ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
ตอนที่ ๙๘๐
สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เช้ามาไม่ดีตลอดมาใช่ไหม ก็ไม่มีคำตอบ เพราะไม่รู้ ตั้งแต่เช้าดีบ้างไหม ตั้งแต่เช้าไม่ดีบ้างไหม ก็ยังไม่รู้เลย แต่จริงๆ ธรรมดามากเลย เพียงแต่ว่าไม่รู้ เมื่อเช้านี้โกรธบ้างไหม ขุ่นใจบ้างไหม ไม่ชอบบ้างไหม ไม่มีเลยหรือ ความขุ่นใจ อย่าคิดว่าต้องถึงขนาดที่ว่าร้ายแรง แค่ไม่พอใจนิดเดียว ขุ่นใจ แค่เห็นฝุ่น แค่ฝุ่นหรือว่าที่บ้านมีสุนัข มีแมว มีขนสุนัข มีขนแมว ติดอยู่ตรงไหน แค่นั้นเองชอบไหม หรือว่าขณะนั้นก็ขุ่นใจแล้ว ตรงนี้ไม่สะอาด ตรงนั้นไม่สะอาด แค่นี้ก็เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งขณะที่ขุ่นใจต้องพิจารณาตรงๆ ตามความเป็นจริง โดยที่ว่าไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่ลักษณะที่ขุ่นมัว จิตใจขณะนั้นไม่แช่มชื่น ไม่เบิกบานดีไหม ไม่ดี ขณะนั้นรู้จักว่าความไม่ดีมีหนึ่งคือความขุ่นใจ ต่อจากขุ่นใจ เป็นขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว ที่บ้านมีหลายคน คนนั้นพูดอะไรบ้างไหมที่รู้สึกขุ่นเคือง อาหารบนโต๊ะเป็นอย่างไร เค็มไป หวานไป เปรี้ยวไป รู้สึกไม่พอใจบ้างไหม ทั้งวันรู้ไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ซึ่งเราพูดทั้งวัน แต่เราไม่เคยรู้ความจริงเลยสักขณะเดียวว่าขณะนั้นไม่ดี แล้วใครไม่ดี แล้วจะจากคนไม่ดีแก้ไขให้ดีขึ้น จนดีดีได้อย่างไร เป็นเรื่องของความคิด เป็นเรื่องของความฝัน เป็นเรื่องของการไม่รู้ความจริง ก็จะพูดอย่างนี้ไป แต่โลกก็ยังเป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ในแต่ละสิ่ง ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ให้ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราสามารถที่จะแก้ปัญหาของโลก แก้ปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองง่ายๆ แต่ต้องรู้ว่าต้นตอสาเหตุมาจากไหน มาจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีความไม่รู้อยู่ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้เอง แต่ว่าถ้าจะดีขึ้นก็ต่อเมื่อมีความรู้ที่ถูกต้องขึ้น เข้าใจขึ้น ซึ่งพร้อมที่จะเข้าใจได้ แต่ไม่มีความสนใจ เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้ว่าปัญหาทั้งหลายเกิดจากอะไร แล้วก็มีแต่ความต้องการที่จะไม่ให้มีปัญหา พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ไม่รู้ว่าปัญหาทั้งหมดมาจากความไม่รู้ ไม่รู้ไปหมดเลย ถ้าไม่มีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่ว่าดีไม่ดี ก็ยังต้องถามต้องบอก แล้วขณะไหนดี เมื่อสักครู่นี้โกรธขุ่นเคือง ไม่แช่มชื่น ไม่พอใจ จนกระทั่งถึงอาฆาตพยาบาท ทำร้ายร่างกาย สิ่งที่มีที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ ในข่าวโทรทัศน์ทั่วโลก มีแต่เรื่องการประทุษร้ายเบียดเบียน ถ้าเป็นคนดีข่าวนี้ไม่มี แต่เพราะเหตุว่าไม่ดีใช่ไหม จึงมีสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วมีใครคิดจะแก้ไขไหม ถ้าไม่รู้ก็แก้ไม่ได้แน่นอน ถ้าจะแก้ไข จะแก้ไขที่ไหน แต่ละคนใช่ไหม ที่ดี และไม่ดี
