ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๗๙

    สนทนาธรรม ที่ สำนักงานเขตพระโขนง

    วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ อกุศลาธรรมา อกุศลทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นอกุศลธรรม แล้วอะไรมาจากไหนคะ อัพยากตา ธัมมา ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล อ แปลว่าไม่ อัพยากตะ ไม่พยากรณ์ เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล จะบอกว่าเป็นกุศลก็ไม่ได้ จะบอกว่าเป็นอกุศลก็ไม่ได้ อย่างเสียงอย่างนี้นะคะ เสียงดี เสียงหวาน เสียงเพราะ ดีไหมคะ เป็นกุศลหรือเปล่า เสียงเป็นกุศลไม่ได้เลย เสียงต้องเป็นธรรม ที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล จึงเป็นอัพยากตธรรม นี่ค่ะชาวพุทธ ไม่ใช่ว่าไม่ไตร่ตรองนะคะ แล้วก็ข้ามอยากจะรู้ไม่ได้เลยค่ะ อยากเมื่อไหร่ ให้รู้ว่าปัญญาเท่านั้น จึงสามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพที่ติดข้อง เป็นโลภะซึ่งมีทั้งวันเลยนะคะ แต่ต้องเป็นปัญญาจึงเห็นว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่ติดข้อง ติดข้องนิดๆ หน่อยๆ ก็ดูจะไม่น่าเกลียดใช่มั๊ยคะ ติดข้อง มากๆ เริ่มอยากได้โน่นอยากได้นี่ ได้ในทางที่ไม่สุจริต เป็นทุจริตต่างๆ ก็เพราะโลภะธรรมที่เป็นฝ่ายไม่ดี ก็ต้องไม่ดีตลอด จะดีไม่ได้เลย นี่คือให้ชาวพุทธได้เริ่มเห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ที่ละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง และถ้าจะเป็นชาวพุทธก็คือว่า ผู้ที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความไม่ประมาทที่จะเริ่มเข้าใจถูกเห็นถูก ว่านี่เป็นคำที่จริงทรงรู้ได้ จากการที่ผู้ที่ตรัสรู้ได้ทรงแสดงไว้ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ละคำเห็นไหมคะ จะกล่าวถึงลักษณะของอุบาสกเนี่ย มีตั้งหลายคำแต่ว่าแต่ละคำ ต้องเริ่มต้น จากคำว่า ธรรมไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง คือปัจจุบันผมเห็นว่า หลายวัด หลายสำนัก ที่มี

