ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๐๖

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา นี่พระผู้มีพระภาคตรัสด้วยพระองค์เองตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจธรรมเลย ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแต่ชื่อที่อยู่ไกลมาก จนกว่าความเข้าใจมีเมื่อไร ค่อยๆ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่บวชชีพราหมณ์ ไม่ใช่การบวช ไม่ใช่การละในพระพุทธศาสนา ต้องเข้าใจด้วย เป็นลัทธิ เป็นความเห็นที่ผิวเผินมาก แล้วเอามาจากไหน มีไหมบวชชีพราหมณ์ในพระพุทธศาสนา ไม่มี แล้วนับถือใคร คนที่มีความเห็นผิดในครั้งพุทธกาลมีมาก มีเจ้าลัทธิต่างๆ แต่ไม่ได้สอนให้ใครเกิดปัญญา เพราะฉะนั้นคนที่จะไปบวชชีพราหมณ์หนีทุกข์ ไม่ได้เกิดปัญญาอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการบวชโดยการที่ว่าต้องการบวช เพื่อละทุกข์ หรือเพื่อเหตุอื่นก็ตาม แต่ไม่ใช่เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรม ผู้นั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ใช่การบวชในพระธรรมวินัย ไม่ว่าจะเป็นการบวชยังไงก็ตาม ถ้าไม่ใช่เพื่อการเข้าใจพระธรรม ด้วยการศึกษา ด้วยการฟังพระพุทธพจน์ ด้วยความเคารพ ที่จะต้องเข้าใจอย่างละเอียด ไม่ใช่ผิวเผินซึ่งถ้าเพียงแต่คิดไม่มีทางที่จะเข้าใจ คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพราะธรรมลึกซึ้ง กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ความจริง ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อทุกคนจะได้รู้ความจริงด้วย นานแสนนาน ยากจริงๆ ถ้าไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการไตร่ตรองตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก ตัวอย่างคือบวชชีพราหมณ์ พราหมณ์เป็นใคร

    อ.คำปั่น โดยความหมายของพราหมณ์ก่อน ในภาษาบาลีคือพราหมณะ ในพระไตรปิฎก ก็จะมีคำอธิบายไว้ว่า พราหมณ์โดยกำเนิดก็มี ก็คือเกิดในวรรณพราหมณ์ ซึ่งก็เป็นชนชั้นหนึ่ง แต่ตามอีกความหมายหนึ่ง แสดงถึงความเป็นผู้ประเสริฐซึ่งเป็นผู้ที่สามารถละบาปทั้งปวงได้ ไม่มีความชั่วใดๆ เกิดขึ้นเลย เป็นผู้ที่ประเสริฐจริงๆ เพราะฉะนั้นในความหมายนี้ หมายถึงผู้ประเสริฐ ซึ่งก็มุ่งหมายถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาเข้าใจ ก็จะเป็นผู้ที่เข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ พราหมณ์คือผู้ประเสริฐ แต่อะไรจะประเสริฐกว่าการไม่มีกิเลส และถ้าปัญญาจึงสามารถที่จะรู้ได้ รู้จักกิเลสจนดับกิเลสได้ แต่คนที่จะบวชชีพราหมณ์ มีชีพราหมณ์ไหม เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่ทำอะไรด้วยความไม่รู้ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะเหตุว่าพระพุทธะคือผู้รู้อะไร รู้ความจริง ความจริงนี้ต้องเป็นความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ถึงที่สุด ไม่ใช่ความจริงของคนนั้น หรือว่าความจริงของคนนี้ แต่ความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงจริง ที่ใช้คำว่าธรรม ความเป็นจริงของธรรมคือธรรมหมายถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นได้ยินคำ แต่ว่าไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริงเลย ถ้าไม่ฟังโดยละเอียด ให้เข้าใจอย่างท่องแท้ ได้ยินแต่ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ยุติธรรม อยุติธรรม แต่ไม่เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย พูดคำที่ไม่รู้จัก