ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๐๐

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมบียอน รีสอร์ท จ.กระบี่

    วันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครจะรู้ล่วงหน้าสักอย่างหนึ่ง แต่ชีวิตของท่านในที่สุดจากการที่ได้อบรมปัญญา ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ชาติไหน แต่ก็สามารถที่จะนึกถึง ผู้ที่ได้เคยพบครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะได้มีบุตรภรรยา แล้วก็ไปหา แล้วก็ได้พบ แล้วก็ได้บวช แล้วก็ได้ฟังธรรม แล้วผลก็คือว่ารู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอนาคามี เพราะฉะนั้นชีวิตจะเป็นอย่างไรเป็นไปได้ โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ถ้าจะกล่าวว่า จะเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นแหละ ใช่ไหม จะไปทำอะไรได้ ก็ต้องเป็นไปตามที่จะต้องเป็น ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า อีกร้อยปี อีกพันปี จะเป็นใคร และธรรมที่ได้ฟังในวันนี้ ค่อยๆ ได้ฟังเข้าใจเพิ่มขึ้น และก็สามารถที่จะละคลายความติดข้อง พร้อมที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ตามปกติ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ใช่ขณะที่กำลังเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีตามปกติ ผิดหมด เพราะเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ขณะที่ผ่านไปแล้ว ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปแล้ว ขณะที่จะเกิดต่อไป ก็ต้องมีเหตุปัจจัย ที่จะต้องเกิดเป็นไป ไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิด แล้วก็ต้องดับไป ก็เป็นอย่างนี้ แต่การฟังอย่างนี้ วันหนึ่งคำว่าเห็นเกิดขึ้นแล้วดับ จากการฟังแล้ว แล้วก็อบรมปัญญาแต่ละชาติ ถึงขณะที่ประจักษ์แจ้ง เห็นเกิดแล้วดับ เมื่อนั้นสิ่งที่ได้สะสมอบรมมาว่าไม่ใช่เรา ก็มีความมั่นคงที่ว่าเป็นเราไปไม่ได้ เพราะว่าเพียงขั้นได้ยินว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ก็เก็บสะสมสืบต่อไว้ แต่ไม่ได้ปรากฏความเป็นธรรม ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เช่นรู้ว่าเห็นเป็นธรรม แต่ลักษณะของธาตุเห็นไม่ได้ปรากฏ ได้ยินก็ไม่ใช่เรา แต่ลักษณะของธาตุได้ยิน ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้ได้ยินก็ยังไม่ปรากฏ โดยความเป็นธาตุไม่ใช่เรา แต่จากการที่แต่ละชาติ มากหรือน้อยต่างกัน ที่จะได้ฟังธรรมบ้างไม่ได้ฟังบ้าง แต่ละชีวิตก็เป็นไปตามตัวอย่างที่มีในพระไตรปิฏก

    แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่รู้อะไร แล้วไปเกณฑ์คนมาบวช ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นการทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่าผู้เกณฑ์ก็ไม่เข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจธรรมจะเกณฑ์ไหม ที่จะให้คนมาประพฤติปฏิบัติ ข้อตามสิกขาบท ๒๒๗ ข้อ โดยเขาก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร พอไปถึงก็ไม่ได้ขัดเกลาอะไรเลย แม้แต่การครองจีวร การพูดหรือชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นอย่างนั้น คิดเสียใหม่ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่า คือไหนๆ ใครก็ไม่ได้เข้าใจพระธรรมวินัย แล้วไปเกณฑ์มา เสียประโยชน์เสียเงินเสียทอง ประเทศชาติก็ขาดความมั่นคง เพราะเหตุว่าเงินที่ทำไปไม่ได้ประโยชน์เลย ไม่ได้ไปให้ใครละกิเลส ละความทุจริตต่างๆ ได้เลย แต่ว่าใครก็ตามที่เคยเกณฑ์ใคร หรือแม้ชวนใครไปบวช ชวนเค้ามาได้ฟังพระวินัยก่อน ให้รู้ชัดเจนไปแต่ละข้อมีประโยชน์อย่างไร และพระธรรมคืออย่างไร ต้องให้เขาเข้าใจทั้งพระธรรม และพระวินัย แล้วก็อย่างที่ว่า จบแล้วมีการสอบถามว่า มีความรู้ความเข้าใจแค่ไหน ก็จะได้รู้ว่าใครจะบวช หรือใครจะไม่บวชก็ได้ เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเข้าใจธรรม ในเพศคฤหัสถ์ตามการสะสม ไม่ใช่เป็นเพราะการชักชวน หรือไปเกณฑ์ใครมาบวช ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นการกระทำของผู้ไม่รู้ เกณฑ์คนมาให้ไม่รู้ และยังกล่าวว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นการทำลายพระศาสนา

