ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๐๘

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จึงยึดถือว่าเป็นเรา และมีความติดข้องในเรา จนประพฤติทุจริตกรรมต่างๆ ได้ ด้วยความไม่รู้ทุกภพทุกชาติ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ไม่รู้มาจากไหน มาจากสิ่งที่มีเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่มีการที่ใครจะตรัสรู้ว่าไม่ใช่ของใคร และใครก็ทำอะไรไม่ได้เลย ต่อเมื่อมีปัจจัยที่สิ่งนั้นจะเกิด สิ่งนั้นจึงเกิดได้แล้วก็ดับไป พระผู้มีพระภาคตรัสถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงสิ่งที่มีแต่ไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ลึกซึ้งกว่านั้น ที่ตัว ตัวของทุกคนซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรา ร่างกายของเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีจริงๆ ใช่ไหม ลองกระทบสัมผัส มีอะไร ตรงไหนก็ได้ หูก็ได้ แขนก็ได้ ศีรษะก็ได้ มีหูไหม หรือว่ามีแข็ง มีหน้าผากไหม หรือว่ามีแข็ง มีเท้าไหม หรือว่ามีแข็ง เพราะฉะนั้นความจริงคือมีอะไร ถ้าไม่มีแข็งจะมีเท้า มีหู มีแขน มีขาไหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นกว่าเราจะเข้าใจทีละคำ ให้มั่นคงว่าไม่ใช่เรา เข้าใจแล้วแต่ปัญญาไม่ถึงระดับที่จะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิด และดับ แต่ละ ๑ ทีละ ๑ ไม่ปะปนกันเลย ตราบใดที่ยังรวมกัน ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แก้วยังคงเป็นแก้ว แตกกระจายละเอียดยิบ แก้วอยู่ไหน ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ แตกย่อย ไหนตา ไหนแขน ไม่มีเลย มีแต่แข็งใช่ไหม มีแต่เย็น อ่อนหรือแข็ง ลักษณะเดียวกัน เย็นหรือร้อน ก็เป็นความเย็นความร้อน ลักษณะเดียวกัน ตึงหรือไหวก็เป็นสภาพธรรม ที่สามารถที่จะตึงหรือไหว เคลื่อนไหวได้ และมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง คือธาตุซึ่งเกาะกุมสภาพทั้ง ๓ นี้ไว้ ซึมซาบไม่ให้ออกจากกันเลยเป็นธาตุน้ำ ซึ่งกระทบเมื่อไหร่ ไม่กระทบธาตุน้ำหรือสภาพที่เกาะกุม จะกระทบแต่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว นี่คือสิ่งที่เราไม่รู้ และยึดถือว่าเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ความจริงธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กว่าจะเข้าใจคำนี้เมื่อไหร่ เห็นธรรมเมื่อไหร่ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น ทรงพระมหากรุณาแสดง ให้ละความติดข้องเพราะไม่รู้ เพราะรักตัวมากเหลือเกิน รับรองได้ทุกคน ไม่เว้น

    ธรรมเป็นจริงเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะไม่รู้จึงติดข้อง ไม่มีเห็นเลย พอเกิดเห็นพอใจ ไหม คนตาบอดอยากเห็น เค้าพูดเรื่องนก เรื่องทะเล เรื่องภูเขา เรื่องอาหาร รสชาติ สีต่างๆ รูปร่างสัณฐานต่างๆ ปูม้า ปูทะเลก็แยกไป แต่ว่าคนที่ตาบอดไม่เห็นเลย อยากเห็นไหม เพราะฉะนั้นเพียงแค่เห็นเกิด ก็ติดข้องดีใจทันที และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด เกิดเร็วมากเพราะไม่รู้ ก็ติดข้องทั้งหมด รวมกันทั้งหมดว่าเป็นเรา กว่าจะแยกออกเป็นแต่ละ ๑ คือ ธาตุที่ไม่รู้ต่างกับธาตุรู้แค่นี้ ต้องตามลำดับจริงๆ เพราะฉะนั้นธาตุที่ไม่รู้ เบื้องต้นก่อน ให้ทราบว่าใช้คำว่ารูปธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมนั้นไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ เป็นรูปธรรม เสียงเป็นรูปธรรม เพราะไม่รู้ กลิ่นเป็นรูปธรรมเพราะไม่รู้ หวานเป็นรูปธรรมเพราะไม่รู้ แข็งเป็นรูปธรรมเพราะไม่รู้ ทั้งวันนี้สิ่งที่ปรากฏที่เป็นรูปธรรมให้เห็นทางตา สีสันวรรณะต่างๆ เดี๋ยวนี้มีไหม มีก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนใช่ไหม แต่พอใจแล้วในสิ่งนั้น เพราะว่าพอกระทบสัมผัส ตรงที่เข้าใจว่าสีแดง ก็คือแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน คนละลักษณะแล้ว แต่รวมกันไม่ได้แยกกัน ก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นดอกไม้ เป็นปู เป็นปลา เป็นกุ้ง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เพราะไม่รู้ เพราะไปรวมกัน เพราะฉะนั้นกว่าจะละความเป็นตัวเรา ในสังสารวัฎฏ์ที่เนิ่นนานมาแล้ว เกินแสนโกฏกับป์ เพราะว่าแสนโกฏกับป์ ได้กล่าวถึงบารมีของผู้ที่อบรมที่จะรู้ความจริง แล้วคนที่ไม่ได้ฟังเลยมานานเท่าไหร่ ยิ่งกว่านั้นอีก ไม่มีโอกาสได้เข้าใจเลย

