ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๐๗
สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา
วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
อ.คำปั่น มีท่านผู้ถามจากชมรมบ้านธรรมหาดใหญ่ จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่าการศึกษาพระพุทธศาสนา ที่ถูกต้องควรเริ่มต้นอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เริ่มต้นด้วยการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งนั้นถึงที่สุด ไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่มีในขณะนี้ได้เลย ถึงที่สุด ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าจะศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ก็คือตั้งต้นด้วยความเป็นผู้ไม่รู้ ต้องรู้จักตนเองตามความเป็นจริง ไม่รู้ จึงฟัง เพราะฉะนั้นการฟัง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่เพื่อเข้าใจความจริง จากคำที่ได้ฟัง จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง หรือว่าเพื่อลาภยศสรรเสริญต่างๆ แต่เพื่อมีความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาแล้วเท่าไหร่ ไม่รู้จักสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คืออะไร ถ้าจะถาม เดี๋ยวนี้กำลังมีแน่ๆ ใครจะบอกว่าไม่มี คือเดี๋ยวนี้เอง แต่เดี๋ยวนี้คืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนาน กว่าจะได้รู้ความจริงด้วยพระองค์เอง และทรงพระมหากรุณาเห็นว่าสัตว์โลกไม่รู้ความจริงของเดี๋ยวนี้ อยู่ไปเถอะทุกขณะเดี๋ยวนี้ทั้งนั้นเลย จนตายแต่ก็ไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นเมื่อมีการตรัสรู้ความจริงแล้ว ด้วยพระมหากรุณาเห็นว่า ความไม่รู้จะติดตามไปทุกชาติ ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ชาตินี้ไม่รู้ ชาติหน้าก็ไม่รู้ ชาติต่อๆ ไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้ฟังคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นรัตนะ เพราะเหตุว่าไม่มีทรัพย์สินเงินทองใดๆ ที่สามารถจะทำให้ มีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ เงินซื้อไม่ได้ ด้วยเหตุนี้รัตนสูงสุด ก็คือคำของผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมี เพื่อให้เราได้ยินคำแต่ละคำ เพราะฉะนั้นคำแต่ละคำ ไม่ใช่ว่าผิวเผิน ได้ยินแล้วคิดเองต่อไป แต่ว่าถ้าคิดเองก็ผิดทันที เพราะฉะนั้นแต่ละคำฟังด้วยความเคารพ ไตร่ตรอง เมื่อไม่รู้ก็สนทนากันต่อไป เพราะเหตุว่าการฟังธรรมคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมงคล นำมาซึ่งความเจริญ ในทางด้านคุณความดี ในความสงบสุข เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นความเจริญ เป็นมงคล แต่ว่าการฟัง ฟังสิ่งที่ยากมาก เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้ว สิ่งใดที่ยังสงสัยก็มีการสนทนาธรรม ในระหว่างพุทธบริษัทตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรมก็เป็นมงคล แสดงให้เห็นความละเอียดยิ่ง ความยากยิ่งที่จะเข้าใจธรรม ว่าแม้ฟังแล้วด้วยกัน แต่ที่อยู่ด้วยกัน แม้พระภิกษุสงฆ์ในครั้งนั้น ท่านก็สนทนากันด้วยเรื่องของธรรมที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ แม้ว่าเราจะมีโอกาสได้ฟังธรรม แต่สิ่งที่ลึกซึ้งมากมีมากในธรรม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ควร ที่จะได้มีการสนทนาธรรม เพื่อให้สิ่งที่ได้ฟังมานั้น กระจ่าง ชัดเจน ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน เพราะว่าสามารถที่จะเข้าใจทีละคำเท่านั้น ฟังคำไหนเข้าใจคำนั้น จนกระทั่งรอบรู้ และแทงตลอดในคำนั้นซึ่งเปลี่ยนไม่ได้
เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ก็เป็นตามลำดับขั้น การฟังพระพุทธพจน์ คือฟังสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจถูกต้อง เป็นปริยัติ หมายความว่ารู้ว่ามีเดี๋ยวนี้ ยังไม่พอ เดี๋ยวนี้คืออะไร เดี๋ยวนี้หายไปหรือยัง หรือยังมีอยู่ตลอดไป เป็นสิ่งซึ่งแต่ละคนก็น่าคิดที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าคำว่าเดี๋ยวนี้สั้นแค่ไหน แค่เดี๋ยวนี้ ต่อจากนั้นก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ละเปลี่ยนละ หมดละ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ก็คือว่าเป็นผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ว่าฟังเท่าไรก็ยังไม่พอ จนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ แน่นอน จึงมีคำว่าเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงนั้น ภาษามคธีซึ่งเป็นภาษาบาลี ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมกับชาวมคธ ซึ่งพูดภาษานั้น ก็ให้คนไทยได้เข้าใจให้ถูกต้องว่า เวลาที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ทรงตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เพราะถ้าสิ่งนั้นไม่มีจริง จะตรัสรู้อะไร เมื่อตรัสรู้แล้วอย่างไร ก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีจริงๆ มีลักษณะแสดงให้รู้ว่าสิ่งนั้นมีแน่นอน เป็นเฉพาะสิ่งนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เช่นเสียง มีจริง มีเสียงจะว่าเสียงไม่จริงไม่ได้ เพราะฉะนั้นภาษาไทยเสียงมีจริง เพราะฉะนั้นความจริงของเสียง ก็คือว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน ซึ่งไม่มีใครสามารถจะบังคับ ไม่ให้ปรากฏ ไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ให้หมดไป ไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือธรรมสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม มีจริงจริงเป็นธรรมทั้งหมด ก่อนฟังธรรม บางคนคิดว่าธรรมเป็นเรื่องอื่น เรื่องยากยาก คำยากยาก แต่ถ้าฟังแล้วก็รู้ว่า แม้เป็นสิ่งที่ธรรมดาปกติก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่รู้มานานเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง ฟังเพื่อเข้าใจความจริง ไตร่ตรอง จริงไหม เห็นกำลังเห็น จริง สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็ต้องมีด้วย จะมีแต่เห็นโดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่เห็น เห็นเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ต้องตามปัจจัย ที่จะให้เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น ไม่เป็นอย่างอื่นเลย ต้องมีตาภาษาบาลี ใช้คำว่าจักขุประสาท หมายความว่า รูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ตาอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ข้างหลัง ไม่ใช่อยู่ที่แขน ไม่ใช่อยู่ที่ศีรษะ แต่อยู่ที่ขณะนี้ทุกคนรู้ว่ามีตา แล้วตรงนั้นจริงๆ แล้วมีรูปพิเศษที่อยู่กลางตา ที่กำลังกระทบกับ สิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องกระทบด้วย ถ้าไม่กระทบ จะมีธาตุที่เกิดขึ้นเห็นได้อย่างไร เพียงแค่ธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน เพียงอย่างเดียว ก็แสดงว่ากว่าจะรู้ และเข้าใจพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อแสดงธรรมที่ละความไม่รู้ สามารถที่จะละกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้น เพราะความไม่รู้ เช่นโกรธ ไม่ชอบใจ คิดว่าโกรธคน แล้วคนอยู่ที่ไหน โกรธตาของเขา หรือโกรธหูของเขา หรือโกรธเสียงของเขา หรือโกรธจิตของเขา ล้วนเป็นความคิดเท่านั้นเอง ในเมื่อสิ่งที่มีจริงจำเป็นต้องเกิด ใครจะยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เมื่อมีเหตุปัจจัย ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดก็ต้องเกิด คนที่ไม่โกรธ ลองทำให้เขา รู้สึกไม่พอใจมากๆ สิ เค้าจะโกรธไหม เพราะตราบใดที่ยังโกรธ เห็นสิ่งที่ไม่พอใจทางตาชอบไหม สิ่งที่ไม่น่าพอใจเลย นี่ก็เป็นลักษณะของความไม่พอใจ ซึ่งเป็นความโกรธ ที่กระทบกระทั่งจิตให้รู้ว่าขณะนั้นเกิดความขุ่นเคือง ไม่ปกติ
