ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๗๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ถ้ามีเงินแล้วนะคะ ก็ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเงินไว้สำหรับติดข้อง ในสิ่งที่ต้องการที่จะได้มา เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษนะคะ ว่าการที่จะละความติดข้องเนี่ย ไม่ใช่ละง่ายเลยค่ะ ใครอยากละก็ไม่ใส่รองเท้าบ้าง ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง คิดว่านั่นคือการละกิเลส แต่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจความจริง ที่รู้ว่าแม้ขณะนั้นก็เป็นเราที่ติดข้องที่ต้องการโดยไม่รู้ความจริงว่าการทำอย่างนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ให้มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้ายังเป็นผู้ที่ติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส แสวงหาไหมคะ รถยนต์สวยๆ หรืออะไรอีกก็ได้ ที่ดิน เรือก สวน ไร่นา ค้าขาย ตามสบายนั่นคือผู้ที่ติดข้อง ไม่ใช่เป็นผู้ที่สละละความติดข้องที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลสนี่ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ขัดเกลาได้ตามอัธยาศัยที่สะสมมา ตามพระธรรมวินัย วินัยคือขัดเกลากิเลสนำออกซึ่งกิเลส แล้วถ้าไม่เข้าใจธรรม เอากิเลสออกได้ยังไง เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นวินัย วินัยก็เป็นธรรม เพราะว่าถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็เอากิเลสออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ได้แยกกันเลยนะคะ เพียงแต่ว่าแสดงความต่างกัน ของผู้ที่มีศรัทธามั่นคงถึงกับสามารถที่จะสละ อาคารบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติทั้งหมด เพื่อที่จะอุทิศตนประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่มีความเคารพในพระบรมศาสดา ต้องประพฤติตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับเงินทองหรือเปล่า แล้วทำไมรับ ทรงบัญญัติไว้ด้วยว่า การรับเงินทองนะคะ ก็คือผู้ยังไม่สละ การที่จะเป็นคฤหัสถ์ซึ่งสามารถอบรมเจริญปัญญา รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ตามฐานะตามที่ได้สะสมมา ในเพศคฤหัสถ์ เช่นท่านชีวกโกมารภัต ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขามหาอุบาสิกาทั้งหมดนี่ค่ะ เป็นพระอริยะบุคคล ในเพศคฤหัสถ์ไม่ได้บวชเลย แต่ขัดเกลากิเลสได้

