ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๗๓

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า

    วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องแม้ในขั้นต้น ปัญญาที่ ๑ สุตมยญาณนะคะ ก็จะไม่ทำสิ่งที่ผิดด้วยความต้องการ ปัญญาที่ ๒ ได้มั้ยคะ คุณอรรณพ

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ๓ ข้อต้นเลยละกันครับ ก็คือสุตมยญาณ สีลมยญาณ แล้วก็ภาวนามยญาณ ครับ

    ท่านอาจารย์ เชิญคุณคำปั่นให้คำแปลด้วยค่ะ

    อ.คำปั่น ครับก็สอดคล้องตั้งแต่ต้นนะครับ ว่าปัญญานะครับ ก็สำเร็จจากการฟังนะครับ ต้องมีการฟังมีการศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ เป็นสุตมยญาณนะครับ ประการต่อมาก็คือสีลมยญาณนะครับ ปัญญาที่สำเร็จจากศีลนะครับ หรือบางครั้งนะครับ ก็แสดงถึงอัตถ ความหมายว่า ปัญญาที่ฟังพระธรรมเข้าใจแล้วสำรวม ก็คือเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ดีงาม คล้อยตามความเข้าใจพระธรรมครับ เป็นศีลมยญาณ ประการต่อมาก็คือ อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เจริญขึ้นมากขึ้นก็เป็นภาวนามยญาณครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ มีศีลหรือเปล่าคะเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ ศีลคืออะไรคะ เริ่มต้นเห็นไหมคะ ทุกคำก่อนอื่นค่ะ ได้ยินคำไหนต้องเข้าใจคำนั้นชัดเจนละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้นศีลคืออะไร

    ผู้ฟัง ความประพฤติเป็นไปทางกายทางวาจา

    ท่านอาจารย์ ค่ะ มีกี่อย่าง

    ผู้ฟัง อันนี้ไม่แน่ใจครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เห็นไหมคะแล้วจะไปถึง ญาณ ๗๓ ไปทำไม ไปอย่างไม่รู้ ไม่รู้ไปอย่างฟังแต่ชื่อ แต่ขณะนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกคำ ควรจะเป็นการเข้าใจสภาพธรรมที่มีละเอียดขึ้น ตามลำดับขั้น คือเมื่อมีการฟังเข้าใจแล้วนะคะ ปัญญาที่เกิดจากการฟังรู้ว่า ไม่ใช่เรา อกุศลเป็นอกุศล นำมาซึ่งโทษไม่ใช่เรา กุศลก็ไม่ใช่เรา แต่นำมาซึ่งสิ่งที่ดี ปัญญาแม้ความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา แต่มีการรู้ถูกต้อง ที่จะขัดเกลากิเลส จนถึงดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ที่เป็นสุตมยญาณจากการฟังแล้วนะคะ จะเกื้อกูลแก่สีลมยญาณมั้ย เพราะเหตุว่ารู้แล้วค่ะ ว่าไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา โลภะไม่ใช่เรา อโลภะไม่ใช่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นนี่เป็นปัจจัยที่จะให้เห็นคุณของกุศลธรรม และเห็นโทษของอกุศลธรรม เป็นปัญญาที่สำเร็จจากการฟัง ซึ่งจะทำให้ปัญญานั้นนะคะ ทำให้มีศีลซึ่งสำเร็จจากการฟังด้วย ถ้าไม่มีการฟังศีลที่เป็นกุศลศีลก็ไม่เกิด เพราะจริงๆ แล้วเนี่ยนะคะ ถ้าไม่มีจิตเจตสิกซึ่งเป็นสภาพรู้ศีลก็ไม่มี โต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ที่เราเรียกกัน แข็ง เย็น ร้อน เสียง กลิ่นพวกนี้ไม่ใช่ศีล ไม่มีความประพฤติเป็นไป ที่จะเป็นสภาพรู้อะไรได้เลย เพราะฉะนั้นศีลก็ได้แก่จิต และเจตสิกนั่นเอง แต่ทรงแสดงโดยความละเอียดว่า สำหรับอกุศลศีลก็คืออกุศลจิตทุกขณะ กุศล ศีลก็คือกุศลจิตนั่นเอง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีกุศลศีลไหม

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่คะ

    ผู้ฟัง เมื่อมีความเข้าใจ เมื่อจิตเป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วเดี๋ยวนี้มีอกุศลศีลไหม

