ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๙๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมวินเทจ เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้ตัวจิตจริงๆ กำลังมีกำลังเกิดดับ ยังไม่ถึงปัญญาระดับที่ปฏิปัตติ ที่จะรู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรม ถ้าไม่มีปัญญาจะมีสติสัมปชัญญะ ที่จะรู้ถึงเฉพาะลักษณะ ของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เอง ที่ไม่ปรากฏเลย เหมือนจมอยู่ใต้มหาสมุทร แต่ปัญญาสามารถถึงเฉพาะทีละ ๑ ที่จะเข้าใจถูกต้องว่า นั่นเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพียงในขั้นแรก ที่สติสัมปชัญญะเริ่มเกิด เพราะเป็นสัจจญาณที่รู้มั่นคงจริงๆ ว่าไม่ต้องไปที่ไหน ปัญญาสามารถที่จะเกิดได้ เมื่อมีการฟังแล้วเข้าใจ แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย ต้องเป็นอนัตตา เพราะว่าหนทางนี้เป็นหนทางละอัตตา ความเข้าใจอนัตตาเท่านั้น ที่จะละอัตตาได้ แต่ถ้ายังคงเป็นเราทำก็ไม่มีทางเลย ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ ลึกซึ้ง ซับซ้อน แล้วก็โลภะเนี่ยค่ะ เหมือนเส้นยางใย ที่บางใสแล้วใครเห็น ที่แทรกคั่นอยู่ตลอดแม้ขณะนี้นะคะ ปัญญาก็เกิดท่ามกลางอกุศล

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ขา อนัตตาละอัตตายังไงคะ

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจว่าเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง หมายถึงที่เราศึกษากันอยู่ใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่ใช่ชื่ออนัตตา

    ผู้ฟัง หมายถึงว่าสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ ที่เป็นอนัตตา ต้องเข้าใจนะคะ ไม่ใช่พูดตามนะคะ

    ผู้ฟัง ค่ะๆ ท่านอาจารย์ขา

    ท่านอาจารย์ พอเราเข้าใจว่าอนัตตาหมายความว่า ไม่ใช่เรา ฟังว่าห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ละการที่เคยเข้าใจว่า จะเห็นเมื่อไหร่ก็ได้ บางคนบอกว่าไม่อยากเห็นก็หลับตาเสีย

    ผู้ฟัง หนูเคยคิดอย่างงั้นค่ะท่านอาจารย์ ถ้าตาบอดก็ดีนะคะ เราจะได้ขาดทวารหนึ่งที่จะสร้างกิเลส ติดข้องอ่ะค่ะ

    ท่านอาจารย์ คนตาบอดนะคะ เขาไปหาหมอรักษากันทั้งนั้น เขาอยากให้เห็น

    ผู้ฟัง หมายความว่ากิเลสเกิดจาก ๕ ทวารใช่ไหมคะ ท่านอาจารย์ ก็คิดว่าถ้าตาบอดก็จะดีนะคะ จะได้ไม่ต้องมีกิเลส ทางการเห็น

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แต่เขาไปหาหมอมั้ย เค้าอยากเห็นมั้ย เพราะฉะนั้นการรักษากิเลสให้หมดไป ก็ไม่ใช่ด้วยความอยาก เพราะฉะนั้นมีลัทธิที่หลับหูหลับตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกแล้วจะรู้อะไร เพียงที่กล่าวว่านะคะ สภาพธรรมเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด นั่นก็คือขณะนั้นกำลังเข้าใจปัจจัย เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยว่าปัจจัยอะไรเท่านั้นเอง

    ผู้ฟัง จิตแต่ละดวงที่เกิดขึ้นต้องมีปัจจัยทั้งหมด ทุกอย่าง

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างเลยไม่ใช่เฉพาะจิต รูปก็ต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้น อะไรก็ตามทั้งหมดที่เกิด ต้องมีปัจจัยที่ทำให้เกิด

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความเป็นอนัตตา เพื่อจะละอัตตา

