ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
ตอนที่ ๙๗๘
สนทนาธรรม ที่ สำนักงานเขตพระโขนง
วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ เข้าใจว่าทุกท่านที่นี่ เป็นชาวพุทธถูกต้อง พุทธะคืออะไร สำคัญมากคือไม่ใช่เพียงชื่อ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย พุทธะคือรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ รู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ในภาษาไทย ภาษาบาลีก็มีหลายคำ ใช้คำว่าปัญญาก็ได้หรือว่าสัมมาทิฏฐิก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนที่ตรง ข้อความในพระไตรปิฎก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ผู้ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม เพราะพระธรรมตรง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่กล้าที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วก็มั่นคงในความถูกต้อง เพราะเหตุว่าปัญหาทั้งหมดมาจากความไม่รู้ และความไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นแม้แต่ชาวพุทธ ถ้าถามว่า แล้วชาวพุทธก็คือผู้ที่รู้ แล้วรู้อะไร เห็นไหม เพราะฉะนั้นแต่ละคนต้องเป็นผู้ที่เริ่มตรงที่รู้ว่า สำหรับพวกเรายังมีโอกาสที่จะได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อื่นไม่มีคำนี้ แต่ว่าต้องให้รู้คุณค่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย แต่ก่อนนั้นมี พอตรัสรู้ก็บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด ยากไหม มีกิเลสมาก ทุกคนมองเห็น เวลารับประทานอาหาร ก็มีกิเลส อะไรอร่อย อะไรไม่อร่อยไปที่ไหน ทำอย่างไร เป็นความต้องการทั้งนั้น เป็นกิเลสซึ่งมีตั้งแต่อย่างที่เล็กน้อยมาก ไม่รู้สึกตัวเลย จนกระทั่งสามารถปรากฏให้คนอื่นเห็น เป็นทุจริตต่างๆ
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าไม่ได้รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเรามีโอกาสจะได้ยินคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงดับกิเลสหมดสิ้น ไม่ใช่เพียงธรรมดาอย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย แต่ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วยพระองค์เอง คิดดู ธรรมดาธรรมดาอย่างนี้ ให้อยู่ในพระนครสาวัตถี พระองค์ก็เสด็จบิณฑบาต ใครเห็นก็ธรรมดา เหมือนพระภิกษุที่บิณฑบาตทั่วๆ ไป แต่ว่าพระองค์เป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเปรียบได้เลยในจักรวาลกี่จักรวาลก็ตาม เพราะว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกัน ๒ พระองค์ไม่ได้เพราะพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณทั้งหมดเลิศหาผู้เปรียบไม่ได้ เรามีโอกาสได้ฟังคำนี้ แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการที่ทรงมีกิเลส ในชาติก่อนๆ จนกระทั่งสามารถที่จะบำเพ็ญบารมี ถึงการรู้ความจริง เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แล้วแสดงธรรมให้เราสามารถที่จะเข้าใจความจริง แต่ต้องเป็นผู้ที่ฟังพระธรรม ไม่ใช่เป็นผู้ที่คิดเอง