    ผู้ฟัง ก็มีเช่นกันครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม นี่เป็นการอบรม ที่จะถึงการรู้ว่าไม่ใช่เรา เป็นภาวนามยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาเลย จะรู้ได้ยังไงคะว่าไม่ใช่เรา ได้แต่ฟังเขาว่า เขาพูด คนโน้นก็บอก คนนี้ก็พูด แต่พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงว่าไม่ใช่เราเพราะอะไร โดยละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแต่บอกว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแล้วให้ไปทำอะไรในสำนักปฏิบัติ ผิดตั้งแต่ต้นใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา ก็คือเห็นก็ไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เรา เกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นถ้ามีการเข้าใจถูกต้องอย่างนี้นะคะ ก็เป็นการอบรมปัญญา ที่สามารถที่จะละคลาย ความติดข้องในธรรม ที่กำลังปรากฏรู้ว่าอกุศลไม่ใช่เรา ทุกคนมีอกุศลแน่นอนค่ะ แต่ไม่รู้ ใช่ไหมคะ ไม่รู้เลยว่าเพียงแค่เห็นเดี๋ยวนี้ค่ะ ดับไปจิตเห็น ๑ ขณะ เนี่ยเล็กน้อยสักแค่ไหน เทียบกับสิ่งที่ปรากฏในห้องนี้ทั้งหมด ขณะเดียวที่มีการเห็น เกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังปรากฏนะคะ ยังไม่สืบต่อเนื่องเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคนเลย หนึ่งขณะที่มีการรู้สิ่งที่ปรากฏดับ ต่อจากนั้นจิตเกิดต่ออีก ๓ ขณะนะคะ อกุศลเกิดแล้ว ใครรู้ นี่คือพระมหากรุณาที่ทรงแสดงให้ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม เพราะว่าปัญญาต่างหาก ที่ละความไม่รู้ และละกิเลสได้ แต่ไม่ใช่เราจะไปสู่ที่หนึ่งที่ใด แล้วคิดว่าจะไปทำอะไร ที่จะดับกิเลส เพราะฉะนั้นปัญญาก็มีหลายขั้นนะคะ แม้แต่ปัญญาที่จะเป็นขั้นภาวนาเนี่ย ตั้งแต่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย แล้วได้ยินได้ฟัง แล้วเริ่มเข้าใจตามลำดับ แต่ก็ยังไม่ใช่การขัดเกลา จนกว่าจะถึงปัญญาที่สามารถที่จะเห็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา เป็นวิปัสสนาญาณเมื่อไหร่ เมื่อนั้นนะคะ เริ่มขัดเกลา เพราะว่าวิปัสสนาญาณที่ ๑ ก็ดับกิเลสไม่ได้ แต่ว่ามีความเห็นถูกต้องชัดเจนขึ้น จากการอบรมขั้นฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะ ของสภาพธรรมวิปัสสนา รู้แจ้ง ชัดเจน ตรงตามที่ได้ฟัง

    สนทนาธรรมที่ร้านโป๊ด เรสเตอรองต์

    วันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

    ผู้ฟัง วันนี้แค่อยากจะให้ท่านอาจารย์ สนทนาธรรมในเบื้องต้น ว่าสิ่งที่ปรากฏแล้วเนี่ย แล้วที่ดับไปเนี่ยคืออะไรคะ

    ท่านอาจารย์ งงไหมคะ ใหม่จริงๆ ค่ะ เพราะเหตุว่าน้อยคนที่จะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้นะคะ มองเห็นเป็นดอกไม้ มองเห็นเป็นคน แต่เพียงหลับตาหายไปไหนคะ เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี้ค่ะ ต้องเป็นคำที่พิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ ถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ตรัสถึงสภาพธรรมที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่าขณะนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ ดอกกุหลาบปรากฏ โต๊ะปรากฏ คนปรากฏ เพียงแค่หลับตา หายไปไหน นักเล่นกลที่ไหนทำหรือเปล่าคะ แต่ว่ามายากล สามารถที่จะหลอกลวง ให้คนนี่เข้าใจผิดได้ ทั้งๆ ที่เพียงไม่เห็น ยังจำว่ามี ทั้งหมดเลย นี่แสดงว่าถ้าจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงนะคะ เป็นสิ่งที่ต้องไตร่ตรองเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า เกิดมาไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงนะคะ ก็จากโลกนี้ไป โดยคิดว่าเหมือนไม่ได้มีโลกนี้เลย ใช่ไหมคะ เกิดมาแล้วก็ตายไป แล้วจากไป หมดเลย แม้จะมีโลกนี้ อย่างที่เคยมีได้อย่างไรโลกนี้ชาตินี้ก็ไม่มีละสำหรับชาติต่อไป