นี่ก็แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม หรือถ้าประมาทว่าพระธรรมง่าย หรือคิดว่าพระธรรมไม่จำเป็นต้องศึกษาเลย จะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ หนึ่งวันหนึ่ง โดยไม่ต้องรู้พระธรรม ชีวิตเขาจะดำเนินไปอย่างไร ด้วยความไม่รู้ แน่นอนว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ เพราะชีวิตของคนที่ไม่เข้าใจธรรมเลย ถ้าจะต่างกับชีวิตของคนที่เริ่มรู้ ความจริงว่าสิ่งที่มี มีจริงๆ ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปหมดสิ้นไป เมื่อวานนี้อยู่ไหน พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ รู้เฉพาะเดี๋ยวนี้ขณะนี้ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่ฟังธรรมก็ไม่รู้ ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไร ถามว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรจะตอบได้ไง ไม่รู้ แต่เดี๋ยวนี้ถ้าหาดูว่า เดี๋ยวนี้มีอะไรแต่ละ ๑ ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังว่าสิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็คือเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่เกิดว่ามี แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นมีข้อความ ที่ทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลาย ทั้งหมดทั้งปวง ไม่เหลือเลย ธรรมใดก็ตามที่เกิดขึ้น ธรรมนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา แล้วเราจะอยู่ที่ไหน เพียงแค่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น และหมดไป อีกสิ่งหนึ่งก็เกิดขึ้น และก็หมดไป อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง ชอบบ้าง เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ไม่เหลือเลย ผ่านไปหมดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป แต่ก็มีปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิด ของธาตุหรือของธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าเกิด ตาย ก็ต้องมีธรรมสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป สืบต่อไม่มีวันจบ ที่ใช้คำว่าสังสารวัฎฏ์ พอเกิดแล้วก็ต้องตาย แล้วก็ต้องเกิด แล้วก็ต้องตาย แล้วก็ต้องเกิด แล้วต้องตาย ไม่มีวันจบสิ้น แล้วก็ไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นโลกจึงไม่สงบ เต็มไปด้วยความเดือดร้อน เพราะความไม่รู้มากมาย นานาประการ ปัญหาทั้งหมดไม่ว่าปัญหาใดๆ ก็ตาม จะแก้ได้เพราะรู้ เพราะเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพราะไม่รู้ เอาความไม่รู้มาแก้ได้ยังไง ก็ไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟัง และรู้ว่าคำนั้นมีค่ายิ่งในชีวิต ที่สามารถจะติดตามไป มีโอกาสได้ฟังความจริง ค่อยๆ เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว แม้ขณะที่เกิดบังคับให้เกิดก็ไม่ได้ ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ บังคับให้เหมือนกันก็ไม่ได้ เกิดแล้วก็ต่างกันไป ตามการสะสม นี่เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวงเพื่อที่จะให้เข้าใจ แม้ธรรมเพียงเล็กน้อย ก็ต้องตรง ต้องถูก ไม่ใช่คิดเอาเองว่า สิ่งนี้ไม่ยากเล็กๆ น้อยๆ คิดเองก็ได้ ความจริงไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ถ้าจะให้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยรู้จักพระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงแสดงคำที่เป็นคำจริงทุกกาลสมัย ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย และคำจริงนั้นก็ยังมีโอกาสได้ฟัง และได้ไตร่ตรองสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ และใคร่ที่จะรู้นี้ทางเดียวคือฟังพระธรรม นี่เป็นขั้นปริยัติ ฟังคำของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจแต่ละคำ โดยรอบรู้ในคำนั้น แล้วก็แทงตลอดว่า คำนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น กว่าจะถึงการประจักษ์แจ้ง ว่าทุกคำที่ได้ฟัง สามารถเข้าถึงได้ แม้การเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ ซึ่งเกิดจริงๆ ดับจริงๆ ก็สามารถที่จะถึงได้ด้วยปัญญา ความเข้าใจที่ค่อยๆ อบรมค่อยๆ ละความไม่รู้ สภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนี้ ก็ปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ซึ่งมีผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงในครั้งพุทธกาลเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้นเป็นพระอริยะบุคคล ผู้พ้นจากความเห็นผิด แล้วก็ดับกิเลสตามลำดับขั้น
