ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๗๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ผู้ฟัง เรียนท่านอาจารย์ อินทรีย์กับพละ ทั้งสองอย่างนี้มีความสำคัญอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ชื่อที่ได้ฟังนะคะ อินทรียะ กับ พละ เป็นชื่อของสภาพธรรมที่มีจริงๆ นะคะ แต่ว่าเป็นธรรมที่จะทำให้ถึง การรู้แจ้งสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ค่ะ ก็คือสิ่งที่มีปกติในชีวิตประจำวัน แต่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่รู้ พอได้ฟังก็สงสัยนะคะ อย่างเห็นเนี่ยเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วอินทรียะคือปัญญา ที่เริ่มจะเข้าใจเห็นว่าไม่ใช่เรา เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดว่า เป็นเพียงสิ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปัญญาขั้นที่ยังไม่รู้จักเห็น ได้ยินทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตประจำวัน แต่ต้องเป็นปัญญาที่เมื่อได้ เข้าใจสิ่งที่มีนะคะ ว่าไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงจริง แต่ว่าเพียงชั่วคราว แค่สภาพธรรมปรากฏ ไม่ว่าขณะนี้นะคะ แล้วก็ดับไป เร็วมาก มิเช่นนั้นจะไม่มีความหมายของคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะเหตุว่าขณะนี้อ่ะค่ะสภาพธรรมต่างกันสิ่งที่มีจริง และมีจริงๆ นะคะ แต่ว่าต่างกัน เห็นก็เป็นอย่าง ๑ ได้ยินก็เป็นอย่าง ๑ คิดก็เป็นอย่าง ๑ ใครรู้ว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่สามารถที่จะเข้าใจถูกต้อง ว่าเห็นขณะนี้เกิด และก็ดับ ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะไม่ให้เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้น เพราะเกิดแล้ว เกิดแล้วก็ดับไป โดยไม่มีใครรู้ด้วย เพราะว่าในขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็น แล้วสภาพธรรมที่จะปรากฏเนี่ยนะคะ ปรากฏทีละ ๑ แต่เมื่อขณะนี้ปรากฏว่า มีตั้งหลายอย่าง ก็เป็นการชัดเจนยืนยันว่า สภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนกระทั่งเหมือนกับมีทุกสิ่งทุกอย่าง นะคะ มากมาย ก็แสดงให้เห็นว่าปริมาณของการเกิดดับของสภาพธรรมเนี่ย เกินกว่าที่จะประมาณได้เลย เพราะฉะนั้นนี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนี่ค่ะ เป็นการเตือนให้ระลึกถึงพระคุณนะคะ เป็นพุทธานุสติ ทุกคำที่ได้ฟัง พูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้ และเมื่อฟังแล้วก็ยากที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจ ก็เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้น ถ้าไม่ได้ฟังก็ไม่มีใครที่จะคิดถึง เห็นเดี๋ยวนี้เกิดขึ้น และดับไป ได้ยินเดี๋ยวนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เมื่อฟังแล้วเนี่ยค่ะ กว่าจะค่อยๆ น้อมไปสู่ความจริง ไม่ว่าขณะไหนเมื่อไหร่นะคะ ไม่ใช่เรา ที่สามารถที่จะไปทำให้ปัญญาเกิดขึ้น มากมายเฉพาะในบางสถานที่ และในขณะที่ต้องการ และเดี๋ยวนี้ต้องการจะปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงถึงความจริง ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ค่ะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใครทำให้เกิดก็ไม่ได้ ใครไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนะคะ ทุกครั้งที่มีความเข้าใจขณะนั้น ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา ยังไม่ถึงปัญญินซี ซึ่งเป็นใหญ่ พอที่จะสามารถเข้าใจคำที่พูด ตรงนั้นเลย แล้วก็เมื่อมีกำลังมากขึ้นนะคะ ก็สามารถที่จะประจักษ์สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ จึงได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระปัญญาคุณ ว่าทรงสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งแม้มี ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่แต่ละคนพิจารณาได้นะคะ ว่าความเข้าใจสำคัญที่สุด หาจากที่ไหนไม่ได้เลย นอกจากทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสถึงสภาพธรรมแต่ละ ๑ อย่างละเอียดยิ่ง ให้เป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริงว่า ความเข้าใจคำที่ได้ฟัง กับการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่เราได้ฟังนี่คะ มากมายมหาศาลเกินกว่าใครทั้งหมด เพราะฉะนั้นส่วนที่เราเพิ่งจะได้ยินได้ฟังว่า เห็นขณะนี้เป็นธรรม ถ้าใช้คำว่าเป็นธรรม ก็ต้องเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงนั้นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใครเกิดขึ้น และดับไป นี่คือความเข้าใจขั้นต้นนะคะ เพื่อที่จะละการเป็นเรา ที่จะไปปฏิบัติธรรมหรือต้องการจะปฏิบัติธรรม เพราะรู้ว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้นะคะ จะเข้าใจมั้ย ก็คิดเอง ไปปฏิบัติธรรม แต่ไม่รู้ว่าธรรมเดี๋ยวนี้จะรู้ได้อย่างไรว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เกิดขึ้นแล้วด้วย แล้วก็ดับไปแล้วด้วย เพราะฉะนั้นการรู้ธรรม การเข้าใจธรรม ก็ไม่ใช่เข้าใจอื่นเลยค่ะ เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นธรรมจริงๆ เดี๋ยวนี้แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นการฟัง ต้องเป็นผู้ที่ตรง และก็อดทนนะคะ เพื่อเข้าใจถูก ปัญญาคือความเข้าใจถูกนะคะ ไม่ใช่เรา แต่ทำหน้าที่เริ่มเข้าใจ ตามคำที่ได้ฟังมากน้อยตามควรแก่การสะสม ถ้าฟังมาก ฟังบ่อยนะคะ ก็เข้าใจได้มากละเอียดขึ้น แต่ถ้าเริ่มจะฟังนี่ค่ะ ก็ต้องนาน และผู้ที่เริ่มฟัง หรือว่าผู้ที่ฟังมานานแล้วนี่นะคะ ก็เป็นผู้ที่ตรงที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เข้าใจเห็นหรือเปล่า ถ้ายังนะคะ ก็คือว่ายังไม่ใช่ปัญญาขั้นที่จะเป็นปัญญิณซี ซึ่งถ้ามีกำลังเพิ่มขึ้น จึงจะเป็นปัญญาพละ ซึ่งทั้งหมดนี้ค่ะ เป็นสิ่งซึ่งห่างไกลมาก จากการที่เพิ่งเริ่มได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ และความเข้าใจคือปัญญานั้น ก็ละความไม่รู้ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งขณะนี้สภาพธรรมกำลังเป็นอย่างนี้ ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นคำว่าอินทรีย์ คำว่าพละ เป็นชื่อของธรรมที่มีจริง อินทรีย์มี ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิปัญญา ไม่ใช่เราสักอย่าง ขณะนี้มีศรัทธาก็ไม่รู้ พูดถึงทุกอย่างที่มีนะคะ แต่ไม่ปรากฎจึงเหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร ของความไม่รู้ ซึ่งปิดบังไว้ด้วยความมืดสนิท จนกว่านะคะ เข้าใจขึ้นเห็นความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้น ละคลายความเป็นเรา สภาพธรรมเมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจแต่ละขั้นนะคะ จะมากจะน้อยเนี่ยก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยด้วย ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมีปัญญามากๆ อยากจะดับกิเลสก็ไปทำอะไรที่คิดว่า สามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่ไม่รู้สิ่งที่มีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นคำสอนที่ทำให้ไม่เข้าใจ สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏทั้งหมด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณอรรณพเพิ่มเติมไหมคะ

