ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๖๔

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ขั้นฟังภาษาบาลีใช้คำว่าปริญัติ หมายความว่าเริ่มความเข้าใจ รอบรู้ในพุทธพจน์ คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดทุกคำนี่ค่ะ โลกเที่ยงมั้ย เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นแค่นี้นะคะ ถ้าเราไม่คิด ไม่ตอบก็ไม่รู้ เพราะโลกไม่ได้ประจักษ์ว่าไม่เที่ยง โลกคืออย่างนี้เยอะแยะอย่างนี้ใช่ไหมคะ แต่ถ้าฟังแล้วมีความเข้าใจ เราก็สามารถที่จะระลึกได้เมื่อเข้าใจ ถ้าไม่รู้เลยนะคะ คนอื่นก็บอก เอ้มาพูดเรื่องโลกไม่เที่ยง ก็โลกก็ยังอยู่อย่างเงี้ย แล้วจะพูดเรื่องโลกไม่เที่ยงได้ยังไง แต่ว่าเวลาที่ฟังแล้วนี่ค่ะรู้ว่า คำของใคร และพูดถึงสิ่งที่มีจริงค่อยๆ ให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่า สิ่งที่มีจริงเนี่ยเป็นอย่างเนี้ยใช่มั้ย เช่นได้ยิน ก่อนได้ยินไม่มีได้ยิน และใครทำให้ได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำได้ ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินเกิดขึ้น ปัจจัยก็เป็นสิ่งที่มีจริงนะคะ เมื่อสิ่งที่มีจริงเป็นนามธรรม และรูปธรรมปัจจัยคืออะไร ปัจจัยก็คือนามธรรม และรูปธรรมนั่นเอง แต่อาศัยกัน และกันละเอียดมาก แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นมาได้นี่คะ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่การฟังพระธรรม เนี่ยต้องฟังตลอดชาติ ตลอดชีวิตไม่ใช่ชาติเดียว สะสมกันมานานเท่าไหร่ ที่จะได้ฟังแล้วฟังอีก แต่ความประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ก็ยังไม่ถึงการที่จะเหมือนอย่างที่พระองค์ได้ตรัส ว่าขณะนี้ทุกอย่างไม่เที่ยงเกิดขึ้น และดับไป ฟังไว้ก่อน ขณะนี้นะคะ เห็นเกิดต้องไม่เที่ยง ได้ยินไม่ใช่เห็น แสดงว่าห่างกันแล้ว เห็นต้องดับ เพราะเห็นมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่เวลาได้ยินสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ไม่ได้ปรากฏในขณะที่ได้ยินเกิดขึ้น แต่เสียงปรากฏ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งนี่ค่ะ ก็คือสิ่งที่เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ และเพราะความไม่รู้เลย ก็สะสมความเห็นผิด การยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    อ.วิชัย หนทางของความรู้เนี่ย ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดแล้วก็ลึกซึ้งมากครับท่านอาจารย์ อย่างเช่นการที่บุคคลเริ่มศึกษาแล้ว ก็เข้าใจว่าแข็งเนี่ยมีจริง และก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง แล้วก็หนทางของปัญญาเนี่ย คือค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้นนะครับ แต่ว่าการที่บุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจที่ไม่เพียงพอนะครับ สามารถที่จะมีความคิดเข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นการที่รู้ตรงแข็งแล้วครับ แต่ว่าความจริงก็คือยังไม่ใช่ ปัญญาที่รู้ลักษณะที่แข็ง

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นการฟังต้องละเอียด ใครไม่รู้แข็ง