    สนทนาธรรมที่บ้านธรรมลำพูน วันที่ ๑๗-๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

    อ.ธิดารัตน์ ฟังธรรมอย่างไร ชื่อว่าเป็นการฟังด้วยดี

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่าธรรม รู้จักธรรมหรือเปล่า? ต้องเป็นคนที่ช่างคิดพิจารณา เพราะเหตุว่าเราอาจจะรู้ หรือว่าคิดว่ารู้เยอะมาก เรื่องนั้นเรื่องนี้นะคะ แต่รู้จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำว่าธรรม ต้องรู้จนกระทั่งถึงที่สุด ธรรมคืออะไร? ธรรมต้องมีจริงแน่ๆ แล้วก็ต้องมีจริง จนกระทั่งถึงกาลสมัยที่แต่ละคนเริ่มรู้ว่า อะไรจริงถึงที่สุด เพราะว่าถ้ารู้อย่างคนทั่วๆ ไปใช่ไหม ลำพูนมีจริง เชียงใหม่มีจริง นั่นคือรู้อย่างทั่วๆ ไป แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงที่ว่าเป็นลำพูน สิ่งที่มีจริงที่ว่าเป็นเชียงใหม่นั้นอะไร เพราะเหตุไม่ใช้ชื่อเชียงใหม่ ไม่ใช้ชื่อลำพูน สิ่งนั้นก็ยังมีจริง เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด ก็คือขณะนี้มีจริงหรือเปล่า ถ้าจะหาความจริงก็ต้องเดี๋ยวนี้เลยเดี๋ยวนี้มีจริงๆ หรือเปล่า เดี๋ยวนี้มีจริงๆ แน่นอน สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ถึงที่สุดทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ทรงตรัสรู้เลย ถ้าได้เข้าใจธรรมแล้ว จะเห็นความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ทรงตรัสรู้ได้ยังไง ละเอียดอย่างยิ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากอย่างยิ่ง มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ที่ต้องบำเพ็ญบารมี จึงจะสามารถเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงให้คนอื่น ได้ฟัง ได้รู้ ได้เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถึงความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นในฐานะที่รู้ความจริงเพราะได้ฟังคำจริงจึงเป็นสาวก

    เพราะฉะนั้นสาวกคือผู้ฟัง ธรรมคือคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อให้ชาวโลก ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย และเดี๋ยวนี้ก็กำลังมีด้วย เพราะฉะนั้นธรรมป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ถ้าเดี๋ยวนี้มีจริง อะไรเป็นธรรม แค่นี้จะตอบยาก ขณะนี้ทุกอย่างทุกสิ่งที่มีจริงเวลานี้ เพราะฉะนั้นอะไรเป็นธรรม ธรรมต้องมีจริงๆ ไม่มีธรรมไม่ต้องฟัง ไม่ต้องรู้ ไม่ต้องเข้าใจ แต่เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เข้าใจ จึงต้องอาศัยพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ความจริงเดี๋ยวนี้ทุกขณะที่มีจริงๆ ให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงนั้นแหละ เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่าง ใช้คำว่าธรรมก็ได้ ใช้คำว่ามีจริงๆ ก็ได้ ซึ่งใครก็ปฏิเสธไม่ได้เช่น เห็น ขณะนี้ทุกคนก็กำลังเห็น ไม่เห็นได้ไหม ในขณะที่เห็นเกิด ไม่เห็นได้ไหม ไม่ได้ เมื่อเห็นเกิดก็ต้องเห็น เพราะฉะนั้นเห็นมีจริง เห็นนั่นแหละเป็นธรรม ไม่เคยรู้มาก่อนเลยคิดว่าเป็นเรา เป็นคนโน้นคนนี้ เพื่อนฝูงมิตรสหาย แต่ความจริง เห็นเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับใคร เดี๋ยวนี้กำลังเห็นแท้ๆ อย่างนี้ เห็นเป็นเพื่อนใครบ้าง หาเพื่อนกับเห็นได้ไหม เห็นเป็นเพื่อนของใคร เห็นเป็นเพื่อนของเห็นได้ไหม แต่เราก็กล่าวว่ามีเพื่อนใช่ไหม นี่แสดงว่าเราไม่ได้แยกสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งรู้ชัดจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริง จะเป็นอย่างอื่น สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราเคยคิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียวคือเป็นเห็น เห็นจะเป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้อย่างนี้ เกิดมาแล้วก็จากโลกนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าเกิดมาแล้ว ทุกอย่างนี่ไม่ใช่ของเรา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นของเรา ก็ต้องจีรังยั่งยืนตลอดไป ไม่มีการจากไปเลย ตั้งแต่เกิดมา ก่อนเกิดไม่มีเรา พอมีอะไรเกิดขึ้น ต้องสิ่งนั้นเกิดแล้วสิ่งนั้นก็ดับไป แต่ก็เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะว่าเกิดมาก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต้องคิดนึก ขณะเห็นจะเป็นอื่นไม่ได้ นี่คือความละเอียดที่มั่นคงจริงๆ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านี้อีกมาก นี่เพิ่งเป็นคำแรกคำเดียว และพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา จะมีกี่คำ และทุกคำเป็นสิ่งที่จริงทั้งหมด แต่ว่าความเข้าใจไม่ว่า เราจะศึกษาเรื่องอะไรก็ตาม ต้องเป็นไปตามลำดับ ข้ามไม่ได้เลย

