ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
ตอนที่ ๙๖๓
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ เมื่อมีปัจจัย ปัจจัยอะไรล่ะที่จะทำให้สติสัมปชัญญะ ถึงเฉพาะลักษณะที่เป็นอย่างนั้น โดยไม่เลือก ไม่ได้คาดหมาย โดยความเป็นอนัตตา ปัจจัยอะไรที่ทำให้สภาพธรรมนั้นเกิดได้ ปริยัติ คือการฟังแล้วละความติดข้อง ไม่ได้หวังใดๆ เลยทั้งสิ้น หวังเมื่อไหร่กั้นทันที อวิชชาอยู่ตรงนั้น เพราะไม่รู้จึงหวัง แต่เพราะเข้าใจขึ้นตามลำดับใช่มั้ยคะ ต่อเมื่อไหร่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดเมื่อนั้น ก็รู้ตามความเป็นจริง ถ้าปฏิเวธก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังไม่ถึงปฏิเวธที่จะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรม จะคิดไหร่ จะเดาเท่าไหร่ เป็นไงคะ กบในกะลา ใช่ไหมคะ ยังไม่หงายขึ้นมาเลยอ่ะ ไม่รู้ว่าข้างนอกเนี่ยมันเป็นยังไง ก็อยู่แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นธรรมนี้ละเอียดอย่างยิ่งนะคะ แม้แต่ด้วยดีก็คือว่า ด้วยดีเพราะปัญญา ที่สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะนั้นนะคะ โดยความเข้าใจถูกต้อง ต้องมีปัญญาด้วยในขณะนั้น เพราะฉะนั้นลักษณะของสติสัมปชัญญะ จึงต่างกับขณะที่กระทบแข็ง ก็แข็ง รู้แล้วเหรอ ไม่ใช่ แต่แข็งไม่เปลี่ยน แต่อะไรเปลี่ยนคะ การสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก จนถึงเวลาที่รู้ว่าขณะนั้นน่ะค่ะ สติสัมปชัญญะคือเฉพาะสิ่งนั้นที่กำลังเป็นอารมณ์ ด้วยความเห็นถูกตามที่ได้ฟัง สั้นแสนสั้น น้อยมาก เพราะฉะนั้นอยากให้เกิดอีกมั้ย มาแล้วค่ะเพื่อนสนิท ไม่เคยจากไปเลย ทุกโอกาส อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมที่จะเกิด โลภะ ติดข้อง เพราะฉะนั้นหนทางนี้ยาวนาน เพราะว่าเป็นหนทางละโลภะ ซึ่งติดข้องในทุกอย่างทุกชาติ
อ.นภัทร กราบท่านอาจารย์ครับ ปัญญาไม่สงสัย แต่ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่า ปัญญาที่เกิดขึ้นเนี่ย ไม่ใช่เป็นปัญญาที่จอมปลอม ที่ลวงให้เราเหมือนว่าเรารู้
ท่านอาจารย์ ปัญญารู้ เราไม่รู้
อ.นภัทร นั่นสิครับ
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ ก็เมื่อปัญญารู้ไง ไม่ใช่เรารู้
อ.นภัทร ก็อบรมเจริญปัญญาต่อไป
ท่านอาจารย์ ต้องหนทางเดียวจริงๆ เริ่มมีความมั่นคงว่า นอกจากปัญญาแล้วนะคะ อะไรก็ไม่สามารถที่จะรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงได้ จะไปใช้วิธีไหน จะไปนั่ง ๕ วัน ๑๐ เดือนยังไงก็ไม่มีทาง ที่จะรู้ความจริงได้
อ.ธิดารัตน์ ถ้าหากว่าผู้นั้นนี่นะคะ มีการศึกษาปริยัติที่ถูกต้องนะคะ แล้วก็มีความเข้าใจปริยัติที่ถูกต้อง ก็จะเป็นปัจจัยให้ระลึกลักษณะของสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ โดยความเป็นอนัตตา
อ.ธิดารัตน์ แล้วก็นะคะ ท่านผู้ที่ฟังธรรมนี่นะคะ ก็สามารถที่จะตรวจสอบความเข้าใจของตัวเอง เทียบเคียงกับการศึกษาปริยัติ
ท่านอาจารย์ ขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ไม่ต้องเทียบเคียงแล้วค่ะ
อ.ธิดารัตน์ แล้วก็ตอนนั้นรู้เลย ในขณะนั้น
ท่านอาจารย์ เราได้ยินชื่อคนนึงนะคะ แล้วก็ไม่เคยพบกันเลย เค้าก็บรรยายรูปร่างหน้าตาสารพัดอย่าง เราก็ จำๆ ๆ ๆ ไว้ ก็ยังไม่เห็น ทันทีที่เห็นรู้มั้ย