เพราะฉะนั้นทุกคำน่าคิด และทั้งหมดเป็นคำสอน ที่ทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษา รวบรวมเป็นพระไตรปิฎก ๓ ปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ได้ยินคำว่าพระไตรปิฎก ก็ควรที่จะได้รู้ด้วยว่าพระวินัยปิฎกเป็นข้อประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็เห็นประโยชน์ของการที่จะละอาคารบ้านเรือน มีอัธยาศัยใหญ่ สละทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด เพื่อที่จะเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นต้องมีความประพฤติไม่เหมือนชาวบ้านเช่นเคย นั่นคือพระวินัยปิฎก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของข้อประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งคฤหัสถ์สามารถที่จะอ่านเข้าใจได้ เห็นกิเลสมากมาย จากการได้เข้าใจพระวินัย จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท ในการที่จะศึกษาธรรม สำหรับพระสุตตันตปิฎกก็เป็นเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาค เสด็จจาริกทรงแสดงธรรม ตรัสทุกเรื่องกับบรรดาบุคคลในครั้งโน้น จนกระทั่งท่านเหล่านั้นมีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูกตามพระองค์ พระอภิธรรมปิฎก ชื่อว่าอภิ ยิ่ง ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นอภิธรรมที่ฟังเวลาไปสวดงานศพใช่ไหม สวดพระอภิธรรม ก็หมายความถึง สวดธรรมที่เป็นธรรม ที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทั้ง ๓ ปิฎก เป็นคำที่เป็นปิฎกที่รวบรวมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า น่าศึกษา น่าฟัง น่าเข้าใจไหม ลองคิดดู แม้ว่าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว นาน แต่พระธรรมยังอยู่
เพราะพระธรรมทั้งหมดนี้เป็นความจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และความจริง ต้องจริงทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้นไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน ตราบใดที่ยังมีผู้ที่เห็นประโยชน์ที่จะเข้าใจ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็มีการสนทนาธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา นานแสนนานมาแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ ก่อนอื่นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ชาวพุทธผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ไม่รู้ ถูกคือถูกผิดคือผิด ต้องตรง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้รู้อะไร เห็นไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทุกคนตอบได้ว่าจากเจ้าชายสิทธัตถะ และก็ได้ตรัสรู้ธรรม ดับกิเลสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงตรัสรู้ธรรมอะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เองตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แต่ถูกปกปิดไว้จนกว่าจะมีผู้เปิดเผย โดยการที่ได้ทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนี่เอง ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่มีจริงคืออะไร เดี๋ยวนี้ความจริง นั่นก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ว่าถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถูกปกปิดไว้ให้ไม่รู้เหมือนเดิม เกิดมาแล้วก็ตายไป ก็รู้แค่นี้ แล้วก็ยังเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริงถ้าได้ฟังธรรมแล้ว จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม เพราะธรรมคือแต่ละหนึ่งซึ่งมีจริง และพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าฟังอย่างนี้แล้วเริ่มไตร่ตรอง ต้องเป็นความที่เห็นประโยชน์ว่า แม้แต่เพียงคำเดียวว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าข้ามคำนี้ไป ไม่มีการรู้จักธรรมเลย จะไปศึกษาพระไตรปิฎก อรรถกถาอย่างไร แต่เพียงคำเดียวถ้าไม่รู้จริงๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างยิ่ง คงเคยได้ยินคำว่าธรรมแล้วใช่ไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วพระธรรมคืออะไร หรือธรรมคืออะไร