ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
ตอนที่ ๙๘๔
สนทนาธรรม ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙
อ.คำปั่น ส่วนคำว่ามนต์นะครับ มาจากคำว่ามันตะ หมายถึงปัญญาตรัสรู้ครับ ซึ่งก็เป็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระธรรมแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นมนต์นะครับ เพราะว่าเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระสูตรต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมงคลสูตร ในเรื่องของกรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้นนะครับ ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่เพียงแค่เอามากล่าว มาสวดกันเท่านั้น แต่ว่าทั้งหมดเพื่อความเข้าใจความจริง ด้วยการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำ ที่ได้ยินได้ฟังนะครับ ก็จะเห็นได้นะครับ ว่าในสมัยพุทธกาลเมื่อท่านเหล่านั้นได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้ว ท่านเหล่านั้นก็ทบทวนในพระธรรมคำสอนที่ได้ยินได้ฟัง เรียกว่าสาธยายมนต์ ก็คือกล่าวทบทวนในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่การทำอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่กล่าวคำที่ไม่รู้จักครับ
ท่านอาจารย์ เราอยากจะนั่งฟังคำที่เราไม่รู้เรื่องไหมคะ เห็นไหมคะ เหมือนกับว่าเราอยากไปสวดมนต์ คือพูดคำที่ไม่เข้าใจไม่รู้จักเลยทั้งสิ้น แต่คำใดก็ตามนะคะ ที่บอกว่าสวดมนต์เป็นสิริมงคลเนี่ย ก็ต้องรู้ว่ามนต์ มันตะเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นต้องพูดเรื่องสิ่งที่มีให้เข้าใจถูกต้อง จึงเป็นการสมควร ในภาษาของตนของตน เพราะฉะนั้นทั้งหมดนะคะ อย่างตัวอย่างที่ใช้คำว่าสวดมนต์ และสวดอะไร มงคลสูตร ข้อที่ ๑ สวดได้มั้ยคะ อเสวนาจะพาลานัง ไม่เสวนา ไม่คบคนพาล ถ้าไม่รู้ความหมาย จะเป็นมงคลมั้ย ก็คบคนพาลอยู่นั่นเอง แล้วไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นพาล และใครเป็นบัณฑิต คือไม่ใช่พาล เพราะฉะนั้นพระธรรมทุกคำของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ มันตะเป็นปัญญาทั้งหมด ไม่มีสักคำซึ่งไม่ให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ใช้ภาษาที่คนที่ฟังขณะนั้น สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพูดกับใคร ก็ต้องใช้ภาษาที่คนสามารถฟังเข้าใจ ถ้าเราจะไปพูดภาษาบาลีกัน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่เข้าใจ จะมีประโยชน์ไหมคะ ผิดก็ไม่รู้ ถูกก็ไม่รู้ รับรองได้ค่ะ มีตั้งหลายคน ที่เขาพูดคำภาษาบาลีผิดๆ ลองใจ คนฟังก็สาธุ ทั้งๆ ที่ผิด ก็เป็นไปได้ทั้งหมดนะคะ เพราะความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ค่ะ ในบรรดาสิ่งทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นที่เกิด ปัญญาประเสริฐสุด เพราะเหตุว่า สามารถจะเข้าใจสิ่งซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ อยู่ดีๆ เนี่ยจะให้ใครสามารถที่จะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้แค่เกิดแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย ตั้งนานแสนนาน ก็เป็นอย่างนี้ต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ใครสามารถจะรู้เองได้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
