท่านอาจารย์ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ที่จะละว่าไม่ใช่ที่จะต้องไปทำอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ปัญญา แล้วเป็นเรื่องละทั้งหมด ปัญญาไม่ติดข้อง แต่ที่ติดข้องเพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่รู้จึงติดข้อง เพราะฉะนั้นจะละไม่ใช่ด้วยความเป็นเราที่เห็นผิด เพราะติดข้อง แต่ต้องรู้ความจริงถึงจะละ เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นปัญญาไม่ใช่เรา เห็นไหม มิฉะนั้นก็ปัญญาของเราอีก แสนยากเพราะทั้งหมดต้องไปอยู่ที่ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตาเท่านั้น

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าหากว่าผู้ที่ศึกษาธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น ก็จะทราบว่า ในขณะที่ตัวเองต้องการความสงบ เป็นอกุศล สมัยก่อนหนูก็เคยทดลองนั่งหลับตาเงียบๆ อยู่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ การทดลองด้วยความไม่รู้

    อ.ธิดารัตน์ ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สงบ เพราะทดลอง

    อ.ธิดารัตน์ ตอนนั้นยังไม่ได้ศึกษาธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจถูกต้องอย่างเดียว จะถูกไม่ได้

    อ.ธิดารัตน์ แต่พอมาศึกษาธรรมก็จะเข้าใจ แล้วยิ่งเวลาที่เราเข้าใจว่า การที่จะมีจิตสงบที่จะเป็นสมถะ ก็ต้องอาศัยอารมณ์ต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ไปนั่งด้วยความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจถูกต้อง เพราะว่าอารมณ์ไม่ได้ทำให้สงบ ต้องเป็นปัญญา เห็นไหม แล้วคำว่าปัญญา คิดดูก็แล้วกัน ทั่วไปหรือเปล่า หาง่ายๆ ตามถนนหนทาง ที่ป้ายนั้นป้ายนี้หรือเปล่า หรือว่ากว่าจะเป็นความเห็นที่ถูกต้อง จากความเห็นซึ่งผิดมาตลอด ติดข้องมาตลอด กว่าจะค่อยๆ ถูกขึ้น จะต้องยากแน่

    อ.ธิดารัตน์ ต้องอาศัยความเข้าใจจากการฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วละ เป็นเรื่องละ โดยตลอด ที่ละทำให้หนทางที่ยาวสั้นเข้าอีก มิฉะนั้นแล้วที่ต้องการ ยาวไป กั้นไป กั้นไป กั้นไป อีกนานในสังสารวัฏ

    อ.ธิดารัตน์ ถ้ามีความเข้าใจในหนทางที่ถูกต้องแล้ว ก็คงจะไม่ไปทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่เป็นพระอริยสาวก เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจาริกไปสู่ที่อื่น ที่ไม่ใช่ที่ที่อยู่ของท่าน ท่านกราบทูลถามว่า ท่านจะระลึกถึงอะไร พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ไปนั่งทำฌานเลย ท่านเป็นพระอริยสาวก สิ่งที่ควรก็คือว่าการระลึกถึงพระรัตนตรัย ทาน ศีล ทุกอย่างที่นำมาสู่ความสงบ ไม่ใช่ว่าจะนั่งเพื่อเราจะสงบ มาแล้ว ใช่ไหม ต่างกันเลย

    อ.นภัทร ได้ยินท่านอาจารย์พูดบ่อยครั้งว่า เมื่อเห็นโทษของกิเลส จึงจะละ ถ้าคำว่า

    ท่านอาจารย์ คุณนภัทรกำลังฟัง เราเห็นโทษของกิเลสหรือเปล่า

    อ.นภัทร กำลังฟัง

    ท่านอาจารย์ ที่ฟังกัน เพราะรู้ว่ามีกิเลสใช่ไหม

    อ.นภัทร ครับ

    ท่านอาจารย์ และถ้าไม่เห็นโทษป่านนี้เราก็ออกไปข้างนอกแล้ว

    อ.นภัทร ครับ

    ท่านอาจารย์ แต่ก็เห็นโทษตามลำดับขั้น เราจะเอาโทษขั้นไหน แค่ขั้นมาฟังก็ต้องเพราะเห็นโทษแล้ว คนที่เขาไม่ฟัง บอกอย่างไรว่าพระธรรมเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ตรัสรู้อย่างไร เขาก็ไม่ฟัง เพราะเขาไม่เห็นโทษ เพราะฉะนั้นที่แม้ฟังเดี๋ยวนี้ ก็เป็นการเห็นโทษระดับหนึ่ง

    อ.นภัทร พอเข้าใจว่าโทษมีหลายระดับ เพราะฉะนั้น

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างมีหลายระดับ ปัญญาก็หลายระดับ โลภะก็หลายระดับ

    อ.นภัทร เพราะฉะนั้นบางอย่างที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่ยังเป็นอกุศลที่ไม่สมควรกระทำ แต่ก็ยังกระทำเพราะว่าอันนั้นปัญญา

