ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๘๑

    สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็ต้องการความเป็นมิตร แล้วทำไมเราไม่เป็นมิตรคะ คือเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ ไปหวังร้ายทำไม เดือดร้อนใจ แต่ต้องไปนั่งคิดหวังร้ายกับเค้า ทำโน่นทำนี่ให้เขาเดือดร้อนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราหวังดีนี่ค่ะทันทีเลย ที่เราสามารถจะทำอะไรให้ใครได้ พร้อมที่จะช่วยทันทีนะคะเพราะฉะนั้น มิตร มาจากคำว่าเมตตา เป็นผู้ที่มีความเป็นเพื่อน หวังดี และก็พร้อมที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูล อยากจะมีคนรอบข้างเป็นอย่างนี้มั้ยคะ เราก็เป็นคนหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยงใครเลย นี่ก็เริ่มจากดี๊ดี แต่ก็ยังไม่สามารถจะเป็นไปได้นะคะ ถ้าความเข้าใจยังไม่พอ

    ผู้ฟัง เราใช้ชีวิตทุกวันอยู่อย่างนี้ค่ะ ความสุขแท้จริงแล้วอ่ะ มันคือการทำความดีไปเรื่อยๆ หรือเปล่าคะ หรือว่าอยู่เฉยๆ ก็มีความสุข หรือว่าไม่ต้องการอะไรเลย ก็มีความสุข ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ สุขจริงๆ นะคะ ใครจะตอบ คิดดูจะตรงไหม สุขจริงๆ คือรู้ความจริง ซึ่งหมายความว่า เข้าใจธรรม เราได้ยินคำว่าธรรมมากนะคะ แต่ไม่เคยสนใจ แล้วก็คิดไปเองต่างๆ ว่าธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนั้น แต่รู้จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสุขจริงๆ ก็ต่อเมื่อได้เข้าใจถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี ไม่อยู่อย่างคนตาบอด ไม่รู้อะไรเลย แต่เข้าใจว่ารู้หมด แต่ว่าพอได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้นะคะ ทั้งหมดนี่ค่ะ เพื่อที่จะให้เข้าใจ และคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาศาล เพราะเหตุว่าเราพูดคำนี้อย่างเผินๆ อย่างเบาๆ แผ่วๆ ผ่านไปเรื่อยๆ แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะคิดถึงได้เลยว่า ทรงตรัสรู้ได้ถึงอย่างนั้น แล้วก็ความจริงก็คือว่า เกิดมาแล้วมีโอกาสได้เข้าใจความจริง ซึ่งจะไม่มีโอกาสรู้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นความสุขอยู่ตรงที่ ไม่เป็นคนไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้คืออะไร เกิดแล้วต้องตาย แล้วก็ทุกอย่างที่เข้าใจว่าเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แค่ขณะสุดท้ายที่ไม่มีจิตเกิดที่รูปนั้น รูปนี้ก็เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้เลย เงินทองทรัพย์สมบัติทั้งหมด วิชาความรู้ทั้งหมด ก็ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างกาย เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่เหมือนลึกลับที่สุด เพราะแม้กำลังปรากฏ แต่ก็ความไม่รู้มาก จนกระทั่งไม่สามารถที่จะเห็นความจริงได้ว่า แต่ละขณะ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะคิดถึงความลึกซึ้งของธรรมได้ คิดซิคะ เห็นขณะนี้ ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีเห็นมั้ย คะ แค่นี้ต้องคิดแล้วใช่ไหมคะ ขณะที่ได้ยินหรือขณะที่นอนหลับมีเห็นมั้ยคะ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าเห็นชั่วคราวแค่ไหน แต่ไม่มีใครใส่ใจที่จะรู้เลยว่า เป็นแต่เพียงเกิดขึ้นเห็น เห็น ไม่ใช่เราค่ะ เห็น มีจริง เกิดขึ้น เห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ทุกขณะที่เกิด ไม่เคยย้อนกลับมาได้เลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจะสุขสักเท่าไหร่ เมื่อวานนี้สุขมากมั้ย สบายมากมั้ย ทุกข์หรือเปล่า คิดยังไง ตื่นเต้นหรือเปล่า ทั้งหมดเดี๋ยวนี้ไม่เหลือเลย เมื่อกี้นี้ก็ไม่เหลือเลย แต่ไม่มีการที่จะเข้าใจความจริงอย่างนี้นะคะ ก็เลยไม่รู้ว่าเอ๊ะ สุขจริงๆ เนี่ยคืออะไร สุขเมื่อได้เข้าใจความจริง พ้นจากการที่จะไม่รู้เลย แม้แต่ที่กำลังปรากฏชัดๆ อย่างนี้เลยว่าไม่รู้อะไร ข้อพิสูจน์นะคะ เห็นอะไรแค่นี้ค่ะ ธรรมดาที่สุด มีเห็น แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นด้วย แต่ถ้าถูกถามว่าเห็นอะไร จะตอบว่าไงคะ ธรรมดาเลยค่ะ เห็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เห็นคนค่ะ

    ท่านอาจารย์ เห็นคน เห็นไหมคะ ถูกมั้ย ถ้าทุกคนคิดยังไงก็ตอบอย่างนั้น มีเสียงเบาๆ ว่า ถูก ไม่ถูกค่ะ ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเสียงดังออกมา ก็จะได้รู้ว่าทุกคนเข้าใจอย่างนี้ว่าถูก เพราะใครๆ ก็ต้องตอบว่าเห็นคน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เห็นคนจริงๆ เหรอคะ หลับตาซิคะ หลับเลย เห็นคนมั้ย

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่เห็น เพราะฉะนั้นคิดว่ามีคนจริงๆ ใช่ไหมคะ แต่ความจริง มีเห็น กับมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วเมื่อปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็ทำให้คิดถึงสิ่งต่างๆ เห็นเป็นดอกไม้ เห็นเป็นพวงมาลัย เห็นเป็นคน เห็นเป็นโต๊ะ แต่จริงๆ นะคะ เห็นเป็นอื่นไม่ได้ เห็นเป็นเห็นค่ะ ชั่วขณะที่เห็น เกิดเห็นแล้วดับ เร็วขนาดนั้น เพราะฉะนั้นความน่าอัศจรรย์ ของสิ่งซึ่งมีในชีวิตเนี่ย ลึกลับรวดเร็วที่สุดนะคะ ยากที่ใครจะรู้ได้ นอกจากผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี บารมีคือคุณความดีมาก ที่จะค่อยๆ ละคลายความติดข้อง ความไม่รู้ ความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งสามารถ ที่จะเข้าถึงลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ว่ามีจริงๆ เกิดจริงๆ เห็นจริงๆ ดับจริงๆ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ละขณะในชีวิตนี่ค่ะ ไม่มีอะไรกลับมาเลยสักอย่างเดียว เมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหนคะ ไม่ได้กลับมาอีกแล้ว เมื่อกี้นี้รับประทานอะไร ก็ไม่กลับมาอีก เมื่อกี้คิดอะไรก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นทุกอย่าง เกิดเมื่อมีปัจจัย ที่จะเกิดขึ้นนะคะ แล้วก็ดับ และก็ไม่กลับมาอีก แต่ละคนเนี่ย คิดแต่คิดต่างกัน เหมือนกันไม่ได้เลย เพราะว่าสะสมมาไม่เหมือนกัน นี่ก็คือเริ่มที่จะเข้าใจนะคะ สิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจก่อน ว่าสิ่งที่มีจริง ถูกปกปิดไว้ ด้วยความไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไป และก็ไม่กลับมาอีก ทุกคำไม่ใช่เชื่อแต่พิสูจน์ แล้วค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่าเราอยู่ไหน เพราะว่าจะได้ยินคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตอนนี้เราเข้าใจว่าธรรมแล้วใช่ไหมคะ มีจริงๆ ทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งปวง ไม่เว้นเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงต้องเกิดจึงจะมี เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ทุกคำเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงที่สุด เพราะฉะนั้นไม่มีการเปลี่ยน เป็นอย่างอื่นเลยแต่ละขณะ เมื่อกี้ได้ยิน เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นี้ดับแล้ว ได้ยินใหม่แล้ว เสียงใหม่ และดับไปอีกละ ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกนี้ เพียงชั่วคราวแสนสั้นนะคะและเราก็ไม่รู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นก่อนจากไป มีค่าที่สุดก็คือได้รู้ความจริง มีความสุขมั้ยค่ะ

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ได้รู้ได้เข้าใจถูกต้องค่ะ

    ผู้ฟัง จะสอบถามท่านวิทยากรมนะครับ ว่าคือชาวพุทธทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจถ่องแท้ ถึงพระอภิธรรมมั้ย ถึงจะมีโอกาสบรรลุธรรม

    ท่านอาจารย์ ทีละคำนะคะ ขณะนี้ไม่มีใครสงสัยว่า ธรรมคืออะไร คือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็มี เห็นมีจริง เห็นเป็นธรรม คิดมีจริง คิดเป็นธรรม โกรธมีจริง โกรธเป็นธรรม สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเกิดขึ้น มีลักษณะเป็นอย่างนั้น ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เช่นความโกรธ ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม ๑ โกรธเป็นธรรม ๑ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มี และไม่เคยรู้มาก่อน พอรวมๆ กันเข้า ก็เป็นคนโน้นโกรธ คนนี้ดี แต่ความจริงคน ๑ ก็คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น คิดนึก รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส รวมแล้วเป็นคน ๑ คน ๑ คน ๑ แต่ความจริงถ้าแยกแล้วนะคะ ก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ทีละ ๑ เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเป็นคนเนี่ย ก็คือธรรมไม่ใช่เรา มีจริงๆ เช่นเห็น ถ้าบอกว่าเราเห็น ถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเราเห็น แต่เห็นเกิดแล้วไม่มีใครทำ เพราะฉะนั้นต้องมีการเกิดขึ้นโดยอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น นี่เป็นสิ่งที่ละเอียด ที่เพียงกำลังปรากฏ ยังไม่รู้จะไปรู้ถึงสิ่งที่ทำให้เกิด ก็คงต้องทีหลัง เพราะฉะนั้นให้ทราบก่อนนะคะ เรากำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพียงใช้คำว่าธรรมเนี่ย ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจมากกว่านั้น แต่ถ้าเพิ่มเติมว่าสิ่งนั้นแหละมี ไม่ใช่ไม่มี และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย มีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คิดตามไป