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ก่อนค่ะ หลายวัดหลายสำนัก วัดคืออะไร เห็นมั้ยคะแค่นี้ต้องถามด้วยเหรอ ชาวพุทธนะคะ วัดไม่ใช่ภาษาบาลี ไม่ใช่ชาวมคธ เค้าพูดกันนะคะ แต่ละเมือง ก็มีภาษาของตนของตน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงธรรมเป็นภาษาไทย แต่ทรงแสดงกับชาวมคธ เขาใช้ภาษาของเขา ก็ต้องใช้ภาษาของเขาด้วย เพราะฉะนั้นคำว่าวัดเป็นภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีนะคะ ใช้คำว่า"อาราม" คนไทยเรียกว่าอารามที่ที่รื่นรมย์ด้วยความสงบ ไม่ใช่รื่นรมย์ด้วยมหรสพ คึกคักไม่ใช่นะคะ นั่นไม่ใช่รื่นรมย์ แต่ต้องรื่นรมย์ด้วยความสงบ ถ้าสงบไม่มีอะไรกวนเลย สบายมั้ย เห็นไหมคะไม่มีอะไรรบกวนเลย ให้เดือดร้อน เนี่ยสบายมั้ย เพราะฉะนั้นไม่เดือดร้อนไม่มีใครรบกวน เพราะกำลังฟังธรรม กำลังเข้าใจธรรม กำลังเจริญอบรมปัญญา นั่นคือความหมายของอารามะ ภาษาไทยใช้คำว่าวัด เพราะฉะนั้นรู้นะคะ ว่าวัดคืออะไร ที่อยู่ของผู้สงบจากกิเลส โดยได้รับการอุปสมบท โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทานอนุญาตให้ผู้ที่มีศรัทธาที่เข้าใจธรรม จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้อยู่อาศัย เพราะผู้นั้นเป็นผู้ที่ละอาคารบ้านเรือนแล้ว พระภิกษุอยู่บ้านได้ไหมคะ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ที่เราใช้คำว่าวัดเนี่ย คือที่อยู่ของผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน เพื่อขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ต้องเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นวัดไหนมีมหรสพ เป็นอารามมะหรือเปล่าคะ เป็นที่อยู่ของพระภิกษุหรือเปล่า ไม่ค่ะ นี่คือชาวพุทธผู้รู้ ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง และเป็นผู้ที่ตรงด้วย สิ่งใดที่ไม่ถูกก็ต้องไม่ถูก จะกล่าวว่าถูกไม่ได้เลย ถ้าได้ยินคำว่าสำนักปฏิบัติเข้าใจว่าไงคะ บ่อยเลยใช่ไหมคะ สำนักปฏิบัติเข้าใจว่ายังไง ใครไม่เคยได้ยินคำนี้บ้างคะ ได้ยินแต่เข้าใจว่ายังไง แล้วถูกหรือผิด นี่เป็นสิ่งซึ่งชาวพุทธผู้ที่ศึกษาธรรม ต้องรู้ถูกต้อง จึงจะเป็นชาวพุทธได้ เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติเข้าใจว่ายังไงคะ และความเข้าใจนั้น ถูกหรือผิด เพราะอะไร

    ผู้ฟัง คือแต่ก่อนผมเข้าใจว่า เป็นสถานที่ให้อุบาสก อุบาสิกา ที่มีความใฝ่ทาง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ แม้อุบาสกอุบาสิกาคือใคร เห็นไหมคะ ทุกคำขาดไม่ได้เลยคะ เป็นการที่จะเข้าใจจริงๆ ว่า พระศาสนาลึกซึ้งละเอียด และก็ตรง คนตั้งเยอะไม่ฟังพระธรรมเลย เป็นอุบาสกอุบาสิกาได้ป่ะ ไม่เป็น เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าชาวพุทธนะคะ ต้องเป็นผู้ตรง แม้แต่คำว่าอุบาสกอุบาสิกาก็ต้องเป็นผู้ตรง ตอนเป็นเด็กๆ ใครบอกว่าเป็นอุบาสิกา รู้สึกยังไงคะ โบร่ำโบราณ แต่ความจริงไม่ใช่อุบาสิกาก็ไม่รู้จักธรรม ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใกล้คำสอนเลย แล้วจะเป็นอุบาสิกาได้ยังไง เพราะฉะนั้นอุบาสก อุบาสิกา ต้องหมายความถึงผู้ที่มีศรัทธาเห็นไหมคะ ๒ คำมาละ ที่จะเห็นคุณประโยชน์ของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าไปนั่งใกล้เพื่อฟังให้เข้าใจ จึงจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา ทุกคำต้องเข้าใจให้ชัดเจนค่ะ

    ผู้ฟัง ครับ มาเป็นผู้เข้าไป เหมือนกับมีความไฝ่ ที่จะรู้ธรรม แล้วก็เข้าไปปฏิบัติ ณสถานที่นั้นนะครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ใช้คำที่ไม่รู้จัก