    ท่านอาจารย์ ทำไปเถิด ความดี ไปถึงอรูปพรหม ก็ออกจากสังสารวัฏไม่ได้

    อ.นภัทร ก็ต้องเป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่มีโอกาสได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ที่จะเห็นความละเอียดความลึกซึ้ง มิฉะนั้นก็มิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น

    อ.ธิดารัตน์ คือถ้าใช้คำว่าสมาธิ ก็จะมีทั้งมิจฉาสมาธิแล้วก็สัมมาสมาธิ

    ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร

    อ.นภัทร ก็เป็นความตั้งมั่นของจิต

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม

    อ.นภัทร เดี๋ยวนี้มี

    ท่านอาจารย์ เกิดกับจิตอะไรบ้าง

    อ.นภัทร เกิดกับจิตทุกดวง

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    อ.นภัทร เพราะเป็นปกติ

    ท่านอาจารย์ สภาพของเจตสิกหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ เพราะจิตเป็นสภาพรู้ อารมณ์คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ จิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ ต้องมีอารมณ์ เพราะต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งจิตกำลังรู้ จะไม่มีอารมณ์ไม่ได้เลย เจตสิกที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมกันกับจิตเลย รู้อารมณ์เดียวกับจิต แล้วก็ดับพร้อมกับจิตด้วย ถ้าในภูมิที่มีรูปด้วยขันธ์ ๕ อย่างมนุษย์เป็นต้น ก็เกิดที่เดียวกันด้วย จิตเกิดที่รูป ไม่ได้เกิดนอกรูปเลย เพราะฉะนั้นเอกัคคตาเจตสิก หรือว่าธรรมหนึ่ง เอกัคคตา คุณคำปั่นจะให้คำอธิบายคำนี้หน่อยดีไหม

    อ.คำปั่น คำว่าเอกัคคตา ก็มาจากคำว่าเอกะ ก็คือหนึ่ง แล้วก็ คตะ หมายถึงว่าไป ไปอะไรคือไปสู่อารมณ์หนึ่ง เพราะฉะนั้นความหมายของเอกัคคตาก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ที่ไปหรือว่าตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ก็เพราะว่าจิตเกิดขึ้น ก็ต้องรู้ทีละอารมณ์ เพราะฉะนั้นเจตสิกนี้ก็ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้

    ท่านอาจารย์ คำนี้ไม่ชินหู จะจำก็ได้ ไม่จำก็ได้ แต่ให้ทราบว่าจิตต้องเกิดพร้อมกับเจตสิก แต่ว่าเจตสิกแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งก็ไม่ปะปนกัน เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่าจิตหนึ่งขณะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท เพราะฉะนั้นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์ไม่ใช่จิต จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง โดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยทำกิจของเจตสิกแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ที่เราใช้คำว่าสมาธิก็ได้ หรือว่าเอกัคคตาเจตสิกก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์เดียวอารมณ์หนึ่ง เพราะว่าจิตหนึ่งก็รู้อารมณ์หนึ่ง เพราะฉะนั้นจิตจึงรู้ ๒ อารมณ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเอกัคคตาเป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เมื่อเกิดกับจิตหนึ่ง จิตนั้นก็รู้แจ้งในอารมณ์ที่เจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์นั้น จะไม่ไปรู้แจ้งในอารมณ์อื่นอีก ทุกอย่างก็คือไม่ใช่เรา ต้องไปสู่ความไม่ใช่เราทั้งนั้น ไม่ใช่พอได้ฟังแล้วก็จะทำสมาธิ อยากเป็นสมาธิ นั่นก็คือโลภะ ไม่ไกลเลย อยู่ใกล้ที่สุด ดึงก็ง่ายไม่เห็นยาก ไม่มีแรง ดึงไปทางไหนก็ไป เพราะฉะนั้นดึงไปทางทำสมาธิก็ได้ เพราะไม่รู้

    อ.ธีระพันธ์ คำว่าตั้งมั่นในอารมณ์ ชวนให้คิดว่าขณะนั้นสงบจากเรื่องอื่นๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าใช้คำว่าตั้งมั่น ก็คือว่าจิตไม่ไปสู่อารมณ์อื่น จิตรู้ทีละหนึ่งอารมณ์จิตหนึ่งรู้อารมณ์หนึ่ง เพราะมีเจตสิกตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตรู้ ไม่ไปสู่อารมณ์อื่น จิตหนึ่งรู้สองอารมณ์ไม่ได้ สองอย่างไม่ได้

    อ.ธีระพันธ์ ก็พลอยให้คนอื่นที่ศึกษาไม่ดีคิดว่า ขณะนั้นสงบ แล้วก็ใช้คำนี้ในคำที่ผิด คิดว่าคำนี้เป็นสมาธิด้วยซ้ำไป

    ท่านอาจารย์ เพราะความเผิน ปะปนกันหมดเลย พอบอกสงบก็ใช้คำว่าสมาธิ แต่ไม่ใช่ สมาธิเป็นสภาพที่ตั้งมั่น สภาพที่สงบเป็นเจตสิกอื่น กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ เจตสิก ซึ่งต้องเกิดเฉพาะโสภณจิต เพราะเป็นความสงบจากอกุศล ศึกษาธรรมเพื่อละความเป็นเรา เพื่อเข้าใจในความไม่ใช่เรา ถูกต้องที่สุด