แค่นี้ผ่านไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราสนทนาธรรม คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจความจริงยิ่งขึ้น ถ้าจะเริ่มฟังว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ผิดไหม มีจริงๆ ภาษาไทยบอกว่าสิ่งที่มีจริง แต่ภาษาบาลีไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่ใช้คำว่าธรรม สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่มี กำลังมีด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ได้ยินกันบ่อยๆ แต่ก็ต้องเข้าใจด้วย สัพเพแปลว่าทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งสิ้น ธรรมา ธรรมทุกอย่างคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งทุกอย่าง สัพเพ ธัมมา อนัตตา มีคำ ๒ คำ อัตตากับอนัตตา อัตตาก็หมายความว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด อนัตตาไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งรวมกัน ทำให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแยกย่อยออกไป เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งต้องเกิดขึ้น จึงมีได้ เกิดแล้วก็ดับไป อย่างดอกไม้ หนึ่งแล้วใช่ไหม อัตตา ดอกไม้ก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่ง ดอกไม้ โต๊ะ ก็ต้องเป็นอัตตาสิ่งหนึ่ง คือโต๊ะ คนก็เป็นอัตตาเหมือนกัน เมื่อรวมกัน ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่าไม่มี แต่ว่ามีธรรมแต่ละหนึ่งต่างหาก และแต่ละหนึ่ง
ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังรวมกันให้หลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือเป็นอัตตาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นสิ่งซึ่งไม่เผิน ฟังแล้ว ถึงจะเข้าใจมากน้อยอย่างไรก็ตาม แต่ความจริงนั้นเปลี่ยนไม่ได้ โกรธเป็นธรรมหรือเปล่า ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้นโกรธเป็นธรรมหนึ่งในบรรดาธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่เราโกรธ ไม่ใช่พี่ป้าน้าอาโกรธ ไม่ใช่เพื่อนบ้านโกรธ โกรธเกิดเมื่อมีปัจจัย แล้วโกรธก็ดับไป ไม่ได้โกรธอยู่ตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เกิดตามใจชอบไม่ได้เลย ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจ จะโกรธไหม ไม่โกรธ แต่พอเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่โกรธได้ไหม ก็ไม่ได้ นี่คือความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นทุกคำค่อยๆ เข้าใจขึ้น ชัดเจนขึ้น แล้วก็รู้ว่ากว่าจะได้เข้าใจความลึกซึ้งจริงๆ ของธรรม ก็ต่อเมื่อเห็นประโยชน์ เป็นชาวพุทธคือผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ใช่ผู้ที่หลงงมงาย แต่ว่าชาวพุทธต้องรู้ รู้อะไร รู้จักพระรัตนตรัยที่กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ต้องละเอียดว่า แล้วจะพึ่งยังไงไม่ใช่พึ่งให้ร่ำรวย ไม่ใช่พึ่งให้หายโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ใช่พึ่งให้มีลาภยศสรรเสริญ แต่พึ่งให้รู้ความจริงของสิ่งที่มี เพราะว่าเข้าใจว่าเราเกิดใช่ไหม แล้วเราตาย แล้วหายไปไหน ที่เกิดมาหายไปไหน ถึงเวลาก็ต้องจากโลกนี้ไป ไม่เหลือเลย แล้วก่อนจากโลกนี้ไป ทุกๆ วัน เมื่อวานนี้หมดแล้ว เมื่อสักครู่หมดแล้ว หมดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ที่ใช้คำว่าตายจากโลกนี้ แต่ก็มีปัจจัยที่จะเกิด แล้วแต่ว่าจะเป็นอะไร ตามเหตุตามปัจจัย