    อ.อรรณพ อินทรีย์ คือสภาพที่เป็นใหญ่ พละคือสภาพที่มีกำลัง ถ้าจะกล่าวถึงอินทรีย์ และพละ ที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมนะครับ ก็ต้องหมายถึงสภาพธรรมคือเจตสิกที่ดีงาม คือศรัทธา ขณะนี้มีศรัทธา แต่ศรัทธาขณะนี้ยังไม่ได้เป็นใหญ่เป็นอินทรีย์นะครับ เพราะยังไม่ได้เป็นการรู้ สภาพธรรม ตามความเป็นจริงเลย แล้วก็ยังไม่มีกำลังเพิ่มขึ้นจากอินทรีย์จนเป็นศรัทธาพละเลยนะครับ ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญาที่ฟังขณะนี้เข้าใจเนี่ย ยังไม่ถึงขั้นความเป็นใหญ่ที่จะเป็นอินทรีย์ และยังไม่มีกำลังเกินกว่าอินทรีย์ ที่จะเป็นปัญญาพละ แต่กว่าจะถึงความเป็นใหญ่คือเป็นอินทรีย์ และถึงความมีกำลังคือเป็นพละ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นพื้นฐาน ถ้ายังเข้าใจว่าต้องไปปฏิบัติ ไปสำนักปฏิบัติ ขณะนั้นยังไม่มีศรัทธา ในพระธรรมที่ถูกต้อง ยังไม่มีปัญญาในขั้นการฟังที่ถูกต้องว่า สภาพธรรมกำลังปรากฏขณะนี้ แม้ศรัทธาแม้ปัญญา ที่จะเข้าใจเรื่องของธรรม ที่ถูกต้องยังไม่มั่นคง ก็ไม่มีโอกาสจะถึงอินทรีย์ และพละได้เลยนะครับ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับในพระธรรม แต่ละส่วนไม่ว่าจะเป็นพระวินัยก็ตาม พระสูตรก็ตาม หรืออภิธรรมปิฏกก็ตาม ในพระสูตรก็แสดงแก่บุคคลที่ต่างๆ อัธยาศัยกัน และพระองค์ก็ไม่ได้กล่าวว่า ตรัสให้คนนั้นไปปฏิบัติ แต่ว่าทรงแสดงความจริง ดังนั้นแต่ละบุคคลที่เริ่มต้นฟังครับ จะรู้อย่างไรว่า พระธรรมส่วนไหนที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพราะว่าต่างคนก็มีอัธยาศัยที่ต่างๆ กัน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่รู้จักคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เช่นปฏิปัติ ในภาษาบาลีนะคะ เข้าใจหรือเปล่าว่าคืออะไร ทุกคำต้องสอดคล้องกันนะคะ ธรรมทั้งหลายหมายความว่า ทั้งหมด ไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา ต้องมั่นคงค่ะ ไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่เรา คิดไม่ใช่เรา ปัญญาไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นขณะนี้อ่ะค่ะ กำลังเห็น กำลังเห็นจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงปฏิบัติ แค่เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็นไว้ หรือเปล่า เพื่ออะไร เห็นมีจริงๆ นะคะ พระสัมมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นศรัทธา ยังไม่พูดถึงที่เป็นอินทรีย์นะคะ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเป็นอินทรีย์เมื่อไหร่ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นอินทรีย์ไม่ได้แน่นอนนะคะ เพราะว่ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเพียงแค่มีศรัทธาที่จะฟังเรื่องเห็นเดี๋ยวนี้ จนกระทั่งเข้าใจในความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มีพอมั้ย หรือว่าอยากจะฟังเรื่องอื่น หรืออยากจะไปปฏิบัติ ซึ่งไม่รู้เลยว่าปฏิบัติคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจถูกต้องนะคะ ในพระปัญญาคุณที่ได้ทรงตรัสรู้ว่า ทรงแสดงสภาพความจริงของธรรมนี่ค่ะ ตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย ไปปฏิบัติอะไร แล้วก็รู้อะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะนี้ค่ะกำลังเห็นเนี่ย ใครจะปฏิเสธว่าไม่มี และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือเปล่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจะฟังเรื่องเห็น ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงมั้ย นี่คือศรัทธา เพราะฉะนั้นในขณะที่มีการเห็นประโยชน์ ของการที่จะเริ่มเข้าใจคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำที่ยากยิ่งที่จะได้ฟัง เมื่อได้ฟังแล้วนะคะ ทุกคำนี่ค่ะ ส่องถึงพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่ปัญญาของคนอื่น เพราะคนอื่นจะไม่พูดเรื่องเห็นขณะนี้นะคะ ซึ่งกำลังปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เพื่อจะถึงปฏิปัติ ปัญญาซึ่งถึงความที่จะเข้าใจเห็น ในขณะนั้นที่กำลังเห็น เพียงอย่างเดียว ทีละ ๑ ทีละ ๑ ชัดเจนขึ้นนะคะ เมื่อนั้นก็เริ่มที่จะเป็นอินทริยะคืออินทรีย์ เพราะฉะนั้นมาจากไหนคะ ไม่ใช่ว่าใครไปนั่งทำอินทรีย์โดยไม่รู้อะไรเลย แม้แต่คำว่าอินทรีย์คืออะไร แต่อินทรีย์ก็คือสิ่งที่จะนำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม รู้อะไรก็รู้สิ่งที่มีขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเพียงเข้าใจถูกต้องนะคะ ว่าถ้าสามารถฟังให้เข้าใจ เรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ตามลำดับ ปัญญาก็จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ทีละ ๑ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปฏิปัติ ขณะนั้นทั้งศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิก็มีนะคะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมากค่ะ เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อเข้าใจ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วเนี่ยนะคะ ทีละคำ เพราะเหตุว่าแต่ละคำเนี่ย ละเอียดมาก ขั้นต้นให้รู้ว่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มีเมื่อไหร่ และรู้อะไร แม้แต่ขณะที่กำลังฟังนี่นะคะ มีศรัทธาแล้ว เหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทร ทุกอย่างเกิดดับสืบต่อในความมืดสนิทของทะเล ความไม่รู้ โอฆะของความไม่รู้ มากมายนะคะเพราะฉะนั้นกว่าจะได้ค่อยๆ เข้าใจ ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่แท้จริง ก็ต้องฟังทุกคำ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งว่า ทุกคำนี่ค่ะ ทรงแสดงให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะได้รับเป็นมรดก จากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือความเข้าใจถูกความเห็นถูก ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยการที่เป็นเรา อยากจะหมดกิเลส เราจะปฏิบัติธรรม เราจะเป็นพระโสดาบัน