    อ.วิชัย ตอนนี้ก็มีแข็งปรากฏครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แล้วใครไม่รู้แข็ง ทุกคนรู้ใช่ไหมคะ แข็งปรากกฏ แล้วบอกว่าไม่รู้ว่าแข็ง เป็นไปได้ยังไง ต้องตรงต่อความเป็นจริงนะคะ ปัญญาแค่ไหน เพราะว่าทุกคนนะคะ สามารถกระทบสัมผัสแข็งได้ ไม่เคยฟังพระธรรมเลย ก็บอกว่านี่แข็ง แต่เขาไม่รู้ว่าแข็งมีจริงๆ เมื่อกระทบ ไม่รู้ แต่คิดว่ากระทบแข็ง เพราะแข็งมีอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนะคะ ต้องรู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา จำไว้ก่อน ฟังไว้ก่อน เข้าใจไว้ก่อน จนกว่าเมื่อไหร่นะคะ จะสามารถประจักษ์ว่าแข็งปรากฏเกิดแล้วดับ ไม่ใช่หมายความว่าขณะนี้ตอบ ใครก็รู้ว่าแข็งจบ อย่างนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ทรงตรัสรู้อะไรเลย แล้วจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยังไง ไม่ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการที่จะรู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือว่าพระปัญญาคุณนะคะ รู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ด้วยการทรงบำเพ็ญพระบารมีนี่ค่ะ มากมายจนกระทั่งประจักษ์แจ้ง เห็นมั้ยคะ อ่ะแข็งปรากฏไหนประจักษ์แจ้ง ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น พระโพธิสัตว์ เห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย เดี๋ยวคนนุ้นก็ป่วยไข้ เดี๋ยวคนนี้ก็เดือดร้อน เดี๋ยวคนโน้นก็ทุกข์ยาก พระมหากรุณารู้ว่าสิ่งนี้เป็นอะไร ทำไมจึงมีการเกิดขึ้น แล้วทำไมไม่เที่ยง แล้วทำไมเปลี่ยนแปลง แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวเศร้าโศก

    เพราะฉะนั้นด้วยการที่เห็นว่า สิ่งนี้มีจริงนะคะ แต่ความจริงของสิ่งที่มีจริงเนี่ยถูกปกปิดไว้เพราะการเกิดดับสืบต่อ ไม่มีใครคิดถึง ตั้งแต่เกิดมาเนี่ย ไม่มีใครคิดถึงเลยนะคะ สนุกสนานรื่นเริง มีเพื่อนมีฝูง มีพ่อแม่ มีทุกสิ่งทุกอย่าง เดี๋ยวเจ็บไข้ เดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข ก็ไม่เคยคิดว่าจริงๆ แล้วคืออะไร แต่พระโพธิสัตว์ไม่ใช่อย่างงั้นเลย เริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด และความจริงของแต่ละหนึ่งนี่คืออะไร อย่างเห็นความจริงของเห็นเนี่ยต้องมีสิ่งที่ลึกซึ้ง ลึกลับ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าสนใจในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นตลอดเวลา แม้เดี๋ยวนี้พระธรรมสามารถที่จะพิสูจน์ได้นะคะ แม้เดี๋ยวนี้เห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ลืมว่าถ้าไม่มีธาตุที่เกิดขึ้นเห็น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทั้งวันนี่ค่ะ มีธาตุรู้ที่เกิดขึ้นนะคะ รู้แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งสืบต่อเร็วเหมือนกับไม่มีอะไรดับไปเลย จึงกลายเป็นเรา จำเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป กลายเป็นเราจำ คิดไม่ใช่เห็น คิดเกิดขึ้นก็ไม่รู้เป็นเราคิด แล้วก็เป็นเราเห็น เพราะฉะนั้นโลกก็เป็นโลกของความไม่รู้ เพราะถ้าเป็นความรู้นะคะ ต้องมีความเข้าใจซึ่งไม่สามารถที่จะเกิดได้เองแน่ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ของผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะการรู้ความจริงนะคะ ก็มี ๓ ระดับ สูงสุดไม่มีใครเปรียบได้ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญพระบารมีนานจนกระทั่ง ในชาติสุดท้ายเนี่ยนะคะ ความเข้าใจธรรมแต่ละหนึ่งที่ได้สะสม มาทุกชาติทุกชาตินี่ค่ะ ถึงเวลาที่จะรู้ความจริง จากจะรู้ความจริงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงพร้อมด้วยพระญาณต่างๆ พระทศพลญาณไม่มีใครเปรียบได้ นั่นคือระดับสูงสุดนะคะ เรียกว่าพระมหาสัตว์ หมายความถึงผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อถึงความเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ในแต่ละยุคในแต่ละสมัย ถ้าเป็นผู้ที่บารมีไม่เท่ากับผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ แต่ในยามใดซึ่งได้ฟังพระธรรม แต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ ถามนิดนึง เราฟังมาแล้วกี่ชาติ หรือไม่เคยฟังเลยคะ รึฟังน้อยแค่ไหน ถ้าฟังมากพอ แค่ได้ยินอย่างนี้ค่ะ ได้ยินคำธรรมดาอย่างเนี่ย สามารถที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับได้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่มีการคิดล่วงหน้าตระเตรียม อย่างวิสาขาวิคารมารดานะคะ อายุ ๗ ขวบ บิดาของท่านให้ท่านไปต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จไปที่นครนั้น เพียงแค่ฟังธรรมนะคะ ๗ ขวบ ได้ยินไม่กี่คำ แต่ปัญญาจากการที่อบรมมาแล้วกี่ชาติ เหมือนเดี๋ยวนี่แหละ แต่ละหนึ่งชาติ แต่ละหนึ่งชาติผ่านไป ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นนะคะ สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ พระผู้มีพระภาคตรัสคำใด สิ่งนั้นที่ตรัสถึงด้วยคำนั้น มีจริงๆ ในขณะนั้นไม่ว่า ะเป็นอะไรทั้งสิ้น แต่เวลานี้นะคะ ทุกอย่างที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกไม่ได้ปรากฏเลย เจตสิกไหนปรากฏบ้าง จิตไหนปรากฏบ้าง แม้แต่ขณะนี้ที่เห็นจะเรียกว่า จักขุวิญญาณก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะว่าก่อนจักขุวิญญาณก็มีจิต หลังจักขุวิญญาณก็มีจิต ก็ไม่ได้ปรากฏสักอย่างเดียว นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันมากนะคะ ที่จะต้องอบรมต่อไป ด้วยความเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่าการฟังพระธรรม ไม่ใช่ฟังแล้วฉันรู้ รู้แล้วเข้าใจแล้ว รู้แล้วแทงตลอดแล้ว ขณะนี้เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นเกิดแล้วดับแล้ว อย่างนี้ไม่ใช่

    เพราะว่าความจริงนะคะ ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ที่จะให้เราได้ยินแต่ละคำที่ตรัสจากพระโอษฐ์ ด้วยเหตุนี้นะคะ ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ไม่ลืมว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ภาษาไทยภาษาบาลีก็กำลังสนทนาธรรมธรรม ธรรมสากัจฉา ก็ไม่ต้องไปคิดถึงภาษาบาลีเลยนะคะ เข้าใจภาษาบาลีเขาใช้คำว่าปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ ก็ใช้คำภาษาไทยว่าเข้าใจ ใครเข้าใจแข็งที่กำลังปรากฏบ้าง ไม่ได้บอกว่ารู้แข็งมั้ย แต่ถามว่าใครเข้าใจแข็งที่กำลังปรากฏมั้ย กำลังเห็นไม่ได้ถามว่าเห็นมั้ย เห็นมีจริงมั้ย ถ้าถามเพียงเท่านี้ก็บอกว่าเห็นมีเห็นมีจริง แต่ถามว่าใครเข้าใจเห็นบ้าง ต่างกันแล้วใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นทุกคำนี่ค่ะ เป็นคำที่ละเอียดมากเผินไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้นะคะ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าทุกคำ เช่นคำว่าโลก เข้าใจทุกคนแล้วใช่ไหมคะ ใครบ้างลืมไปแล้วว่าโลกคืออะไร โลกคือสิ่งที่เกิดดับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่มีโลก เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งสิ้นนะคะ หิว เป็นโลกหรือเปล่า ทุกอย่างที่มีค่ะ ไม่ต้องลังเลอีกเลยนะคะ โกรธเป็นโลกหรือเปล่า ไม่ต้องลังเล เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุด ที่ได้มาที่พระวิหารเชตวันบริเวณนี้นะคะ เขตพระวิหารเขตพระนครสาวัตถีนี่ค่ะ ได้มีโอกาสได้เข้าใจคำว่าโลก อย่างที่พระองค์ตรัสถามภิกษุว่า โลกว่างเปล่า