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าถามว่าปฏิบัติคืออะไร ตอบว่าไงคะ สำนักปฏิบัติ สำนักคือที่อยู่ ไม่ว่าใครอยู่ที่ไหน สำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับที่ไหนที่นั่นเป็นสำนัก เพราะฉะนั้นสำนักคือที่อยู่นะคะเพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติ หมายความว่ายังไง ไม่รู้ใช่ไหมคะ ชาวพุทธหรือเปล่าคะเนี่ย เห็นไหมคะ เริ่มรู้ตัวว่าเป็นชาวพุทธหรือเปล่า เมื่อได้ฟังแล้วเป็นผู้ที่ตรงว่า เป็นชาวพุทธ ต้องเข้าใจถูกต้อง ในแต่ละคำ ไม่อย่างงั้นไม่ใช่ชาวพุทธค่ะเรียกตัวเองว่าชาวพุทธ แต่ไม่ใช่เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะใช้คำ ที่ไม่รู้ต่อไปไหมคะ ถ้าใช้ก็ผิดใช่ไหมคะ เพราะไม่รู้ ก็ใช้คำที่ไม่รู้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นเริ่มเป็นชาวพุทธจริงๆ

    ผู้ฟัง ตามความเข้าใจของผมนะฮะ สำนักปฏิบัติ ก็คือสถานที่ที่เราไปทำความดี ประพฤติปฏิบัติให้ดี

    ท่านอาจารย์ ทำยังไงคะ

    ผู้ฟัง ก็อาจจะไปทำสมาธิหรือว่า

    ท่านอาจารย์ สมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง ก็คือทำจิต ให้นิ่ง ให้นิ่ง ละก็อย่าไปวอกแวก

    ท่านอาจารย์ แค่นี้นะคะ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ใครทำได้ เวลานี้เห็นใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้เห็นเกิดหรือเปล่า เห็นเกิดแล้ว ต้องตรงเห็นไหมคะ ชาวพุทธต้องรู้ตรงขณะนี้ เห็น ทำเห็นให้เกิด หรือว่าเห็นเกิดแล้วไม่ได้ทำ แต่มีปัจจัยที่จะเห็น เห็นจึงเกิดได้ ถ้าตาบอดเดี๋ยวนี้ เห็นเกิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ถ้าเราหลับตาค่ะ เราก็ไม่เห็นนี่คะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิตหรือธาตุรู้ ที่เข้าใจว่าเป็นเรา ตาจะหลับได้มั้ย

    ผู้ฟัง ก็หลับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ หลับไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เลยค่ะ เข้าใจว่าสิ่งที่มีเนี่ย เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑ ตาของใครคะ เกิดมี เราทำให้เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มันเกิดมาตั้งแต่ท้องแม่

    ท่านอาจารย์ เราไม่ได้ทำใช่มั้ยค่ะ

    ผู้ฟัง ค่ะเราไม่ได้ทำ

    ท่านอาจารย์ แล้วมี และเป็นของเราหรือคะ ดับไปแล้ว ตาบอดละ ของเราหรือเปล่า เรายึดถือสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรา และเป็นของเรา และอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา เช่นจะหลับตาไม่ให้เห็น เข้าใจว่าอยู่ใน อำนาจบังคับบัญชาของเรา

    ผู้ฟัง เข้าใจว่าอย่างงั้นน่ะ บังคับได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเริ่มไงคะ พื้นฐานที่มั่นคงที่สุด คือเข้าใจธรรมว่ามีจริงๆ นะคะ แต่เกิดจึงปรากฏว่ามี ถ้าไม่มีเสียง ไม่มีได้ยิน ไม่มีอะไร ใช่ไหมคะ แต่เวลาที่เสียงปรากฏ ต้องมีได้ยิน ถ้าไม่มีได้ยิน เสียงปรากฏไม่ได้ และถ้าไม่มีของแข็งกระทบกัน เสียงก็ปรากฏไม่ได้ อยู่ดีๆ เดี๋ยวนี้ทำให้เสียงเกิดสิคะ เป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดจึงเกิดได้ เริ่มเป็นคนที่มีเหตุผล เริ่มเป็นคนที่เข้าใจความจริง เริ่มเป็นผู้ที่รู้ว่าความรู้ เป็นสิ่งที่รู้ สิ่งที่มีนี่แหละ แต่ต้องโดยการฟังคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งเพราะพระปัญญานั้นทำให้ทุกคนนะคะ มีพระองค์ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์แสดงพระธรรมเป็นที่พึ่ง เพื่อให้ถึงการดับกิเลสเป็นที่พึ่ง พระรัตนตรัย ต้องละเอียดมากค่ะ และต้องตรงตั้งแต่ต้น