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นอนัตตา จะหลงเหลือ เยื่อใย ว่ายังเป็นอัตตามั้ย ถ้าเข้าใจจริงๆ ถ้าเขาได้ศึกษาทั้งหมด เพื่อถึงความรู้จริงว่าเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเลย อย่างเห็นอย่างนี้ จะใช่เรายังไงใช่ไหมคะท่านอาจารย์ เห็นเค้าก็เกิดขึ้นเห็นอะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจถ้าจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา และจะหลงเหลือความเป็นอัตตามั้ย เพราะฉะนั้นโดยนัยกลับกัน ถ้าไม่เข้าใจว่าเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา จะละการเห็นเป็นเราได้มั้ย

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องตรงว่าไปไหนอ่ะ จะไปสำนักไหนล่ะ ก็เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ทำไมไม่รู้เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ขอสนทนาต่อเรื่องจิตคิด ก็คือตามการสะสมว่า จะเป็นกุศลหรืออกุศล แล้วถ้าสมมติว่าเราจะสะสมใหม่ ท่านอาจารย์ กล่าวว่าคือขณะนี้คือสะสมใหม่

    ท่านอาจารย์ ค่ะ คงไม่ใช่ต้องเราจะสะสม หรืออะไรเลยทั้งสิ้นนะคะ แต่ทุกคำที่พูดเนี่ยเพื่อเข้าใจ อย่างพูดว่าทุกคนคิดตามการสะสม แค่นี้จริงมั้ย แล้วก็ไม่ใช่ใครไปสะสมด้วย จากการฟัง และการเห็น และการคิด ค่อยๆ ปรุงแต่ง ให้คิดต่างๆ เพิ่มขึ้นจากก่อนซึ่งไม่เคยคิดมาก่อน ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลยเนี่ย จะคิดเรื่องเห็นเรื่องได้ยินมั้ยค่ะ ก็เป็นธรรมดา คือให้ทราบว่าธรรมนะคะ คือธรรมดา เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปสะสม ทำยังไง และจะต้องทำอย่างนี้ นั่นก็คือว่าฟังธรรมด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเนี่ยค่ะ เรื่องการที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าธรรมไม่ใช่เรา ใช้เวลาที่นานมาก เกินกว่าที่เราคิดว่าจะเป็นไปได้ อย่างรวดเร็วนะคะ ธรรมไม่ใช่เราเนี่ยไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นเรื่องจริงๆ เพราะฉะนั้นฟังแล้วเนี่ย ไม่ใช่เราเนี่ยอีกนานไหมล่ะ เห็นขณะนี้ค่ะ ไม่เคยที่จะมีทางเข้าใจได้เลย ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นทุกคำเนี่ย ฟังเพื่อเข้าใจความจริง และการที่ขณะที่เข้าใจความจริงขณะนั้นนะคะ ก็เป็นปัญญาไม่ใช่เรา แล้วก็กำลังสะสมด้วย เพราะฉะนั้นฟังธรรมแล้วเข้าใจ อันนี้สำคัญที่สุดค่ะ แล้วก็จะเข้าใจขึ้นมาที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะเหตุว่าเราเคยฟัง พอไปอ่านหนังสือตำรา อ้อจะต้องสะสมอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะอย่างงี้ๆ ก็คือชีวิตประจำวันธรรมดา เพียงแต่ว่าเราไปคิดเป็นเรื่องราว แต่ว่าตามความจริงเวลานี้ค่ะ ทุกคำที่เข้าใจกำลังสะสม เพื่อที่จะถึงการรู้จริงๆ ว่า ทุกอย่างไม่เว้นเลยนะคะ ทุกอย่างไม่ใช่เรา เป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งมีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปเตรียมตัว ไปทำ ไปหาเรื่องนะคะ มาทำให้ยุ่งยาก แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เป็นอย่างนี้ค่ะ ในแต่ละ ๑ ขณะ ธรรมดานะคะ ทุกคนเนี่ยลืมความเป็นธรรมดา ว่าแท้ที่จริงแล้วปัญญาเนี่ย รู้ความเป็นปกติธรรมดาเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพียงแต่เพิ่มการได้ยินได้ฟังธรรมเข้าใจขึ้น และชีวิตคือเหมือนธรรมดา แล้วก็เข้าใจขึ้น และเข้าใจขึ้น ปัญญาคือความเข้าใจ ก็ทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ไม่มีตัวตนให้ต้องไปจัดแจงอะไรทั้งสิ้นนะคะ มิฉะนั้นก็ผิดปกติ ปัญญาก็ไม่สามารถที่จะรู้ความเป็นปกติเหมือนเดิม อยู่ดีๆ ไปนั่ง ๑๕ นาทีงี้ รู้อะไร ๒๐ นาที นั่งนิ่งๆ เดินไปเดินมา กำหนดนั่นกำหนดนี่ มันก็ผิดปกติแล้วใช่มั้ย ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งนะคะ มีอยู่แล้วแค่นี้ คำนี้คำเดียว กำลังมี อ้าวแค่นี้คำเดียวอีก เพียงเข้าใจเท่านั้นที่ไม่พอ ที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราเลย แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ยังไงก็เป็นอย่างงั้น เมื่อวานนี้รับประทานอะไรคะ เมื่อวานนี้บางคนอาจจะรับประทานข้าว วันนี้รับประทานอะไร ถ้ารับประทานข้าวก็เหมือนเดิม แต่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไร

    ผู้ฟัง แต่ว่าถ้าเราแบบทานสลัดทุกวันเลยเราก็จำได้ว่า สลัดทุกวันเลย

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นปกติ ก็เป็นปกติ ความเป็นปกตินี้ เท่านั้นเองค่ะ แต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นฟังทำไม ฟังให้เข้าใจ ฟังแล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ไม่ใช่ไปคิดเพิ่มเติมอะไร แล้วสิ่งที่กำลังฟัง ก็คือสิ่งที่มีจริงจริงตามปกติ ไม่ใช่ให้เราไปทำผิดปกติ เพราะฉะนั้นการทำผิดปกติทั้งหมด ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่มีตามปกติได้ นี่เป็นเหตุที่จะต้อง ไปนั่ง ไปนอน ไปยืน ไปเดินที่สำนักปฏิบัติหรือเปล่า กั้นทันทีเลยค่ะ ธรรมคือธรรมดา ให้เข้าใจว่าเป็นธรรมเท่านั้นเองค่ะ อะไรอะไรก็เป็นธรรมทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ถ้ายังงั้นหนูจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อกี้ท่านอาจารย์บอกว่า ทุกอย่างที่มีจริงเนี่ยก็เป็นธรรม เป็นธรรมดาเป็นปกติ ท่านอาจารย์ขา แล้วเมื่อกี้ท่านอาจารย์กล่าวว่าแล้วจะต้องไปทำอะไร ทำไมจะต้องไปที่สำนักปฎิบัติ ไปนั่ง ไปยืน ไปเดิน ถ้าเป็นธรรมดาของเขาเหล่านั้น ต้องไปแบบนั้นเป็นธรรมดาของพวกเขา แล้วการที่ที่มูลนิธิเนี่ยเอาความจริงมาพูด อย่างเช่นสำนักปฏิบัติทำลายพระพุทธศาสนา จะมีประโยชน์อะไรคะ ถ้าเราพูดไป เพราะเขาก็เป็นธรรมดา ของเขาอย่างนั้นอยู่ดี

    ท่านอาจารย์ ถ้าได้ฟังแล้วคิดมั้ย ไตร่ตรองมั้ย สามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดรึเปล่า นี่คือการที่เราเผยแพร่ด้วยความหวังดี ไม่ใช่ไปทำอะไรใคร แต่เมื่อใครได้ยินแล้วเนี่ยสามารถที่จะเข้าใจ และก็รู้อะไรถูกอะไรผิดหรือเปล่า เพื่อประโยชน์ของตนเอง เพราะฉะนั้นความหวังดี ก็เป็นความหวังดีได้ตลอดไป เพราะพูดความจริงตลอดไป