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนเนี่ย ก็เป็นผู้ที่ตรง จะขัดเกลากิเลสในเพศไหน ก็ต้องเป็นเพศนั้น ถ้าจะขัดเกลากิเลสอย่างยิ่งนะคะ ในเพศบรรพชิตก็ต้องรู้ตัวเองว่า มีความเข้าใจธรรมพอ เห็นโทษของอกุศล และก็รู้จักตัวเอง จนกระทั่งจะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เองได้ จึงสมควรที่จะเป็นภิกษุ ที่จะขัดเกลากิเลส ไม่ใช่อยากบวช แต่ไม่รู้อะไร แล้วใครจะช่วยกันดำรงรักษาพระศาสนาคะ ถ้าไม่เข้าใจพระธรรม และเข้าใจผิด เช่นสำนักปฏิบัติต่างๆ ทำร้ายพระศาสนา คือทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่มีเลยนะคะ ในพระไตรปิฏก มีไหมคะสำนักปฏิบัติในพระไตรปิฏก เศรษฐีมีมาก คฤหัสถ์มีมาก พระอรหันต์มีมาก พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่ปรินิพพาน แต่ก็ไม่มีสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าการปฏิบัติ ไม่ใช่เราตัวตนจะไปปฏิบัติ ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ แล้วหวังจะรู้อะไร เต็มไปด้วยความต้องการ เต็มไปด้วยความหวังนะคะ บางท่านก็บอกว่าสงบดี โดยที่ไม่รู้ว่าสงบนั่นน่ะเป็นอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ให้เข้าใจถูกต้อง ว่าที่คิดว่าสงบ และสงบหรือเปล่า เพียงแค่ต้องการสงบก็ไม่สงบแล้ว ยิ่งไปทำให้สงบก็ยิ่งไม่สงบ เพราะมีความต้องการติดข้องในขณะนั้น ซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้นะคะ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม โดยละเอียดว่าขณะนั้นนะคะ เป็นอกุศลเพราะโลภะ เพราะติดข้องเพราะพอใจ มีท่านผู้หนึ่งค่ะ ท่านก็ไปปฏิบัติธรรม นานนะคะ จนกระทั่งท่านรู้สึกว่าจิตของท่านเนี่ยนิ่งสงบมาก แต่ท่านบอกว่าแล้วต่อจากนั้น ไม่รู้ว่าอะไรต่อไป ท่านก็แสวงหาจนกระทั่ง ท่านใดมีโอกาสได้ฟังธรรม เพียงคำที่บอกว่าเข้าใจไหม ว่าปัญญาเนี่ยสามารถที่จะรู้ความจริงเดี๋ยวนี้ได้ ท่านเริ่มเห็นเลยว่า ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ตัวตน หรือการที่จิตนิ่งไม่รู้อะไร ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วก็จะไปเข้าใจความจริง ของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ได้ เพราะฉะนั้นที่เคยตั้งใจว่าจะไปสำนักปฏิบัติอีก ท่านไม่ไป เพราะรู้ว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงค่ะแต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะรู้อะไรเลย เข้าใจว่าทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ จะรู้ความจริง แต่ความจริงคืออะไรคะ เดี๋ยวนี้ความจริงคือเห็นเดี๋ยวนี้ ความจริงคือได้ยินผ่านๆ แล้วหมดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ความรู้อยู่ที่ไหน ความเข้าใจอยู่ที่ไหน นี่คือการตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงพระธรรมนะคะ ๔๕ พรรษา แล้วจะเอาคำทุกคำที่มีใน ๔๕ พรรษาเนี่ย ไปทิ้งที่ไหน เมื่อไม่ได้ศึกษาเลย และเข้าใจว่าจะปฏิบัติธรรม โดยไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นการทำลายคำสอนของพระศาสนา ๔๕ พรรษา

    ผู้ฟัง เรียนถามอาจารย์อรรณพนะคะ การเป็นผู้บริหาร ในบางครั้ง มีสิ่งกระทบสิ่งเร้ามากมายเหลือเกิน ท่านมีเคล็ดลับอย่างไร ในการบริหารบุคคล บริหารงานให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี

    อ.อรรณพ ความเข้าใจธรรมคงไม่ใช่เคล็ดลับใช่ไหมฮะ ถ้าเคล็ดลับนี้คือเป็นอะไรที่อาจจะเก็บไว้ส่วนตัว ใช่ไหมฮะ ถือได้ว่าเคล็ดลับส่วนตัวอะไรอย่างเงี้ย แต่จริงๆ แล้วปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของหน่วยงาน ปัญหาของครอบครัว ปัญหาส่วนตัวเองนะฮะ ไปจนถึงชาติบ้านเมือง พระศาสนาอะไรต่างๆ เนี่ยมาจากอะไรนะครับ ปัญหาก็มาจากกิเลสอกุศล ทีนี้เราไม่สามารถที่จะไป จัดการกิเลสอกุศลของแต่ละคนได้ แต่ว่าทุกคนเนี่ยนะฮะ สามารถที่จะอบรม แล้วก็ขัดเกลาชำระจิตชำระกิเลสได้ โดยอาศัยพระธรรม

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์เสริม

    ท่านอาจารย์ ทุกคำนะคะ ต้องเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้นค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงแม้แต่ความคิด แม้แต่คำพูดทุกคำ ก็ต้องมีความหมาย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นที่ฟังพระธรรมเนี่ยนะคะ ที่จะมีความเข้าใจจริงๆ เนี่ย ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นว่าคืออะไร มิฉะนั้นเราก็พูดกันไปใช่ไหมคะ เคล็ดลับอย่างนี้ เพื่ออะไรคะ เคล็ดลับเห็นไหมคะ ว่ายังไม่รู้เลยว่าเคล็ดลับคืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นความเข้าใจจริงๆ นะคะ ทุกคำเนี่ยต้องตั้งต้นว่าคืออะไร เพราะฉะนั้น เคล็ด ลับ คืออะไร