จริงไหม ทำไมต้องเป็นธรรม เป็นใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เพราะธรรมมีจริงๆ ไม่มีใคร สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โกรธเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเกิดเป็นโกรธ แข็งเปลี่ยนเป็นหวานไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นแข็ง ลักษณะที่ปรากฏเป็นแข็ง เมื่อลักษณะที่ปรากฏเป็นแข็ง แข็งนั้นเปลี่ยนเป็นหวานไม่ได้ ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมแต่ละ ๑ นะคะ มีความเป็นใหญ่ ที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงของธรรม พระองค์ไม่ได้สร้างธรรมให้เกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนธรรมที่ชั่วให้เป็นดี แต่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมแต่ละ ๑ ด้วยเหตุนี้ธรรมทั้งหมด ธรรมทุกอย่างนะคะ เป็นปรมัตถธรรม มาจากคำ ๓ คำคือ ปรมัตถ ๑ อรรถะ ๑ ธรรม ๑ ถ้าธรรมไม่มีลักษณะเฉพาะของตน จะมีอรรถะให้รู้ให้เข้าใจได้ไหม ว่าเราพูดถึงอะไร อย่างเราพูดถึงเห็นนะคะ ถ้าเห็นไม่มีลักษณะเฉพาะเห็นต้องเห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถ้าไม่เข้าใจตัวสภาพที่เป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นลักษณะนั้น เราก็ไม่มีอรรถะ ว่าเราพูดถึงอะไร แต่นี่เราพูดถึงเห็น ไม่ได้พูดถึงได้ยิน ไม่ได้พูดถึงคิด เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละ ๑ นะคะ เป็นปรมัตอรรถะค่ะ มีลักษณะของตนซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ถูกต้องมั้ยคะ เห็นเป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม ได้ยินเป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมด เป็นปรมัตถธรรม ถูกต้องมั้ยคะ ลึกซึ้งมั้ยคะ รู้ง่ายมั้ยคะ

    ผู้ฟัง ไม่ครับ

    ท่านอาจารย์ อย่างเห็นคนเนี่ย ลองบอกซิเห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏ รูปร่างสัณฐานต่างๆ มีตา มีหู จำได้ว่าเป็นคนนี้ อีกรูปร่างสัณฐานหนึ่ง ก็จำได้ว่าเป็นคนนั้น แต่ความจริงต้องมี เห็นซึ่งเป็นเห็น ไม่ใช่คิด ไม่ใช่จำ ด้วยเหตุนี้นะคะ ความลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่าจะรู้แต่ละ ๑ ได้ ว่าแต่ละ ๑ เนี่ย ถ้าไม่เกิดไม่มี ถ้าไม่เกิดไม่ปรากฏ แล้วใครก็ไปทำให้เกิดปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริงอย่างนี้ จนกระทั่งประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารี ประจักษ์ความจริงอย่างไร ตรัสคำนั้นซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ใครจะเปลี่ยนคำของพระองค์ไม่ได้ แม้พระองค์เองนะคะ ที่ทรงตรัสรู้แล้ว เปลี่ยนคำที่ตรัสแล้วให้เป็นอื่นไม่ได้ เพราะว่าตรัสรู้อย่างไรจากคำนั้นถึงที่สุด เปลี่ยนอีกไม่ได้เลย แต่สิ่งนี้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะรู้ได้ จึงมีอีกคำหนึ่งคืออภิธรรม อภินี่ก็ละเอียดยิ่ง ลึกซึ้งอย่างยิ่งนะคะ ด้วยเหตุนี้แม้จะธรรมสิ่งที่มีจริง ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ยิ่งใหญ่เป็นปรมัตถธรรม และเป็นอภิธรรม เวลาที่ไปงานศพ จะมีการสวดพระอภิธรรม