    อ.อรรณพ ถ้ารู้คำแปล และความหมาย จนถึงความเข้าใจของสมาธิ ก็จะดี

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย คิดเองใช่ไหม

    อ.อรรณพ ใช่

    ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร สำหรับคนที่คิดเอง

    อ.อรรณพ ก็คือสิ่งที่ดี สงบ

    ท่านอาจารย์ ก็ผิดแล้ว เพราะว่าเกิดกับจิตทุกประเภท เพราะฉะนั้นเวลาที่เราใช้คำว่าสมาธิทั่วๆ ไป ตัดเสื้อ ต้องมีสมาธิไหม

    อ.อรรณพ มี

    ท่านอาจารย์ ทำอาหารต้องมีสมาธิไหม

    อ.อรรณพ ต้องมีในเรื่องนั้น

    ท่านอาจารย์ ต้องมี ใส่เกลือมาก เทลงไปแล้ว เค็มเลย เพราะฉะนั้นชาวโลกใช้คำว่าสมาธิ ใช้คำทุกคำที่เขาได้ยิน โดยเขาไม่เข้าใจ และเข้าใจผิด จึงเป็นเหตุให้ทำผิดด้วย เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่าทำสมาธิ

    อ.อรรณพ พระอภิธรรมก็ละเอียดลงไปถึงตัวธรรม ซึ่งไม่ได้ใช้คำว่าสมาธิเจตสิก แต่ทรงใช้คำว่า เอกัคคตาเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เพราะเกิดกับจิตทุกประเภท จิตเกิดดับเร็วไหม เพราะฉะนั้นตั้งมั่นนิดหนึ่ง เร็วไหม แค่นั้นเอง แค่ที่จะให้จิตรู้อารมณ์นั้น

    อ.อรรณพ จิตเห็นก็ตั้งมั่นในสี เพราะเอกัคคตาเจตสิกเป็นสังขารขันธ์ ที่จะปรุงแต่งให้ตั้งมั่นในสี

    ท่านอาจารย์ ให้เห็น แค่สิ่งที่ปรากฏสิ่งนั้นสิ่งเดียว ทีละหนึ่ง

    อ.อรรณพ จิตได้ยินก็ตั้งมั่นในเสียง ชั่วขณะที่จิตได้ยินเกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ เฉพาะเสียงนั้น

    อ.อรรณพ เฉพาะเสียงนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นศึกษาพระอภิธรรม ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง อภิคือละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไม่ใช่ศึกษาอภิธรรมเพื่อไปสอบ ฟังธรรม จำได้มากมายเลย ชื่อก็ได้ อายตนะ ๑๒ ได้หมด กับการที่รู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นเพียงธรรม อย่างไหนถูกต้อง เพราะว่าออกไปจากห้องนี้แล้ว คิดถึงชื่อไหนบ้าง แต่ถ้ารู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา จะมีประโยชน์กว่า เพราะว่าชาตินี้พูดภาษาไทย ชาติก่อนพูดภาษามคธีกัน จำได้ไหม พูดได้ไหม คิดได้ไหม เพราะฉะนั้นชื่อต่างๆ ที่เราได้ยิน ในภาษาที่เราใช้ พอถึงอีกชาติหนึ่ง เราไม่ได้พูดภาษานั้นแล้วเราจะมานึกออกไหม แต่การที่ค่อยๆ สะสมความเป็นธรรมไม่ใช่เรา จะค่อยๆ ติดตามต่อๆ ไป พอได้ยินความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีชั่วคราวแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งความไม่ประมาทนี้เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คือผู้ที่เข้าใจถูกต้อง ถ้าเข้าใจผิด ประมาทแล้ว แต่เป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้องว่า หนทางละ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา แต่เป็นความเข้าใจธรรม ตัวความเข้าใจนั่นเองค่อยๆ ละความไม่รู้ และความติดข้อง และความเข้าใจทำหน้าที่ของความเข้าใจ หรือจะใช้คำว่าปัญญาก็ได้ ปัญญาเท่านั้น ในขณะที่เข้าใจ ทำหน้าที่ของความเข้าใจ ที่จะละความติดข้อง เพราะฉะนั้นเราทำอะไรหรือ คือว่ามีเราไหม มีเราเมื่อใด ก็ประมาท คิดว่าเราทำได้ แต่ว่าถ้าไม่ประมาท ก็คือว่าทำอะไรไม่ได้แน่นอน เพราะธรรมเกิดแล้ว เมื่อเกิดแล้วก็ดับด้วย ไม่รู้อะไรสักอย่าง แม้แต่ว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัยก็ไม่รู้ แม้แต่ดับไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่ไม่ประมาท ก็คือว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงเข้าใจขึ้น ถูกต้องขึ้นก็มั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือความเข้าใจ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    12 ธ.ค. 2567