ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๗๖

    สนทนาธรรม ที่ ร้านโป๊ด เรสเตอร์รอง

    วันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ผู้ฟัง กรรมฐานหมายถึงที่ตั้งของการกระทำของปัญญา ผมอยากจะรบกวนให้ขยายความนิดหนึ่งได้ไหมว่า กรรมฐานนี้หมายถึงปัญญา หรือว่าหมายถึงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรมีจริง บอกมาสักหนึ่ง

    ผู้ฟัง รูปธรรม

    ท่านอาจารย์ หนึ่ง รูปธรรมมากมาย

    ท่านอาจารย์ หนึ่งคืออะไร เสียง รู้ไหมว่าเสียงเกิดแล้วดับ

    ผู้ฟัง รู้

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าเสียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เข้าใจ ไม่ใช่คิดถึงเรื่องของเสียง เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีเราที่กำลังได้ยิน เข้าใจ

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏเป็นฐานะที่ตั้งของปัญญา ที่เริ่มเข้าใจถูกในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นความหมายของกรรมฐาน ฐานะคือที่ตั้งใช่ไหม เสียงมีจริงดับแล้ว รู้ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏไหม

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ในขณะที่เสียงยังไม่ได้ดับ รู้ไหม เห็นไหม เริ่มใกล้เข้ามาแล้ว แม้แต่เสียงเราได้ยินต่างกับอย่างอื่นที่ปรากฏ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย แต่เสียงเหมือนกับ เกิดดับ เกิดดับใช่ไหม แต่แม้กระนั้นที่เราเข้าใจ ก็ยังช้ามาก เพราะเสียงเกิดแล้ว ก่อนเสียงดับมีความไม่รู้ในเสียงนั้น หรือถ้าจะมีความรู้ในเสียงนั้น ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจถูกในเสียงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มเข้าใจถูกในสิ่งใด สิ่งนั้นเองเป็นฐานะที่ตั้งของกิจของปัญญา ที่เริ่มจะเข้าใจถูกในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นกรรมฐาน

    ผู้ฟัง เห็นแบบค่อยๆ เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เข้าใจทีเดียวได้อย่างไร

    ผู้ฟัง แล้วอย่างนี้หมายความว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ถ้าใครกำลังเริ่มเข้าใจสิ่งใด สิ่งนั้นเองเป็นกรรมฐานของปัญญา ไม่ต้องไปนั่งที่ไหน ไม่ต้องทำอะไร แต่ว่ามีสิ่งที่ปัญญากำลัง เริ่มทำกิจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ยากแค่ไหน ใครไม่รู้บ้างว่า เห็น ไม่ใช่เรา ฟังมาแล้ว ก็รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา แต่จริงหรือเปล่า กำลังเกิดแล้วก็ดับหรือเปล่า ที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เราจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นกรรมฐานคืออะไร คือเห็น ก็เป็นกรรมฐาน เมื่อเริ่มเข้าใจเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ เมื่อเริ่มเข้าใจ ก็เป็นกรรมฐานของปัญญาที่เริ่มเข้าใจ เพราะฉะนั้นฐานะก็คือ ธรรมทั้งหมด ซึ่งไม่เคยเข้าใจก่อนเลย แล้วก็สติสัมปชัญญะ จากการได้ฟังแล้ว เริ่มเห็นถูกเฉพาะทีละหนึ่งทีละหนึ่งทีละหนึ่งที่ปรากฏ หนึ่งนั่นเองเป็นกรรมฐานของปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง เพื่อนำไปสู่วิปัสสนาญาณ