ด้วยเหตุนี้นะคะ ปัญญาจึงมีหลายระดับ ปัญญาที่สูงสุดคือ ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละยุคสมัยจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ พระองค์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้ ไม่ว่าใครนะคะ จะอยู่แสนไกล แต่ว่าถ้าพระองค์เสด็จไปให้เขาได้ฟังคำ ฟังคำนะคะ คิดดูสิคะ คำนั้นจะมีประโยชน์มั้ย เค้าสามารถที่จะเข้าใจ รู้ความจริงได้ พระมหากรุณานะคะ เสด็จไปให้เขาได้ฟังคำ แล้วเรามีโอกาสที่จะได้ฟังเมื่อไหร่ นะคะ อาจจะไม่ยากเลยค่ะ แค่เปิดวิทยุ เปิดโทรทัศน์ หรือทราบว่าที่ไหนมีสนทนาธรรมนะคะ ก็เห็นประโยชน์ว่าเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่มานั่งพูดคำที่ไม่รู้จัก หรือมานั่งชักชวนให้นุ่งขาวห่มขาว แล้วก็ไปทำอะไร เดิน ยืน และก็นอน แล้วก็นั่ง แล้วก็เพ่งจ้องอะไร ทั้งหมดนี่ค่ะไม่ได้มีความเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ว่าพระธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนะคะ พูดถึงสิ่งที่กำลังมี จากการที่ไม่เคยรู้เลย จนกระทั่งค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ผู้นั้นนะคะ รู้เพราะพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่รู้ตาม ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสาวกคือผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้แสดงความจริงกับผู้ใด ที่ฟังแล้วเข้าใจเห็นถูก ก็จะมีผู้ที่มีศรัทธา จิตผ่องใส รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด มีความเห็นถูกต้องเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะรู้จักตัวเอง รู้จักตัวเองแค่ไหนคะทุกคน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่รู้จักเลยค่ะ ไม่รู้จักจริงๆ ทุกอย่างเป็นเราไปหมดเลย แต่ความจริง..ไม่มีเรา ... เลย
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะ ว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะรู้ความจริงของสิ่งซึ่งถูกปกปิดไว้ นานแสนนานค่ะ ถ้าจะเปรียบเทียบ อุปมาความหนาของความไม่รู้นะคะ ก็ยิ่งกว่าจักรวาล เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง แต่ละชาติก็จะค่อยๆ มีความเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย มั่นคงขึ้น เช่นวันนี้นะคะ ถ้าถามว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลยไม่เข้าใจเลย ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นหนทางเดียวนะคะ ที่จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง เรื่องเห็น เรื่องได้ยินอย่างนี้แหละ ธรรมดาอย่างนี้แหละเกิดขึ้น และดับไป นี่คือให้เห็นว่า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงด้วยตนเอง แต่ต้องอาศัยการฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น แค่รู้ว่าเป็นธรรมมีประโยชน์ไหมคะ หรือใครบอกว่าเสียเวลา วันนี้ทั้งวันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้าเป็นผู้ตรง จากการที่เคยคิดว่าธรรมคืออย่างนั้น ธรรมคืออย่างนี้ แต่ธรรมถึงที่สุด ก็คือว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วทั้งหมดก็ต้องจากไป แม้แต่รูปร่างกาย ที่ถือว่าเป็นเราเดี๋ยวนี้นะคะ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รักมากเลย ทะนุถนอม จะอ้วน จะผอม จะท้องเสีย ตามองไม่เห็น มืดมัวทั้งหมดนะคะ เป็นที่รักอย่างยิ่งนะคะ แต่ก็ไม่รู้ความจริงเลย ว่าที่จริงแล้ว ไม่ใช่..