    อ.อรรณพ เคล็ดลับก็คือจะเป็น กรรมวิธี ที่คิดว่าจะทำให้สำเร็จได้ แล้วก็คนอื่นไม่รู้นะครับ อาจจะเป็นเฉพาะตัว

    ท่านอาจารย์ เพื่อให้สำเร็จตามความต้องการ

    อ.อรรณพ ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ โดยวิธีการต่างๆ ซึ่งเป็นเคล็ดเฉพาะแต่ละเรื่อง แต่ละบุคคล แต่ละวิธีการ ลับก็คือว่าไม่เป็นที่รู้ทั่วไป นะคะเพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเนี่ยต้องการอะไรคะที่ต้องการเคล็ดลับ

    อ.อรรณพ ต้องการให้ได้สิ่งที่ต้องการ อาจจะเป็นความสำเร็จของงานนะครับ หรือทรัพย์สินเงินทอง ความสำเร็จของธุรกิจ หรือความสำเร็จของผลงานทางวิชาการ

    ท่านอาจารย์ เคล็ดลับในพระพุทธศาสนามีมั๊ย ค่ะ

    อ.อรรณพ คือพุทธศาสนาไม่ได้เป็นไปที่จะต้องการให้ ได้ตามโลภะต้องการครับ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    อ.อรรณพ ก็เลยไม่ต้องมีเคล็ดลับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเคล็ดลับที่ต้องการ คือต้องการเพื่อที่จะได้

    อ.อรรณพ ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วเคล็ดลับนี้เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลคะ

    อ.อรรณพ ก็เป็นความต้องการก็เป็นโลภะ และยังแถมเป็นความห่วงนะฮะ เป็นความตระหนี่ ไม่ให้คนอื่นรู้หวงไว้เฉพาะตัว

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่านะคะ ไม่ใช่ธรรมที่ตรงตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าธรรมนี้ค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงนะคะ กระจ่าง ชัดเจน ด้วยการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.อรรณพ ก็ไม่ได้เป็นกุศลที่จะสละอะไรครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีประโยชน์ไหม ที่เราจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นบ่อยๆ เรื่อยๆ หนาแน่นมากขึ้น เพราะว่าเกิดมาแสนโกฏฏ์กัปป์ก็เห็นแก่ตัว เพราะไม่รู้ความจริงว่า ไม่มีตัวค่ะ คำว่าไม่มีตัวตนเนี่ย ลองคิดดูนะคะ กว่าจะถึงความเข้าใจที่มั่นคง ได้ยิน ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน ถูกต้องมั้ยคะ ได้ยินเกิดแล้วดับไป ถูกต้องไหม ถ้าไม่รู้ก็เข้าใจว่าได้ยินนั่นแหละเป็นเราได้ยิน แต่ได้ยินเกิดโดยที่ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่ว่ามีปัจจัยที่ได้ยินจะเกิด ได้ยินก็เกิด แล้วได้ยินก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย เราอยู่ไหน ตรงกับคำว่าขันดะ ว่างเปล่าจากความเป็นเรา ถ้าไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างนี้ได้จริงๆ นะคะ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่รู้ว่าการที่จะดับกิเลสได้ ก็เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าติดข้องหลงยึดถือ ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี และไม่เหลือ แต่ไม่ปรากฏ จนกว่าปัญญาสามารถที่จะประจักษ์แจ้งจริงๆ นะคะ ว่า แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็เกิดดับ ถ้าประจักษ์อย่างนั้นจริงๆ นะคะ จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละคลายความยึดมั่น และความติดข้องว่านั่นเป็นเรา เพราะฉะนั้นถึงแม้จะได้ยินได้ฟังว่า เห็นมีจริงนะคะ ปกติก็เป็นเราเห็น ได้ฟังพระธรรมกี่ชาติ กว่าจะค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจขึ้น กว่าจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ โดยที่ว่าไม่มีใครไปทำได้เลย ยิ่งทำยิ่งติด ยิ่งทำยิ่งผิด ยิ่งทำยิ่งติดข้อง ไม่มีทางที่จะละได้เลย