    สนทนาธรรมที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

    อ.คำปั่น ความสำคัญของการมีโอกาส ได้ศึกษาพระธรรมนะครับ ว่า จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างไรกับทุกชีวิต แม้จะเป็นนักศึกษาครับ เป็นเบื้องต้นครับ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนา มีใครสงสัยไหมคะ หรือไม่สงสัยเลยได้ยินคำว่า พุทธศาสนาไม่สงสัยเลย แต่เข้าใจมั้ย ไม่เข้าใจใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นศาสนานี่ค่ะ หมายความถึงคำสอนของใครก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีศาสนาเดียว แล้วแต่ว่าใครคิดว่าเค้าเข้าใจอะไร อะไรจะเป็นประโยชน์นะคะและเค้ากล่าวคำที่มีประโยชน์กับคนอื่น และคนอื่นเห็นว่ามีประโยชน์ ก็คล้อยตามกัน เพราะฉะนั้นก็เป็นแต่ละศาสนา แต่ต่างกัน แต่สำหรับคนไทยเราเนี่ยนะคะ ที่ชินหูมากก็คือพระพุทธศาสนา แสดงว่าได้ยินคำว่ามีคำว่าพุทธะ แต่ว่าเข้าใจมั้ยว่า พุทธะคืออะไร พุทธะคือผู้รู้ ผู้ทรงตรัสรู้ หมายความว่าไงคะ หมายความว่าใครๆ ก็ไม่รู้ ถูกต้องมั้ยคะ ถ้าใครๆ รู้หมดเป็นผู้รู้ ก็ไม่ต้องมีผู้ที่ตรัสรู้หรือผู้รู้ แต่พอใช้คำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคนอื่น ซึ่งไม่รู้ แต่ต้องเป็นคนที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งนะคะ ที่ทุกคนกราบไหว้ตั้งแต่เด็กจนตาย ไม่ว่าใครที่ไหน แสดงว่าต้องมีสิ่งที่พิเศษ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นเพราะอะไร ได้แต่ทำตามๆ กันไป ถูกต้องไหมคะ ถ้าจะถามว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร จะตอบได้มั้ย ศาสนาคือคำสอนพุทธของผู้ที่รู้ จนกระทั่งถึงดับกิเลสเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แค่นี้ค่ะ ยังไม่ชื่อว่ารู้จัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงแค่ได้ยินชื่อ และความหมายของคำว่าพุทธะ

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจอะไรนะคะ ไม่ว่าจะศึกษาอะไรทั้งหมดนะคะ ต้องเป็นผู้ที่รู้จริง งูๆ ปลาๆ นิดๆ หน่อยๆ นี่ค่ะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ นะคะ สามารถที่จะพ้นจากภัยอันตรายได้ แม้พระพุทธศาสนา ถ้าฟังเพียงผิวเผินรึว่าคิดว่า พระพุทธศาสนาคงไม่มีอะไร แค่เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องธรรมดาๆ ที่ได้ยินกัน นั่นไม่ใช่พวกที่เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจนะคะ ตั้งแต่ขณะนี้ว่า ผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ไม่มีใครเปรียบได้เลย สมควรแก่การที่จะใช้คำว่าพระพุทธเจ้า พุทธะคือผู้รู้ พุทธเจ้าคือผู้ที่รู้ยิ่งกว่าบุคคลไหน และก็เป็นพระอรหันต์ด้วยความรู้นั้นนะคะ ไม่เหมือนความรู้ทางวิชาการทางโลก ที่เราเข้ามหาวิทยาลัย รู้แล้วก็ไปทำมาหากิน แต่ความรู้จักพระสัมมาพระพุทธเจ้า รู้ในความเป็นผู้รู้เนี่ย จะทำให้เราสามารถที่จะมีความสุข กว่าคนที่จบมหาวิทยาลัย มีการงานที่มั่นคง มีอาชีพ มีทุกอย่าง แต่เป็นผู้ที่ทุจริต หรือว่าเป็นผู้ที่มีความทุกข์ มีมากมายนะคะเพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ เนี่ย ไม่ใช่สิ่งที่เรียนแล้วเป็นทุกข์ หรือว่าเรียนแล้ว ก็เพียงแต่ไปหาเงินทำมาหากิน มีอาชีพต่างๆ แต่คำใดที่รู้แล้ว จะทำให้บุคคลนั้นนะคะ พ้นจากความไม่รู้ และทำให้เห็นประโยชน์ว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรมีประโยชน์ เท่าพระพุทธศาสนา แค่นี้ค่ะฟังอย่างนี้ก็เผินมากแล้วค่ะ เพียงแต่ให้เราเนี่ย เริ่มตระหนักในคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคำสอนของพระองค์คือพระพุทธศาสนา

    เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเราไปรู้แล้ว แต่ว่าเราต้องศึกษา ด้วยความเคารพแต่ละคำที่จะเข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นคำถามซ้ำนะคะ รู้จักพระพุทธศาสนาไหมคะ รู้จักเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นขอเชิญผู้ที่รู้จักช่วยตอบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอะไร เพราะเป็นพระบรมศาสดาเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ เป็นผู้ที่ทรงแสดงความจริง ที่พระองค์ทรงตรัสรู้แล้วให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย เพราะฉะนั้นผู้ที่บอกว่า รู้จักพระพุทธศาสนาแล้วนี่นะคะ ตอบ พระพุทธศาสนาสอนอะไร จะได้รู้ว่ารู้จริงๆ รู้มากน้อยแค่ไหน เพราะคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ทั้งหมดนะคะ แม้มนุษย์ กี่โลก เทวดา พรหม ไม่สามารถที่จะรู้อย่างที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งที่จะต้องตระหนักนะคะ แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังคำที่พระองค์ทรงแสดง จากการที่ทรงตรัสรู้ด้วย เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ที่จะไม่ใช่ว่ารู้จักพระพุทธศาสนาแล้ว แต่ต้องรู้ว่าถ้ารู้จักพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจอะไร เห็นไหมคะ เผินไม่ได้เลยค่ะ ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นนะคะ จะเป็นคนดี เผินได้ไหมคะ จะเป็นคนดี๊ดีดีเผินได้ไหมคะ ต้องมาจากดีแล้วจึงจะดีขึ้น จนกระทั่งถึงดี๊ดีได้