เรา ... เลยสักอย่าง และก็ไม่มีเรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย ฟังเริ่มต้นจากการไตร่ตรองว่าจริงไหม เมื่อเป็นความจริงนะคะ การเข้าใจความจริงคือความเห็นที่ถูกต้อง มีมากน้อยตามที่ได้ฟัง ถ้าได้ฟังอีกเพิ่มความเข้าใจขึ้นอีก ละคลายความไม่รู้ และความเป็นเรา ซึ่งเป็นเหตุของความทุกข์ซึ่งเป็นภัย ทีละเล็กทีละน้อยค่ะ
อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์เป็นเบื้องต้น ถึงความสำคัญของพระธรรม ที่ควรอย่างยิ่งที่ทุกคนจะได้ฟัง จะได้ศึกษาครับท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ สำคัญใช่ไหมคะ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ สำคัญที่จะรู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาล ให้แต่ละคนเนี่ยเหมือนกันได้เลย เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร ที่ไหนยังไงก็ตาม ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นเขาคิดยังไง แต่ว่าตัวเองขณะที่กำลังได้ยินได้ฟังนี่ค่ะ ได้ประโยชน์ได้ความเข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าเมื่อเกิดมาแล้วเนี่ย เพราะไม่รู้จึงต้องมีการศึกษา ตั้งแต่ระดับโรงเรียนนะคะ เราก็ศึกษาตามสถานที่ต่างๆ พอเติบโตขึ้นมา การที่จะใฝ่หาความรู้เนี่ยก็แยกกันไปบางคนสนใจในเรื่องภาษา บางคนสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์ บางคนสนใจเรื่องการเกษตร บางคนก็สนใจในเรื่องตัดผ้า ทำอาหารแล้วแต่ หลากหลายมากทั้งหมดนะคะ เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นประโยชน์แก่ตน เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่าเกิดมาแล้วนี่ค่ะ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ละ ๑ คนได้ นอกจากการที่ได้ยินได้ฟัง แล้วแต่ละคนเนี่ยฟังแล้วประโยชน์อยู่ที่ตัวเอง เพราะฉะนั้นเมื่อมีการใฝ่หาความรู้มากมาย ซึ่งสามารถที่จะหาได้ทั่วโลก แต่การที่จะสามารถรู้สิ่งซึ่งคนอื่นที่อื่นไม่สามารถที่จะให้ได้ นอกจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เล็งเห็นความสำคัญ และประโยชน์นะคะ ว่าสำคัญยังไง วิชาอื่นคนอื่นใครๆ ก็เรียนได้ทั้งหมด แต่วิชานี้แต่ละคนที่ได้ฟัง และมีความเข้าใจนั่นแหละ จะเห็นประโยชน์คุณค่าสำหรับตนเองแต่ละคำแต่ละคำว่า ต่างกับเรื่องของการที่เราจะมีความรู้เรื่องอื่น แต่ไม่รู้เรื่อง ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ใครรู้เรื่องตัวเองบ้างคะ รู้ชัดมั้ย รู้ระดับไหน คนอื่นไม่รู้เท่าเราแน่ แต่แม้กระนั้นแต่ละคนก็ยังไม่รู้จักตัวเอง ตามความเป็นจริง จนกว่าจะได้ฟังคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าที่เข้าใจ ว่าเป็นตัวเองเนี่ยมีการเกิดขึ้นมาใช่ไหม ก่อนเกิดมีเราคนนี้หรือเปล่า ก่อนเกิดไม่มีเราคนนี้เลย เกิดมาก็มีเราคนนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องมีการเห็นมีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง มีเพื่อน แต่ละวันก็เป็นเราคนนี้จนกว่าจะจากโลกนี้ไป