    เวลานี้มีใครอยากรู้นิพพานไหม ข้ามไม่ได้ ถ้าใครคิดว่าอยากรู้นิพพาน ผิด จะรู้ได้ยังไง ยังไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่พากันไปทำอะไรให้รู้นิพพาน ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะว่าผู้นั้นไม่รู้ความลึกซึ้ง ของพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงซึ่งได้บำเพ็ญบารมีมา จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง ตรงกันข้ามกับที่ชาวโลกเคยเข้าใจ และคิดมาก่อน เช่นคิดว่าเกิดมาเป็นเรานี่ยั่งยืน เป็นเราทุกวัน ตั้งแต่เกิดวันแรกก็เป็นเรา วันที่ ๒ วันที่ ๓ ปีที่๑ ปีที่๑๐ ปีที่เท่าไหร่ก็ตามแต่ ก็เข้าใจว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นสิ่งแต่ละสิ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็หมดไป อย่างเมื่อเช้านี้หมดแล้ว แต่มีสิ่งที่เกิดเมื่อเช้านี้แน่นอน เห็นเมื่อเช้านี้ก็มี ได้ยินเมื่อเช้านี้ก็มี รับประทานอาหารมื้อเช้านี้ก็มี รสชาติต่างๆ ก็มี แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหน เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจว่ามีนี่ มีเพียงชั่วขณะที่ปรากฏ ขณะที่เห็นไม่มีได้ยิน เสียงปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นมีชั่วขณะที่เห็น เวลาที่เสียงปรากฏ ก็มีแต่เฉพาะเสียงกับได้ยิน อย่างอื่นไม่มี เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ปนกันหมด จนกระทั่งหลงผิด เข้าใจผิดว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะไม่รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีนี่เกิดขึ้นจึงมี ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือว่า ทันทีที่เกิดเป็นสิ่งนั้นแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ว่ามีสิ่งอื่นเกิดแทนสืบต่ออยู่เรื่อยๆ อย่างเห็น เห็นดอกกุหลาบ แล้วก็เห็นใบไม้ ใบดอกกุหลาบก็ต่างขณะกันแล้วใช่ไหม เห็นดอกก็ดอก เห็นใบก็ใบ แต่ไม่รู้เลยคิดว่าเห็นทั้งใบทั้งดอกพร้อมกันไปหมดเลย เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าสิ่งที่รวมกันมากมหาศาล จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ที่ชาวโลกเข้าใจผิด คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริง ถ้าแยกออกเป็นแต่ละส่วนที่ละเอียดที่สุด จะเป็นสิ่งนั้นไม่ได้ ดอกกุหลาบทุกกลีบ แยกออกให้ละเอียดยิบ ไหนดอกกุหลาบ ไม่มีเลย แม้แต่กลีบดอกกุหลาบก็ยังไม่มี