ลองถามสักคำสิ แม้แต่เวลานี้คนได้ยิน บวชชีพราหมณ์ก็คิดว่ารู้จัก แต่บวชชีพราหมณ์ คิดดูก็แล้วกัน บวชได้ยังไง ใช่ และก็เป็นชี แล้วก็เป็นพราหมณ์ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งไร้สาระ ไม่มีสาระเลย สาระหมายความถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครเขาจะบวชชีพราหมณ์กันที่ไหน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีความเข้าใจในเหตุผลจะไม่ทำสิ่งนั้น เพราะเหตุว่าไม่มีเหตุผลเลย บวชคือผู้ละ ผู้สละทั่ว ไม่ใช่นิดนิดหน่อยหน่อย คำว่าบวช เพียงอย่างเดียวได้ คุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ก็ต้องเป็นผู้ที่สละทุกอย่าง วงศาคณาญาติ ทรัพย์สินเงินทอง ความเป็นคฤหัสถ์ทุกประการ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำนี้ไม่ใช่คำเล่นๆ แต่ต้องเป็นคำที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง สละได้ไหม ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่สละสัก ๗ วัน แล้วก็กลับมาติดข้องอย่าง มากๆ มีประโยชน์อะไร เหมือนของเล่นชั่วคราว แต่ต้องเป็นผู้ที่จริงใจที่จะเห็นคุณค่าของการที่เป็นผู้ที่ละทำไม แค่ ๑๐ วัน ๑๕ วัน หรือว่าละจริงหรือเปล่า ถ้าละไม่จริงทำทำไมไม่มีประโยชน์ ต้องเป็นผู้ที่จริงใจ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าบวชคำเดียว คำเดียวจริงๆ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องมาจากไหน การสละอาคารบ้านเรือนในสมัยก่อน มีไหม คุณธีรพันธ์

    อ.ธีระพันธ์ ก็เป็นผู้ที่เห็นโทษของชีวิตฆราวาส คับแค้นไปด้วยอกุศลธรรม กิเลสประการต่างๆ ก็เป็นเหตุให้ผู้นั้นแสวงหาความจริง แสวงหาความที่จะหลุดพ้น แม้ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติบังเกิดขึ้น ก็มีผู้ที่แสวงหาความจริง แต่ว่าก็ยังไม่สามารถที่จะมีปัญญาดับกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ แค่คิดว่าละ ต้องไปทำอะไรกันสารพัดอย่าง ใช่ไหม บวชแล้วทำอย่างนั้น บวชแล้วทำอย่างนี้ กลุ่มนี้ทำอย่างนั้น กลุ่มนั้นทำอย่างนี้ ยุคนี้กำลังจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า คือแล้วแต่ใจ สำนักไหนจะบวชแบบไหนก็ทำกันแบบนั้น แต่ไม่ได้เข้าใจเลย ว่าการละที่แท้จริง ต้องรู้จักสิ่งที่มี ว่าสมควรแก่กันละหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าอยากจะละ แล้วละอะไร ละอะไรทั้งๆ ที่ติดอยู่เต็มที่ คือติดความเป็นตัวตนก็จะไปละ โดยการที่ว่าออกบวช แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรมอย่างละเอียดอย่างยิ่ง ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จะไม่รู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า และจะไม่สามารถดำรง คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย ตรงกันข้ามที่เข้าใจว่า จะดำรงคำสอนด้วยการบวชมากๆ เอาคนมาบวชเยอะๆ เป็นการทำลายคำสอนเพราะเขาไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาทำไป ด้วยความไม่รู้ แต่คำสอนของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทุกคำให้รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็ทำให้ความที่ควรจะรู้หมดสิ้นไป เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าบวช ยังไม่ต้องถึงชีพราหมณ์หรืออะไรทั้งสิ้น แค่คำว่าบวช ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ก่อนพระผู้มีพระภาคจะอุบัติ เขาก็บวช คือเขาละอาคารบ้านเรือน