เพราะฉะนั้นการที่จะแก้คนที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดีทั้งหลาย ก็ต่อเมื่อให้เขามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าดีคืออะไร ชั่วคืออะไร แล้วจึงสามารถที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี และก็ไม่ใช่ว่าเราต้องไปขวนขวายหาความเข้าใจที่ไหนเลย ชีวิตประจำวันเดี๋ยวนี้ด้วย ตั้งแต่เช้ามาหรือจะกล่าวว่าตั้งแต่เกิดก็ได้ เพียงแค่เมื่อเช้าเราก็ยังหาไม่เจอเลยว่าขณะไหนดี ขณะไหนไม่ดี แต่ถ้าตอบรู้ ใช่ไหม ตั้งแต่เช้ามาดีขณะไหน เห็นไหม รู้หรือยัง กำลังนั่งฟังให้เข้าใจความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอะไรให้เป็นประโยชน์แก่คนที่ได้ฟังแค่ไหน ขณะนี้ถ้ามีความสนใจจริงๆ ดี ที่จะรู้จักคนที่เรากราบไหว้ มิฉะนั้นเรากราบไหว้คนที่เราไม่รู้จักใช่ไหม นี่เป็นสิ่งซึ่งถ้าเป็นความไม่รู้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขอะไรเลย ได้แต่ตั้งงบประมาณหรือสร้างอะไรต่ออะไรมากมาย ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่ถ้าขณะนั้นไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรอย่างไรก็แก้ไม่ได้
ทั้งๆ ที่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าทรงจะปรินิพพานไปแล้ว ล่วงเลยไป ๒,๕๐๐ กว่าปี ถึง ๒,๖๐๐ จนกระทั่งถึง ๕,๐๐๐ปี ก็แล้วแต่ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงไว้แล้ว คนนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าเมื่อใด แม้ในครั้งพุทธกาล คนที่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกที่นับถือลัทธิอื่น ที่พระนครสาวัตถี พระนครเวสาลี ที่พระองค์เสด็จไป ไม่มีใครรู้ว่า ท่านผู้นี้บุคคลผู้นี้เป็นผู้เลิศจนกว่าจะได้ฟังคำ ได้ฟังแต่ละคำของพระองค์ จึงสามารถที่จะกราบไหว้ ในสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะให้เกิดขึ้นได้เลยในโลก คือความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีทุกขณะ นี่เริ่มเห็นความต่าง และความมีค่ารัตนะอย่างยิ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลใดไม่สามารถจะเทียบได้เลย ตรัสรู้จริงๆ ถ้าได้ฟังต่อไปยิ่งรู้ว่าน่าอัศจรรย์ สิ่งที่เราเผินมากตั้งแต่เด็ก แค่กราบไหว้ แล้วก็ไม่รู้จักพระองค์จริงๆ เริ่มรู้จักพระองค์ แต่ละคำแต่ละคำแต่ละคำ จนกระทั่งรู้ว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด เหนือบุคคลอื่นใด ไม่มีผู้ใดเปรียบทั้งสิ้น สมควรที่คนที่รู้คุณจะกราบไหว้ด้วยความเคารพ