อ.ธิดารัตน์ ถ้าเรามีการศึกษาลักษณะรูปพรรณสัณฐานของผู้นั้นที่เห็น เราก็จะรู้ว่าใช่คนรู้จักคนนี้จริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แข็งเป็นอะไร เห็นเป็นอะไร ได้ยินเป็นอะไร ฟังจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา มีลักษณะเฉพาะแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างงั้น แต่ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ได้ แต่อวิชชายังมากมาย เพราะว่าติดข้องในความเป็นเรา และการฟังก็น้อยมาก เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หวัง แต่เข้าใจขึ้นได้มั้ย เข้าใจเมื่อไหร่นั่นคือละความติดข้องไปทีละน้อยๆ
อ.อรรณพ รู้สึกว่ามาอินเดียนี้จะมีโลภะ รับประทานโน่นนี่ ไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร แต่ว่าเหมือนมีชีวิตอยู่เพื่อจะกินอาหาร
ท่านอาจารย์ ถ้ารู้แน่นะคะ ว่าชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ต้องเลือกมากมั้ย
อ.อรรณพ เพียงดำรงอยู่เนี่ย ไม่ต้องเลือกมาก ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะว่าทุกคำเนี่ย มีประโยชน์เพื่อละโลภะ
อ.อรรณพ ก็นี่คืออโลภะที่ประกอบด้วยปัญญา นะฮะท่านอาจารย์ แต่ถ้าเป็นโลภะที่ประกอบด้วยอวิชชาเนี้ย เลือก
ท่านอาจารย์ เพียงแค่นี้นิดเดียว ยังเริ่มเห็นความจริงนะคะ แต่ถ้าเข้าใจความจริงมากกว่านี้อีก ว่าเพราะยังมีความติดข้อง และความไม่รู้ เป็นเหตุที่ใหญ่กว่า เพราะว่าถึงแม้ว่าจะไม่บริโภคอาหาร อย่างในพรหมโลกนี่ฮ่ะ พรหมทั้งหลายไม่ต้องบริโภคอาหารเลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารทิพย์อะไรก็ไม่ต้อง อยู่ได้ด้วยกรรม มโนสัญเจตนาหารที่ทำความสงบของจิตนะคะ อบรมจนกระทั่งสามารถที่จะไม่มีกิเลสเกิดในระหว่างนั้น ผลก็คือว่าเกิดในพรหมโลก ซึ่งไม่ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส พวกนี้ ทุกอย่าง เป็นเหตุเป็นผลที่ชัดเจนนะคะ ที่จะตอบปัญหาของทุกอย่างว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมเท่านั้น แล้วก็จะต้องเป็นอย่างงี้ ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ และความติดข้อง เป็นอย่างนี้คืออะไรคะ เกิดแล้วก็ตาย ไม่มีใครไม่ตาย แต่ลืมมั้ยว่าก่อนตายทำอะไรไว้บ้าง มีแต่สนุกสนาน เพลิดเพลิน ติดข้อง แล้วก็จากโลกนี้ไป สะสมพอกพูน ความความไม่รู้ และความติดข้องเพิ่มขึ้น ทุกขณะทุกชาติไป จนกว่าจะรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรานะคะ เพียงแค่บางประโยคที่ไตร่ตรอง ด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เช่นติดข้องในอะไรคะ บอกหน่อยซิ ใครจะบอกบ้าง
อ.ธิดารัตน์ สีสวยๆ ก็ชอบค่ะ
ท่านอาจารย์ ติดข้องในสีสวยๆ ถ้าไม่มีสีสวยเกิดขึ้น จะติดข้องมั้ย ก็ติดไม่ได้ เพราะไม่มีให้ติดข้อง รู้รึเปล่า ว่าเพียงแค่เกิดปรากฏแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นติดข้องในสิ่งที่ไม่มี ในสิ่งที่ไม่เหลือ เพียงแค่ปรากฏแล้วไม่รู้ และติดข้อง และสิ่งนั้นก็ดับไป ไม่มีทางที่จะกลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นค่ะ ที่จะค่อยๆ เห็นความไม่มีสาระของการที่ชีวิตเป็นไป