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงสภาพธรรมที่เป็นอินทรีย์ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง เรื่องของศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ แล้วก็ปัญญา จากการที่มีโอกาสที่จะมีการใส่ใจ สนใจในการที่จะศึกษาพระธรรมคำสอนนี้ ก็เริ่มเห็นความมีศรัทธาที่จะศึกษาพระธรรมครับ แต่ว่าในส่วนของ การที่จะมีวิริยะหรือความเพียร จะมีความเข้าใจอย่างไรครับ ตรงนี้ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ จะมีวิริยะ เรา ใช่ไหมคะ ไม่ใช่เข้าใจว่า ความเพียรเกิดกับจิตขณะไหนเวลานี้ไม่รู้เลยสักนิดนึง แต่เป็น เรา จะมีความเพียร ก็ผิดตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเนี่ยนะคะ ผิดเมื่อมีการยึดถือว่า เราสามารถที่จะทำได้ หรือรู้ได้ โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นนะคะ ไม่ว่าจะพูดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ เป็นธรรม อนัตตา เป็นแต่ละลักษณะของธรรม เช่นเห็นเป็นเห็น คิดเป็นคิด เข้าใจเป็นเข้าใจ ไม่เข้าใจเป็นไม่เข้าใจ เราอยู่ไหน เพราะฉะนั้นเราจะมีความเพียร ก็ผิดแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่านะคะ ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงแสดงแล้วนี่ค่ะ ลึกซึ้ง ละเอียดอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเป็นไปเพื่อละความไม่รู้ ในทุกสิ่งที่มี ตลอดชีวิตซึ่งไม่รู้ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับถ้ากล่าวถึงความเพียรเนี่ย ก็ทราบตามการศึกษาว่า ไม่เกิดกับจิตเพียงแค่ ๑๖ ดวงเท่านั้นนะครับ แต่ว่าดูเหมือนกับว่าความเพียร ก็มีทั้งเพียรในทางที่ถูกก็มี แล้วเพียรในทางที่ผิดก็มีครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ มีเพียรไหมคะ