    ผู้ฟัง จะได้ผล

    ท่านอาจารย์ หวังว่าถ้าคนได้ฟังแล้ว คิดไตร่ตรองก็เป็นประโยชน์

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นบางคนที่กล่าวว่า แล้วมูลนิธิจะพูดไปทำไม เราก็แค่ศึกษาของเราไปไม่ดีเหรอ เอาเฉพาะตน เฉพาะตน ใครที่สะสมบุญบารมี มาที่จะได้มาฟัง ที่จะได้เข้าใจ ก็ทำไปตามนั้นไม่ดีเหรอ

    ท่านอาจารย์ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย คิดอย่างนี้ เราไม่มีโอกาสได้ฟังสักคำ ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมเลย ถ้าพระองค์ และพระสาวกนะคะ ไม่พูดความจริงให้คนอื่นได้รู้ เราจะมีโอกาสได้ฟังซักคำมั๊ย

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่ความจริงออกไป ถึงจะเป็นพระวินัยอะไรก็แล้ว แต่เราก็ไม่ได้หวังว่า จะต้องให้ทุกคนมาฟังเรา เชื่อตามเราหรือ คือเราก็เอาความจริงเนี่ย ออกมา

    ท่านอาจารย์ ใครจะบอกว่า เดี๋ยวนี้มูลนิธิเปลี่ยนไป คือว่ามีการพูดเรื่องพระวินัยเพิ่มขึ้น ประโยชน์ไหมคะ ถามดู ที่จะให้คนอื่นได้รู้ว่า ณ บัดนี้ เดี๋ยวนี้เนี่ย คนเนี่ยทำผิดพระวินัยมากมายเพราะไม่รู้ใช่มั้ย แล้วถ้าทิ้งไว้ปล่อยไว้เหมือนเดิมนะคะ ก็ยิ่งมากมายขึ้น เพราะฉะนั้นมูลนิธิไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากว่ามีความหวังดี ต่อทุกอย่างทุกเหตุการณ์ ที่สมควรที่จะกล่าวถึงอะไร เพื่อประโยชน์ก็กล่าว ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด ที่จะให้คนเนี่ยได้เข้าใจถูกต้อง แล้วก็มีกุศลศรัทธา ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องด้วย เป็นความกรุณาหรือเปล่า เป็นความหวังดีหรือเปล่า เกิดมาเพื่อเป็นประโยชน์หรือเปล่า ไม่ได้คิดถึงแต่เฉพาะตัวเองใช่ไหม และรู้จักคำว่าบารมีมั้ย เห็นไหมคะ ถ้าเห็นแก่ตัว ไม่มีทางที่จะเป็นบารมีได้เลย และกิเลสก็มากเส้นใยของโลภะที่บางมองไม่เห็น เขามองไม่เห็นเลยกำลังกั้น ไม่ให้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ซึ่งเป็นบารมี เพราะถ้าขณะนั้นไม่เป็นกุศลก็เป็นอกุศล แล้วกุศลวันนึงวันนึงเนี่ยนะคะ เหลือเชื่อ ว่าจะมากสักแค่ไหน ประมาณไม่ได้จริงๆ แค่เห็นนี่แหละค่ะ อกุศลเกิดแล้ว คิดดู แล้วเราเห็นตั้งเท่าไหร่ กว่าจะรู้สึกตัวว่าชอบสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เลยขณะซึ่งเป็นอกุศล เพราะว่าเห็นเนี่ยจะต้องเกิดดับเท่าไร กว่าจะเป็นดอกไม้สักดอกนึง ตั้งแต่กลีบ ๑ กลีบ ใบ ๑ ใบ จนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นกุศลนี้มากมายนะคะ เกินกว่าที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าถ้ายังเป็นอกุศลมากๆ อย่างเดิมเนี่ย ไม่มีทางที่จะรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริงได้เพราะอวิชชา ถ้าไม่มีความรู้จริงๆ นะคะ ขณะนั้นเพราะไม่รู้จึงติดข้อง เหมือนอย่างแม้แต่คำที่เรา บอกว่ารู้ตัวหรือเปล่า ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะสิ่งนั้นดับแล้วก็ไม่รู้ ก็ยังคิดว่ายังมีอยู่ เพราะสืบต่ออยู่เรื่อยๆ นี้ค่ะแต่ละคำเนี่ย ไม่ใช่หมายความว่าใครจะไปรู้ ความจริงวันนี้เดี๋ยวนี้นะคะ แต่บุญมั้ยที่ได้ฟัง ลองคิดดู เพื่อที่ว่าจะมีการได้ฟังอีก และเห็นประโยชน์จริงๆ ว่านี่เป็นคำจริง แต่ว่าไม่ใช่หมายความว่า ใครสามารถที่จะละกิเลส แล้วก็รู้ความจริงได้ทันที แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง ว่าสะสมกิเลสมาถึงอย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้อาศัยความดี แม้เพียงเล็กน้อย นิดเดียว ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยทำ แต่เพราะเห็นประโยชน์ ปัญญานำไปในกิจที่เป็นกุศลทั้งปวง ไม่ว่าทางกายหรือทางวาจา จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะรู้ความจริงว่า การที่จะละความเป็นเราเนี่ยแสนยาก เพราะว่าอกุศลที่มี เพราะอวิชชาเนี่ยมาก ด้วยเหตุนี้นะคะ หนทางเดียวก็คือว่าวิชชา มีความเข้าใจเมื่อไหร่ ขณะที่กำลังเข้าใจนั่นแหละต่างหากที่ละความไม่รู้ และเพราะค่อยๆ ละลายความไม่รู้นี่ค่ะ กุศลทั้งหลายก็เจริญขึ้น จึงเข้าใจความหมายของคำว่าบารมี ขาดบารมีได้หรือ ที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าถูกหุ้มห่อปกปิด แน่นหนาด้วยกิเลส และอวิชชา เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ค่ะ ว่าปกติธรรมดาอย่างนี้แหละไม่ใช่ทำอะไร เพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้ใคร เป็นตัวตนไปทำอะไร แต่หมายความว่าฟังแต่ละคำ ปัญญาเข้าใจขึ้น ปัญญาทำหน้าที่ ไม่มีใครไปทำหน้าที่ มิฉะนั้นประโยชน์อะไรคะที่เราจะเรียนเรื่องจิต เรื่องเจตสิก เรื่องรูป เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เราสักอย่าง ไม่ว่าจิตประเภทไหน เจตสิกอะไร หรือรูป สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมดนี่ค่ะ เป็นสิ่งที่มีเป็นธรรมตา เป็นธรรมดาของสิ่งนั้นๆ ที่จะต้องเป็นนั้น