เพราะฉะนั้นเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วนะคะ ที่เข้าใจว่าเป็นเราหายไปหมด เพราะว่ามีเพียงแค่เมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็จะไม่เป็นคนนี้เลย แต่เมื่อเกิดมาแล้ว เพราะความไม่รู้ ก็ต้องเป็นไป ห้ามไม่เห็นก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้โกรธก็ไม่ได้ แล้วทั้งหมดเนี่ยค่ะ ใครจะบอกอย่างละเอียดที่สุดนะคะ ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และอะไรเป็นสิ่งที่เป็นโทษ เพราะว่าไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยที่สุดนะคะ ขอให้ชื่อนี้สะดุดหู เป็นชื่อที่ไม่เหมือนใครเลย เพราะฉะนั้นต้องมีอะไรที่พิเศษ ซึ่งต่างจากคนอื่น ซึ่งไม่สามารถที่จะไปรู้จักคนนี้ได้เลยทั้งสิ้นนะคะ จนกว่าจะได้ฟังคำซึ่งท่านผู้นี้ หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ได้ทรงแสดงไว้ หลังจากที่ได้รู้ความจริงแล้วนะคะ นานมาแล้วก็จริงค่ะ แต่ความจริงถึงที่สุดเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นความจริงนั้น ต้องแม้ขณะนี้หรือขณะต่อไป ก็ต้องเป็นจริงอย่างที่ได้รู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำเนี่ยนะคะ มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ใฝ่หาความรู้ ความเข้าใจ แต่ว่าเคยใฝ่หาความรู้เรื่องอื่นมาหมดแล้วทั้งนั้น ลองดูว่าถ้ามีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถจะฟังแล้วก็เห็นประโยชน์ แต่ยากกว่าอย่างอื่นไหม อย่างอื่นเนี่ย เรียนไม่กี่ปีก็จบใช่มั้ยคะ อย่างมากก็ ๒๐ ๓๐ ปี ก็เรียนไป แต่นี่ตลอดชีวิตทั้งชาติยังไม่พอ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่จะได้ยินได้ฟัง ที่เป็นผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย จะต้องต่างกับคนอื่นนะคะ
เพราะฉะนั้นคุณค่าที่มีโอกาสจะได้ฟัง เป็นประโยชน์ สำหรับผู้ที่เห็นคุณว่าไม่เคยรู้มาก่อน แต่ละคำที่ได้ยินเช่นคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริง ปฏิเสธได้ไหมว่าไม่มี เห็นเดี๋ยวนี้มีแล้วเกิดแล้วหมดแล้ว คิดมีจริงๆ เกิดแล้วหมดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเนี่ย รู้มั้ยเดี๋ยวนี้กำลังเกิดดับ โดยที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย จะเกิดที่ไหนนะคะ จะเห็นอะไร จะตายยังไง รู้ไหมคะ ต้องตายแน่ๆ แต่จะตายยังไงคะ จะนอนหลับตาย จะเดินแล้วก็ตกแม่น้ำหรือทำอะไรก็ได้ ตายได้หมดทุกขณะ โดยที่ไม่ได้มีการรู้ล่วงหน้าเลยว่า จะจากโลกนี้ไปอย่างไร แต่ว่าหลังจากตายแล้วนะคะ ไม่รู้เลย บอกได้ไหมคะ ว่าจะไปเกิดอีกหรือเปล่ายังไง เพราะไม่ได้เคยเข้าใจว่า ขณะนี้เดี๋ยวนี้มาจากไหน แล้วก็มีอะไรที่เกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเมื่อวานนี้มีนะคะ เห็นเมื่อวานนี้มี เห็น เมื่อวานหายไปหมดเลย แต่มีเห็นเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นจากขณะที่เราเรียกว่าตาย พ้นความเป็นบุคคลนี้แล้ว ตายคือพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย ตายไม่ใช่หลับ หลับ ชื่ออะไรคะตอนหลับ อยู่ที่ไหน พ่อแม่ชื่ออะไร เพื่อนฝูงชื่ออะไร ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย จะรู้ก็ต่อเมื่อตื่น ยังเป็นคนนี้อยู่ จึงจำได้ แต่ตายนะคะ ขณะนั้นพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จำชาตินี้ทั้งหมดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังมีขณะนี้นะคะ เพื่อลืม ยังไง ยังไงต้องลืม เมื่อวานนี้ แค่เมื่อวานนี้ ก็ลืมแล้วค่ะ แค่อาทิตย์ก่อนก็ลืมแล้ว เดือนก่อนก็ลืมแล้ว ปีก่อนก็ลืมแล้ว แต่ว่าลืมไม่หมดใช่ไหมคะ แต่พอจากโลกนี้ไป แล้วที่จะกลับไม่ลืมเลยถึงโลกนี้ เนี่ยไม่มี
เพราะฉะนั้นเพียงแต่ละคำเนี่ย ถ้าสามารถจะทำให้ เราเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า การมีชีวิตอยู่เนี่ย ควรจะมีชีวิตแบบรู้ความจริง เมื่อรู้ความจริงแล้วนะคะ ชีวิตย่อมดีขึ้น แต่ที่ไม่ดีเนี่ยก็เพราะไม่รู้ความจริงนั่นเอง เพราะฉะนั้นจะศึกษาธรรมแบบดี้ดี ด้วยจะอยู่อย่างดี้ดี แล้วที่พูดกันก็ตามแต่นะคะ ต้องเริ่มจากดี ทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร เราเห็นชีวิตของคนหลากหลายมากนะคะ ติดคุกก็มีใช่ไหมคะ ทำอะไรหลายอย่างดีก็มี ไม่ดีก็มี ผลดีก็มี ผลไม่ดีก็มี แล้วเราเป็นหนึ่งในนั้น แบบไหน จะเป็นแบบชั่ว หรือจะเป็นแบบดี ไม่มีคนอื่นทำให้ได้เลยนะคะ นอกจากตัวเอง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้นี่ค่ะ เขาทำชั่ว แต่คนที่รู้เขาไม่ทำ เพราะรู้ว่าความชั่วเป็นโทษทั้งกับตนเอง และคนอื่น นำมาซึ่งทุกข์โทษภัยต่างๆ ซึ่งผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้นะคะ คนรู้ไม่ทำชั่ว เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนรู้ และเข้าใจถูกต้อง โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่เดือดร้อน ไม่มีฆ่ากัน ไม่มีการประทุษร้าย เบียดเบียนกัน เป็นโลกที่อยู่ด้วยกันด้วยความสงบ และถ้ามีปัญญายิ่งขึ้น โลกนี้ก็ยิ่งสงบมากขึ้น เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งซึ่งน่าจะได้เข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร การที่จะรู้จักพระองค์ได้นะคะ มีหนทางเดียว คือฟังคำของพระองค์เข้าใจแล้ว จึงรู้ว่านี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้เข้าใจทุกอย่างที่เคยเป็นเรา แต่เราก็ไม่รู้จัก ว่าเราที่เคยเป็นมาแล้วเนี่ย เป็นยังไงบ้าง แล้วต่อไปจะเป็นยังไง แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแม้ขณะนี้ เป็นเราจริงๆ หรือเปล่า มีแต่เห็นแล้วก็ดับ คิดแล้วก็ดับ จริงหรือเปล่า ไม่ใช่ฟังเฉยๆ นะคะ แต่ฟังให้ไตร่ตรอง ค่อยๆ รู้ถึงความจริงขณะนี้ ซึ่งสามารถที่จะถึงที่สุด โดยประจักษ์แจ้ง สภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ใช่คำหลอก ไม่ใช่คำลวง ไม่ใช่คำล่อ ไม่ใช่ต้องการที่จะพูดให้ฟัง ให้ศึกษา ให้สนใจ แต่กล่าวถึงความจริงซึ่งกำลังมี และสามารถที่จะรู้ถึงความจริงถึงที่สุดได้ แล้วแต่ใครจะเห็นประโยชน์ ของการที่จะรู้ และใครก็ไม่เห็นประโยชน์เลย จะรู้ไปทำไม นั่นก็เป็นผู้ที่ต้องจากโลกนี้ไปนะคะ ด้วยความไม่รู้ และความประพฤติเพราะความไม่รู้ก็เห็นกันอยู่ ว่าเพราะไม่รู้จึงลักขโมย จึงประทุษร้าย จึงทุจริต จึงเบียดเบียนคนอื่นทุกอย่าง อยากจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดนะคะ ก็คือถ้ามีการได้ฟังพระธรรม ได้รู้จักผู้ที่ประเสริฐที่สุด ทุกคำจริง พิสูจน์ได้ทุกเวลา มีโอกาสที่จะได้ฟังเมื่อไร จะไม่ฟัง หรือรู้ว่าฟังแล้วก็ฟังอีกได้ ฟังแล้วก็เตือนให้รู้ว่าขณะนี้มีธรรม คือสิ่งที่มีจริงนะคะ ซึ่งผู้ที่จะกล่าวถึงความจริงของธรรมได้ ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ความเป็นพุทธศาสนิกชน หรือพุทธศาสนา หรือคำปัจจุบันก็จะใช้คำว่าวิถีพุทธจริงๆ เนี่ย ดั้งเดิมจริงๆ นี่เป็นอย่างไรครับอาจารย์
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจนะคะ พุทธะคืออะไร แต่ละคำต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ผู้ตรัสรู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่รู้จักจะชื่อว่าชาวพุทธหรือวิถีพุทธได้อย่างไร เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า พุทธอะไร พุทธคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้ความจริงนะคะ ตรัสรู้ความจริงแล้ว ทรงแสดงความจริงที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้นะคะ ให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ต้องไม่ลืมนะคะ ด้วยเหตุนี้จึงมีพระธรรม พระธรรมคือคำสอนเรื่องสิ่งที่มีจริง ธรรมมีจริงๆ แต่ถ้าไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้กล่าวคำสอนตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีการตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงความจริง ให้เข้าใจความจริงที่กำลังมีซึ่งสามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวว่า ชาวพุทธก็คือผู้ที่เห็นถูกต้อง ว่าสมควรที่จะได้เข้าใจความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จึงเป็นผู้ที่ใช้คำว่าชาวพุทธ เพราะว่ามีการเข้าใจถูกต้องนะคะ ว่าเมื่อนับถือบุคคลใด ไม่ใช่เพียงนับถือ โดยการกราบไหว้ แต่ไม่รู้คุณความดีของคนนั้น ต้องรู้ว่าบุคคลนั้นดีอย่างไร สมควรแก่การกราบไหว้ที่จะมอบตนเองให้เป็นชาวพุทธ ที่จะประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของคนนั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าใคร ก็บอกว่าฉันเป็นชาวพุทธนะคะ แต่ไม่รู้ว่าพระธรรมที่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้ทรงแสดงนั้น พูดเรื่องอะไร อย่างนั้นไม่ใช่ชาวพุทธค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าใครบอกว่าเขาเป็นชาวพุทธ ก็ถามเขาได้เลย พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร เพราะฉะนั้นวิถีคือความเป็นไป เกิดแล้ว ไม่ไปได้ไหม ไม่เป็นได้ไหม เกิดแล้วเป็นโกรธ โกรธต้องไปแน่ อยู่ตลอดไปไม่ได้ แล้วจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องเป็นโกรธ เพราะฉะนั้นธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไป
เพราะฉะนั้นชาวพุทธก็คือว่าผู้ที่มีการประพฤติเป็นไป หยุดยั้งไม่ได้เลยค่ะ มีใครหยุดยั้งเมื่อวานนี้ ไม่ให้หมดไปได้มั้ย ให้อยู่เป็นเมื่อวานนี้แหละก็ไม่ได้ เมื่อวานนี้ก็ต้องหมดไป วันนี้ก็ต้องหมดไป ทุกขณะก็ต้องหมดไป ชาตินี้ก็ต้องหมดไป เพราะชาตินี้ก็คือ แต่ละขณะเดี๋ยวนี้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้นะคะ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่งค่ะ ที่จะกล่าวว่าชาวพุทธ ต้องเป็นผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังคำของพระองค์ และประพฤติปฏิบัติตาม การที่เป็นผู้รู้ ต้องเป็นเหตุเป็นผล ถ้าไม่รู้นะคะ ก็เดากันไป คิดกันไป ทำกันไป แต่ว่าไม่มีเหตุมีผลอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขอเชิญคุณอรรณพ กล่าวถึงแต่ละข้อหรือแต่ละคำ ที่กล่าวมาเป็นวิถีพุทธนะคะ คือความประพฤติเป็นไปของชาวพุทธแท้ จะรู้ว่าเป็นวิถีพุทธหรือเปล่า
อ.อรรณพ ครับวิถีพุทธ ถ้าเป็นผู้ชายนะครับ ก็คือเมื่อถึงวัยก็จะบวช ทดแทนคุณบุพการีอย่างนี้เป็นต้นเนี่ย เป็นวิถีพุทธอย่างไรหรือไม่ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ วิถีพุทธหมายความว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประพฤติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า ใครที่เป็นผู้ชายต้องบวช ไม่มีเลยค่ะ เพราะเหตุว่าผู้บวช ต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่ากำลังจะทำอะไร เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่าบวชคืออะไรก่อนบวช ไม่ใช่ว่าเขาให้บวช ก็คือว่าไปห่มผ้าเหลือง ไม่ใช่นะคะ แต่ต้องรู้ว่าบวชคืออะไร จากคนธรรมดาอย่างนี้อ่ะค่ะ สนุกสนานนะคะ ดูหนังดูละคร ทำทุกอย่าง เล่นกีฬาอะไรต่างๆ แล้วไปบวชทำไม หรือไปบวชแล้วเป็นอะไร ต้องรู้ความจริงว่าคำว่าบวชนะคะ หมายความถึงการสละ สิ่งที่เคยทำทั้งหมดก่อนบวช ท่านใช้คำว่าคฤหัสถ์ หมายความว่าผู้ครองเรือน คนที่ครองเรือนนะคะ บ้านหนึ่งก็มีสมบัติมาก แต่ละห้องแต่ละห้องนะคะ ลองดูถ้วยจานชามสารพัด เครื่องประดับบ้านเครื่องประดับห้อง มีโต๊ะ เก้าอี้ มีอะไรมากมายเหลือเกินนะคะ ที่จะชีวิตจะดำเนินไปในเพศของผู้ครองเรือน ต้องมีเรือน ต้องดูแลเรือน ต้องเพิ่มหาสิ่งเข้ามาในเรือน ใส่เรือนตามความพอใจ ไปดูเรือนแต่ละหลังสิคะ เป็นยังไง ไม่ได้เรียบง่าย ไม่มีอะไรนะคะ แต่เต็มไปด้วยของทุกอย่างที่ผู้ครองเรือนนั้นต้องการ เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ว่า การที่จะรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เดี๋ยวนี้ จริงเพราะเกิดขึ้น แต่ก็หมดไป ดับไปอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นท่านที่ไม่ประมาท และสะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ของการที่จะอบรมเจริญปัญญานะคะ ตลอดวันฟังพระธรรม สนทนาธรรม ไตร่ตรองพระธรรม ประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่ทรงอนุญาตไว้ แล้วชีวิตของคฤหัสถ์ ก็ต้องต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็บวชได้หรือจะกล่าวว่า ธรรมเนียมของชาวพุทธ ไม่ใช่ค่ะ ธรรมเนียมของชาวพุทธต้องเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมทำอะไรทั้งหมด จะบวชหรือจะทำอะไร แต่เมื่อไม่เข้าใจธรรมก็ไม่ใช่ชาวพุทธ ดูในพระไตรปิฎก ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงธรรม ประมวลไว้เป็น ๓ ปิฏก พระวินัยปิฏก พระสุตตันปิฏก พระอภิธรรมปิฏก มีข้อความไหนว่า ผู้ชายต้องบวช เพราะฉะนั้นผิด ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะว่าจะบวชโดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจว่าบวชคืออะไร
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020