    ท่านอาจารย์ เพื่อรู้แจ้งตรงตามที่ได้ฟังว่าคำจริงทั้งหมด สามารถที่จะเข้าถึงได้ด้วยปัญญาที่เจริญขึ้นตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นเห็นไหม ถ้าไม่ศึกษาธรรม เราถูกบอกให้หลงไป ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจเลย แต่เดี๋ยวนี้พอถามคำว่ากรรมฐาน สามารถบอกได้ กัมมะคือการกระทำ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่ได้เกิดมาลอยๆ เกิดขึ้นมาทำกิจหนึ่งกิจใดแล้วก็ดับไป อย่างขณะนี้นามธรรมที่เห็นใช้คำว่าจิตก็ได้ จิตเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ จิตเกิดขึ้นได้ยินแล้วดับ เพราะฉะนั้นจิตเห็นทำกิจเห็น จิตได้ยินทำกิจได้ยิน จิตได้ยินทำกิจเห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นกิจหน้าที่ของนามธรรมทั้งหมด มี ๑๔ กิจ ทรงแสดงไว้โดยละเอียด โดยประการทั้งปวงไม่ให้เราต้องไปคิดอะไรเองเลยทั้งสิ้น แต่ฟังแล้วไตร่ตรอง ไม่ใช่สงสัย ถ้าสงสัยแปลว่าเราไม่ได้ไตร่ตรอง อย่างเมื่อเช้า วิจิกิจฉานั่นเอง ใช่ไหม เป็นของธรรมดาเพราะไม่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่รู้ แล้วก็สงสัยด้วย แต่เวลาที่ไม่สงสัยก็มี แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นความไม่รู้ ในขณะนั้น ซึ่งเมื่อมีความสงสัยเกิดร่วมด้วย ทุกขณะเป็นธรรมซึ่งกระจ่างชัดขึ้น จากความมืดสนิมที่ไม่รู้อะไรเลย จากการฟังพระธรรม เดี๋ยวนี้เป็นจิตเจตสิกทั้งหมด ถ้าไม่พูดคำนี้ ทุกคนก็ลืมจิตเจตสิก ไม่คิดถึงจิตเจตสิกเลย และจะเป็นกรรมฐานเมื่อใด เมื่อปัญญากำลังค่อยๆ รู้เฉพาะลักษณะนั้นด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นอีกระดับขั้นหนึ่ง ที่เกิดจากการฟังแล้วเข้าใจมั่นคง จากปริยัติเป็นปฏิปัตติ จากปฏิปัตติซึ่งคนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ เป็นปฏิเวธ รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ทีนี้วิปัสสนาท่านเรียกว่า เป็นสติสัมปชัญญะได้ไหม

    ท่านอาจารย์ รู้จักสติไหม เพราะฉะนั้นเพียงฟัง ยังไม่ถึง โดยมาก พูดคำว่าวิปัสสนาแต่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปทำวิปัสสนา เมื่อไม่รู้แล้วทำ จะถูกได้ไหม ก็ไม่มีทางที่จะถูกได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ตั้งต้นใหม่ให้ถูกต้อง จะได้เร็วดี มัวแต่จะไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ก็พอดีไม่มีเวลาที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นไม่คำนึง ไม่คร่ำครวญ ไม่เสียดาย สิ่งที่ล่วงไปแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็ยังไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังฟังให้เข้าใจความจริง เพื่อที่จะถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่าปฏิบัติในภาษาไทย แต่ภาษาบาลีคือปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะทีละหนึ่ง ปัตติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้น ด้วยความเข้าใจจากการฟัง จนกระทั่งค่อยๆ เห็นตรงตามความเป็นจริง จึงเป็นปฏิบัติ เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติผิดไหม

    ผู้ฟัง ผิด

    ท่านอาจารย์ เพราะไปทำ ไม่ใช่เข้าใจ

    ผู้ฟัง แล้วปฏิเวธคือการ

    ท่านอาจารย์ ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เป็นวิปัสสนาญาณ ปัญญาอีกระดับหนึ่ง

    ผู้ฟัง ไม่สามารถที่จะเกิดพร้อมกับปฏิบัติได้ หรือเกิดพร้อมกับปริยัติได้

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร ปริยัติคืออะไร

    ผู้ฟัง การศึกษา

    ท่านอาจารย์ ฟังเข้าใจ

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร เพราะฉะนั้นเราไม่ข้ามขั้นเลย ฟังให้เข้าใจทีละคำ สติคำเดียว สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ ถ้าไม่ต่างขั้นกัน จะต้องมีคำต่างไหม แต่ทั้งหมดก็คือสติ เพราะฉะนั้นการศึกษาต้องละเอียด ไม่ใช่ไปเก็บคำโน้นมาคำนี้มา แล้วอยากรู้ และอยากเข้าใจเฉพาะคำนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องมีพื้นฐานที่เข้าใจจริงๆ ตั้งแต่ต้น ถ้าเข้าใจคำนี้ ก็เข้าใจคำนี้ ไม่ว่าจะปรากฏที่ไหนในพระไตรปิฎกทีละคำทีละคำสอดคล้องกันทั้งหมด