นี่คือความหมายของสังสารวัฏ ที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นคำที่ควรเข้าใจละเอียดขึ้น จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงเป็นที่พึ่งที่แท้จริง เพราะว่าพึ่งในชาตินี้ แล้วก็พึ่งในชาติต่อๆ ไปด้วย เมื่อสามารถที่จะมีความรู้ความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น น่าฟัง น่าศึกษา น่าเข้าใจพระรัตนตรัยไหม เป็นชาวพุทธถ้าไม่รู้จักพระรัตนตรัย ก็เป็นชาวพุทธได้ไหม หรือเรียกว่าชาวพุทธ แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ เป็นผู้ที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะเหตุว่าไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่หลงคิดว่าเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ธรรมเป็นเรื่องที่เป็นสมบัติที่ล้ำค่า แม้ว่าจะมีเงินทอง มากมายมหาศาล แต่ถ้าไม่รู้ความจริงก็เป็นทุกข์ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นต้น ใครห้ามได้ นั่งกันอยู่เดี๋ยวนี้ ที่นี่ เย็นนี้ อาจจะจากโลกนี้ไปก็ได้ ไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้นจะมีอะไรที่จะเป็นสมบัติจริงๆ ที่จะติดตามไป ก็คือความเห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นชาวพุทธต่อไป เมื่อมีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจขึ้น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ แต่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็เปลี่ยนใหม่ ให้เป็นชาวพุทธจริงๆ ไหนๆ ได้ชื่อว่าชาวพุทธ ก็ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมี ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากมาย เยอะแยะหมดเลย ไม่มีวันจบตลอดชีวิต ต่อๆ ไปด้วย เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจถูก ไม่ว่าจะมีข้อสงสัยหรืออะไรทั้งสิ้น คำตอบมีในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด
ผู้ฟัง อยากจะขอความกรุณาท่านอาจารย์กล่าวถึงองค์ธรรม ๕ ประการ ของอุบาสกรัตนะ อุบาสิการัตนะ
ท่านอาจารย์ อยากเข้าใจ เห็นไหม หนีไม่พ้นโลภะเลย
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ คนที่อ่านพระไตรปิฎก จะไม่พ้นจากอยากรู้ตรงนั้น อยากรู้ตรงนี้ แต่ว่าเข้าใจอะไรตั้งแต่ต้นหรือเปล่า อันนี้สำคัญมากที่สุด บางคนฟังอย่างนี้ อยากรู้อริยสัจ ๔ รู้ไปทำไม มีแต่ชื่อ แต่ว่าเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้หรือเปล่า อริยสัจ ๔ ไม่ได้อยู่นอกขณะนี้เลย แต่ว่าไม่ได้รู้เท่านั้นเองว่า สัจจะคืออะไร อริยะคืออะไร เพราะฉะนั้นก่อนอื่นขอให้เป็นผู้ที่ละเอียด แต่ละคำ
ผู้ฟัง ประการแรกศรัทธา
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ได้ยินชื่อศรัทธา ได้ยินคำว่าศรัทธา อยากรู้จักศรัทธาละศรัทธามีจริงไหม
ผู้ฟัง มีจริง
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ก่อนอื่นต้องพูดถึงสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมแน่นอน ดีไหม
ผู้ฟัง ดี
ท่านอาจารย์ ทำไมรู้ว่าดี เห็นไหม ไม่พอเลย ที่จะเผิน แต่ต้องรู้ว่าต้องรู้จักก่อนว่าศรัทธาคืออะไร จึงจะตอบได้ว่า ดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนามีคำตอบ เพราะฉะนั้นทุกคำเริ่มจากคืออะไรก่อน แล้วก็ค่อยๆ ละเอียดขึ้น ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่งมีความเข้าใจในคำนั้นมั่นคง ไม่ว่าจะพบคำนี้ที่ไหน ในพระวินัยพระสูตร ในพระอภิธรรม ที่ไหนก็ตามแต่ จะไม่เปลี่ยนความหมายของสภาพธรรม แต่ว่ามีหลายระดับขั้น เพราะฉะนั้นก็มีชื่อต่างๆ เช่นความขุ่นใจ ก็เป็นความโกรธเล็กๆ ใช่ไหม ไม่พอใจ ขุ่นเคือง จนถึงพยาบาทอาฆาตก็ได้ เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ต้องรู้จักสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งชัดเจนขึ้นก่อน ไม่ใช่ข้ามไปเลย พูดถึงศรัทธา ก็ไปเลยเรื่องศรัทธา แต่ว่าศรัทธาคืออะไร มีจริงหรือเปล่า ศรัทธามีจริงใช่ไหม แต่ถ้าบอกว่ามีจริง ต้องรู้ว่าคืออะไร ไม่ใช่ชื่อศรัทธามีจริง