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ยากที่ใครจะรู้ได้ว่า แม้แต่สิ่งธรรมดา ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริง จนกว่าจะมีผู้ที่รู้ เช่นคำว่าสิ่งที่ปรากฏ อย่างที่เมื่อกี้นี้นะคะ มีจริงๆ หรือเปล่าคะ มี เมื่อไหร่ ธรรมไม่ใช่เพียงแต่ฟังแล้วก็รับไป แล้วก็หมดเลย แต่ว่าแต่ละคำ แต่ละคำที่ฟังนี่ค่ะ ค่อยๆ สะสมจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีอะไรสักอย่างที่ยั่งยืน เพียงแต่ปรากฏแล้วหมดไป แล้วก็เกิด และก็ปรากฏแล้วก็หมดไป ถ้าไม่เกิดก็ปรากฏไม่ได้ เพราะไม่มีจะปรากฏ แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลานี้นะคะ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง กล่าวถึงทุกอย่างที่มีจริง แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ก่อนจะเห็นห้องนี้ ไม่มีเห็นห้องนี้ เห็นอื่น สิ่งที่เคยเห็นเมื่อกี้นี้ ก่อนที่จะถึงห้องนี้ ดับแล้วก็ไม่รู้ แต่ยังจำได้ว่ายังมี ถึงแม้ว่าขณะนี้เองนะคะ ขณะใดก็ตามที่ได้ยินเสียง เสียงปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา แต่ก็ยังจำว่ายังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย ทั้งๆ ที่กำลังได้ยินเสียง นี่เป็นความรวดเร็วของสภาพธรรม ที่ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยนะคะ ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพียงแค่เกิด มีปรากฏแล้วก็หมดไป ค่อนข้างจะยาก

    เพราะเหตุว่ากล่าวถึงสิ่งซึ่งไม่รู้ มานานแสนนาน แสนโกฏฏ์กัปป์ก็ไม่รู้ วันนี้ลองนะคะ ฟังแล้วไปที่อื่น คิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่นั่นหรือเปล่า ว่าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏที่อื่นเพียงแต่เมื่อปรากฏเมื่อไหร่ ตรงไหน ก็ตรงนั้นแหละ ที่เพียงปรากฏ แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นคนที่จะฟังธรรมนะคะ ต้องฟังนานมากนะคะ แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วย ที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพูดคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย เพราะว่าก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนก็พูดถึงทุกเรื่อง พูดเรื่องดอกไม้ พูดเรื่องคนพูดเรื่องห้องนี้ ที่ไหนที่ไหนนะคะ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่พอได้ยินได้ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแต่ละ ๑ ต้องเป็นแต่ละหนึ่ง เช่นเสียง เป็นอะไรไม่ได้เลยค่ะ มีจริงๆ มีแค่เสียง มีนะคะ เป็นเสียงนะคะ รู้จักเสียงไหมคะ แค่มีเสียงแล้วก็หมดแล้ว ไม่เห็นจะสนใจอะไร ไม่รู้จักเลยว่านั่นแหละ คือสิ่งที่มี จากไม่มี แล้วมี แล้วดับไป หามีไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าเริ่มเข้าใจอย่างนี้จริงๆ นะคะ ทุกอย่างที่เกิดเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กที่ละน้อยนะคะ จนกระทั่งเริ่มรู้ว่า คำที่ได้ยินได้ฟังนี่ค่ะ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นจริงทุกขณะ เสียงดับแล้ว รู้มั้ยคะ ไม่รู้ ผ่านไปด้วยความไม่รู้เรื่อยๆ อยู่ในโลกนี้ไปเรื่อยๆ กี่ภพกี่ชาติก็ไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นนะคะ แค่ฟังว่าสิ่งที่ปรากฏ มีจริงแค่นี้ค่ะ พอละ สำหรับการที่จะไตร่ตรอง ว่าลึกกว่านี้นะ แต่ว่าตั้งต้นด้วย คำว่าสิ่งที่มีจริง กำลังมีจริงๆ แต่ลึกกว่านี้ ก็คือว่าสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วก็ดับนั้นลึกกว่านั้นอีกก็คือ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น และดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย จะไปหาที่ไหนก็ไม่ได้อีกเลย ไม่ว่าชาติก่อน ชาตินี้ชาติหน้าต่อไป สิ่งที่เกิดเกิด แล้วดับไม่กลับมาอีก แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ มีประโยชน์ไหมคะที่จะฟัง เพราะว่าถ้าไม่ฟัง ก็คือว่าอยู่ไปด้วยความไม่รู้ตลอดทุกชาติ เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ค่ะ ประมาทไม่ได้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ทุกคำนี่ค่ะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่ถูกปิดบังไว้นานมาก กว่าจะเปิดเผยออกมาว่า แม้แต่สิ่งที่ปรากฏก็ต้องเกิด เกิดแล้วก็ดับทันที แต่ว่ามีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อนะคะ เร็วสุดที่จะประมาณ เพราะอะไร ไม่ว่าเห็นอะไรสิ่งนั้นเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มี และขณะนี้มีอะไรบ้าง แต่ว่าทุกอย่างที่เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดทั้งนั้น แล้วก็ดับไปทั้งนั้น แล้วก็เกิดสืบต่อทั้งนั้น แล้วก็ดับไปทั้งนั้น จนกระทั่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าเกิดแล้วดับ เพราะเหตุว่าติดต่อกันเร็วมาก หารอยต่อไม่เจอเลย ใครพบรอยต่อของเห็นกับได้ยินบ้างคะ กำลังเห็น แล้วก็ได้ยิน เห็นต้องดับเพราะขณะที่เสียงปรากฏ จะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ ขณะเสียงปรากฏต้องเป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏ อย่างอื่นไม่มีในที่นั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้ทั้งเห็นด้วย ทั้งได้ยินด้วย ทั้งคิดนึกด้วย ทั้งจำด้วย ทั้งชอบด้วย ไม่ชอบอะไรทั้งหมดนี่ค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น และก็ดับไป เพราะฉะนั้นจะตรงกับคำที่ว่า มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่านะคะ กว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ไม่ใช่ว่าเพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ กราบไหว้ใคร คะ ใครก็ไม่รู้หรือเปล่าคะหรือว่ารู้ว่าเป็นใคร