เข้าใจไหมคะว่าพูดเรื่องอะไร พูดเรื่องสิ่งที่มีจริง กุศลาธรรมาธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล อกุศลาธรรมาธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล อพะยากะตาธรรมมาธรรมทั้งหลาย ที่ไม่เป็นกุศล และอกุศล เห็นเป็นกุศลหรือเปล่า เห็นไหมคะ แค่เกิดขึ้นเห็น ซึ่งจำเป็นต้องเกิด ไม่เกิดไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เลยว่าทำไมเราเห็น วันหนึ่งวันหนึ่งบางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่ธรรมเป็นธรรม ซึ่งต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น จึงเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ ความลึกซึ้งก็คือว่า แม้ขณะที่กำลังเห็น ยังตอบไม่ได้เลย แค่ให้ตอบว่าเห็นเป็นกุศล หรือเห็นเป็นอกุศล หรือเห็นไม่ใช่ทั้งกุศล และอกุศล เห็นไหมคะ ตอบได้มั้ย กำลังเห็นแท้ๆ ก็ไม่รู้ ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมที่มีแต่ลึกซึ้ง ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นอภิธรรม กำลังฟังอภิธรรมรึเปล่าคะเดี๋ยวนี้ หรือต้องไปวัด หรือต้องไปสวดศพ ถึงจะเป็นอภิธรรม ธรรมทั้งหมดทุกคำเป็นอภิธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างนี้นะคะ บางคนบอกว่าเขาจะฟังธรรม เขาจะเรียนธรรม แต่เขาไม่เรียนอภิธรรม ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้อง ก็รู้ได้ว่าคำพูดนั้นผิด แต่ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจถูกต้องนะคะ เขากำลังฟังจะใช้คำว่าธรรม หรือเขากำลังฟังปรมัตถธรรม หรือเขากำลังฟังอภิธรรม ก็คือธรรมนั่นเอง แต่ขยายให้เข้าใจถูกต้องว่า แล้วธรรมคืออะไร ก็คือสิ่งที่มี แต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่จะเข้าใจได้ และไม่เปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นปรมะ คือใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลักษณะเห็นต้องเป็นเห็น เมื่อวานนี้เห็น เห็นก็คือเห็น วันนี้เห็นก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น พรุ่งนี้เห็นก็ต้องมีสิ่งที่ปรากฏ และมีสิ่งเห็น เวลานี้กำลังได้ยินนะคะ มีเสียง เสียงก็ต้องเป็นเสียง เมื่อวานนี้เสียงก็เป็นเสียง พรุ่งนี้เสียงก็ต้องเป็นเสียง เสียงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นี่คือธรรมซึ่งเป็นปรมัตธรรม และเป็นอธิธรรม เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม ไม่ได้ศึกษาอย่างอื่นเลยนะคะ แต่ศึกษาธรรมโดยความละเอียดยิ่ง เพื่อที่จะให้เข้าใจถูกต้องว่า ธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่อะไรเลยสักอย่าง เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เริ่มเข้าใจพระพุทธพจน์แต่ละคำ เช่นคำว่าสัพเพธัมมาอนัตตา สัพพะ สัพเพ ทั้งหมด ทั้งปวง ทั้งสิ้น ไม่เหลือเลยนะคะ สัพเพธรรมา ธรรมทั้งหลายไม่เว้น ไม่เว้นคือไม่เว้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตา ตรงกันข้ามกับอัตตา อัตตาคือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ดอกมะลินี่เที่ยงมั้ยคะเนี่ย ตั้งแต่เช้ามาเปลี่ยนหรือยัง ยังเป็นดอกมะลิ อย่างเห็นอย่างนี้ โต๊ะตัวนี้ ก็ยังคงเป็นโต๊ะตัวนี้ แต่ไม่รู้หรอกว่า แท้ที่จริงแล้วนะคะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ก็ต่อเมื่อเกิด เกิดแล้วดับทันที ไม่มีใครยับยังได้เลยแต่ไม่รู้ เพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมอื่นซึ่งเกิดสืบต่อ ทันทีไม่มีระหว่างคั่น อย่างรวดเร็ว สุดที่จะประมาณได้ เหมือนนักเล่นกลค่ะ เค้าลวงให้เห็นว่า เขาหยิบนก ออกมาจากหมวกทำได้ไหม ใครทำได้ ค่ะ ถ้าไม่ชำนาญทำได้ไหมคะ ทำไม่ได้เลย แล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า เป็นเค้าคนหนึ่งมองเห็นว่าเค้าหยิบนกออกมาจากหมวก แต่ความจริงเห็นเป็นเห็น ๑ ขณะเองค่ะ แล้วกว่าจะเป็นเขาที่หยิบนกคิดดู เพราะฉะนั้นทั้งหมดเนี่ยค่ะ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ให้เข้าใจถูกต้องว่า ตามความเป็นจริง ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว เราจะโศกเศร้า จะเดือดร้อน จะทุกข์มั้ยคะ ในเมื่อทุกอย่างเนี่ยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น ทำไมเราเกิดมาในโลกนี้ ไม่เป็นโลกอื่น ทำไมเกิดกับพ่อแม่ พี่น้องวงศาคณาญาติ ที่เราเกิดมาแล้วนี่ ไม่เป็นวงศาคณาญาติ พี่น้องอื่น ทำไมมีครอบครัว มีบ้านช่อง มีสมบัติ มีหลายอย่างที่เป็น ถึงเป็นพี่น้องนะคะ กี่คนก็ตาม ยังแตกต่างกันไปแต่ละขณะ คนหนึ่งเจ็บ อีกคนหนึ่งกำลังหัวเราะ อีกคนกำลังอยู่ในครัว อีกคนนึงกำลังอยู่นอกถนน ทำอะไรต่างๆ แต่ละ ๑ นะคะ เป็นธรรมซึ่งเมื่อเข้าใจความจริงแล้วนะคะ ก็จะรู้ว่าชั่วคราว ชั่วคราวเพราะอะไรคะ แค่เกิดมาในโลกแล้วก็ตายไป ชั่วคราวคืออะไรเกิดมาเห็นชั่วคราว คิดนึกเรื่องที่เห็นชั่วคราว สุขทุกข์ในสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว เกิดมาได้ยินเรื่องนี้นะคะ สุขทุกข์ตามเรื่องนี้ชั่วคราว แล้วก็จากไป แล้วไปเป็นอะไรคะ ลืมสนิท จำไม่ได้เลย เมื่อวานนี้ใครจำได้ ว่าทำอะไรบ้าง เมื่อวานนี้ใครจำได้ ว่ารับประทานอะไรบ้าง เมื่อวานนี้ใครจำได้ว่าโกรธใครบ้าง จำไม่ได้เลย แค่เมื่อวานนี้นะคะ ถอยไปอีกถึงอาทิตย์ก่อน ถอยไปอีก ๔ เดือนก่อน ถอยไปถึงปีก่อน เกิดมีเพื่อลืม ทันทีเลยค่ะ ที่ทุกคนออกจากห้องนี้ ลืมสิ่งที่มีในห้องนี้ทั้งหมด เพราะมีสิ่งใหม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นการไม่เที่ยงนะคะ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็หมดไปเป็นธรรมดา ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาจาสัจจะ เป็นคำจริงซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะกล่าวว่า นับถือศาสนาอะไร เชื่อหรือไม่เชื่อศาสนาอะไร ก็ไม่เป็นอะไร แต่ว่าคำที่ได้ยินเนี่ยถูกมั้ยล่ะ จริงมั้ย ถ้าจริงก็ต้องเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเรากำลังศึกษาความจริง ของสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าทรงตรัสรู้สิ่งที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้นควรรู้มั้ย เมื่อมีโอกาสที่จะรู้ได้ หรือว่าเมื่อมีโอกาส ซึ่งแสนยากที่จะรู้ ก็ไม่สนใจที่จะรู้ อย่างที่บางคนเข้าใจผิดนะคะ คิดว่าเขาจะศึกษาธรรม แต่เขาไม่ศึกษาอภิธรรม