ละไปด้วยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ประโยชน์ไม่ใช่อยู่ที่ละแต่อยู่ที่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่จะชื่นชมยินดีกับคำว่าบวช แต่ต้องรู้ว่าผู้นั้นเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าว่าบวชคืออะไร และบวชเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นบวชชีพราหมณ์ ก็ไร้สาระเพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ไม่ใช่การบวชในพระพุทธศาสนาด้วย ก็น่าคิด อยู่ดีๆ ก็สบายกันดีทุกคน และวันหนึ่งก็มีคนบอกให้จะบวช เอ๊ะจะบวชอะไร ถ้าสำหรับคนที่ไม่เข้าใจเลยใช่ไหม ก็อยู่ดีๆ ชีวิตก็เป็นไปตามปกติ แล้วมาบอกว่าจะบวช ก็น่าถามว่าจะไปทำอะไร ใช่ไหม แล้วบวชทำไม ทำไมไม่สนทนากันให้ชัดเจนว่าบวชคืออะไร อยู่ดีๆ ก็บอกว่าจะบวช แปลกดี ทำไมถึงจะบวชไม่รู้อะไรเลย หรือว่าเห็นตัวเองว่าจะดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีทางเลยที่จะอยู่ครองเรือนได้ แต่ว่าตราบใดที่กิเลสยังเต็ม ถึงจะไปบวช แต่ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย จะเอากิเลสนั้นออกได้อย่างไร จะสละได้อย่างไร ละทั่วได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีความรู้เลย และข้อสำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่ได้ฟังพระธรรมเข้าใจจริงๆ เลย แม้แต่ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้ แล้วจะไปบวช จะไปบวชอะไร ทำไมถึงไม่คิด แม้แต่ทุกคนก็ไม่เคยคิดกันเลย ลองถามสิจะไปบวชอะไร คำตอบจะเป็นยังไง ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆ ลองคิดดู แม้พระผู้มีพระภาค สมัยที่ยังไม่ปรินิพพาน ภิกษุมากหรือคฤหัสถ์มาก เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์คือผู้ที่ไม่บวช ฟังพระธรรม ฟังได้มั้ย หรือต้องเป็นพระถึงจะฟังได้ ใครๆ ก็ฟังได้ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก ที่สามารถที่จะเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส ไม่ว่าหญิงหรือชาย ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร วรรณะใดทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นเป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ที่รู้ความจริงว่าความจริงนี้ ไม่ใช่จำกัดเลยว่าต้องเป็นคนนี้หรือคนนั้น เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักตัวเองเวลานี้ เรารู้จักตัวเองหรือเปล่า ถ้าไม่ฟังพระธรรม ไม่มีทาง ไม่มีทางที่จะรู้จักว่าขณะนี้ มีตัวจริงจริงรึเปล่า แต่ก็ยึดมั่นมาตั้งแต่เกิดว่า มีเรา เป็นเรามาตลอด นี่แสดงว่าไม่รู้จักสิ่งที่ยึดถือไว้เลย เข้าใจว่าสิ่งนั้นน่ะเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเรา อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จะทำอะไรก็ได้ ถึงฟังธรรมแล้วเบื้องต้น หลายคนก็บอกก็ยังมีหลายอย่างที่เขาทำได้ นี่คือว่าไม่ได้ฟังด้วยความไม่ใช่ตัวตน แต่ฟังด้วยความเป็นตัวตน ฟังแล้วก็ยังคิดว่ายังมีบางอย่าง ซึ่งเป็นตัวตนที่ทำได้ แต่ว่าตามความจริงแล้ว ถ้าเข้าใจเพียงคำเดียว แต่ละคำจริงๆ ให้เข้าใจถ่องแท้ ธรรมคืออะไรแค่นี้ แค่คำเดียว เมื่อกี้นี้เราพูดถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุคคลผู้ได้บำเพ็ญพระบารมี ที่จะรู้ความจริงถึงที่สุด ของทุกอย่างไม่มีเว้นเลย ทั้งจักรวาล กี่โลกก็ตาม แต่ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือได้ฟังอย่างนี้ ฟังคำแล้วต้องพิสูจน์ว่าคำที่พระองค์ตรัสเป็นความจริง ถึงที่สุดหรือเปล่า