โดยไม่ใช่เราด้วย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็จากโลกนี้ไป มีปัจจัยเกิดอีก เป็นโน่นเป็นนี่เป็นนั่น แล้วก็จากไป แล้วก็สะสมความไม่รู้ต่อไป นี่เป็นเหตุที่เห็นคุณค่าของการที่ว่า ฟังธรรมนะคะ รู้ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ แต่อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกระทั่งสามารถที่จะดับเหตุที่จะให้เกิดได้ ต่อเมื่อเห็นโทษว่าเราติดข้องในอะไรคะ ในสิ่งที่ไม่มี ฉลาดมั้ย จากไม่มี แล้วมี แล้วดับไม่กลับมาอีกเลย แต่ติดข้องแล้วในสิ่งที่เพียงปรากฏ เพราะไม่เห็นการดับไป ยังคิดว่ามีอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะติดข้องในอะไรนะคะ ปัญญาหรือว่า ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เริ่มเห็นความจริงเมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้
อ.ธิดารัตน์ ถึงแม้จะเข้าใจนะคะ ท่านอาจารย์ แต่เดี๋ยวมันก็ติดอีกนะคะ เพราะว่า
ท่านอาจารย์ ปริยัติฟังก่อน ให้เข้าใจก่อน ให้มั่นคงก่อน ให้รู้ว่าเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ และปัญญาจะค่อยๆ เห็นโทษของการเกิด ว่าเกิดมาทำไม คะพอเกิดมาก็ดีอกดีใจ เกิดมาทำไมคะ
อ.ธิดารัตน์ ก็เกิดมาติดข้องค่ะ
ท่านอาจารย์ เกิดมาตาย แต่ก่อนตาย ก็ติดข้อง ทำดีหรือทำชั่วแล้วแต่การสะสม ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะทำชั่วมั้ย เพราะว่าชั่วหรืออกุศลเกิดขึ้นเป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตนะคะ แม้ว่าดับไปแล้วแต่สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป เพราะจิตขณะต่อไปเกิดเพราะจิตขณะก่อนเป็นปัจจัย มีทุกอย่างที่จิตขณะก่อนสะสมสืบต่อไป ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม เราถึงได้ต่างกันเป็น แต่ละหนึ่ง
อ.วิชัย มีสมัยหนึ่งครับ ท่านพระอานนท์ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคที่พระวิหารเชตวันนะครับ ว่าที่ชื่อว่าโลกว่างเปล่า เพราะเหตุอะไร จึงชื่อว่าโลกว่างเปล่า พระผู้มีพระภาคตรัสก็กับท่านพระอานนท์ว่า ที่ชื่อว่าโลกว่างเปล่าคือว่างเปล่าจากตัวตน แล้วพระองค์ก็ได้มีอุปมาเหมือนกับว่า เหมือนบุคคลที่เก็บหญ้าเก็บไม้ต่างๆ ที่พระวิหารเชตวัน นำไปเผาไฟบ้าง นำไปกระทำสิ่งต่างๆ บ้าง ก็ได้ตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า เธอจะมีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งภิกษุทั้งหลายก็กราบทูลว่า ข้าพระองค์ก็ไม่มีความเดือดร้อนใจ เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เนื่องด้วยตัวตน ไม่ใช่ตัวตน พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่าอย่างนั้นแลภิกษุ รูปทั้งหลายก็ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอจงพิจารณาเห็นรูป โดยความเป็นของว่างเปล่า ดังนั้นที่ชื่อว่าโลกว่างเปล่า กับสิ่งที่เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ครับ เพียงกล่าวแค่นี้นะครับ จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจยังไงครับอาจารย์
ท่านอาจารย์ ทุกคำต้องเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจละเอียดจริงๆ นะคะ เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน และก็มีภิกษุไปกราบทูลถามเรื่องโลกว่างเปล่า คิดดูนะคะ ณวันนี้ เดี๋ยวนี้เนี่ย ถ้าเราไม่พูดกันเลย พอพบหน้าจะสนทนากันด้วยอะไร โลกว่างเปล่า เหมือนที่ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระภิกษุ แต่ว่าส่งอุปมาตั้งแต่หญ้าที่พระวิหารเชตวัน ถ้ามีใครเอาหญ้านั้นไปเผาไปทำลายนะคะ พระภิกษุเดือดร้อนไหม เราเดือดร้อนมั้ยคะ เขาเอาหญ้าพระเชตวันไปเผาก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจะเผาหญ้า ไม่มีใครเดือดร้อนเลย เพราะยังไม่ได้เผาเค้า ทรงอุปมาให้เห็นว่าหญ้าเป็นรูปธรรม แต่ทั้งหมดนี่ค่ะไม่ว่าจะอะไรทั้งหมดเลยนะคะ ทุกคำที่ตรัสไว้เป็นความจริงสำหรับทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่คำถามของภิกษุนั้นก่อน ว่าโลกว่างเปล่าคืออย่างไร มีสองคำนะคะ โลกกับว่างเปล่า เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจคำว่าโลกก่อน ที่เคยฟังบ่อยๆ นะคะ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว เกิดขึ้นมาเลย ว่างเปล่าใช่ไหมคะ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดนั่นแหละเกิดเป็นโลก เพราะจากความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นนะคะ หนึ่งอย่างเป็นโลก เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งที่เกิดนี่ค่ะ เป็นโลก ความหมายของโลกหรือโลกะ ก็คือสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้น และก็ดับไป ทุกอย่างหมด ทุกคำที่ฟังนี่นะคะ ต้องเป็นความจริงซึ่งลืมไม่ได้ เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจชัดเจน เวลาที่ไปพบข้อความนี้ในพระสูตร หรือว่าในพระวินัย หรือในพระอภิธรรม ที่ใดก็ตามนะคะ ความหมายของโลกในความหมายของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่โลกที่ชาวโลกเข้าใจ แต่ว่าเป็นโลกที่ละเอียดยิ่ง แม้แต่เพียงหนึ่งสิ่ง ที่เกิดดับนั้นแหละเป็นโลก เพราะฉะนั้นโลกขณะนี้นะคะ ก็คือทุกสิ่งเกิดขึ้น และดับไปพร้อมๆ กันเร็วมาก เจอทั้งปรากฏเหมือนกับว่ามีหลายสิ่งหลายอย่าง และไม่ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป เพราะฉะนั้นโลกสำหรับชาวโลกก็คือโลกเที่ยง เป็นโลกที่มีผู้คน มีวัตถุ มีสิ่งต่างๆ มีภูเขา มีต้นไม้ นี่คือโลกที่เราเคยรู้จัก คงจะไม่มีใครไม่รู้จักโลกอย่างนี้ใช่ไหมคะ แต่ว่าตามความเป็นจริงความลึกซึ้งก็คือว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่างเดียว ไม่มีโลก แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นนั่นแหละโลก เพราะฉะนั้นเห็นเกิด เห็นเป็นโลกหรือเปล่า ได้ยินเมื่อกี้ไม่ได้ยินนะคะ แล้วพอได้ยินเกิดขึ้น เป็นโลกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นโลกทั้งหมดก็ไม่พ้นจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจกับสภาพรู้หรือธาตุรู้นะคะ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นต้องรู้ทำอย่างอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่ใช่เห็น นี่ค่ะการฟังธรรมเป็นเรื่องที่พอเริ่มฟังก็เริ่มรู้ว่า เราไม่เคยรู้มาก่อน และไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ชัดเจนนะคะ ว่าขณะนี้มีเห็น และมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะเหตุว่าดูเหมือนว่าทั้งสองอย่างพร้อมกันเลย แล้วก็สนใจในสิ่งที่ถูกเห็น แต่ลืมว่าถ้าไม่มีเห็น หรือเห็นไม่เกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ปรากฏไม่ได้เลย แต่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามนะคะ ที่มีการเกิดขึ้นสิ่งนั้นเป็นโลก เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ นี่ค่ะ เป็นสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยก็มี ใช่ไหมคะ เสียงเกิด และดับแล้วไม่รู้อะไร กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็งทุกวัน ตั้งแต่ลืมตา ทั้งหมดที่ปรากฏเพราะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดมีขึ้น และก็ดับไป ว่างเปล่า จากการที่จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง รึว่าเป็นของใคร เพราะเหตุว่าสิ่งนั้น ต้องเป็นสิ่งที่ อย่างแข็งเป็นแข็ง คุณวิชัยเป็นเจ้าของแข็งรึเปล่า
อ.วิชัย ความรู้สึกว่ายังเป็นเราอยู่ ครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ แต่หมายความว่าสิ่งที่แข็ง เพียงแข็ง
อ.วิชัย ครับ
ท่านอาจารย์ จะเป็นเจ้าของที่จะทำอะไรกับแข็งนั้นได้มั้ย ถ้าเป็นของเรา เราทำได้ทุกอย่าง แต่นี่เราสามารถจะทำอะไรกับแข็งที่เพียงปรากฏ ให้รู้ว่าเป็นแข็งอย่างหนึ่งเท่านั้นได้มั้ย
อ.วิชัย ไม่ได้คร้บ
ท่านอาจารย์ นี่เป็นการที่เราจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจนะคะ ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ไม่มีใครสามารถจะเป็นเจ้าของ แล้วก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดขึ้น สิ่งนั้นมีปัจจัยก็เกิด โดยที่ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นโลก ว่างเปล่าจากการที่ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่า ตามความเป็นจริงนะค่ะ เกิดสั้นมากค่ะ ดับ ขณะนี้นะคะ ถ้ากระทบสัมผัส แข็งที่เก้าอี้ หรือที่ตัวรึที่ไหนก็ได้ ในความรู้สึกของคนธรรมดา เหมือนแข็งยังอยู่มีตลอดเวลา ลองยกมือพ้นจากแข็ง แข็งมีมั้ยคะ ไม่มี แต่ยังเข้าใจว่ายังมีแข็งอยู่ ที่เราจะกระทบเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะจำว่ามีแข็งอยู่ตรงนั้น ทั้งหมดนี่ค่ะเป็นเรื่องสิ่งที่เป็นความจำที่วิปลาส หมายความว่าคลาดเคลื่อน จากความเป็นจริง แม้สิ่งที่ไม่ปรากฏแล้วก็ยังเข้าใจว่ายังอยู่ เช่นกระทบโต๊ะ ยกมือขึ้นแข็งไม่ปรากฏ แต่ก็ยังจำว่าโต๊ะมีอยู่ เพราะฉะนั้นทั้งหมดเนี่ยค่ะ มีชั่วขณะที่ปรากฏ เกิด และดับเร็วกว่าที่ใครจะคิดได้ คาดคะเนได้ ว่าจะเร็วถึงปานนั้น ไม่มีทางเลยค่ะ ที่ปัญญาธรรมดา ที่เพียงแค่ฟังขั้นนี้ ระดับนี้ แล้วจะไปประจักษ์ การเกิดดับของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมเนี่ยนะคะ ต้องฟังด้วยความเคารพในคำจริง ซึ่งจริงตลอดไป ไม่มีเปลี่ยนเลย ไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหน เพราะว่าเป็นการตรัสรู้ เกิดมานะคะ ก็มีรูปร่างกายซึ่งแข็งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เหมือนเป็นของเรา แต่กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่ของเราค่ะ แค่เพียงไม่เห็นสิ่งนั้นก็ไม่มี เกิดขึ้น และดับแล้วอยู่ตลอดเวลา จนกว่าธาตุรู้จะรู้สิ่งใด สิ่งที่เกิดขึ้น และดับไป เกิดขึ้นดับไป จึงปรากฏลักษณะนั้น ชั่วขณะที่มีธาตุรู้กำลังรู้ในสภาพนั้น ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ธาตุรู้ก็เกิดดับด้วย