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างประมาทไม่ได้เลยนะคะ การที่เราเห็นคนที่ได้รับโทษภัยต่างๆ เนี่ย เพราะความประมาททั้งหมด ประมาทที่จะคิดว่ายาเสพติดเป็นเรื่องเล็ก แค่ครั้งเดียวสองครั้งคงไม่เป็นไร แต่ก็จะเห็นได้นะคะ โทษมากมายเพราะความประมาท เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้นค่ะ ถ้าเป็นไปด้วยความประมาท สิ่งนั้นเป็นอันตราย ถ้าประมาทในพระพุทธศาสนา ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้ง ไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ นะคะ ก็เป็นอันตราย เพราะฉะนั้นจะมีใครตอบมั้ยคะ ตอนนี้พระพุทธศาสนาคืออะไร แล้วรู้จักพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง หรือว่าได้ยินคำนี้บ่อยๆ และบอกว่า นับถือพระพุทธศาสนาเป็นชาวพุทธ ยังไม่ได้เข้าใจพระพุทธศาสนา แต่ถ้าเข้าใจนะคะ จะรู้ว่าแม้แต่ทุกคำที่พูดนะคะ ต้องตรง และจริง ถ้ากล่าวว่ารู้จักพระพุทธศาสนาเพียงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงแสดงพระธรรม จึงเป็นพุทธศาสนา แค่นี้ไม่พอ แล้วก็เพียงผิวเผินนะคะ คิดว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิดๆ หน่อยๆ ก็ยังไม่พอ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วนี่ค่ะ รู้จักแค่ไหน ตอนนี้เริ่มรู้ยังคะ รู้จักพระพุทธศาสนาแค่ไหน เริ่มรู้สึกตัวหรือยัง รู้จักมากมั้ย ไม่รู้จัก ถูกต้องค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใครก็ตามนะคะ ที่ไม่รู้ ก็รู้ตามความเป็นจริงว่าไม่รู้ เพราะฉะนั้นควรรู้มั้ย ที่สำคัญที่สุด เรียนจบชีวิตดี๊ดี ต่างตรงไหน ดีตรงไหน เห็นไหมคะ ไม่ใช่ว่าต้องการเพียงแต่จะตอบ แต่ต้องเป็นเรื่องไตร่ตรอง ทั้งหมดที่ฟังนี่ค่ะ ไม่ใช่ความรู้ของคนอื่น แต่ต้องจากการได้ยินได้ฟัง ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจของตนเอง มิเช่นนั้นจะเสียเวลา แต่ละนาทีไป โดยที่ว่าฟังแล้วก็ ไม่ได้เข้าใจอะไรของตนเอง เพราะฉะนั้นทั้งหมด ต้องเป็นการไตร่ตรองเดี๋ยวนี้ดี๊ดีหรือเปล่าคะ ยังใช่ไหมคะ เพิ่งก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษาปีที่ ๑ ยังไม่ดี๊ดีเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเตรียมจนจบแล้วดี๊ดีหรือยัง เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปีที่หนึ่งจนถึงจบ จนถึงทำงานดี๊ดีตอนไหน อย่างที่ท่านที่กล่าวเมื่อกี้นี้ค่ะ มีบ้านใหญ่กลางเมือง มีทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ เพียบพร้อม แล้วก็ดีจริงๆ หรือเปล่า และก็ดีตอนไหน ถ้าเป็นคนทุจริต เพียงแค่เป็นคนไม่ดีนี่ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใคร วัยไหนอยู่ที่ไหนก็ตาม ทุกคนก็ตราหน้าว่าไม่ดี คนนี้ไม่ดี เพราะการกระทำที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นดี๊ดี ไม่ใช่อยู่ที่เรา เป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะค่ะ แต่อยู่ที่คุณความดี

    อ.คำปั่น ขออนุญาตกล่าวถึงความหมาย ของบัณฑิตนะครับ บัณฑิตหมายถึงผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่ดำเนินไปด้วยปัญญา ปัญญาก็คือความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นความเป็นบัณฑิต ก็คือความเป็นผู้มี ความประพฤติที่ดีงาม ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ ผู้ที่เป็นบัณฑิต เมื่อคิดก็คิดแต่สิ่งที่ดี เมื่อพูดก็พูดสิ่งที่ดี มีประโยชน์ เกื้อกูลแก่ผู้อื่น เมื่อกระทำก็กระทำ ในสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์