    ผู้ฟัง เมื่อกี้ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ทำไมเราต้องเรียนปรมัตถธรรม เรื่องจิต เจตสิกรูป เพื่อนำมาซึ่งความเข้าใจว่า มันไม่มีเราอยู่ตรงไหนใช่ไหมคะ มันเป็นการทำหน้าที่ของ

    ท่านอาจารย์ เพื่อขณะนั้นเข้าใจค่ะ ก่อนฟังไม่เข้าใจ ไม่เคยรู้ และความเข้าใจขณะนั้นเองที่จะค่อยๆ สะสม เมื่อเข้าใจขึ้น พร้อมทั้งเห็นโทษของอกุศล ถ้าเรายังคงเหมือนเดิมนะคะ เพียงต้องการฟังธรรม ฉันอยากรู้เนี่ย ฉันอยากเข้าใจเนี่ย ความกรุณาของฉันมีไหม ใช่ไหมคะ ถ้าจะมีกรุณาได้ ก็ต้องมีเมตตาใช่ไหม ถ้าไม่มีความเป็นเพื่อนเนี่ย เราจะกรุณามั้ย แต่เพราะเหตุว่ามีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน เราก็ทำทุกอย่าง กุศลทั้งหลายก็ค่อยๆ เจริญขึ้น อกุศลทั้งหลายก็ค่อยๆ เบาบาง ความเห็นถูกว่ากุศลเป็นธรรมที่เป็นประโยชน์ จะนำพาไปสู่แล้วกุศลใดล่ะ ที่จะดับกิเลสได้ เพียงแค่กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาดับกิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไม่ขาดการฟัง ที่จะเข้าใจถูกต้องขึ้น เป็นไปเพื่อการละ