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ที่พระผู้มีพระภาคตรัส เพราะว่ารูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลายแล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า แข็งเนี่ยเป็นของใครมั้ย หมายถึงว่าการฟังเนี่ย คือพิจารณาแล้วก็เหมือนกับความรู้ ความเข้าใจที่จะเพิ่มขึ้นเนี่ย คืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะหมายความว่า ถ้าเราไม่พูดถึงแข็ง ทุกคนไม่คิดถึงแข็ง ทั้งๆ ที่ของในบ้านแข็งทั้งนั้นเลย ของในบ้านของใคร ของเรา แข็งทุกอย่าง ดอกไม้ ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้ ถ้วยชาม จาน รองเท้า เสื้อผ้าแข็งทั้งหมด เหมือนแข็งนั้นเป็นของเรา เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวถึงรูปนะคะ ต้องเข้าใจว่ามีจริงๆ ค่ะ แต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นรูปเนี่ยไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ไปตีแข็งกระแทกแข็ง ดุด่าว่ากล่าวแข็ง แข็งก็ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่ใช่สภาพรู้นะคะ เริ่มจำ แล้วก็ไม่ลืม เพราะว่าเป็นความเข้าใจจริงๆ ว่าใช้คำว่ารูปธรรมเมื่อไหร่ หมายความถึงสิ่งที่มีแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ คือนามธรรมซึ่งเกิดขึ้นต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้นะคะ เป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดทุกอย่างที่จากไม่มี แล้วเกิดมี แล้วก็ดับไป จะเป็นของใครไม่ได้ ทั้งนามธรรม และรูปธรรมเพราะว่าขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หมายความว่ามีสิ่งที่กำลังรู้ คือเห็นสิ่งนั้น แต่ไม่ได้มีสิ่งที่ปรากฏทางตาตลอดเวลา เสียงก็ปรากฏ ความรวดเร็วคือขณะนั้นนะคะ ต้องไม่มีเสียง ขณะที่มีเห็นหรือว่าขณะที่เห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องไม่มีเสียงกับไม่มีได้ยิน นี่คือโลก เป็นของใครหรือเปล่าคะ โลกหนึ่ง แต่ละหนึ่งเป็นของใครหรือเปล่า แล้วโลกค่อยๆ ใหญ่ขึ้น เป็นบ้าน เป็นเรือน เป็นประเทศชาติ เป็นของเราหรือเปล่า รึว่าโลกทั้งโลกเนี่ย เป็นของใครหรือเปล่า ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงนะคะ ซึ่งเป็นธาตุที่ไม่รู้เยอะมาก และสภาพรู้ก็เกิดขึ้นรู้แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว รู้แล้วก็ดับไป ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้นะคะ การจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดสืบต่อ ก็เหมือนกับว่าเรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ แล้วก็เห็นคน และก็ฟังเรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดก็คือธรรมค่ะ ซึ่งเกิดดับเร็วมาก นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ที่อบรมเจริญปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้นนะคะ สามารถที่จะรู้ตามที่พระองค์ทรงตรัสรู้ นี้เป็นพระมหากรุณาที่แสดงให้รู้ว่าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจ อย่างที่พระองค์ได้เข้าใจด้วย