    อ.วิชัย ก็มีด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้

    อ.วิชัย แต่ไม่รู้ครับ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรา

    อ.วิชัย ก็ยังเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ต้องตั้งต้นถูกตั้งแต่ต้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าพ้นจากนี่คือผิดทันที

    อ.วิชัย หมายถึงว่าปัญญาคือเป็นความมั่นคง ที่จะรู้ธรรมที่มีตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ค่ะ กว่าจะเป็นอินทรีย์ ที่สามารถที่จะถึงเฉพาะ คือรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ฟังขณะนี้นะคะ ตรง ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ ไม่มีเรา และไม่ใช่เรา โดยนอกจากศรัทธามีวิริยะเกิดร่วมด้วย ไม่ต้องทำ ทำวิริยะได้ไหมคะ

    อ.วิชัย ไม่ได้ครับ เกิดแล้วครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะ มีใครทำวิริยะได้บ้าง คะ คนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ไม่มีเรา เป็นธรรม ก็จะคิดว่าเราทำได้ แล้วก็สนับสนุนส่งเสริมให้เป็นเราทำ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ผู้ที่ปฏิบัติตาม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เริ่มจากการฟังให้เข้าใจ ความเข้าใจนั้นเองนะคะ จะนำไปสู่ความเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ในสิ่งที่ได้ฟัง ที่กำลังมีในขณะนี้

    อ.วิชัย หมายถึงว่าแม้ไก้ดจะมีการจะมาฟัง ก็มีวิริยะที่เกิดขึ้นแล้วในการที่จะมา แม้จะขั้นการฟังนี่ฮะ

    ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เช้าเลยค่ะ มีทุกอย่าง เพียรทำอะไรบ้างคะเมื่อเช้านี้ ตื่นขึ้นลืมตา เพียรละ ไม่เพียรลืมตาไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรา นี่ความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ เราติดชื่อมากเลยค่ะ ได้ยินชื่อก็เหมือนเราคุ้นเคย เรารู้จัก แต่ความจริงได้ยินชื่อที่ไม่รู้จักตัวธรรมจริงๆ ยกมือขึ้น เพียรไหมคะ แล้วจะไปทำความเพียรอะไรที่ไหน ในเมื่อเกิดแล้วต่างหาก แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือการตรัสรู้ของพระองค์นี่ค่ะ ก็คือการเปิดเผยความจริงซึ่งถูกปกปิดไว้ เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลง จุดประทีบในที่มืด เดี๋ยวนี้มืดหรือสว่าง ถ้าไม่มีแสงพระธรรม ที่จะทำให้เห็นสิ่งที่มีในขณะนี้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แล้วถ้าไม่มีแสงพระธรรมอย่างนี้นะคะ ใครจะรู้ความจริงอย่างนี้ได้