    ผู้ฟัง แต่ขณะที่กำลังศึกษาปริยัติ ก็คือศึกษา

    ท่านอาจาร์ ฟังเดี๋ยวนี่เป็นปริยัติหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเมื่อใด เป็นความรู้ที่เกิดจากการฟัง

    ผู้ฟัง แต่นั้นเป็นกุศลเพราะเกิดกุศลก็ต้องเกิดสติด้วยไม่ใช่หรือ

    ท่านอาจารย์ รู้จักสติไหม

    ผู้ฟัง สติคือเกิดขณะที่เป็น

    ท่านอาจารย์ นั่น ก่อนอื่นสติคืออะไร

    ผู้ฟัง การระลึกรู้

    ท่านอาจารย์ ระลึกอย่างไร

    ผู้ฟัง ขณะที่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เช่น

    ผู้ฟัง ขณะที่กำลังสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วสติอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็เกิดขึ้นขณะที่สนทนาธรรม ก็เป็นสติ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเมื่อใด

    ผู้ฟัง เข้าใจขณะที่สนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องมีสติเกิดร่วมด้วย แต่ไม่เห็นสติเลย ใช่ไหม ได้แต่รู้ว่าขณะหนึ่งที่เข้าใจมีสภาพธรรมอะไรเกิดร่วมกัน ศรัทธาก็มี หิริก็มี โอตตัปปะก็มี อโลภะก็มี อโทสะก็มี มากมาย ไม่เห็นปรากฏ เพียงแต่ฟังรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นสภาพธรรมที่ต้องมีสภาพธรรมอีกกี่ประเภทเกิดร่วมด้วย ศึกษาธรรมเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อสงสัย สงสัยแปลว่าไม่ได้ไตร่ตรอง ถ้าไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจ

    ผู้ฟัง ดูใกล้เคียงกันมาก

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าไม่ละเอียด ไม่สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมได้

    ผู้ฟัง อีกคำถามหนึ่ง คือวันก่อนที่สนทนาที่วังพญาไท ที่มีคนถามเรื่องของอินทรีย์กับพละ คือผมแค่เข้าใจว่า อินทรีย์เป็นใหญ่ พละคือมีกำลัง แต่ว่ายังไม่เข้าใจถึงตัวอรรถจริงๆ

    ท่านอาจารย์ อยู่ในน้ำอยากขึ้นบกไหม

    ผู้ฟัง คงอีกนาน

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าแต่ละคำ ขอให้เป็นความเข้าใจ ไม่ใช่ความอยากรู้ ถ้าเป็นความอยากรู้ก็อยากไปหมดเลยทุกคำในไตรปิฎก อยากรู้ แต่ถ้าเป็นความเข้าใจ รู้ว่าไม่เข้าใจ และเข้าใจมั่นคงแค่ไหน อย่างแม้ว่าธรรมทุกอย่างเลย ระลึกขึ้นได้ โกรธเขาไหม ถ้ามีใครทำให้โกรธ โกรธไหม ถ้าระลึกได้ สติเกิดรู้ว่าไม่มีใคร จะโกรธตา หรือจะโกรธคิ้ว หรือจะโกรธจมูก หรือจะโกรธอะไร เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องที่สุด เพราะความเข้าใจต่างหาก ที่จะละอกุศลไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ยังจับไม่ได้ว่าตรงไหนคือบุญ ตรงไหนคือเราทำบุญ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ายังไม่รู้ว่าบุญคืออะไร

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะฉะนั้นถึงจะฟังไปอย่างไรอย่างไร ถ้าไม่ตั้งต้นด้วยคำว่าคืออะไร ไม่มีทางรู้ คุณธีรพันธ์ บุญคืออะไร