    เพราะฉะนั้นการที่จะมีความเข้าใจจริงๆ นะคะ ต้องเริ่มจากการละตั้งแต่ต้นคือละ ด้วยความเข้าใจถูกต้อง ที่เคยหลงผิดว่าเป็นเรา ความจริงไม่ใช่ แล้วก็เกิดดับไม่เหลือ ถ้ามีความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้นนะคะ ทีละเล็กทีละน้อย ย่อมสามารถที่จะละคลาย การที่เคยยึดถือไว้มั่นคง ในแสนโกฏฏ์กัปป์ตลอดมา จนถึงแม้ขณะนี้ ว่าเป็นเราที่เห็น เป็นเราที่ได้ยิน อีกนานเท่าไหร่ ก็เริ่มรู้ความหมายของคำว่าบารมี เป็นปารมีนี่นะฮะ หมายความว่าธรรมที่จะนำไปสู่การดับกิเลส ทุกคนมีกิเลสค่ะ แล้วก็พอกพูนกิเลสด้วย เพราะฉะนั้นกว่าจะเห็นกิเลส ซึ่งมีอยู่ในโลกทั้งหมดเลย ทุกวันด้วย ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม แล้วเริ่มเห็นโทษของธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดี ว่าธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดีเนี่ย เวลาใครมีมากๆ เนี่ย เราว่าเขามากมายเลย นั่นไม่ดีอย่างนี้ นี่ไม่ดีอย่างนั้น แต่ถ้าเกิดกับเรา เพราะเค้าก็ยังมีกิเลสอยู่ แล้วก็เพิ่มขึ้น ก็เหมือนกัน ไม่ว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรม ธรรมที่เป็นกุศลตรงกันข้ามกับธรรมที่เป็นอกุศล แล้วถ้ามีความเข้าใจว่ามั่นคงนะคะ ในเหตุ และผล เหตุดีนำมาซึ่งผลดี แน่นอนค่ะ เหตุไม่ดีจะนำมาซึ่งผลดีไม่ได้ เหตุไม่ดีก็ต้องนำมาซึ่งผลไม่ดี เพราะฉะนั้นการกระทำไม่ว่า จะทางกาย ทางวาจา ทางใจนะคะ ให้ทราบว่า ทำไมแต่ละคนเนี่ยเกิดมาต่างกัน ได้ผลที่ดีนะคะ เกิดในตระกูลมั่งมีเศรษฐี หรือว่ายากจนขัดสนหรือป่วยไข้ได้เจ็บ ใครทำคะ คนอื่นทำให้ไม่ได้เลย ใครก็ทำไม่ได้ แต่มีปัจจัยที่เกิดแล้ว ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นในภายหลัง ที่เราใช้คำว่ากรรมกับผลของกรรม แต่เราไม่ได้รู้ละเอียดเลยนะคะ ว่าแท้ที่จริงแล้วเนี่ยกรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมด จะนำสิ่งที่ดี ที่น่าพอใจมาไม่ได้เลย และสิ่งที่ทุกคนพอใจที่เกิดมาในโลกนี้ คือรูปสวยๆ เสียงดีๆ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่เย็นสบาย อบอุ่นหรืออะไรก็แล้วแต่นะคะ เลือกไม่ได้อีกว่า จะอยู่ที่ไหนวันไหน จะเจ็บไข้ได้ป่วย ให้ทราบว่าทั้งหมดนี่ค่ะ มาจากเหตุที่ไม่ดีไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่เป็นเหตุที่ไม่ดี เจตนาที่จะให้คนอื่นเดือดร้อนคิดดู ทำไมต้องให้เขาเดือดร้อนล่ะ หรือว่ามีความเมตตามีกุศลจิตแค่นี้ค่ะ ชีวิตประจำวัน ที่สามารถที่จะรู้ได้ว่า กุศลเกิดได้รอบตัวนะคะ ตลอดเวลาเมื่อเข้าใจเหตุ และผลจริงๆ มั่นคง ใครจะทำอกุศล แต่เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ นะคะ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็กน้อย บางทีก็ไม่ได้ฟังเลย บางทีก็ฟังเผินๆ ผิดผิดถูกถูก เช่นสำนักปฏิบัติ มาได้ยังไง ไม่มีในพระไตรปิฏก