เพราะฉะนั้นวันนี้ไหว้พระแล้วหรือยัง ยังใช่ไหม ถ้าไหว้แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครก็ไม่ถูกต้อง ถ้าไหว้หมายความว่า ต้องรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ควรไหว้ มิเช่นนั้นแล้วไหว้ผิด เคยไหว้ผิดไหม ถ้ายังไม่รู้ว่าผิด ก็ยังไหว้ต่อไป แต่ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ไหว้มาแล้วผิด ก็จะไม่ไหว้อีกต่อไป จะมีแต่การส่งเสริมให้สร้าง สร้างอะไร เคยไหว้พระราหู รู้จักไหม ไม่รู้จักเลย แต่สร้างให้คนกราบไหว้ ผิดไหม หลงผิดไหม ดีไหม ไม่ดี นี่เริ่มรู้จักว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ทีละเล็กทีละน้อยมาก แต่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้นานแล้ว ก็ยังคงเป็นความจริงทุกกาลสมัย เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำที่คนอื่นจะชื่ออย่างนี้ไม่ได้เลย เพียงคนเดียว นานแสนนานกว่าจะมีการตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นคุณค่าของการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำนี้ แต่ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ไม่พอ ต้องฟังต่อไปอีกว่าพระองค์ตรัสรู้สิ่งที่ทุกคนไม่รู้เลย และทรงตรัสรู้ทุกอย่างซึ่งทุกคนก็ไม่รู้ แม้แต่คำว่าดีใช่ไหม เพียงแค่คำเดียว นอกจากไม่ดี คือโกรธ ขุ่นเคืองใจ มีอะไรอีกไหมที่ไม่ดี เห็นไหม ไม่ใช่ต้องไปนึกตำราหน้าไหน พระสูตรไหนอะไร แต่ว่าชีวิตตามความเป็นจริงทุกขณะมีจริงๆ ใครรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากรู้ว่า เราไม่รู้อะไร อ่านเลยพระไตรปิฎกมีตามที่ต่างๆ หยิบมาเล่มหนึ่ง แล้วก็จะมีข้อความ แล้วแต่ว่าจะเป็นเรื่องของพระสูตร หรือพระวินัย หรือพระอภิธรรม แค่นี้ก็ยังไม่รู้แล้ว แล้วเราอยู่อย่างไร การที่เราเที่ยวไปไหว้สิ่งซึ่งไม่น่าไหว้เลย ไหว้ได้อย่างไร เป็นใคร มีผ้ายันต์ไหมในที่นี้ ใครมีผ้ายันต์บ้าง ไม่มีเลยหรือ ใครอยากจะมีผ้ายันต์บ้าง เขาว่าผ้ายันต์ทำให้ชนะฟุตบอล ใครเล่นฟุตบอลบ้าง แล้วอยากจะมีผ้ายันต์ไว้ชนะฟุตบอลหรือเปล่า เห็นไหม แสดงให้เห็นว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้เราไม่รู้ แต่ทรงแสดงความจริงทั้งหมด ไม่ว่าเหตุการณ์ขณะนี้เป็นอะไร ก็จะต้องมีคำตอบเพื่อที่จะให้บุคคลนั้นได้มีความเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจเป็นบัณฑิตได้ไหม ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นเราทุกคนก็รู้ว่า ถึงแม้ว่าจะมีวิชาความรู้มากมาย แต่เป็นคนเลว คนชั่ว ไม่ใช่บัณฑิต แต่ว่าความดีความเห็นถูกความเข้าใจถูก มีปัญญาเพิ่มขึ้น ขัดเกลากิเลส ใครไม่ชอบคนดีบ้าง ไม่มีเลย มีแต่สรรเสริญความดีของแต่ละคนที่ได้ฟัง เด็กนักเรียนพบสุนัขบาดเจ็บ ถูกรถชน ก็คิดที่จะช่วย มีผู้ที่อุปการะช่วยนำสุนัขนั้นไปรักษา ดีไหม เห็นสุนัขเจ็บ ช่วย มีความกรุณา เพราะใครเลยจะชอบความเจ็บ แต่ว่าถ้าเราเจ็บแล้ว มีคนช่วย ดีไหม แต่ถ้าไม่มีใครช่วยเลย ก็ลองคิดดูว่าจะเป็นอย่างไร โลกนี้จะอยู่กันอย่างไร แต่ว่าทั้งหมดก็คือว่า แม้จะมีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับดีดี แต่ต้องเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น