    อ.ธีระพันธ์ บุญคือสภาพจิตที่ดีงาม ขณะนั้นไม่มีความติดข้อง แล้วก็ขณะนั้นไม่มีความไม่รู้เกิดร่วมด้วย เพราะว่าบุญเป็นสภาพธรรมที่ชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ แต่ว่ายังไม่บริสุทธิ์ได้ทันที เพราะว่าบุญนี้มีหลายขั้น เป็นไปในการให้ทาน การรักษาศีล กายวาจาที่ดีงาม ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น การอบรมเจริญปัญญา การฟังธรรม การสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ก็ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังพระธรรม ไม่ว่าจะเคยทำดีใช่ไหม เคยช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น แต่ว่าจะไม่เข้าใจความจริง ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่กล่าวให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ แม้แต่ที่กล่าวถึงบุญ ก็คือสภาพธรรมที่ดีงามที่ชำระจิตให้สะอาด ปราศจากอกุศล ความดีเกิดขึ้นขณะใด บุญเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น ซึ่งความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ทของความดี ก็จะไม่ว่างเว้นจากการที่ได้สะสมความดี เพราะรู้คุณของความดีว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งท่านก็ได้สนทนาในวันนี้ว่าทุกครั้งที่ทำดี ขณะนั้นเป็นการสละ สละสิ่งที่ไม่ดี ที่เคยมี ทำในสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ และก็นอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับตนเองแล้ว ความดีก็ยังเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้อื่นด้วย เพราะฉะนั้นอรรถของบุญ ก็คือสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาด ปราศจากอกุศล ซึ่งก็คือขณะที่ความดีเกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่นั่นเอง

    ผู้ฟัง ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องไปนั่งสมาธิ ไปภาวนาอะไร เพื่อให้ได้บุญใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าไม่ได้ให้เข้าใจอะไรเลย

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดที่คิดว่าเข้าใจแล้ว เข้าใจแค่ไหน แม้แต่ภาษาบาลีเช่นคำว่าปุนยะ และคนไทยใช้คำว่าบุญ เราเข้าใจแค่ไหน แต่ภาษาไทยเราธรรมดา ความดีความชั่วพูดอย่างนี้ เราก็รู้ใช่ไหม แต่ก็ยังไม่พอ ก็ต้องมีตัวอย่าง ดีคืออะไร ความดีที่ว่าดี คืออะไร และความชั่วที่ว่าไม่ดีคืออะไร แล้วสิ่งนั้นมีจริงๆ ใช่ไหม ไม่เคยรู้ความจริงว่า คืออะไร รู้แต่ว่าเขาดีเราดี คนโน้นดี คนนี้ชั่วใช่ไหม เป็นคนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ไม่รู้ความจริงเลยว่า ความดีต้องเป็นสิ่งที่ดีเท่านั้น จะเป็นใครไม่ได้เลย นี่คือเริ่มที่จะค่อยๆ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ว่าจะโดยตำราหลายวิชาการใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริง ว่าสิ่งที่มีจริงๆ นั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นพูดแต่คำที่ไม่รู้จัก แม้แต่บุญก็ไม่รู้จักใช่ไหม แต่ทีนี้พอฟังว่าความดีมีไหม มี ความชั่วมีไหม มี มองเห็นไหม มองไม่เห็นเพราะอะไร มีแต่มองไม่เห็นเพราะอะไร เห็นไหม ย้อนกลับไปหาคำเดิม เพราะเป็นสภาพรู้ ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่ดี กับสภาพรู้ซึ่งเป็นสภาพที่ดี เพราะฉะนั้นสภาพรู้ก็มีทั้งดี และชั่ว แต่ต่างคนต่างเป็น ไม่ใช่รวมกัน ความโกรธจะให้เป็นความกรุณาได้ไหม ไม่ได้ เป็นเราหรือเปล่า เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งค่อยๆ ละเอียดขึ้น และแม้แต่บุญก็หมายความถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะที่ดี คนนั้นใจดี ลองบอกหน่อยว่าเขาใจดีอย่างไร เห็นไหม ก็ต้องค่อยๆ บอกมา เขาให้ทาน ช่วยเหลือคนอื่น พูดคำที่เป็นประโยชน์พวกนี้ นี่คือดี ส่วนคนนั้นใจร้าย เขาร้ายอย่างไร ก็ต้องพูดร้าย ปากร้าย ใจร้าย ว่าร้าย คิดร้ายต่างๆ นานา ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นล้วนเป็นธรรมทั้งนั้น จากการที่เป็นคนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความไม่รู้ ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องย้อนกลับมาตามลำดับ เพื่อความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไรเมื่อสักครู่นี้ นามธรรมเป็นนามธรรม รูปธรรมเป็นรูปธรรม ถูกต้องไหม รูปธรรม วันดีคืนดีจะเกิดรู้อะไรขึ้นมาได้ไหม ไม่ได้แน่นอนที่สุด เพราะเหตุพระสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนั้น จึงเป็นสภาวธรรม สิ่งที่มีมีลักษณะเฉพาะอย่างนั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ส่วนนามธรรมมองไม่เห็นเลย แต่ปรากฏในชีวิตประจำวันได้ อย่างโกรธอย่างนี้ อร่อย มีจริงๆ ไหมคะ พูดแล้ว เห็น ได้ยินออก เป็นอาหารอร่อย โน้นก็อร่อย นี่ก็อร่อย เพราะฉะนั้นอร่อยมีจริงๆ ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่าก่อนอื่น