    อ.สงบ ครับ คำถามก็เกี่ยวกับเรื่องการรับเงินรับทองของพระนะครับ รับเองหรือจะให้คนอื่นรับ หรือว่าคนอื่นรับไว้ให้ ก็ยินดี ก็อาบัติ จะต้องสละเงินแล้วถึงจะปลงอาบัติได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมมีความเข้าใจ และเห็นประโยชน์ว่า การที่จะมีชีวิตอยู่นะคะ ก็เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส ดำเนินตามรอยพระบาท ขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ ผู้นั้นก็มีศรัทธาที่มั่นคงนะคะ ที่จะสละชีวิตฆราวาสไปสู่เพศบรรพชิต ซึ่งทุกรูปต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จึงจะเป็นพระภิกษุ ในพระธรรมวินัย จะเห็นพระภิกษุปลอมใช่ไหมคะ เวลาเนี่ย ตามกฎหมายก็กล่าวว่ามีผู้ที่ปลอมเป็นภิกษุ ทำไมต้องปลอม ถ้าไม่อยากได้เงิน ปลอมทำไม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นะคะ ว่าถ้าเป็นผู้ที่มีจุดประสงค์ที่จะรับเงิน ผู้นั้นไม่ใช่เป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส เพราะว่าคฤหัสถ์รับเงิน ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ธุรกิจต่างๆ ในเพศของคฤหัสถ์ แต่ว่าพระภิกษุทำกิจของคฤหัสถ์ไม่ได้เลย หน้าที่ของภิกษุก็คือว่าศึกษาพระธรรมวินัย และประพฤติอบรมเจริญปัญญาตามที่ได้ศึกษา และเข้าใจถูกต้อง เพื่อดับกิเลส นั่นคือหน้าที่ของภิกษุ ถ้าใครเป็นภิกษุก็คือผู้ที่เข้าใจธรรม แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพื่อขัดเกลากิเลสเพื่อดับกิเลส แต่ถ้าเพื่อรับเงินรับทองนะคะ ก็ไม่ได้เป็นภิกษุเลย ก็มีผู้ที่ถามนะคะ ว่าเค้าเองเค้าก็เห็นว่า ขณะนี้ค่ะภิกษุรับเงินรับทอง ถ้าจะส่งเสริมสนับสนุนไปวัด หรือทำอะไรก็เท่ากับสนับสนุนโจร ซึ่งปล้นคุณของพระธรรม เพราะเหตุว่าทำให้คนอื่นหลงผิดเข้าใจคิดว่าตัวเอง เป็นผู้ที่มีคุณในการบวช แล้วเค้าจะทำกุศลแบบไหน ดิชั้นก็บอกว่านะคะ ความดีทุกอย่างเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เพราะฉะนั้นการศึกษาการเข้าใจธรรมแม้เพียงตั้งต้นนี่ค่ะ ก็เป็นประโยชน์ดีกว่า ที่จะทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะทำให้รู้จักพระรัตนตรัยได้ถูกต้อง ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ให้เรามีโอกาสได้เห็นถูกเข้าใจถูก ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย อันนี้ก็เป็นบุญซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินทองอะไร และก็ไปทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

    อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ กรณีที่กล่าวถึงเรื่องของการรับเงิน และทอง ถ้าพูดถึงอาบัติเนี่ยก็คือท่านก็ยังไม่ถึงกับ ขาดจากความเป็นพระภิกษุ แต่ว่าในคำที่ได้ยินได้ฟังที่กล่าวถึงว่า เมื่อมีการรับเงินรับทองยินดีในเงิน และทองนี่ ผู้นั้นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยนะครับ ในความลึกซึ้งคืออย่างไรครับอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะเพราะเหตุว่าเงินทองนำมาซึ่งรูป เสียง กลิ่นรส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ทุกอย่างที่น่าพอใจ มีตาสำหรับเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายะคือกายเนี่ยนะคะ ก็เป็นที่รู้สิ่งที่เย็นร้อน อ่อนแข็ง ที่กระทบสัมผัส ตั้งแต่เกิดมาเนี่ยค่ะต้องการอะไรมากกว่านี้มั้ย ทุกวันอยากเห็นรูปที่น่าพอใจ ติดข้องในรูป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร ถ้ายังคงติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะทุกคนแสวงหา จะได้มาด้วยอะไรคะ เงิน ถ้ามีเงินแล้วนะคะ ก็ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเงินไว้สำหรับ ติดข้อง ในสิ่งที่ต้องการที่จะได้มา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567