    ผู้ฟัง กุศลที่ไม่มีปัญญาไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ ทีนี้เราก็ต้องมีคำถาม แล้วค่ะท่านอาจารย์ขา ลักษณะของกุศลที่มีปัญญาประกอบด้วย กับกุศลที่ไม่มีปัญญาประกอบด้วย เป็นอย่างไรคะ ท่านอาจารย์คะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้เรากำลังทำอะไรคะ

    ผู้ฟัง สนทนาธรรมค่ะ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เขาเข้าใจมั้ย

    ผู้ฟัง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเป็นกุศลไหม

    ผู้ฟัง เป็นกุศลค่ะ

    ท่านอาจารย์ เป็นปัญญาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นปัญญาค่ะ

    ท่านอาจารย์ และกุศลที่ไม่เป็นปัญญามีไหม เมื่อเช้าคุณเบญทำกุศลอะไรบ้าง คั้นน้ำส้มให้คนอื่น ขณะนั้นเป็นปัญญาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้เป็นปัญญาค่ะ เป็นการเจริญกุศล

    ท่านอาจารย์ แต่มาจากไหน เห็นไหมคะ ปัญญานั้นต่างหากที่ค่อยๆ นำไปในกิจของกุศลทั้งหลาย ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนก็ได้ แต่ก่อนอาจจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ทุกคนก็เห็นแก่ตัวนะคะ มากน้อยก็รู้ได้จากพฤติกรรมการกระทำ และคำพูด ว่าคนอื่นเขา เป็นไงคะ เห็นแก่ตัวมั้ย แค่นี้ก็ไม่รู้ล่ะ ใช่มั้ยคะ

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้เนี่ยมีมากมาย แต่ว่าถ้าเรามีความเข้าใจขึ้นนะคะ ไม่ใช่เรานะคะ แต่เพราะเห็นโทษ ปัญญาเห็นว่าดีหรือเปล่าเนี่ย ใจก็ไม่เป็นสุขใช่ไหมคะ ขุ่นเคืองถึง กับกล่าววาจาที่ไม่น่าฟัง แค่นี้ขัดเกลามั้ย ถ้ายังเป็นอย่างนี้พอกพูนไปเรื่อยๆ คนนี้ก็เป็นคนประเภทไหนอ่ะ นะฮะ กายวาจาก็ยังเต็มไปด้วยอกุศล แล้วก็จะศึกษาธรรม หวังตัวเองให้เป็นอย่างนั้น หวังตัวเองให้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ และปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ขาครั้งนี้นี่ ก็จะพูดพระวินัยแล้ว ก็เอาตัวอย่างพระที่ไม่ดีเนี่ย มาให้ดู

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เวลาที่เห็นตัวอย่าง และฟังเรื่องราวอย่างนั้นนะคะ แล้วไม่สบายใจใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ความผิดของใคร

    ผู้ฟัง ความผิดของผู้นั้นค่ะ

    ท่านอาจารย์ คนอื่นเขาไม่เคยรู้เลยว่า พฤติกรรมของพระภิกษุ ณ กาลสมัยนี้ เป็นถึงอย่างนี้ เป็นการช่วยให้เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ว่าถูกคืออย่างไร ผิดคืออย่างไร ไม่ใช่ให้ทุกคนปิดปาก เดี๋ยวเขาจะว่าเรา เห็นแก่ตัวมั้ย ปิดปากทำไม มีไว้พูดคำที่ถูกต้องได้เป็นประโยชน์กับคนอื่น แต่ละคำที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นเนี่ย ควรพูดไหมหรือว่ามานั่งกลัวแต่ว่าเค้าจะไม่รักเรา เขาจะว่าเรา เราทำไมมาติคนนั้นว่าคนนี้ แต่ให้คิดดูค่ะการกระทำทุกอย่างเนี่ย ผู้ทำมีจุดประสงค์อะไร

    ผู้ฟัง ก็อยากจะให้คนที่ไม่เคยรู้เลย ได้รู้ว่าเนี่ยเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้แหละ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วพร้อมกันนั้นก็พูดถึงสิ่งที่ถูกต้อง ว่าภิกษุในธรรมวินัยไม่เป็นอย่างนี้ เพราะพระวินัยทั้งหมด พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบัญญัติด้วยพระองค์เองคิดดู และแต่ละคำนั้น มีเปลี่ยนไหม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้แล้วจะเปลี่ยนมั้ย