ที่จะรู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินว่า ผู้นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พูดเรื่องอะไร พวกพราหมณ์ทั้งหลาย เขาก็มีครูอาจารย์ เดียรถีย์ ความเห็นผิดต่างๆ พูดเรื่องอะไรก็ฟังคำที่พูด และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ตรงกับความเป็นจริง เดี๋ยวนี้จริงๆ ให้เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้นหรือเปล่า ถ้าถูกต้องแล้วก็หมายความ ผู้นั้นต้องรู้จึงสามารถที่จะกล่าวตามความเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้อะไร เพียงแค่นี้ก็ต้องคิดแล้ว รู้นี่ รู้อะไรก็รู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจ เพื่อทำจะรู้จักตัวเองไหม พอที่จะละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่ออบรมเจริญปัญญาให้ถึง ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่สุด ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง และผู้ที่ได้สะสมความเข้าใจมาแล้วในครั้งโน้น สามารถที่จะรู้แจ้งความจริง ทุกคำจริงของพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ แล้วก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นสาวกภวะ เป็นผู้จะรู้ความจริงโดยการฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เป็นเรื่องที่อย่าเพิ่งไปคิดเอง แล้วเชื่อตามๆ กัน แต่ต้องไตร่ตรองจริงๆ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า อะไรถูกอะไรผิด อะไรจริงอะไรไม่จริง เดี๋ยวพอได้ยินบวชชีพราหมณ์ก็รู้แล้ว บวชอะไรกัน แล้วทำไมจะต้องมามีชีพราหมณ์ขึ้นมา เพราะอะไร เหตุผลคืออะไร บางคนอาจจะบอกว่า เพราะไม่ได้โกนศีรษะ ก็ยังอยากจะมีผมใช่ไหม ก็แยกมาเสียเป็นชีพราหมณ์ ไม่ต้องโกนผมหรอก บวชไปแล้ว บวชทำไมยังติดผมอยู่ใช่ไหมละอะไร ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถึงที่สุดที่จะตอบทุกคำถาม ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นชาวพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนา ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาไม่ใช่คิดเอง แต่ฟังทุกคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความละเอียดที่จะเป็นผู้ที่ศึกษาพระพุทธพจน์ ไม่ใช่คำของคนอื่น แต่ไม่ใช่กล่าวว่าศึกษาจนหมดเลย พระไตรปิฏกก็อ่านมาหมดแล้ว เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฏก แต่เข้าใจอะไรจริงๆ หรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ ว่าไม่ใช่แค่อ่านพระไตรปิฎกไม่ใช่สำหรับ ใครอ่านแล้วเข้าใจ เพราะว่าแต่ละคำ ส่องไปถึงความจริงถึงที่สุดด้วยพระปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคำ นำไปสู่ปัญญาความเข้าใจสิ่งที่มีจริง โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาไตร่ตรอง โดยที่ว่าถ้าคนนั้นสามารถที่จะพูดให้เข้าใจ คำจริงหนึ่งคำ ให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง รู้จริงจริง แต่ถ้าเพียงแต่กล่าว ถามไปถามมาก็ตอบไม่ได้ ธรรมคืออะไร แล้วถ้าไม่รู้จักธรรมบวชทำไม สอดคล้องกันทั้งหมดเลย บวชเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจธรรมใช่ไหม เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไร ถ้าตอบยังไม่ได้ก็อย่าเพิ่งไปบวชเลย ฟังให้เข้าใจเสียก่อน ที่ว่าจะต้องรู้จักตัวเอง ตามความเป็นจริงว่า สามารถที่จะฟังพระธรรมในเพศคฤหัสถ์ หรือว่าในเพศบรรพชิต ทั้งสองเพศนี่ต่างกันมาก เหมือนฟ้ากับดิน เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ก็ยังมีชีวิตที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความสนุกสนาน ความรื่นเริง กิจการงานธุรกิจ เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสอยู่ แต่ฟังพระธรรม เพื่อที่จะเข้าใจ กับผู้ที่บวชโดยไม่รู้อะไรเลย เป็นไง อะไรถูกอะไรผิด แม้แต่จะบวชโดยไม่รู้ แต่คนที่เป็นคฤหัสถ์ ก็ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ด้วยความเข้าใจจริงๆ นี่ก็แสดงเห็นความต่างอย่างมาก แม้แต่ละคำ แต่ละคำ ก็จะต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้ายังไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จะรู้ไหม ว่าตัวเองนั้นสมควรแก่การที่จะมีชีวิต ตามรอยพระบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ หมายความว่า เมื่อสละอาคารบ้านเรือน สละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็จะต้องขัดเกลากิเลส ชีวิตตั้งแต่ตื่นจนหลับ มีการสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่ใช่คฤหัสถ์ จะเป็นอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมีการที่จะต้องพิจารณาทุกอย่าง ไม่ว่าจะใช้สอยอะไร แม้แต่การที่จะบริโภคอาหาร เราก็ทำตามอัธยาศัยทันทีเลย แต่พระภิกษุต้องพิจารณา พิจารณาคำนี้คำเดียวหยั่งไปถึงที่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ความลึกซึ้งของธรรม ของสิ่งที่มีจริง แต่ละอย่าง

    เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่ได้ฟังพระธรรมจริงๆ ฟังเผินๆ คำของคนอื่นที่พูดคำว่าธรรม แต่ไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีเลย ผู้นั้นก็ยังไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่บวชโดยการไม่รู้ เพราะฉะนั้นการบวชอย่างนั้น ไม่เป็นการทะนุบำรุงพระศาสนาให้ยั่งยืน เพราะเหตุว่าไม่ได้มีความเข้าใจพระธรรม แต่บวชแล้วไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตของบรรพชิตต่างกับคฤหัสถ์ ถ้าผู้มีพระภาคทรงประทานอนุญาตให้คฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตโดยการอุปสมบท ตามพระธรรมวินัย เพราะว่าผู้นั้นมีศรัทธาที่สามารถจะ ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม และพระวินัยเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลย แล้วอยากบวช หรือปีหนึ่งก็บวชกันล้านคน หรือบวชกันมากๆ บวชทำไม ไม่ใช่การส่งเสริมพระศาสนา แต่เป็นการทำลายพระศาสนา เพราะบวชด้วยความไม่รู้ และบวชเสียเงินเสียทอง อาจจะบอกว่าไม่ต้องเสียเงิน จริงหรือ เอาบาตรมาจากไหน เอาจีวรมาจากไหน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นผู้ที่ตรงอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าจะบวช ก็ต้องให้รู้ว่าบวชคืออะไร ไม่ว่าจะบวชประเภทไหนก็ตามแต่ บวชประเภทที่ไม่มีในพระธรรมวินัย คือบวชชีพราหมณ์ บวชชีก็ไม่ใช่เพศภิกษุ แม้ภิกษุณีในยุคนี้ก็ไม่มี ตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นผู้ที่บวชด้วยความไม่รู้นี้มีมาก แต่แทนที่จะไม่รู้ รู้จักตัวเองก่อนดีไหม จะได้เป็นผู้ที่ตรงจะได้สามารถ ที่จะเข้าใจธรรมได้ถูกต้อง ไม่ใช่บวชเพราะไม่รู้ แล้วก็บวช แล้วก็ยังไม่รู้ต่อไป