    อ.วิชัย จากตัวตนครับ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะตามที่มีผู้ที่ถามนะคะ โลกว่างเปล่า ตอนนี้เข้าใจใช่มั้ยคะ เหมือนคนที่ได้ไปเฝ้าแล้วก็กราบทูลถาม พระองค์ก็ตรัสตอบว่าโลกคืออะไร เดี๋ยวนี้ทุกคนตอบได้ค่ะ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นที่ปรากฏว่ามี นั่นแหล่ะเป็นโลก และก็โลกที่มีนั้นถ้าก่อนเกิดขึ้นก็ไม่มี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ว่างเปล่าเหมือนไม่เคยเกิดเลย เสียงไม่มีเลยนะคะ เกิดเสียงแล้วเสียงนั้นก็ดับ เหมือนเสียงนั้นไม่เคยมีเลย ชั่วคราวจริงๆ ชั่วขณะที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นได้ฟังอยู่นี่อีกนานเท่าไหร่นะคะ กว่าสามารถที่จะเกิดความสังเวช สังเวชที่นี่คือปัญญาที่เริ่มเห็นโทษของสังสารวัฎฏ์ เราไม่เคยสลดใจกับความไม่เที่ยงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ แก้วแตกเสียดาย แต่ตอนเป็นแก้วก็เกิดดับ เลยไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงเนี่ย จากไม่มี ก็มี แล้วก็หามีไม่ เป็นอย่างนี้ทุกชาติ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพอใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดนะคะ ให้ทราบได้ว่าทันทีที่พอใจ สิ่งนั้นดับแล้วไม่มีเหลือ แต่ความจำนี่ยังเหลือว่าเรายังชอบสิ่งนั้นอยู่ เพราะฉะนั้นจะเห็นความลวงนะคะ ของสภาพธรรม ซึ่งยากต่อการที่จะรู้ได้ ถ้าไม่เป็นผู้ตรงที่จะรู้ความเข้าใจไม่ใช่เรา ทุกอย่างเลยค่ะไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งจะเป็นของใครได้ยังไง เกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ก็ถามปัญหาในสิ่งที่น่าคิดมาก ว่าเข้าใจเห็นหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถามว่าขณะนี้เห็นมั้ย ตอบได้ว่าเห็น เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นรึเปล่า แทนที่จะใช้คำว่าปัญญาประจักษ์แจ้ง แทงตลอดหรือยัง ไม่ต้องใช้คำนั้นเลยค่ะ เพียงแค่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ธรรมดาอย่างเนี้ย เข้าใจเห็นที่กำลังเห็นหรือเปล่า หรือว่าเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นหรือยัง ถามได้หมดเลย สำหรับผู้ที่ตรง ตอบว่าไงคะ ยังไม่เข้าใจค่ะ เพราะฉะนั้นยังไม่เข้าใจก็ต้องยังไม่เข้าใจ แม้ฟังต่อไปนะคะ เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เริ่มคิดใช่ไหมคะ เพราะว่าขณะใดก็ตาม สนใจเฉพาะในสิ่งที่ปรากฏลืมเห็น เพราะฉะนั้นเตือนให้รู้ว่า เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เริ่มไม่มีเรา มีเห็นกับมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ก่อนเห็นไม่มีเห็น สิ่งที่ปรากฏต้องเกิดด้วย ก่อนนั้นไม่ได้เกิด แต่เกิดแล้วกระทบตา จึงทำให้มีเห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่กระทบตาเวลานี้ ถ้าตาบอดเดี๋ยวนี้นะคะ สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏไม่ได้เลย เห็นก็เกิดไม่ได้ด้วย แล้วนี่จะไม่ให้สลดใจในสังสารวัฎฏ์เหรอคะ เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน แสนโกฏฏ์กัปป์แล้วต่อไปก็ไม่สิ้นสุด ไม่มีทางหมดสิ้นได้นี่คะ เหมือนคนที่อยู่ในกรง