    เพราะเหตุว่าพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ยนะคะ เริ่มตามลำดับ ความเข้าใจต้องตามลำดับ มีใครจะไปรู้แจ้งอริยสัจธรรม โดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้บ้าง เป็นไปไม่ได้เลยนะคะ เพราะเขาไม่รู้ว่าสัจจะคืออะไร เดี๋ยวนี้มีจริงเป็นสัจจะ อริยสัจจะคืออะไรความจริงซึ่งเมื่อรู้ แล้วเข้าใจถูกต้อง ปัญญาที่รู้อย่างนั้นจึงดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจในเหตุในผลให้ตรง แต่เต็มไปด้วยโลภะ เคล็ดลับอยากจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ทำสิ่งที่เป็นอกุศลทั้งหมด ซึ่งไม่มีทางเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายโลก โลกียะ เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือว่าที่จะดับกิเลส ถึงการเป็นเนื้อโลกคือไม่เกิดอีกไม่ดับอีก เพราะว่าคำว่าโลกะเนี่ย หมายความถึงสิ่งที่เกิดดับทั้งหมด ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ สามารถที่จะเข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยนะคะ จากการเพียงฟัง คิดแค่ไหน ไตร่ตรองแค่ไหน เห็นประโยชน์แค่ไหน ฟังแล้วฟังอีก ให้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้นหรือเปล่า นี่ยังไม่ถึงปฏิปัตติ ไม่ถึงขั้นปฏิบัติ เพียงแต่เป็นขั้นฟัง แต่ความหมายจริงๆ ของปริยัตินี่ค่ะ ไม่ใช่ฟังเผินแล้วก็ไปสอบไปสอนอย่างนั้นไม่ใช่นะคะ แต่ว่าเป็นความเข้าใจ ถ่องแท้ รอบรู้ แทงตลอด แม้ในคำเดียว เช่นคำว่าธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นอะไรก็ตาม ที่ปรากฎว่ามีจริงทั้งหมด แต่ก่อนไม่เคยรู้เลยว่า เป็นแต่เพียงลักษณะของสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ซึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่เมื่อเกิดแล้วเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นไม่เหลือเลย ว่างเปล่า เวลาใช้คำว่าขันธ์ ๕ ท่องกันได้ไม่กี่อย่างนะคะ อะไรบ้าง แต่รู้ไหมว่าหมายความถึงความว่างเปล่า จากความเป็นตัวตน เพราะว่ามีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่หลงเข้าใจว่ายังอยู่ทุกอย่าง เมื่อวานนี้มีไหมคะ ยังอยู่หรือเปล่า เมื่อเช้านี้ล่ะ หายไปหมดล่ะ พอถึงพรุ่งนี้วันนี้ไม่เหลือเลย แต่ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ทุกๆ ขณะ

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าที่พึ่ง ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจนกระทั่ง สามารถที่จะดับกิเลสได้ ก็คือพระรัตนตรัยเท่านั้นไม่มีที่พึ่งอื่น เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำของคนอื่น ที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้นะคะ เช่นธรรมเดี๋ยวนี้เป็นสัจธรรมความจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ปัญญารู้จริงอย่างนี้หรือยัง ถ้ายังไม่รู้นะคะ ก็ยังไม่ถึงความเป็นอริยสัจธรรม ธรรมของผู้ที่อบรมปัญญา จนรู้จริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่คนอื่น จะฟังคำของคนอื่นนะคะ แต่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่มีเลย แต่ว่าทำให้เกิดความต้องการ ทำให้เกิดความอยากได้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ลบเลือน เพราะใช้คำว่าปฏิบัติธรรม แต่ว่าไม่ใช่ปฏิบัติธรรม เพราะเหตุว่าเป็นตัวตน ไม่ใช่เป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกตามลำดับ เพราะฉะนั้นคำสอนของสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เคล็ดลับ เพราะว่ายิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง เพราะฉะนั้นกุศลทั้งหลายนี่ค่ะ ถ้ามากขึ้นมากขึ้นยิ่งรุ่งเรืองทั้งประเทศเลย ไม่ใช่ว่าจะต้องไปเฉพาะตนนะคะ ซึ่งขณะนั้นก็เป็นเพราะไม่เข้าใจความจริงว่า ไม่มีเราเลย แค่เกิดมาแล้วก็จากโลกนี้ไป วันไหนก็ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือมีโอกาสได้เข้าใจความจริงนะคะ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะให้ความจริงได้เลย นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