    อ.อรรณพ ทีนี้ถ้าเขามีข้อแย้งอย่างนี้ท่านอาจารย์ ว่าอย่างน้อยก็เป็นการขัดเกลาชั่วคราว ตามอัธยาศัย ซึ่งเป็นไปได้ ไม่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้ก็บวชชีก็แล้วกัน บวชชีไม่ไหว ก็ไม่อยากโกนผม ก็บวชชีพราหมณ์ ก็ยังพอให้ได้ไปสัมผัสชีวิตนักบวชบ้างนิดๆ หน่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างงั้นอะไรละกิเลส ก็ไม่รู้ แต่จะบวช ยังไงกัน คิดว่าบวชละกิเลสได้หรือ แค่โกนผมครองผ้า เข้าใจว่าละกิเลสไม่ใช่เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ต้องละเอียดมาก มีกิเลสแน่ๆ ความไม่ดีมากมายหลายระดับขั้น ตั้งแต่ขั้นที่บางเบาแม้นอนหลับก็มี ไม่งั้นตื่นขึ้นมาจะชอบโน่นชอบนี่ได้หรือ ถ้านอนหลับไม่มีกิเลส แต่แม้นอนหลับยังมีกิเลสก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมายังไม่ทันจะหิวมาก โกรธมาก เกลียดมาก ทันทีที่ลืมตาก็มีกิเลสอีกระดับหนึ่งละ เพราะตอนหลับกับตอนตื่นไม่เหมือนกัน กิเลสต่างระดับ จนกระทั่งชอบมากๆ กิเลสเพิ่มขึ้น ชอบมากจนกระทำทุจริต กิเลสระดับไหนก็ยังไม่รู้ แล้วอะไรละกิเลส ไม่ใช่บวชละกิเลสแน่ๆ แต่อะไรละกิเลส เพราะว่าถ้าไม่รู้ว่าอะไรละกิเลสบวชได้ยังไง ในเมื่อบอกว่าบวชเพื่อที่จะไปขัดเกลากิเลส พูดเสียอย่างดี คนฟังก็พลอยเชื่อใช่ไหม ก็ดีนะ ๕ วัน ๖ วัน เขาจะได้ไปละกิเลส แต่เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ละ แล้วก็เมื่อไม่รู้จะละหรือ และยังเข้าใจผิดด้วย ว่าการบวชละกิเลส หาได้หรือยังว่าอะไรละกิเลส

    อ.อรรณพ ต้องเป็นความรู้ ความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ปัญญาความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงเท่านั้น ที่จะละกิเลสได้ เพราะไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง จึงมีกิเลสทุกระดับ เพราะฉะนั้นการที่จะละกิเลสได้ ก็ต้องเพราะปัญญาที่เข้าใจถูกต้อง ตามลำดับ แม้แต่การที่จะเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะปัญญา เพราะฉะนั้นถ้าขาดการฟังพระธรรม การศึกษาธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ต้องผิด ด้วยเหตุนี้การที่จะแก้สิ่งที่ผิดด้วยความไม่รู้ต่อไป ผิดต่อไปแน่นอน แต่การที่จะแก้สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหา ไม่ว่าจะปัญหาเรื่องใดทั้งสิ้น ปัญหาเล็กปัญหาใหญ่อย่างไรก็ตาม จะแก้ได้ก็ได้ความรู้ เพราะเหตุว่าเราจะรู้ได้ยังไงใช่ไหม ว่าใครจะเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด แต่มีแสงสว่างคือพระธรรมที่ได้แสดงไว้แล้ว ซึ่งใครก็ตามศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ด้วยการที่จะเข้าใจถูกต้องไม่ใช่เพียงผิวเผิน และก็คิดว่าตัวเองเป็นผู้ที่รอบรู้ในพระไตรปิฏก แต่ว่าแต่ละคำ ไม่ได้เข้าใจ และก็เข้าใจผิดด้วย คลาดเคลื่อนด้วย ผิวเผินด้วย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

    เพราะฉะนั้นเราไม่พูดถึงว่าใครเชื่ออะไร แต่ความเข้าใจธรรมต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่สามารถที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงต่อไปได้ สำหรับผู้ที่เป็นผู้ที่ตรง สัจจะเป็นบารมี ถ้าไม่เป็นผู้ที่ตรงไม่ได้สาระจากพระธรรม คำนี้ก็มีในพระไตรปิฏก กุศลสิ่งที่ดีงามก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม อกุศลเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม ก็ต้องไม่ดีงาม ความไม่รู้ความเห็นผิดต่างๆ จะให้เป็นความเห็นถูกไม่ได้ จะให้เป็นปัญญาไม่ได้ เพราะฉะนั้นความตรง ก็คือว่าสามารถที่จะฟังคำใด พิจารณา ไตร่ตรอง รอบคอบ ลึกซึ้ง และเคารพในความถูกต้องนั้น แล้วก็ช่วยให้คนอื่น ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมีค่าเกินกว่าพระรัตนตรัย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    12 ก.ย. 2567