ผู้ฟัง ครับ
ท่านอาจารย์ อย่าลืม ไม่ใช่ชื่อศรัทธามีจริงคำนี้ ใช้เรียกสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีจริง เป็นลักษณะของสภาพธรรม ที่ขณะนั้นผ่องใส เพราะไม่มีกิเลส เริ่มเห็น ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ไม่มีกิเลส เหมือนสารส้มที่เราแกว่งในน้ำขุ่น ขุ่น น้ำนั้นใส เพราะฉะนั้นที่ใดก็ตามที่มีศรัทธา ที่นั่นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีอิสสา ไม่มีมัจฉริยะ ไม่มีอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะศรัทธา เดี๋ยวนี้มีศรัทธาไหม เห็นไหม ธรรมต้องเป็นเรื่องจริง ที่คนนั้นเริ่มเข้าใจถูกต้อง ถ้าจะพูดสนทนากัน ก็คือว่าต้องให้เข้าใจจริงๆ ถ้าบอกว่าเดี๋ยวนี้มีศรัทธา เมื่อใด เดี๋ยวนี้คือเมื่อใด ที่ว่ามีศรัทธา ขณะที่ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว เริ่มเข้าใจ ตอนที่เข้าใจในขณะนั้นไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ แต่มีศรัทธา เข้าใจแล้วจะฟังต่อไหม ฟังต่อไปก็ศรัทธาก็เกิด เมื่อเห็นประโยชน์ว่าคำนี้เป็นคำจริงสามารถที่จะทำให้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าใจชีวิตประจำวันเลย ถูกปกปิดไว้สนิทด้วยความไม่รู้ แต่พอได้เริ่มฟังธรรมก็จะมีความค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละคำ
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามสภาพธรรมที่ดีงามเกิดต้องมีศรัทธา ขณะที่สามารถที่จะสละสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ดีไหม เพราะไม่มีโลภะจึงสละได้ ไม่มีโทสะ ถ้าโกรธคนนั้นไม่ให้แล้ว เพราะฉะนั้นอกุศลขณะนั้นไม่มีเพราะศรัทธา ให้ทราบว่าทุกครั้งที่เป็นสภาพธรรมที่ดี ก็จะมีศรัทธาสภาพธรรมหนึ่งที่ดีเกิดรวมกัน เพราะสภาพธรรมที่จะเกิดได้ เกิดเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยใช้คำว่าปัจจัยสภาพธรรมที่เกื้อกูล อนุเคราะห์หรือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ อย่างเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น แล้วถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้ อย่างที่กำลังปรากฏ ก็ไม่มีเห็นๆ จะเห็นได้อย่างไร เพราะเห็น ต้องเห็น เพียงสิ่งที่สามารถกระทบตา และก็ปรากฏเมื่อเห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างเกิดเองไม่ได้ ต้องมีปัจจัยอาศัยกัน และกันทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นศรัทธา ให้ทราบก่อนอื่นเป็นธรรมที่ดีงาม ที่ดีงามแค่คำนี้คำเดียว พระธรรมยังขยายต่อไปอีก เป็นเหตุก็ได้เป็นผลก็ได้ เพราะถ้าเหตุดีผลก็ต้องดี เพราะฉะนั้นถ้าเหตุเป็นกุศล ผลของกุศลเป็นกุศลวิปากกะ หรือวิบาก ก็ต้องมีศรัทธาเจตสิกเกิดร่วมด้วย นี่เป็นเรื่องที่เราไม่ใช่ฟังผิวเผิน เพื่อไปคิดว่าเราศึกษาทำให้เราเข้าใจแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ต้องรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมด กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่จะไม่มีทางที่จะรู้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะถูกปกปิด จนกว่าจะมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เปิด สิ่งที่ถูกปกปิดไว้ ให้เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ผลคืออะไร