    ผู้ฟัง วันนี้มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องของญาณ ๗๓ เนี่ย ญาณทั้งหมดเหล่านี้ เป็นไปเพื่อการรู้แจ้งสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้หรือเปล่าครับ

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญไม่ว่าจะเป็นญาณระดับไหนนะคะ รู้อะไร

    ผู้ฟัง รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ

    ผู้ฟัง ญาณแรกที่ทุกคนน่าจะมี คือสุตมยญาณซึ่งเป็นญานแรกในญาน ๗๓ นะครับ

    ท่านอาจารย์ คืออะไร

    ผู้ฟัง ปัญญาที่สำเร็จจากการฟังครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ หมายความว่า ฟังแล้วเข้าใจใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นปัญญาก็คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ถ้าไม่เคยฟัง คิดเองยังไงก็ไม่ถูกแน่ ใช่ไหมคะ แต่ว่าเมื่อมีคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มี และค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจว่าความจริงต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วไม่ดับ และสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดได้ ก็ไม่มีใครเปลี่ยนไปบังคับบัญชาทำให้เกิดขึ้นได้เลย นอกจากมีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ตอนนี้เข้าใจหรือยังคะ ว่าปัญญาระดับไหนที่เกิดจากการฟัง

    ผู้ฟัง ก็ความเข้าใจธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจมั่นคง ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วก็ดับ เป็นอดีต ที่ยังไม่เกิดมีเหตุที่จะให้เกิด ยังไม่เกิดเป็นอนาคต และปัจจุบันคือที่กำลังปรากฏ ถูกต้องมั้ยคะ

    ผู้ฟัง ถูกต้องครับ

    ท่านอาจารย์ มีเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่มี มีแต่สภาพธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ คิดเป็นเรารึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ สงสัยเป็นเรารึเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้ารับประทานอาหารอร่อยเป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เข้าใจอย่างนี้เมื่อไหร่คะ

    ผู้ฟัง เมื่อได้ฟังคำของท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ชั่วขณะที่ฟัง แล้วก็เป็นเราต่อไป ถูกต้องไหมคะ เพราะฉะนั้นความต่างของปัญญา ก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ฟังแล้วเข้าใจระดับไหน มั่นคงขนาดไหน

    อ.อรรณพ ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรคนี่ฮะ ท่านก็ประมวลญาณทั้งหมดเอาไว้ ทั้งญาณตั้งแต่ขั้นต้น จนถึงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นนะฮะ รวมเบ็ดเสร็จเนี่ยก็คือ ๗๓ ญาณ เริ่มตั้งแต่สุตมยญาณ สีลมยญาณไปนะครับ จนถึงญานที่ไม่ทั่วไปกับพระสาวก ก็คืออสาธารณญาณ ๖ นะครับ

    ท่านอาจารย์ ฟังเข้าใจอย่าลืมนะคะ มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ๑ แล้วใช่ไหมค่ะ

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ น้อยหรือมาก มั่นคงหรือยัง ก็เป็นสิ่งที่รู้ได้โดยตัวเอง ไม่เปลี่ยนแปลงจะไปสำนักปฏิบัติไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ไปครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ

    ผู้ฟัง เพราะไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเดี๋ยวนี้มีธรรมก็ไม่รู้ อาศัยการฟังค่อยๆ เข้าใจว่า จะเข้าใจก็ตอบเมื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นธรรมคือไม่ใช่เรา ตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจ อย่างนี้จะไปไหน ถึงเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่ต้องไป เพราะที่ไหนก็มีธรรม เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับปัญญาต่างหาก ว่าปัญญารู้สุตมยญาณมั่นคงหรือเปล่า ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง แม้ในขั้นต้น ปัญญาที่หนึ่งสุตมยญาณนะคะ ก็จะไม่ทำสิ่งที่ผิดด้วยความต้องการ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567