    ผู้ฟัง วันนี้ก็จะถามอาจารย์ว่า พระพุทธเจ้าคือใครนะคะ ความหมายของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ค่ะ พุทธะคือรู้ พุทธะคือปัญญา รู้คือรู้ความจริงนะคะเพราะฉะนั้นผู้ที่ทรงตรัสรู้ ใช้คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ธรรมดา ตรัสรู้ความจริงแท้ของทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงที่สุด ยิ่งขณะนี้อ่ะค่ะ จนถึงที่สุดคือเห็นต้องเกิด แล้วเห็นก็ต้องดับ ถูกต้องมั้ยคะ ได้ยิน เสียงมีจริงๆ เสียงเกิดปรากฏแล้วก็ดับ แต่ถ้าไม่มีสภาพที่กำลังได้ยิน เสียงจะปรากฎได้ไหม นี่คือความจริงนะคะ ถึงที่สุดว่า แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ นี่ค่ะ ไม่ใช่ใคร แล้วก็ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเป็นคน ถ้าไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีใจ ไม่มีคิด ไม่มีชอบ ไม่มีไม่ชอบ จะมีคนไหมคะ ก็ไม่มี แต่ว่าเมื่อมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ รวมกันอย่างรวดเร็วมากนะคะ เกิดดับสืบต่อ หารอยต่อไม่เจอเลย ขณะนั้นก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรา เป็นเขา แต่ว่าถ้าแยกออกแล้วนะคะ เป็นทีละ ๑ แต่ละ ๑ ปะปนกันไม่ได้เลย อย่างเสียงปะปนกับกลิ่นไม่ได้ สีสันวรรณะที่ปรากฏก็ไม่ใช่กลิ่น รสก็ไม่ใช่เสียง แล้วก็ไม่ใช่กลิ่น เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ นะคะ เป็นแต่ละ ๑ จริงๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่รวมกัน เหมือนเป็นโลกที่กว้างใหญ่มาก เป็นจักรวาล แยกย่อยออกมาแล้วเป็นทีละ ๑ ซึ่งปะปนกันไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นไม่มีใครเลย นอกจากธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมาย ของคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริง ซึ่งภาษาบาลีหรือภาษามคธีนี่นะคะ ก็ใช้คำว่าธรรม คือธาตุ สิ่งซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะของสิ่งนั้นไม่ได้ จะทำให้เกิดขึ้นก็ไม่ได้ แต่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย ที่จะให้เกิดขึ้น ถ้ามีปัจจัยให้เกิดเสียงนะคะ ขณะนั้นกลิ่นก็เกิดไม่ได้ แต่เมื่อมีปัจจัยให้เกิดกลิ่น ขณะนั้นเสียงก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ เป็นไปตามปัจจัย เมื่อมีการเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย โกรธมีจริงๆ นะคะ ถ้าไม่เห็นสิ่งที่ไม่ชอบ คงไม่โกรธ ถ้าไม่ได้ยินเสียงที่ไม่พอใจ ก็คงไม่โกรธ แต่ว่าเมื่อมีสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องเพราะปัจจัย ไม่ใช่เกิดได้ตามใจชอบ บังคับอะไรได้ไหมคะ ไม่ได้เลยเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา มาจากคำว่าอะไรคะ คุณคำปั่นค่ะ