    ท่านอาจารย์ แค่คำเดียวนะคะ ก็จะต้องไตร่ตรองว่าเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า เพื่อที่จะรู้ความต่างกันของผู้รู้ ผู้ทรงตรัสรู้ กับผู้ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้นะคะ ว่าถ้าไม่มีการฟัง ความละเอียดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีผู้ที่คิดว่าเขารู้ แต่ว่าตามความเป็นจริงนะคะ แต่ละคนนี่ค่ะ ก็ต้องไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ของตนเองว่า รู้อะไร แล้วก็แม้แต่แต่ละคำ ที่พูดตั้งแต่เกิดจนตายเลย เข้าใจหรือเปล่าว่าคืออะไร ง่ายๆ นะคะ เช่นคำว่าดี ไม่มีใครไม่รู้ใช่ไหมคะ เคยได้ยินกันทุกคน แต่บอกสิว่าดีคืออะไร และเมื่อไหร่ดี ดูเหมือนคำถามง่ายๆ ใช่ไหมคะ แต่เป็นความจริง เพราะเหตุว่าทุกคนเนี่ย เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของความดี แล้วจะดีหรือไม่ดีได้ยังไง ทุกคนคิดว่าดีนะดี แต่ว่าจะดีได้ยังไง ถ้าไม่รู้ว่าดีคืออะไร เพราะฉะนั้นก่อนอื่นนี่ค่ะ ต้องเป็นคนที่ละเอียดจริงๆ นะคะ ที่จะเริ่มแต่ละคำ จึงจะเป็นบัณฑิตหรือผู้รู้จริง ไม่ใช่เพียงผู้ฟังเผินๆ แล้วก็คิดว่ารู้แล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่ค่ะ ต้องเข้าใจดีคืออะไรคะ ยกตัวอย่างได้ไหมคะ วันนี้ดีหรือยัง เห็นไหมคะ ถ้าเราไม่พูดถึงสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน แล้วเราจะพูดถึงอะไร เพราะว่าสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละวัน แต่ละวัน ยังไม่รู้แล้วจะไปรู้อะไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเนี่ย เราก็ควรที่จะเข้าใจยิ่งขึ้นเช่นดี พูดถึงเรื่องดีแค่คำเดียว วันนี้ตั้งแต่เช้ามาดีหรือยัง เห็นมั้ยคะ จะเป็นคนดี จะเป็นบัณฑิต แต่ว่ารู้หรือเปล่าว่า ตั้งแต่เช้ามาเนี่ย ดีบ้างหรือยัง ถ้าตอบตามตรง หมายความว่ารู้จักคำว่าดี แต่ถ้ายังตอบไม่ได้ ก็คือว่าพูดทั้งวันเรื่องดี แต่ไม่เข้าใจว่าดีคืออะไร ก็ไม่มีประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาทุกอย่างนะคะ ต้องเข้าใจจริงๆ โดยเฉพาะการศึกษา เรื่องของแต่ละคนจริงๆ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ให้แต่ละคนเนี่ย ได้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ในชีวิต ซึ่งเกิดมาแสนสั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะจากโลกนี้ ไปเมื่อไหร่เลยนะคะ เด็กๆ ก็จากโลกนี้ไปได้ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่มีใครบอกล่วงหน้าเลย จะอยู่ยืนยาวไปถึงร้อยปีก็ได้ ไม่ถึงก็ได้ แล้วระหว่างนั้นนะคะ ดีคืออะไร และดีหรือเปล่า เพราะว่าชีวิตก็คือ ๑ ขณะ ค่อยๆ พ้นไปทีละ ๑ ขณะนะคะ แล้วขณะไหนดี แค่นี้ค่ะ แค่เกิดมาได้ยินคำนี้ แต่บอกได้ไหมว่า วันเนี่ยดีแล้วรึยัง ดีหรือไม่ดี เห็นไหมคะ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำธรรมดา แม้เพียงคำง่ายๆ คำเดียวก็ยังไม่รู้ แล้วจะรู้ได้ยังไง รู้ได้จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ผู้เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะมีคนอื่นบอกได้เลย แต่ว่าเราผ่านคำนี้เหมือนกับว่าเรารู้จัก พระสัมมาพระสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงไม่รู้เลยค่ะ แม้แต่คำว่าดีคำเดียว ยังไม่รู้เลย แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอะไรบ้างได้มั้ย ทุกคนเห็นประโยชน์ ของความเป็นคนดีนะคะ แล้วคำถามนี้ไม่น่าสนใจเหรอคะ ที่จะคิดว่าตั้งแต่เช้ามาเนี่ย ดีบ้างไหมคะ ตั้งแต่เช้ามาไม่ดีตลอดมาใช่มั้ย ก็ไม่มีคำตอบ เพราะไม่รู้ ตั้งแต่เช้าดีบ้างมั้ย ตั้งแต่เช้าไม่ดีบ้างมั้ย ก็ยังไม่รู้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567