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นธรรมแล้วต้องเป็นธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดใช่ไหม คือนามธรรมหรือรูปธรรม เพราะฉะนั้นอร่อยเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง รู้สึกได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นความรู้สึก เป็นความรู้ เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ เราต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงๆ มีทั้งดี และชั่ว แต่สภาพของธาตุรู้ที่บอกว่ารูปธรรมกับนามธรรม จากธรรมหนึ่ง ทุกอย่างเป็นธรรม แยกออกเป็น ๒ ธรรมต่างกันเป็นสภาพรู้นามธรรมกับสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเป็นรูปธรรม และต่อไปนี้ก็แบ่งออกอีก ตามความเป็นจริงเข้าใจให้ถูกว่าเป็น ๓ นามธรรม รูปธรรม เป็นรูปธรรม ๑ เป็นนามธรรม ๒ คือเป็นจิต และเจตสิก เคยได้ยินคำนี้ก่อนไหม

    ผู้ฟัง เคย

    ท่านอาจารย์ เคย

    ผู้ฟัง แต่ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่สามารถที่จะแยกเจตสิกออกจากจิตได้เลย เป็นจิตไปหมดเลย ใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริง เฉพาะธาตุรู้ ธาตุรู้อย่างเดียวไม่ดีไม่ชั่ว เพราะอะไร รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฎเสียงมีหลายเสียง ทำไมว่าหลายเสียง เพราะจิตรู้แจ้งทีละหนึ่งเสียง จึงรู้ว่าเสียงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งนั้นไม่ใช่เสียงเดียวกัน และเป็นเสียงที่หลากหลายด้วย เห็นจริง ดอกกุหลาบสีเหลือง กับดอกกุหลาบสีชมพู เป็นจิต เป็นสภาพที่รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ไปเปลี่ยนสีชมพูให้เป็นสีเหลือง และไม่ต้องเรียกว่าชมพู ไม่ต้องเรียกว่าเหลือง แต่สภาพที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏอย่างนั้น คือจิต ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอีกคำหนึ่งของจิต ก็คือคำว่าปัณฑระ ผ่องแผ้ว จนกว่าจะมีเจตสิกสภาพนามธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้เกิดกับจิตแล้วแต่ว่าเจตสิกนั้น จะเป็นเจตสิกที่ดี หรือเจตสิกที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นบุญก็คือเจตสิกที่ดี เกิดกับจิตใด จิตนั้นก็เป็นจิตที่ดี เพราะว่าจิตเจตสิกไม่ได้แยกกันเลย แต่ต้องเข้าใจให้ละเอียดว่าการที่จิตหลากหลายมาก เพราะเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตนั้นๆ ปรุงแต่งให้จิตนั้นหลากหลายมาก ดีชั่วก็ต่างกันใช่ไหม ความโกรธมี ตั้งแต่ความขุ่นใจ นิดเดียวจนกระทั่งถึงมากมาย พยาบาท อาฆาตได้ ก็เป็นสภาพของความขุ่นใจ เพราะฉะนั้นจึงมีหลายๆ คำ ซึ่งแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ แต่นั่นเป็นเจตสิก ถ้าเป็นจิต ก็คือธาตุรู้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก คิดดีก็มีใช่ไหม คิดชั่วก็มี จิตไม่ใช่ดีชั่ว แต่คิดด้วยโลภะ เพราะโลภะเกิดกับจิต ทำให้จิตเป็นอกุศลจิต ถ้าคิดที่จะให้ทาน ช่วยเหลือคนอื่น ขัดเกลากิเลสก็เป็นฝ่ายกุศล สภาพนั้นเป็นเจตสิก เกิดกับจิตๆ นั้นก็เป็นกุศลเท่านี้เองทั้งวัน ก็คือจิตเจตสิกรูป จาก ๑ ธรรมเป็น ๒ คือนามธรรม รูปธรรม เป็น ๓ คือรูป ๑ นามธรรม ๒ คือจิต และเจตสิก พอจะแยกได้ใช่ไหมว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นเจตสิกทั้งหมดที่มีในวันหนึ่งวันหนึ่ง ที่เราพูดถึง ถ้าไม่ใช่สภาพที่เฉพาะรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน เช่น เห็นได้ยิน และเป็นเจตสิกทั้งหมด ลองยกตัวอย่างเจตสิกได้ไหม ขยันมีไหม คนนั้นขี้เกียจ คนนี้ขยัน ก็พูดกันอยู่ทุกวัน แต่ไม่ใช่เราเป็นอะไร เป็นจิต และเจตสิก แต่จิตเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นขยันต้องเป็นเจตสิก ขี้เกียจก็ต้องเป็นเจตสิก จิตเขารู้อย่างเดียว เห็นเท่านั้น แล้วแต่เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แต่ความจริงละเอียดกว่านี้มาก นี่เพียงเบื้องต้นที่พอจะแยกให้เห็น ความต่างกันของธรรม ที่แม้ว่าเป็นธรรมแต่ก็เป็นนามธรรมประเภทหนึ่ง เป็นรูปธรรมอีกประเภทหนึ่ง แม้ว่าเป็นนามธรรมก็ยังต่างเป็น ๒ คือจิตเป็นจิต เจตสิกเป็นเจตสิก เจตสิกมี ๕๒ ประเภท ทำให้จิต ๑ เป็น ๘๙ ประเภท ตามเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย หรือเป็น ๑๒๑ ประเภทโดยพิเศษ