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้แน่นอนค่ะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ พระองค์ทรงตรัสรู้เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นใครยุคนี้สมัยนี้คิดจะเปลี่ยน ถูกหรือผิด ไม่รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เห็นประโยชน์ของแต่ละคำ เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมากกว่าใคร ทุกข์ยาก ลำบากแต่ละพระชาติกว่าที่จะได้ตรัสรู้ แต่ละคำเนี่ยมาจากการทรงลำบาก ยากเข็ญสักแค่ไหน กว่าจะได้ให้ทุกคนเนี่ยได้เข้าใจความจริงได้ กลับไปมองเห็นเจตนา ถ้าคิดว่านะคะ เราไม่ควรพูดตามพระธรรมวินัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้เพื่อใคร เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี่ค่ะ ในอดีตกาลในสมัยพระผู้มีพระภาค ยังไม่ปรินิพพานนะคะ ก็ต้องรู้ว่าคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิการู้หน้าที่ของตน ที่จะต้องเป็นส่วนที่จะช่วยดูแลบำรุงพระศาสนา พระภิกษุด้วยใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นคนที่มีความเห็นที่ถูกต้อง สามารถที่จะกล่าวได้ ไม่ใช่ว่าพูดว่าร้าย ในสิ่งที่ไม่จริงหรืออะไร แต่นี่เรื่องเป็นจริงนะคะเพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ อุบาสก อุบาสิกา เพ่งโทษให้เห็นว่า นี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง แล้วก็ติเตียนด้วยสมควรไหมคะ ถ้าจะทำอย่างนี้ ถามคนทุกคนให้รู้ว่า ถ้าทุกคนรู้อย่างนี้แล้วเนี่ย สมควรไหม แล้วก็กระจายข่าวให้รู้ทั่วกัน เพื่อที่จะได้รู้ว่าเป็นผู้ที่ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย อีกประการหนึ่งนะคะ ลองคิดให้ละเอียด เพราะว่าการศึกษาธรรมเนี่ยค่ะ เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก พระวินัยเป็นธรรมหรือเปล่า แน่นอนใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย โดยธรรมหรือเปล่า ทุกข้อ ด้วยเหตุนี้นะคะ ทุกอย่างเนี่ยต้องเป็นไปตามธรรม ทั้งหมด ก่อนที่จะทรงบัญญัติ พระวินัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์ เพื่อให้รับรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ผิดแน่นอน ก็ทรงบัญญัติพระวินัย เพื่อความอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกของภิกษุทั้งหมด และเพื่อประโยชน์อีกหลายอย่าง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าธรรมนะคะ เป็นวินัย กำจัดกิเลสนำกิเลสออก จากการฟัง มีความเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด พระวินัยทุกข้อต้องเป็นไปตามธรรม ไม่ใช่อยากจะบัญญัติยังไงก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามความถูกต้องนะคะและใครจะรู้ยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงทุกกรณี

    ผู้ฟัง ได้รับไลน์มาจากเพื่อนๆ นะคะ ว่าขอเชิญร่วมทำบุญมหาสังฆทาน ช่วยภิกษุสงฆ์ที่อาพาธ ถ้าเป็นเคสอย่างงี้ ทางฆราวาสที่ว่าอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ยังไงฮะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะเป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ เรื่องของจิตใจที่จะเป็นกุศลเนี่ย ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามได้ จะให้เกิดกุศล และอกุศล แต่ถ้าเป็นผู้ที่รอบคอบ เราก็จะพิจารณาได้ว่าสงฆ์คือใคร ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรมเลย แล้วก็ให้ชาวบ้านทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นำดวงวิญญาณไปโน่น มานี่ อะไรก็แล้วแต่นะคะ แล้วก็ไม่ได้ประพฤติตามพระวินัยด้วย แล้วเราจะทะนุบำรุงไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567