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะสภาพที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ขณะนี้ ๑ เป็น ๑ ต้องไม่ลืม ๑ เป็น๑ ๑นั้นเกิด ๑ นั้นดับ ๑นั้นจะกลับมาอีกไม่ได้ ต้องเป็นแค่ ๑ ที่เกิดแล้ว ๑ นั้นดับไป แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นเป็นอีก ๑ ดับไป ทั้งหมดเร็วสุดที่จะประมาณได้ รวมกันเร็วจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ทุกคนก็เห็นทั้งรถยนต์ เห็นทั้งกระได เห็นทั้งดอกไม้ เห็นทั้งโต๊ะ เห็นทั้งคน เหมือนพร้อมกันเลย เพราะฉะนั้นรู้ว่าพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกับคนอื่น นี่คือธรรม ถ้าจะฟังธรรม สนทนาธรรม เข้าใจธรรมก็คือว่าไม่พ้นจากสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้นใครจะไปนิพพานบ้าง ดีเลยที่ไม่ไป เพราะว่ายังไม่รู้จักเลยว่านิพพานคืออะไร และก็แม้แต่สิ่งที่กำลังมีก็ยังไม่รู้ และยังหวังจะไปนิพพาน คิดดูสิ ผิดหรือถูก เพราะฉะนั้นการฟังธรรม จะทำให้เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระองค์ มีพระพุทธรูปมากมายทุกสมัย แต่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแต่เพียงเครื่องหมาย ที่ทำให้ระลึกถึงผู้ที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครเปรียบได้เลยทั้งจักรวาล จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพียงพระองค์เดียว จะมีสองพระองค์ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปรียบ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณได้ แม้แต่เทวดา และพรหม ก็ยังต้องมาเฝ้ากราบทูลถามปัญหา นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพจริงๆ ฟังเผินๆ ไม่มีทางจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังธรรม ได้ยินแต่ว่าปฏิบัติ สำนักปฏิบัติไปทำอะไร ไปรู้อะไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ธรรมนี่ต้องเป็นผู้ที่ตรง จึงจะได้สาระ ผิดก็ผิดตั้งแต่ต้น ถ้าผิดตั้งแต่ต้นต่อไปจะถูกได้มั้ย ก็ผิดไปเรื่อยๆ

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ที่จะไม่ประมาทแต่ละคำ ถ้ายังไม่เข้าใจคำว่าสำนัก ไม่เข้าใจคำว่าปฏิบัติ ไปทำสิ่งที่ไม่รู้ ตลอดมาจนกว่าจะเข้าใจก่อน เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ว่าธรรมนี่ สำหรับเข้าใจ ภาษาไทยเราใช้คำว่าเข้าใจ แต่ว่าภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษามคธี ที่นี่หลายคำเช่นคำว่าปัญญา ก็ไม่ใช่ภาษาไทย แต่ทั้งหมดไม่ว่าจะใช้คำว่าปัญญา ใช้คำว่าสัมมาทิฏฐิ ใช้คำว่าญาน หรืออะไรก็ตามแต่ เข้าใจใช่ไหม ถ้าไม่เข้าใจจะชื่อว่าปัญญาได้ไหม เพราะฉะนั้นปัญญานั้นก็คือความเข้าใจ เดี๋ยวนี้เข้าใจอะไรบ้าง มีตั้งหลายอย่าง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลยว่า สิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแสนสั้น เร็วกว่าที่ใครจะประมาณได้ เพียงปรากฏแล้วดับไป แต่ว่าสืบต่อติดต่อ จนกระทั่งปิดบังความจริง เหมือนเราไปดูหนัง ทุกคนก็ดูหนัง ทีละรูปใช่ไหม แต่เร็วมาก จนปรากฏเป็นคนทำอะไรทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะฉะนั้นชีวิตก็เป็นอย่างนี้ จะต่างอะไรกัน เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่ง ผู้ที่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ประมาทไม่ได้เลย ถ้าฟังพระธรรม ต้องฟังด้วยความเคารพ เคารพคืออย่างไร พิจารณาในเหตุผล ไม่ใช่เชื่อทันที แต่พิจารณาคำที่ได้ฟัง ว่าถูกไหม แล้วก็เมื่อถูก และก็เป็นความเข้าใจของตัวเอง นี่เป็นมรดกที่ล้ำค่าที่สุด ซึ่งเงินทองมหาศาลก็ซื้อไม่ได้ แต่พระธรรมแต่ละคำ เมื่อผู้ใดได้ฟังแล้วก็ไตร่ตรอง เข้าใจจนเป็นความรู้ของตัวเอง เป็นสมบัติเป็นอริยทรัพย์ของตนเอง เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ที่จะรู้ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นคำที่มีเหตุผล พูดถึงสิ่งที่มีจริง ทำให้มีความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังเพิ่มขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ ถ้าละความไม่รู้ขณะใด ไม่ใช่เพราะเรา แต่เพราะความเข้าใจอะไรก็ละความไม่เข้าใจ และความไม่รู้ในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็ไม่มีวันจบสิ้น ทุกโอกาสที่จะมีโอกาสได้สนทนา ได้ไต่ถาม ได้มีความเข้าใจที่มั่นคง เพราะว่าสิ่งที่ไม่รู้มีมาก และจะรู้ก็ต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่าพระธรรมที่ทรงแสดง งามทั้งเบื้องต้น งามทั้งท่ามกลาง งามทั้งที่สุด จะไปงามที่สุดก่อนเบื้องต้นได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจในเหตุในผลทุกอย่าง

    อ.ธิดารัตน์ แล้วยังไงถึงจะงามในเบื้องต้น

    ท่านอาจารย์ ธรรมคืออะไร? เบื้องต้น

    อ.ธิดารัตน์ เริ่มต้นคือเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แน่นอน งามนั่นคือเข้าใจ ไม่เข้าใจจะงามได้ยังไง

    อ.ธิดารัตน์ เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจ ก็ค่อยๆ เห็นความงามของพระธรรมเพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเป็นคำจริง คำไม่จริงงามไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่

    ท่านอาจารย์ นี่คือความเข้าใจของแต่ละคน ซึ่งพิจารณาไตร่ตรองแล้ว ก็เป็นสมบัติที่สามารถจะติดตามไปทุกชาติ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ รูป แม้แต่ร่างกายเอาไปไม่ได้เลย แต่ว่าปัญญาสะสมอยู่ในจิต ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ หลังจากที่ได้ยิน และก็ไตร่ตรองจนกระทั่งแม้ความเข้าใจ จิตเกิดดับไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นกุศล และกุศล ก็สะสมอยู่ในจิต ทีละ ๑ ขณะ

    อ.วิชัย จากการที่ไม่เคยรู้ว่าอะไรคือธรรม แต่ว่าพอฟังก็เริ่มเข้าใจขึ้นว่า เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม แล้วการที่ปัญญาจะเริ่มเจริญ แล้วก็ค่อยๆ ละคลายอกุศลต่างๆ เนี่ยคือยังไง

    ท่านอาจารย์ ได้ฟังแล้ว เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม

    อ.วิชัย เห็นเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ถาม

    อ.วิชัย ก็ไม่ได้คิด

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้คิด นี่คือการเริ่มต้น ไม่ประมาทเลย ฟังแล้วว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ฟังแล้วเดี๋ยวนี้แข็งเป็นธรรมหรือเปล่าก็ลืม ทั้งๆ ที่แข็งก็มี เห็นก็มี คิดก็มี จำก็มี ชอบก็มี ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑

    อ.วิชัย แล้วอะไรเป็นความต่างของความรู้กับเพียงจำได้

    ท่านอาจารย์ จำ ถ้าไม่มีอะไรให้รู้ จะจำสิ่งที่ปรากฏได้ไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมนี่หลากหลายมาก ไม่ได้ได้รวมกันเป็นเราเห็น และจำ แต่ว่าจำเป็นจำ เห็นเป็นเห็น แยกอย่างละเอียดยิบ ที่สุด เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจธรรม

    อ.วิชัย ซึ่งขณะนี้ก็กำลังจำ ในแต่ละเสียง แต่ละคำ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นหลับตาแล้วจำได้ไหม นี่ไงต้องคิด ต้องไตร่ตรอง ไม่อย่างงั้นจะไม่พิจารณาเลย ฟังแล้วจบ แต่ถ้าฟังแล้วไม่ลืม ก็ไตร่ตรอง พิจารณาเข้าใจธรรมขึ้น แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ทั้งหมดต้องเป็นไป คือเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา ไม่ว่าอะไรทั้งหมดเลย จำก็ไม่ใช่เรา