คือการรู้ความจริงว่าดีเป็นอะไร เรื่องที่จะศึกษาธรรม ได้ฟังธรรมซึ่งเป็นความจริงของชีวิตประจำวันทุกขณะมีมาก แต่ว่ามากจนกระทั่งว่าเวลาเพียงแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงไม่สามารถที่จะทำให้ได้เข้าใจเพิ่มขึ้นมาก แต่อย่างน้อยที่สุดปัญหาทั้งหลายที่มีอยู่ ก็สามารถจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าอะไรถูกอะไรผิด เช่นเมื่อสักครู่นี้ทุกคนยอมรับว่าโกรธไม่ดี ขุ่นเคืองใจไม่ดี พยาบาทไม่ดี อาฆาตไม่ดี ริษยาซึ่งคนไทยชอบพูดว่าอิจฉา แต่คำนี้ ภาษาบาลีหมายความว่าอะไร คุณคำปั่น
อ.คำปั่น ถ้าอิจฉาหมายถึง ความอยาก ความต้องการ
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ไม่ศึกษาเข้าใจไหม พูดคำที่ไม่รู้จัก แล้วผิดด้วย ถ้าไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา ใช้คำที่ได้ยินจากคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่ไม่ได้เข้าใจ เพราะเหตุว่าไม่ศึกษา บอกว่าอิจฉา แต่อิจฉานี่คือความอยาก แต่ถ้าเป็นความหมายของในภาษาไทย ที่ไม่อยากให้คนอื่นเขาดี ภาษาไทยเราจะใช้คำว่า ริษยา แต่ภาษาบาลีเป็น อิสสา นี่คือคนที่ชอบภาษาอยากจะรู้ทีละคำสองคำก็ได้ เก็บเล็กผสมน้อยไป ในที่สุดจะค่อยๆ เข้าใจตรงขึ้นมากขึ้นด้วย แต่ต้องเข้าใจให้ถูก เพราะฉะนั้นเราพูดภาษาไทย ที่เป็นคำที่มาจากภาษาอื่น เช่นคำภาษาบาลี แต่ไม่ได้เข้าใจความหมาย ไม่ได้เข้าใจความจริงเลย แต่ก็พูดไป ผิดๆ ถูกๆ ด้วย นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคำเป็นคำที่ไม่รู้จักจริงๆ จนกระทั่งได้มีการเข้าใจธรรมเมื่อใด แม้แต่ ดีชั่ว อิสสา ดีไหม ถ้าเราชอบใคร พี่ป้าน้าอาพี่น้อง พ่อแม่ แล้วเขาได้ดี อิสสาไหม ไม่อิสสา ไม่ริษยา พลอยยินดีด้วย พลอยยินดีติดข้องไปด้วย ตื่นเต้นดีใจ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม แม้แต่ดีก็ไม่รู้จัก ชั่วก็ไม่รู้จัก เข้าใจว่าชั่วเป็นดี นี่แสดงให้เห็นว่าถูกไหมที่จะเป็นบัณฑิต บัณฑิตไม่ใช่เพียงผู้ที่มีการศึกษาเพียงบางวิชา แต่คนดีได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม เพราะเหตุว่ามีใครต้องการบัณฑิตที่ไม่ดีบ้าง จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ดี แต่ว่าถึงไม่จบมหาวิทยาลัย แต่เป็นคนดี ดีกว่าไหม ก็เลือกได้ นี่เป็นสิ่งที่ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจว่าแต่ละคำมีประโยชน์จริงๆ เพราะอะไร ทุกคนไปโรงเรียนเพราะไม่รู้ เรียนหนังสือ ตั้งแต่กอไก่ขอไข่ เพิ่มขึ้นต่อไปเข้ามหาวิทยาลัย เพราะอะไร เพราะไม่รู้