ออกจากกรงได้ไหมคะ กรงยังเล็ก นี่เป็นกรงของสังสารวัฎฏ์ ไม่มีขอบเขต จะหักกรงได้ไหมคะ ไม่มีทางที่จะออกจากกรง ถ้าไม่ใช่ปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาหมายความถึงความเข้าใจจริงๆ เห็นไหมคะในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏจริงๆ นี่คือพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนะคะ ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินสักคำ แม้แต่คำว่าโลกว่างเปล่า แค่คำเดียวนะคะและในพระไตรปิฏกก็ทุกอย่างที่มีคนไปเฝ้าไปทูลถาม แล้วแต่ขณะนั้นจะกล่าวถึงอะไร ความลึกซึ้งระดับไหน ก็ต้องเป็นไปตามความเข้าใจของผู้ฟัง ไม่มีประโยชน์เลยค่ะ ถ้าจะกล่าวถึงอริยสัจจะ มรรคมีองค์ ๘ มีแต่ชื่อแล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ เข้าใจอะไรหรือเปล่า แม้แต่กำลังเห็นน่ะเข้าใจรึเปล่า คิดเดี๋ยวนี้ก็กำลังคิดนะคะ เข้าใจหรือเปล่า เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวใช่มั้ย คิดเมื่อวานนี้ไม่ใช่คิดวันนี้เดี๋ยวนี้เลย คิดเมื่อกี้นี้ก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังคิด ทุกอย่างใหม่หมดค่ะ เปลี่ยนไปตลอด โดยไม่มีใครสามารถจะรู้ความจริงได้ ถ้าไม่ได้ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ค่ะ เพราะว่าท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความสลดใจในสังสารวัฎฏ์ ด้วยคำที่ว่าโลกว่างเปล่า ซึ่งท่านอาจารย์คะ ถ้าเป็นปัญญาที่เห็นธรรมตามความเป็นจริงเนี่ย ดูเหมือนว่าที่ว่างเปล่า เพราะว่ามันเกิดแล้วก็หมดไป แล้วสังสารวัฎฏ์ก็ยังเป็นไปอยู่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นตามความเป็นจริงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร คืออย่างไรที่เรากล่าวว่า จนกว่าจะเห็นความจริงเดี๋ยวนี้ จะเห็นได้ยังไงคะ เห็นเกิดแล้วดับ ทุกคำตรงตามที่ได้แสดง ตามที่ได้ฟัง เห็นเกิดแล้วดับจริงๆ หรือเปล่าคะ เห็นเกิดแล้วดับจริงๆ หรือเปล่า นี่ขั้นฟัง มั่นคงหรือยัง นะคะ มั่นคงว่าเห็นเกิดแล้วดับ แต่ขณะที่เห็นเกิดแล้วดับ ไม่ได้ประจักษ์แจ้งใช่ไหม ถูกต้องนะคะ แต่เมื่อเห็นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ สามารถจะประจักษ์ความจริงของเห็นที่เกิดดับได้ไหม ได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ใช่ไหม ค่ะ นี่คือการเป็นผู้ตรงที่จะเข้าใจว่าพระธรรม ที่ทรงแสดงในขั้นนี้นะคะ ปริยัติหมายความว่ารอบรู้พระพุทธพจน์ และแทงตลอดทุกคำที่ได้ฟัง สิ่งที่มีจริง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นภาษาไหน จะใช้ภาษาบาลี หรือจะใช้อะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดว่าปัญญาประจักษ์แจ้งลักษณะของจักขุวิญญาณ แต่ใช้คำว่าเข้าใจ จิตเห็นเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริงหรือเปล่า เพราะจะเข้าใจโดยไม่เป็นปัญญาไม่ได้ หรือปัญญาจะไม่ใช่ความเข้าใจก็ไม่ได้ เพียงแต่สองภาษาว่าเข้าใจระดับไหน