    อ.คำปั่น คำว่าอนัตตานะครับ มาจากคำว่า น แปลว่าไม่ใช่ หรือว่าไม่มีครับ กับคำว่าอัตตาคือตัวตน เพราะฉะนั้นเมื่อรวมกันนะครับ แปลง น เป็นอะนะ รวมกันจึงเป็นอนัตตา หมายถึงสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะแค่นี้ค่ะ ยังต้องพิจารณาไตร่ตรองว่าจริงไหม ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่จริงรึเปล่า ไม่เห็นได้ไหมคะ เห็นเกิดแล้ว ไม่ให้ได้ยินได้มั้ย ได้ยินเกิดแล้ว ก่อนที่ใครจะไปทำให้ได้ยินเกิด หรือคิด อยากจะได้ยิน อยากได้ยิน แต่ไม่ได้ยินก็ได้ ไม่ใช่ว่าอยากได้ยินเมื่อไหร่ ก็ได้ยินเมื่อนั้น แต่ทุกอย่างนี่ค่ะ เกิดแน่นอนนะคะ โดยที่ว่าไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย อยากมีกิเลสไหมคะ กิเลสคืออะไรก่อนคะ คุณคำปั่นคะ กิเลสได้ยินคำนี้บ่อยๆ นะคะ กิเลสคืออะไร

    อ.คำปั่น คือเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่สะอาดไม่บริสุทธิ์ครับ

    ท่านอาจารย์ แม้แต่แต่ละคำ ก็ต้องเข้าถึงลักษณะ เช่นได้ยินคำแปลว่า มีมลทินไม่สะอาด เพราะฉะนั้นจิตเป็นจิต โกรธเป็นโกรธ โกรธ โกรธขึ้นเมื่อไหร่ ความโกรธจะเป็นจิตไม่ได้ค่ะ เพราะว่าโกรธเป็นสภาพที่หยาบกระด้าง ขุ่นเคือง ขัดเคือง ไม่พอใจ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีอยู่ทุกวันนะคะ ซับซ้อน ลึกซึ้ง ยากที่ใครจะรู้ได้ เพราะว่าเกิดมาเพียงแค่นิดเดียวเอง แล้วก็ดับไป เพราะว่าขณะนี้นะคะ ที่เห็นเป็นดอกไม้เนี่ยตั้งหลายดอก แค่ดอกเดียว ลองคิดดูสิคะว่า มีอะไรบ้าง ซึ่งขณะนั้นจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ มารวมกัน เป็นดอกไม้ดอกเดียว แต่มีดอกไม้ตั้งหลายดอก แล้วก็มีใบด้วย แล้วก็มีกิ่งก้านด้วย เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดมาก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ ในสิ่งที่มีจริง จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร เป็นคนที่ทรงตรัสรู้ความจริง ของทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ ที่มีจริง แต่ละ ๑ ปะปนกันไม่ได้เลยนะคะ อย่างละเอียดลึกซึ้งถึงที่สุด เพราะฉะนั้นจึงดับกิเลสได้ กิเลสเกิดเพราะไม่รู้ค่ะ