เพราะฉะนั้นการฟังทั้งหมด เพื่อเข้าใจ ไม่ว่าจะฟังอะไร จะเรียนอะไร แต่ประโยชน์ ก็คือว่าเกิดมาแล้วพูดคำที่ไม่รู้จัก แล้วก็ผิดๆ ถูกๆ ด้วย และมีโอกาสที่จะเป็นคนดี ไม่ใช่เพียงแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่สามารถที่จะเป็นคนดีได้เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง และรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะเริ่มคิดที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง หนทางเดียวไม่ใช่เข้าวัดไปกราบไหว้ แล้วบอกว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำอย่างนั้นเป็นการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า แค่เข้าไปในวัด และกราบไหว้ แต่ต้องศึกษาแต่ละคำ จึงจะรู้ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากแต่ละคำได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เป็นคำที่ได้ตรัสไว้แล้ว เป็นปัญญาทั้งหมด ทุกคำสามารถที่จะมีความเข้าใจถูกต้องในแต่ละคำ ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน ง่ายๆ คือ ดี ชั่ว ริษยา โกรธ แล้วจะมีอะไรดีบ้าง ตั้งแต่เช้ามา ขยันเรียนหนังสือ ขยันทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์กับคนอื่น อะไรดี ขยันช่วยเหลือคนอื่น ขยัน มีความเคารพพ่อแม่ ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ท่าน ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ขยันพูดสิ่งที่มีประโยชน์ให้คนอื่นเขาได้รู้ว่าอะไรมีประโยชน์ อะไรไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเห็นความต่างกันของความไม่รู้ ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ พรรษา
เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีในโลกทุกวันทุกวันขณะนี้ แม้แต่ชีวิตของแต่ละคนส่วนใหญ่แล้วเป็นไปด้วยความไม่รู้ และความไม่ดี เพราะฉะนั้นจึงถาม เมื่อเช้านี้มีดีอะไรบ้าง ทำดีอะไรบ้าง เป็นคนดีหรือเปล่า ถ้าไม่ทำดีเป็นคนดีหรือเปล่า ทุกคำถามมีคำตอบ เพราะว่าแม้แต่ความดีก็มีหลายระดับ แม้แต่ความไม่ดีก็มีหลายระดับ เช่นอยากได้สิ่งนี้สวยมาก อยากแค่ไหน ถ้าอยากได้มากก็เอาเงินไปซื้อระดับหนึ่ง แต่อยากได้มากของนั้นมีราคาแพงมาก ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ไปหยิบเอามา เห็นไหม นี่คือความอยากได้ซึ่งทำให้เกิดสิ่งที่เป็นทุจริตขึ้น เพราะฉะนั้นความอยาก แม้แต่ความอยากก็มีหลายระดับ อาหารทุกวันที่รับประทานทุกวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ รับประทานอาหารที่ชอบใช่ไหม อยากรับประทานของที่ชอบ ไม่เป็นโทษกับใคร ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ถ้าอาหารไม่อร่อย และคนที่ทำอาหารไม่อร่อย ไปว่าเขา เพราะเราไม่ชอบอาหารที่เขาทำมา เป็นโทษไหมที่ไปว่าเขา ไปติเตียนเขา คำพูดที่ไม่ดี ใครอยากฟัง แทนที่จะพูดด้วยความเมตตา ชี้แจงมีความเป็นมิตรทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นความละเอียดอย่างยิ่ง ซึ่งมีอยู่ในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด เพราะฉะนั้นวันนี้เวลาก็มีไม่มากเลย แต่คิดว่าที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือขอได้ฟังคำถามของผู้ที่ได้มาฟังที่นี่ เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีความสนใจในเรื่องอะไร และจะได้เข้าใจได้ถูกต้องขึ้น ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ตามความคิดของคนหนึ่งคนใด