อ.วิชัย สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ ที่กล่าวถึงว่า สภาพธรรมมีอย่างเช่นแข็งเนี่ย บุคคลที่ไม่ฟังธรรมก็รู้ว่ามีแข็งครับ แต่ว่าความต่างของบุคคล ที่ฟังพระธรรม หมายถึงเริ่มมีความรู้ว่าแข็งเนี่ยเป็นธรรมไม่ใช่เรา บางบุคคลเนี่ย รู้แข็งนี้เขาก็จำได้ว่าเป็นแข็งว่าเป็นธรรมอย่าง แต่ผมก็สนทนากับเขาว่า การที่บุคคลรู้แข็งเนี่ย แต่ว่าความเข้าใจตรงแข็งเนี่ย ไม่เหมือนกัน แล้วก็ไม่เท่ากัน ฉะนั้นความรู้ที่เหมือนกับเมื่อกระทบแข็งแล้วเนี่ย ความรู้ที่จะเข้าใจตรงสภาพที่แข็ง โดยที่ไม่ได้นึกถึงชื่อว่าคำว่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเนี่ย หมายถึงว่าเป็นการสะสม ของความรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างนั้นเหรอครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ หมายความว่านะคะ เรากำลังฟังสิ่งซึ่งมีจริง แต่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ก็เหมือนเดิม ก็มีเรานี่แหละกำลังนั่ง แล้วก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เดินนะคะ แล้วก็ได้ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง เข้าใจตามที่ได้ฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่า เราสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง จนกระทั่งไม่มีเรา มีแต่เพียงสิ่งที่เกิดดับ เพียงแต่ขณะนี้ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่กว่าจะถึงความรู้ความเข้าใจจริงๆ อย่างนั้นได้นะคะ ก็อีกนานมากโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่โดยเราสามารถที่จะไปทำให้ความรู้ อย่างนั้นเกิดขึ้นมาได้ เริ่มเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีนะคะ เป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครทั้งสิ้น ฟังแต่ไม่ได้หมายความว่า เดี๋ยวนี้เราไม่มีเราแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ จำว่าเป็นเรามานานเท่าไหร่ ยังไม่หมดไปเลย ยังคงเป็นเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ แต่เริ่มฟังสิ่งซึ่งเป็นความจริง เพื่อที่จะรู้ และเข้าใจ เข้าใจไม่ใช่เราค่ะ เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่าเข้าใจแล้วแล้วก็ลืม เดี๋ยวก็เราก็ไปรับประทานอาหารกันล่ะ ก็เป็นเราต่อไปอีก แต่ว่าสิ่งที่ได้สะสมคือความเข้าใจนี่นะคะ จะค่อยๆ เห็นความจริงว่าถูกต้องมั้ย เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้นะค่ะ และขณะนี้ยังไม่สามารถรู้ความจริงอย่างนั้น แต่เมื่อความจริงแท้จริงเป็นอย่างนั้นจะรู้ได้มั้ย แต่ไม่ใช่เพียงเรากำลังฟังว่าไม่ใช่เรา เพียงไม่กี่คำ ก็สามารถที่จะไปประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ ผู้ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจถูกต้องว่า การเข้าใจธรรมนี่ค่ะ มี ๓ ระดับขั้น ขั้นฟังภาษาบาลีใช้คำว่าปริยัติ หมายความว่าเริ่มเข้าใจ รอบรู้ในพุทธพจน์ คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสด้วยพระองค์เอง
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020