หมายความว่าคนนั้นไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นเพียงคำ ไม่ได้หมายความว่า คนนั้นเข้าใจ อยากจะบอกว่าบริจาคเงินมากๆ ได้บุญมากๆ เอาความเข้าใจอะไรมาแต่ไหนสักคำ บริจาคคืออะไรก็ไม่รู้ บุญคืออะไรก็ไม่รู้ เงินเป็นบุญเหรอคะ ไปเข้าใจว่าเงินเป็นบุญทั้งหมด นี่ค่ะเป็นไปด้วยความไม่รู้นะคะเพราะฉะนั้นทุกคนก็จะอยู่ในโลกของความไม่รู้ และความคิดเอาเอง เชื่อคนนี้ ฟังคนนั้น คิดเองบ้าง แต่ว่าทั้งหมดค่ะ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวแต่ละคำได้ แต่เมื่อฟังแล้วนะคะ มีคนฟังเข้าใจแล้ว มีพระสาวกมากมาย ผู้ฟังมีทั้งเพศคฤหัสถ์ และบรรพชิต ตามการสะสม ไม่ได้ทรงบังคับให้ใครไปบวช ไม่ได้ทรงบังคับให้ใครต้องไม่บวช ก็แล้วแต่อัธยาศัย ด้วยเหตุนี้พุทธบริษัทนะคะ ไม่ใช่มีใครไปฝืนไปบอกว่าให้บวชพันคน หมื่นคน แสนคน ล้านคน นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการฟังไม่ว่าคำของใครนะคะ ไม่ใช่ต้องตาม แต่ว่าคำนั้นพูดถึงอะไร สิ่งนั้นกำลังมีจริงๆ หรือเปล่า แล้วก็ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นหรือเปล่า เพราะว่าชีวิตแสนสั้น ทุกคนนะคะ ชีวิตดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิต ถ้า ๑ ขณะจิตนั้นดับ และมี ๑ ขณะจิตเกิดสืบต่อ ชีวิตก็ดำรงต่อไป แต่ถ้า ๑ ขณะจิตนั้นดับแล้ว ไม่มีการเกิดขึ้นสืบต่อเป็นคนนี้ ก็ใช้คำว่าตาย หมายความว่าสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ อยากอยู่นานๆ ไหมคะ เห็นไหมคะ แต่ละคำถาม เป็นเรื่องที่ต้องคิดถึงทั้งนั้นเลยค่ะ หรืออยากอยู่ทำไมอ่ะ อยากอยู่แค่สุข สนุกสนานไปวันๆ แล้วก็หมดไปวันๆ หรืออยู่เพราะเหตุ มีโอกาสจะได้ฟังคำซึ่งยากที่จะได้ฟัง ไม่รู้ว่าเกิดแล้ว จะได้ฟังอีกหรือเปล่า และทุกคำไม่ใช่ให้เชื่อเลยค่ะ แต่พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ และให้รู้ด้วยว่าแต่ละคำเนี่ย ถ้าเข้าใจผิดคิดว่าศึกษาธรรม แต่ไม่ศึกษาอภิธรรม ไม่ศึกษาปรมัตธรรม นั่นคือเขาไม่รู้จักธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำนะคะ ต้องเข้าใจจริงๆ ทีละ ๑ คำก็ยังดี เพราะฉะนั้นวันนี้อย่างน้อยนะคะ ก็คงไม่ลืม ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ และก็ไม่ใช่ใครสักคนนึง เพราะว่าเป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ นกเห็นมั้ยคะ งูเห็นมั้ย เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่นก เห็นไม่ใช่งู เห็นไม่ใช่คน เห็นไม่ใช่เรา แต่เห็นเป็นเห็น นี่คือธรรมค่ะ จะศึกษาอภิธรรมไหมคะ เดี๋ยวนี้เอง กำลังฟังอภิธรรม กำลังเข้าใจอภิธรรม กำลังศึกษาปรมัตธรรม กำลังเข้าใจธรรม ทั้งหมดเป็นคำเดียวกัน ไม่ได้แยกกันเลย ถ้าใครแยกคือเขาไม่รู้ ถ้าไปวัดนะคะ งานศพอาจจะมีการสวดทุกคำที่ได้ฟัง แต่เป็นอีกภาษานึง เราก็เลยเรียกว่าสวด แต่พอเป็นภาษาไทยที่เข้าใจ ในภาษาของตนของตนนะคะ เราก็บอกว่าเรากำลังฟังธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ นะคะ รู้เลย พูดถึง ก็คืออภิธรรม ที่ไหน ที่นี่ ที่ตัว ที่ทุกอย่าง เป็นอภิธรรมทั้งนั้น

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567