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะคิดถึงปัญญานะคะ เนี่ยแข็งอย่างเนี้ยเข้าใจแข็งหรือยัง เข้าใจขั้นแรกนะคะ แข็งมีจริง ใครทำให้แข็งเกิดขึ้น ไม่มีใคร แต่ที่ไม่ประจักษ์แจ้งว่าแข็งเกิดแล้วดับ เพราะเหตุว่าเพียงฟัง ปัญญาขั้นนี้นะคะ ต้องมั่นคงเป็นสัจจญาณะ ก่อนที่จะถึงปฏิบัติซึ่งเป็นกิจจญาณะ ทุกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ทรงพระมหากรุณาอนุเคราะห์ว่า คนที่ไม่รู้เข้าใจผิดง่ายมาก เพราะฉะนั้นทุกคำเนี่ยกำกับไว้ชัดเจน เช่นกล่าวถึงปริญัติ ปฏิปัติ ปฏิเวธ หมายความถึงความรู้ที่มั่นคง รอบรู้แทงตลอด ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความว่าทุกคำ เพราะแต่ละคำเหมือนกัน เป็นธรรมที่เกิดดับ ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยละเอียด ลึกซึ้งประการใด ระดับไหนก็ตามนะคะ ก็กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ซึ่งกำลังเกิดดับ แต่เมื่อยังไม่ประจักษ์ แต่มั่นคงละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถึงการเกิดขึ้น และดับไป นั่นเป็นปัญญาความเข้าใจแต่ละขั้นนะคะ แต่ต้องเริ่มตั้งแต่มั่นคงในขั้นการฟัง มั่นคงในขั้นฟัง ฟังไม่ยากใช่มั้ยคะ มั่นคงในขั้นฟัง แต่ว่ามีเราจะทำอะไรหรือเปล่า เห็นไหมคะ มั่นคงในขั้นการฟัง ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดแล้วเห็นเกิดแล้ว ได้ยินเกิดแล้ว คิดเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เกิด ต่างคนต่างคิด ตามเหตุตามปัจจัย เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วตามปัจจัยของแต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไปด้วย

    เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงความจริงนะคะ ว่าขณะนี้ค่ะ เป็นความรู้ที่มั่นคงหรือยัง ถ้ามั่นคงจริงๆ นะคะ จะไปทำอะไรให้ประจักษ์แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ไม่ไปไหนเลยไม่คิดด้วย ว่าจะจงใจ จะมีสมาธิ จะเจตนา จะรักษาศีล จะทำอะไรทั้งหมด นั่นคือโลภะอยู่ไหน ที่จะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ใช่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นต่างกันมากค่ะ ปัญญากับโลภะไม่พบกัน ต่างกันที่ว่าโลภะเป็นโลภะ แต่ปัญญาสามารถ ปัญญาไม่ใช่โลภะ แต่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่โลภะ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจมั่นคงนะคะ ก็คือเดี๋ยวนี้ค่ะ ธรรมเดี๋ยวนี้ ฟังเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ถ้าเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งนะคะ จะเป็นปฏิปัติไม่ใช่เพียงขั้นปริยัติ ถ้าโดยการกล่าวถึงปริยัติ ปฏิปัติ ปฏิเวธ ถ้าปฏิปัตินี่ค่ะ ภาษาไทยเรียกว่าปฏิบัติ มีได้ไหมถ้าไม่มีปริยัติ ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วบอกว่าจะปฏิบัติธรรม นับถือใคร ตรงหรือเปล่า แล้วปฏิบัติอะไร แล้วปฏิบัติเพื่ออะไรคะ ไม่มีจุดหมายอะไรเลยทั้งสิ้น สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กำลังมีแล้วไม่เข้าใจ แล้วจะไปปฏิบัติอะไร ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ จะไปปฏิบัติยังไง ไม่มีทางเลยค่ะ ที่จะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้นะคะ เมื่อมีปริยัติที่มั่นคงแล้ว จะมีความเป็นเรา ที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อต้องการจะรู้มั้ย แม้แต่เพียงความละเอียดของโลภะนะคะ จะศึกษามากๆ เพื่ออะไร เพื่อเราเป็นยังไง จะได้รู้ธรรมนั้น แล้วเป็นไปได้เหรอคะ เราจะรู้ธรรม แค่นี้ก็ผิดแล้วเนี่ย ไม่รู้สึกเลย พูดไปเราจะรู้จักธรรมเหมือนถูกต้องนะคะ แต่ความจริงเราน่ะหรือจะรู้จักธรรม ไม่รู้อะไรเลยว่าปัญญาคืออะไร แล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะมากน้อยตามลำดับอย่างไรก็ไม่รู้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567