    ผู้ฟัง ทีนี้จะให้ท่านอาจารย์แนะนำว่า เราจะเริ่มจากตรงไหน ที่จะได้เข้าไปใกล้ท่านได้มากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ค่ะสมัยที่ยังไม่ปรินิพพานนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จบิณฑบาต ไม่ต้องมีใครเดินมาใกล้พระองค์ แต่พระองค์เดินไป ถึงตัวเลย เขารู้ไหมว่านี่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวสาวัตถีมีมาก ชาวมคธมีมาก พระพุทธเจ้าทุกเช้านะคะ ก็เสด็จบิณฑบาต ท่ามกลางมหาชน เขาเหล่านั้นรู้ไหมว่าพระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้นะคะ จนกว่าจะได้ฟังคำ ของทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมี ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เริ่มรู้จักไหมคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็คำจริงทรงแสดงไว้นะคะ ๔๕ พรรษา ทั้งพระวินัยปิฏก พระสุตตันปิฏก พระอภิธรรมปิฏก ทั้งหมดก็คือเป็นพระธรรมวินัย ธรรมคือสิ่งที่มีจริงนะคะ แล้วก็วินัยก็คือนำกิเลสออก เพราะฉะนั้นคำที่เข้าใจความจริงถึงที่สุด สามารถที่จะนำกิเลส ที่ทำให้จิตใจนี่ค่ะ เต็มไปด้วยความมืด เกิดมาก็มืด ไม่รู้ว่ามาจากไหน จากโลกนี้กันไปเป็นแถวแถว ก็ไม่รู้ว่าไปไหนกันใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นนี่ก็คือสิ่งซึ่งไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอะไรเกิด ก่อนเกิดมีไหม เกิดแล้วมีอะไรบ้าง เกิดแล้วก็เห็น เกิดแล้วก็ได้ยิน เกิดแล้วก็ได้กลิ่น เกิดแล้วก็ลิ้มรส เกิดแล้วก็คิดนึก เมื่อวานนี้เป็นอย่างนี้หรือเปล่า วันก่อนเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ตั้งแต่เกิดเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ก็ไม่มีใครพ้นจากเห็น พรุ่งนี้ก็เห็นอีก ต่อไปก็เห็นอีก แต่ใครจะรู้ว่าเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ดับไปทันทีที่เห็น แล้วดับไม่กลับมาอีกเลย แต่ก็มีสภาพธรรมที่เกิดสืบต่อนะคะ แน่น สนิท แกะไม่ออกกลายเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง จึงมีความเข้าใจว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ใช้คำว่าอัตตา

    ดอกไม้ก็เป็นดอกไม้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่กลิ่น ไม่ว่าจะกลิ่นอะไรก็ตามนะคะ ๑ กลิ่นเกิดขึ้น ดับไปเป็นกลิ่น ก็เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ต่อเมื่อรวมกันเมื่อไหร่ ก็รวม พวกนักมายากลนี่ค่ะ เค้าเล่นกลเก่งใช่ไหมคะ ทำให้คนไม่รู้ว่า เอ๊ะเขาทำได้ยังไง แต่ทำได้ ด้วยความชำนาญ แต่ขณะนี้ธรรม ชำนาญยิ่งกว่านั้น สามารถที่จะหลอกคือ ไม่ได้เจตนาตั้งใจนะค่ะ แต่สภาพธรรมนั้นๆ ที่เกิดแล้วก็ดับ ติดต่อกันเร็วมากเนี่ย ลวงให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ชัดเจนง่ายๆ ก็จุดธูปสักก้านหนึ่ง และแกว่งให้เป็นวงกลม จะเป็นวงกลมก็ต้องเป็น ธูปหลายดอกใช่ไหมคะ แต่นี่เพียงหนึ่งดอก แต่แกว่งให้เร็วเป็นรูปอะไรก็ได้ ก็ยังสามารถที่จะลวงให้เห็นว่า มีเหมือนหลายดอก แต่ความจริงก็เป็นแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเกิดดับสืบต่อ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ถ้าจะรู้จักว่า ใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ก็คือได้ฟังคำซึ่งไม่เคยได้ฟังจากคนอื่น

    ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกคือเราฟังธรรมจากท่าน เพื่อได้เข้าใกล้ท่านได้มากขึ้น แต่ทุกวันนี้ก็ฟังแล้ว ก็ยังหนีออกจากกิเลสไม่ได้ จะแนะนำตรงนี้ได้ยังไงคะ

    ท่านอาจารย์ กิเลสมีมากไหมคะ

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนนี้มีมากค่ะ ตอนนี้พอเข้ามาแล้วก็น้อยลง แต่ก็อยากจะให้มันพัฒนาขึ้นนะคะ

    ท่านอาจารย์ น้อยลงเมื่อไหร่ ขณะที่มีกิเลส หมายความว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ที่เริ่มเข้าใจน้อยลง ขณะนั้น ตรงนั้น เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ ฟังเผินไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567