    ผู้ฟัง แสดงว่าบุญไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครไปแสวงอะไรได้เลย แต่มีธรรมที่เกิดแล้วเพราะปัจจัยตลอดเวลา ยับยั้งการเกิดดับของธรรมไม่ได้เลย มีปัจจัยที่จะเกิดดับไปเรื่อยๆ เกิดดับมาก่อนนี้แล้ว แสนโกฏชาติก็ตามแต่ แล้วข้างหน้าก็จะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะยังไม่ได้ดับเหตุที่จะให้เกิด เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวชาติหนึ่งเป็นสุขเป็นทุกข์ ชาติโน้นเป็นเจ็บไข้ได้ป่วย ชาตินี้เป็นอะไรต่อมิอะไร เป็นขอทาน เป็นยาจกเป็นพระราชา เป็นโอรสของพระราชา เป็นอะไรแล้วก็แล้วแต่ แล้วไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้เข้าใจธรรม แล้วละเลยโอกาสนั้น ต่อไปก็เกิดดับไปเรื่อยๆ ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง หรือเมื่อได้ฟังแล้วถ้าไม่คิดว่ามีประโยชน์ใช่ไหม ชาตินั้นก็ไม่ได้ภาวนา ไม่ได้อบรม ไม่ได้เจริญความเห็นถูก

    ผู้ฟัง ทุกวันนี้ สื่อต่างๆ เข้าถึงได้ง่าย ทางธรรมก็เหมือนกัน ทีนี้เราจะเลือกฟังอันไหน ที่ว่าเป็นธรรม สอนถูกหรือไม่ถูก

    ท่านอาจารย์ พูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่า หรือไปพูดเรื่องอื่น ให้บริจาคมากๆ ให้สร้างวัด ให้สร้างอะไรต่างๆ เหล่านั้น นั่นไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่พุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะรู้ความจริง ไม่หลับ ไม่หลง เพราะฉะนั้นก็รู้ได้เลย ใครพูดเรื่องอื่นที่ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้คุณติ๊ก ได้ฟังนิดหนึ่งว่าวิถีจิตคืออะไร

    ท่านอาจารย์ จิตคืออะไร เป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ ซึ่งเฉพาะเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง จิตไม่ดีไม่ชั่ว แต่จิตจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเจตสิกนามธรรม ซึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น จึงใช้คำว่าเจตสิตกะ มีทั้งหมด ๕๒ ประเภท ที่ใช้คำว่าเจตสิกเพราะเหตุว่า เกิดกับจิต เกิดในจิต แยกกันไม่ออกเลย แต่จิตก็ยังคงเป็นจิต ไม่ใช่เจตสิก และเจตสิกแต่ละหนึ่งก็เป็นเจตสิก ซึ่งก้าวก่ายสับสนกันไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    16 ธ.ค. 2567