ผู้ฟัง หนูมีความสงสัยว่าถ้าเกิดว่าสิ่งที่ดี คือสมมติว่าเราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้พ่อแม่ และทำให้เขารู้สึกดี ทุกคนบอกว่าดี ใช่ แต่ว่าถ้าเกิดตัวเราเองที่รู้สึกไม่ดี ก็คือไม่ดีไม่ใช่หรือ ทั้งสองอย่างนั่นย้อนแย้งกัน ที่ว่าคนอื่นบอกว่าดี แต่ว่าตัวเรารู้สึกไม่ดี นั่นดีจริงไหม
ท่านอาจารย์ ทุกคนรู้ว่าพ่อแม่มีคุณ ตั้งแต่เกิดมา ถ้าขาดพ่อแม่ เราคงจะไม่อยู่ที่นี่ตรงนี้ พระคุณมากมายมหาศาล ด้วยความกรุณา ด้วยความรัก ด้วยความเอ็นดู สละทุกอย่างให้ลูก บางทีพ่อแม่อาจจะหิว แต่ก็ยังแบ่งอาหารให้ลูก เพราะยอมที่จะหิว นี่แสดงให้เห็นว่า ความดีก็คือการเสียสละสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ผู้อื่นได้รับใช่ไหม ถ้าพูดถึงความดี เพราะฉะนั้นการรู้คุณความดี ต้องตอบแทนด้วยคุณคือความดี ไม่ใช่ว่าใครดีต่อเรา แล้วเขาบอกให้เราไปขโมยของมาให้เขา เราเลยต้องไปขโมยของมาให้เขา เพราะเขาเคยทำสิ่งที่ช่วยเหลือเรา นั่นไม่ถูกเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำความดี ความดีเป็นสิ่งที่ต้องตอบแทนด้วยความดี เพราะฉะนั้นเวลาที่พ่อแม่ให้เราทำอะไร แสดงว่าท่านต้องการความช่วยเหลือจากเรา ใช่ไหม
ผู้ฟัง ก็ใช่อยู่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราเต็มใจที่จะแทนคุณพ่อแม่ไหม
ผู้ฟัง ถ้าถามความเต็มใจเต็มใจ แต่ว่าสมมติว่า เป็นเรื่องในชีวิตปัจจุบัน ที่แบบว่าอย่างเด็กเราไม่รู้ว่าเรามาเรียนคณะนี้ คือพ่อแม่เราบอกว่าดี อยากให้เราเรียนถูกไหม อันนี้เป็นปัญหาที่แบบค่อนข้างจะเยอะเลย แล้วตัวเราไม่มีความสุข ก็คือไม่ดีกับเราไม่ใช่หรือ
ท่านอาจารย์ ก็อาจจะต้องเรียนคุณพ่อคุณแม่ตามตรงว่าเดี๋ยวไม่จบ เพราะเรียนสิ่งที่ไม่มีความสามารถ แล้วจริงๆ แล้วการที่จะตอบแทนคุณของคุณพ่อคุณแม่มีหลายวิธีมาก นอกจากการที่เราไม่สามารถที่จะตอบแทนด้วยการที่ไปตามใจในสิ่งซึ่งเราไม่ถนัด เราก็อาจจะเรียนท่านตามตรงว่าแล้วถ้าเราไม่จบ แต่ว่าเราแทนคุณทางอื่นหมดเลย รักท่านทุกอย่าง ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านพอใจ ท่านก็ต้องเข้าใจว่าความสุขของลูกอยู่ที่ไหน และก็ความสามารถที่จะเป็นไปได้ ก็ต้องเป็นไปตามที่ท่านไม่ได้เรียนเอง แต่ลูกเป็นคนเรียนใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะเรียนท่านตามตรงว่า เดี๋ยวเราไม่จบแน่ๆ เลย ถ้าเรียนอย่างนั้น แล้วก็ตอบแทนคุณความดีด้วยวิธีอื่นมากมายเลย รักท่านให้มากๆ ทำดีขึ้นให้มากๆ ท่านก็มีความเข้าใจ ที่สำคัญที่สุดเราอยากให้คนอื่นเป็นอย่างที่เราต้องการใช่ไหม พ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกเป็นอย่างที่พ่อแม่ต้องการก็มี ลูกอยากให้พ่อแม่เป็นอย่างที่ลูกต้องการก็มี
เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคนต้องการให้คนอื่นเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว เป็นอย่างนั้นไม่ได้เลย เราไม่สามารถที่จะให้ใครเป็นอย่างที่เราต้องการได้ แต่ว่าการที่เราเป็นคนดี มีใครจะรังเกียจคนดีบ้างไหม ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่มีลูกหลายคนไหม บางคนอาจจะคิดว่าแม่รักลูกคนนั้นมาก พ่อรักลูกคนนี้มาก แต่ถ้าเป็นลูกที่ดี ไม่สำคัญเลย พ่อจะรักลูกคนไหนมาก แม่จะรักลูกคนไหนมาก เรารักพ่อแม่ ดีที่สุดใช่ไหม ไม่ต้องไปสนใจ เรื่องว่าคนโน้นคนนี้คนนั้น เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะแก้ไขได้เลย แต่เราถ้าพ่อไม่รัก เรารักพ่อได้ไหม ถ้าแม่ไม่รักหรือแม่รักเราน้อยกว่าคนอื่น เรารักแม่ได้ไหม เราทำความดีกับทั้งพ่อทั้งแม่โดยที่ไม่คำนึงเลยว่าท่านรักเราหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ทำความให้เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ เลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นดี ต้องดีทั้งหมด ดีทุกด้าน ดีหลายๆ ทาง จะบอกว่าดีทางนี้ ไม่ดีทางนั้น นั่นไม่ใช่ดี ใช่ไหม เพราะเหตุว่าดีต้องดี เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนดีจริงๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เป็นลูก เป็นลูกที่ดี เป็นพ่อเป็นพ่อที่ดี เป็นแม่เป็นแม่ที่ดี เป็นเพื่อนเป็นเพื่อนที่ดี แล้วเราอยากจะมีพ่อแม่ที่ดี เพื่อนที่ดีไหม ถ้าเราอยากมี ทำไมเราไม่เป็นเอง ทำไมต้องไปเกี่ยงให้คนนั้น เกี่ยงให้คนนี้เป็น เพราะฉะนั้นพ่อแม่ในฝัน ลูกในฝัน พี่ในฝัน น้องในฝัน เป็นเอง เป็นคนดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ มีแต่นำความไม่เดือดร้อน ไม่นำทุกข์มาให้ใครเลยทั้งสิ้น และถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้โดยไม่รอใครว่า เขาต้องดีก่อน เราถึงจะดีตาม ไม่เกี่ยงใครด้วย ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นผู้ที่เริ่มรู้ว่า ความดีมีประโยชน์ มีคุณจริงๆ ไม่ให้โทษทั้งกับตนเอง และคนอื่นด้วย ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร กับพ่อแม่ กับเพื่อน กับวงศาคณาญาติ หรือใครก็ตาม
ถ้าเราเป็นคนดี หมายความว่า มีความเป็นมิตร มิตรที่นี่ หมายความว่ามีความเข้าใจมีความเห็นใจ พร้อมที่จะช่วยทันที นั่นคือความหมายของมิตร เราบอกว่าเขาเป็นเพื่อนฉัน แต่ดูให้ดี เขาเป็นเพื่อนฉันจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าเราเป็นเพื่อนกับคนนี้ ก็ต้องคิดให้ดีว่าเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่เป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่เพื่อนคือมีความหวังดี แล้วความเป็นมิตร ใครไม่ต้องการบ้าง ทุกคนต้องการความเป็นมิตร ไม่ว่าจะในรถประจำทาง ท้องถนน หรือที่ไหนก็ตาม ชาวต่างชาติประเทศไหน ประเทศนี้ ประเทศนั้น ไม่ว่าจะต่างถิ่น ต่างแดน ทุกคนก็ต้องการความเป็นมิตร แล้วทำไมเราไม่เป็นมิตร คือเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ ไปหวังร้ายทำไม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020