    อ.วิชัย เช่นเมื่อสักครู่ได้ยินคำว่าไม่ใช่เรา ก็จำได้ว่าไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ แต่จำไม่ใช่เห็น จำเป็นจำ ให้มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าเป็นธรรมแต่ละ ๑ เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำ หลับตาแล้วยังจำ ไม่ต้องเห็นก็จำ เพราะฉะนั้นจำเป็นจำ ส่วนเห็นไม่ใช่จำ เห็นเป็นเห็น

    อ.วิชัย การฟังแต่ละครั้งก็คือมีความเข้าใจอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจละเอียดขึ้น เพื่อที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าทั้งหมดธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพราะว่าเป็นคำที่มาจากการที่ตรัสรู้สิ่งที่มีถึงที่สุด เปลี่ยนอีกไม่ได้

    อ.วิชัย แล้วความหมายที่ว่า ความละเอียดขึ้นของปัญญานี่คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นมีใช่ไหม ถ้าเห็นไม่เกิด จะมีเห็นไหม ไม่มี เห็นเกิดแล้วในขณะที่ได้ยิน เห็นยังอยู่ไหม ไม่มี เห็นก็ต้องดับไปแล้ว ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าทั้งหมด เพียงปรากฏ เกิดแล้วก็ดับไป มีอะไรอีกนอกจากสิ่งที่ปรากฏแล้วดับ ปรากฏแล้วดับ แต่สภาพจำ จำผิด สัญญาคือสภาพจำ ภาษาบาลีเรียกสภาพจำว่าสัญญา เป็นสภาพที่มีจริงซึ่งเกิดกับจิต จึงเป็นเจตสิก เพราะว่ามีจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เช่นเห็น รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นยังไง ได้ยินรู้เลยว่าเสียงที่ปรากฏเป็นยังไง เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ ไม่ทำอะไรเลย รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ แต่จำไม่ใช่จิต จำเป็นเจตสิก สภาพนามธรรม ธาตุที่ไม่มีรูปร่าง แต่ว่าเป็นธาตุรู้อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสภาพจำ ก็จำสิ่งที่จิตกำลังรู้ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน

    อ.วิชัย ก็หมายความว่าความเข้าใจ นี่ก็คือเข้าใจในแต่ละคำเพิ่มขึ้น ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่เพียงเข้าใจ พิจารณาไตร่ตรองว่าจริงไหม มั่นคงไหม ถ้ามั่นคงว่าเห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับ ในขณะที่ได้ยินไม่มีเห็น มั่นคงไหม

    อ.วิชัย ถ้าฟังครั้งแรกๆ ก็ไม่มั่นคง

    ท่านอาจารย์ ต่อเมื่อไตร่ตรองแล้ว พระองค์ทรงแสดงเหตุของธรรมแต่ละอย่าง ที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นจะเป็นสิ่งเดียวกันไม่ได้ เร็วมาก สภาพธรรมไม่มีใครรู้ว่า ขณะนี้จิตกำลังเกิดดับ เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวคิด เดี๋ยวได้ยิน ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น เวลารับประทานอาหาร มีทั้งเห็น มีทั้งรส ใช่ไหม มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และก็มีรสต่างๆ แต่ละ ๑ เห็นจะหวานไม่ได้ เห็นจะเค็มไม่ได้ เห็นก็ต้องเป็นเห็น นี่คือการที่ธรรมที่ทรงแสดง ตามลำดับจริงๆ ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าธรรมคืออะไร ตลอดชีวิตไม่เข้าใจธรรม

    อ.วิชัย เมื่อมีความรู้ความเข้าใจธรรม รู้สึกว่าจากความเดือดร้อนใจในเรื่องต่างๆ ก็ค่อยๆ คลายลง แต่ว่าอกุศลที่ยังมีมากอยู่ก็ยังมีอยู่

    ท่านอาจารย์ จะให้ไม่มีเลย

    อ.วิชัย ก็เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ว่ามีกิเลสมาก เพราะอะไร เพราะไม่รู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ของทุกอย่าง ที่มีในขณะนี้ ไม่รู้นั้นคือที่นำมาซึ่งอกุศลอีกมาก เพราะตัวไม่รู้นั้นก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    2 ก.ย. 2567