เข้าใจละเอียดขึ้น เข้าใจสิ่งที่มีจริง แม้แต่ทีละคำ แต่ทีละคำทีละคำ มั่นคงไม่เปลี่ยนเลย ทำให้ความเข้าใจนั้นไม่คลอนแคลน ชาวพุทธคือผู้ที่รู้ความจริง ผู้ที่มีความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องไม่ใช่ชาวพุทธ ผ้ายันต์มีประโยชน์ไหม ทำให้ชนะฟุตบอลได้หรือเปล่า ต้องตรง ถ้าเชื่ออย่างนั้นเป็นศรัทธาหรือเปล่า ไม่ใช่ เป็นความเห็นผิด ต้องตรง และชัดเจน เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดจะป้องกันไม่ให้เป็นอกุศลหรืองมงายเพราะความไม่รู้ ทุกอย่างต้องชัดเจน ไม่ต้องรีบร้อนไปไหน แค่คำเดียวจริงๆ ให้เข้าใจให้ถูกต้อง เวลาที่ช่วยคนอื่นใช่ไหม อาสาสมัครทั้งหลาย ขณะนั้นดีไหม ถ้าเห็นแก่ตัวไม่ช่วย เราจะต้องไปช่วยทำไม เสียเวลาเหน็ดเหนื่อยใช่ไหม อยู่สบายๆ ไม่ดีกว่าหรือ แต่เพราะเหตุว่ามีศรัทธา จิตขณะนั้นผ่องใส ไม่มีโลภะ ไม่มีความติดข้อง ที่จะเห็นแก่ตัว ไม่มีโทสะ ไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคือง ช่วยได้ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตามอย่างนี้ ขณะนั้นเราก็รู้ได้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงหนึ่งในบรรดาธรรมมากมายมหาศาล นับไม่ถ้วนเลย ก็มีศรัทธาที่เป็นสภาพที่มีจริงหนึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี ธรรมละเอียดกว่านี้มาก เพราะฉะนั้นการศึกษาที่จะเข้าใจจริงๆ ต้องเริ่มต้นทีละคำ อย่างคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ถ้าเรามองไม่เห็น ได้ยินแค่เสียง ไม่เห็นเสียงใช่ไหม เสียงมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ค่อยๆ กว้างไป แม้สิ่งที่มองไม่เห็น แต่มีจริงก็เป็นธรรม และเสียงเป็นธรรมฝ่ายดีหรือไม่ดี ไม่ใช่ให้เราไปตามใคร ไตร่ตรอง พิจารณา แม้คำบอกเล่าที่ได้ยินได้ฟัง ก็ยังต้องไตร่ตรองว่าถูกหรือเปล่า ไม่ใช่ตามไปเชื่อไป ชาวพุทธจะไม่เป็นอย่างนั้นเลย ต้องเป็นผู้ที่หนักแน่น มั่นคงในความถูกต้อง เสียงดีได้อย่างไร เสียงไม่รู้อะไรเลย เสียงไม่โลภ เสียงไม่โกรธ เสียงไม่รัก เสียงไม่ชัง แค่เกิดมีเหตุปัจจัย คือของแข็งกระทบกัน ดังแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นจะดีชั่วได้อย่างไร แล้วก็ธาตุที่กำลังได้ยินเสียง ได้ยินมีจริงใช่ไหม ถ้าสัพเพ ธัมมา อนัตตา ก็คือว่าได้ยินไม่ใช่เรา เคยคิดว่าเราได้ยิน แต่พอฟังธรรม ได้ยินเป็นธรรม ได้ยินเกิดเมื่อมีเสียงกระทบหู ถ้าเสียงไม่กระทบหู ได้ยินก็เกิดไม่ได้ แต่เพราะไม่รู้ ตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็เข้าใจผิดคิดว่าได้ยินเมื่อใด ก็เป็นเราได้ยินเมื่อนั้น แต่ความจริงได้ยินเป็นธรรมหนึ่ง ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นกำลังได้ยินเสียงดีไหม มีศรัทธาเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า ละเอียดมาก ใครบอกให้เข้าใจเร็วๆ ผิด เพราะความละเอียดของธรรมลึกซึ้งมาก แม้แต่ว่าธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดเมื่อใด เพราะอะไร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และก็เป็นฝ่ายดีหรือเปล่า ทุกคนที่ไปงานศพ ได้ยินสวดพระอภิธรรมใช่ไหม กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา เข้าใจหรือเปล่า เห็นไหม ชาวพุทธต้องเข้าใจ ถึงจะเป็นชาวพุทธได้ กุศลาธรรมา ธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลายทั้งหมดเป็นอกุศลไม่ได้ กุศลต้องเป็นกุศล ก็ต้องรู้ด้วยว่ากุศลเป็นอะไร อกุศลาธรรมมา อกุศลทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นอกุศลธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020