เพราะฉะนั้นขณะนี้ ไม่ใช่ปฏิปัติ ไม่ใช่ปฏิเวธ ถ้าแต่เป็นขั้นต้น คือขั้นปริยัติ ต้องฟังคำทุกคำให้เข้าใจ เพราะปัญญาที่เข้าใจต่างหาก ที่จะทำหน้าที่ปฏิปัติ ถึงเฉพาะสิ่งที่กำลังมี ที่กำลังได้ฟังเดี๋ยวนี้ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะถึงได้ ไม่ใช่มีใครจะไปปฏิบัติ หรือว่ามีสำนักปฏิบัติ และก็ไม่รู้ว่าปฏิบัติคืออะไร และปฏิบัติรู้อะไร เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องมีความเคารพสูงสุด ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องศึกษาด้วยความจริงใจ ศึกษา และต้องไม่เปลี่ยน ความจริงต้องเป็นความจริง จริงใจที่จะรู้ตามคำสอน โดยการที่ฟังต่อไป จนกว่าปัญญาแต่ละขั้น จะเกิดขึ้น ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วไปสำนักปฏิบัติ ตรงคือถูกหรือผิด เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะพระองค์ตรัสรู้ธรรม โดยทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัปป์ บารมีคืออะไร จากความไม่รู้ไปสู่ความรู้ จนสามารถที่จะดับกิเลส ซึ่งเกิดจากความไม่รู้ได้ เพราะฉะนั้นยากไหม แม้แต่การที่จะฟังให้เข้าใจว่าไม่ใช่เราปฏิบัติ แต่ธรรมที่เข้าใจขึ้นแล้วต่างหาก ถึงเวลาที่จะเกิดขึ้นปฏิบัติกิจนั้นๆ เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เพียงขั้นเริ่มฟัง ปัญญาเกิดหรือยัง ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา น้อยหรือมาก แค่นี้หรือจะไปปฏิบัติธรรม นี่คือไม่ฟังธรรมด้วยความเคารพ
เพราะฉะนั้นไม่มีการที่จะรู้จัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่บารมี ๑๐ ประการ ขันติบารมี รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้จริงแน่ๆ คือเกิดแล้วดับแล้วจะรู้ได้ยังไง ไม่ใช่เรารู้ ไม่ใช่เราไปพยายาม ทางหนึ่งทางใด เร่งรัดให้เกิดความรู้นั่นคือไม่สามารถที่จะเข้าใจ แม้แต่คำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แม้แต่แต่ละคำ ที่ได้ฟัง เสียงต้องเกิดแล้วก็ดับ ก่อนที่จะคิดความหมาย ของเสียงสูงๆ ต่ำๆ ในแต่ละภาษาเพราะว่าคำๆ เดียวกัน ต่างภาษา ความหมายก็ต่างกันแล้ว บ้างคำก็คล้ายคลึงกันอย่างไฟก็มีภาษาอื่น ที่มีความหมายอย่างเดียวกัน สำเนียงอาจจะแตกต่างกันบ้าง แต่คำอื่นๆ อีกล่ะ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง มาจากการที่ ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังธรรม จะไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ว่าเราฟังทำไม แม้แต่เดี๋ยวนี้ เราฟังทำไม เมื่อวานนี้ก็ฟัง วันนี้ก็ฟัง พรุ่งนี้ก็ฟัง ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกว่าจะเข้าใจ นี่คือขันติความอดทนอย่างยิ่ง ไม่ถึงขั้นปฏิบัติ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้เข้าใจเพียงพอที่รอบรู้ และแทงตลอดในสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงรู้ว่าไม่ใช่เราเลย ค่อยๆ ละความเป็นเรา จากความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั้งมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ใช่เราปฏิบัติ แต่ปัญญา และสติสัมปชัญญะ และสภาพธรรมที่จะนำไปสู่ การรู้แจ้งอริยสัจธรรมเกิดร่วมกัน ปฏิบัติกิจของแต่ละธรรมนั้น เพื่อนำไปสู่การเข้าถึงคำที่เรา กำลังได้ฟังว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นบารมี ๑๐ ต้องเป็นสัจจบารมี ตรง และจริง ต่อความจริงที่ยากแสนยาก กว่าจะถึงการที่จะรู้จริงๆ ก็ต้องอดทน และก็ความเพียร มีอยู่ทุกขณะไม่ต้องไปพากเพียร ทำความเพียรได้ด้วยความเป็นตัวตน เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เดี๋ยวนี้ขณะไหนเพียร ขณะไหนไม่เพียรยากที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ทั้งหมดด้วยการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของจิตธาตุรู้ซึ่งกำลังเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ทีละ ๑ จิต ขณะนี้จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน แต่พระปัญญาคุณที่ได้ทรงตรัสรู้ ก็เห็นความจริงว่า ถ้าไม่ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีเลย สัตว์โลกจะเข้าถึงความจริงนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงมีปริยัติ ฟังเข้าใจ เพื่อให้ปัญญาที่เข้าใจแล้ว ได้ทำกิจต่อไปคือ ปฏิปัติ และปฏิเวธ เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะไม่ให้เกิดปัญญา เป็นไปไม่ได้ไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าคำใดไม่ทำให้เข้าใจขึ้น ในสิ่งที่มีจริง คำนั้นไม่ใช่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำของคนอื่นทั้งหมด
อ.คำปั่น ในการที่จะค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ ให้ค่อยๆ หมดไปจริงๆ ด้วยความถูกต้องนั่นคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจถูกต้อง ว่าไม่มีเรา แล้วมีอะไร
อ.คำปั่น มีธรรม
ท่านอาจารย์ มีธรรม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา ตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจคำนี้ ไม่มีทางที่จะประจักษ์แจ้งความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม ต้องเข้าใจว่าทุกอย่างไม่เว้นเลย ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ก็เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งหลากหลายมาก เกิดขึ้นเป็นไปตามปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครก็ไม่สามารถที่จะบันดาล ให้เป็นอย่างอื่นได้ ที่จะไม่ให้เกิดก็ไม่ได้เกิดแล้วจะไม่ให้ดับไป ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้เอง ต้องรู้ขณะนี้แล้วจะไปไหน จะไปรู้ที่ไหน จะไปนั่งทำอะไร แล้วรู้อะไร เริ่มต้นจริงๆ คือไม่รู้แล้วก็จะศึกษายังไง เพราะว่าเพิ่งเริ่มต้น รู้จักแต่คำว่าธรรมกับอนัตตา ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมด จากเคยคิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียด เห็นอะไร ยังไม่รู้เลย ใช่ไหม แต่เพิ่งรู้ว่าเห็นนี่มีจริง และก็สิ่งที่ปรากฏเห็น ก็มีจริงๆ ทั้งสองอย่างนี้ ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นคำใหม่ก็คือจิต และเจตสิก ซึ่งความจริง แม้ว่าจิตมีจริงเดี๋ยวนี้ก็มี ยากที่จะรู้ได้ต้องฟัง แล้วกว่าจะรู้จริงๆ นานแสนนาน เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง จะมีลักษณะ ๒ อย่างซึ่งต่างกัน อย่าง ๑ มีแต่ไม่รู้อะไร แข็ง แข็งอย่างเดียว แข็งต้องเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้นแข็งจะเห็นไม่ได้ แข็งจะได้ยินไม่ได้ แข็งจะชอบไม่ได้ แข็งเกิดเป็นแข็ง เป็นเค็มไม่ได้ เป็นกลิ่นไม่ได้ เป็นได้อย่างเดียวคือแข็ง นั่นคือธรรมแต่ละ ๑ มีสภาวะ ภาวะคือความเป็น มีความเป็นเฉพาะของตน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และไม่เป็นอื่นเลย เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริงต้องมีลักษณะ เฉพาะตน ที่สามารถจะทำให้รู้ให้เข้าใจได้ว่า หมายความถึงธรรมอะไร เช่นเดียวนี้ เสียงเป็นธรรมแน่นอน เสียงเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เสียงเป็นเสียงของเราได้ไหม เห็นไหม เดิมทีเป็นเสียงเรา เสียงเขา เสียงนก ใช่ไหม เสียงดนตรี แต่ความจริงเสียงแค่เสียง เป็นธาตุชนิด ๑ กว่าจะละความเป็นตัวตน ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความเป็นเราเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่รวมกัน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง คงที่เหมือนไม่ดับไปเลย เช่นดอกไม้ พอคิดถึงดอกไม้ เราต้องคิดถึงสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ซึ่งไม่ใช่แก้ว ต้องมีกลีบ มีใบ มีสีต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้รู้ความจริงตั้งแต่เกิดมา ของทุกอย่างที่ปรากฏในชีวิตจริงจริงเลย จนกว่าจะได้ฟังธรรม ด้วยความเคารพคือ เพื่อเข้าใจว่าไม่ใช่เรา เพราะตราบใดที่เป็นเรา ตราบนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา และมีความติดข้องในเรา จนประพฤติทุจริตกรรมต่างๆ ได้ด้วยความไม่รู้
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020