    ด้วยเหตุนี้สภาพธรรมถูกปกปิดไว้ ด้วยความไม่รู้ความจริง นานเท่าไหร่ จนกว่าจะมีผู้ที่บำเพ็ญพระบารมี ทรงแสดงความจริงค่อยๆ เปิดสิ่งที่ถูกปิดไว้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ เกิดดับสืบต่อด้วยความไม่รู้ ก็รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นกว่าจะละ ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความเป็นอัตตา ความเป็นตัวตน ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม จนกระทั่งรอบรู้ ยังไม่ถึงปฏิปัติ ยังไม่ถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าใช้คำว่าปฏิบัติในภาษาไทย มาจากคำภาษาบาลีว่า ปฏิ กับ ปัติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัติแปลว่าถึง ขณะนี้ยังไม่ได้ถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ มีแต่ความไม่รู้ ดอกไม้ ความไม่รู้แล้วใช่ไหม ถึงเฉพาะแข็งที่กระทบ ตรงกระทบเท่านั้น เพราะเห็นแข็งไม่ได้ ทางตานี้เป็นสีสันวรรณะต่างๆ ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง คำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นจะมีปฏิปัติโดยไม่มีปริยัติไม่ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจถึงขั้นที่จะรู้ถึง เฉพาะลักษณะที่กำลังกล่าวถึง โดยความเป็นอนัตตา ขณะนั้นไม่ใช่ปฏิปัติแล้วทำไมจึงไม่ศึกษาให้ละเอียดให้เข้าใจให้ถูกต้อง ผิวเผิน ชักชวนกันไปปฏิปัติ แล้วไม่รู้อะไรเลย แค่สิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่สภาพรู้เข้าใจหรือเปล่า คนที่ไปสำนักปฏิบัติ แต่ว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ซึ่งกำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ต้องมีสิ่งที่กำลังรู้สิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ ขณะนี้เสียงปรากฏ ต้องมีสภาพที่ได้ยินเสียง เฉพาะเสียงที่ปรากฏ ไม่ใช่เสียงอื่น เสียงมีเยอะ ที่ถนนก็มี ในป่าก็มี ในครัวก็มี ที่ไหนก็มี แต่ไม่ได้ยิน ไม่ได้ปรากฏ ต่อเมื่อใดเสียงปรากฏ ต้องหมายความว่า มีธาตุที่กำลังได้ยินเฉพาะเสียงนั้น เสียงนั้นจึงปรากฏ ภาพนั้นก็เป็นอนัตตา คำสอนทั้งหมดต้องเป็นอนัตตา

    และกว่าจะรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นรู้เดี๋ยวนี้ทางตา คือเห็น ดอกไม้ไม่เห็นโต๊ะ ไม่เห็นถ้วยแก้ว นี่พียงคำที่เราพูดถึง ให้เข้าใจกัน แต่ธาตุรู้ตรงกันข้ามกับสภาพไม่รู้ ไม่รู้นี่ไม่ว่าอะไรทั้งหมด เกิดขึ้นจริงมีลักษณะอย่างนั้นจริง แล้วก็ดับไปแต่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธาตุอื่นอีกธาตุหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่ใช่เรา แต่ธาตุนั้นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ได้ ธาตุ ๑ เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นธาตุเห็นไม่ใช่ธาตุได้ยิน ธาตุหรือธาตุหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ดำรงไว้ซึ่งสภาพนั้นลักษณะนั้น เพราะฉะนั้นพอรู้ว่าสิ่งที่มีจริง ต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่มีจริง ต้องมีลักษณะเฉพาะตน จึงกล่าวว่าธรรมเป็นแต่ละธาตุ แต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นถ้ารวมสภาพธรรมอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้น แล้วไม่รู้อะไรเป็นรูปธาตุทั้งหมด ถ้าสภาพธรรมอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นรู้ เป็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง ใช้คำว่านามธาตุ เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ ได้ยินเกิดละ ไม่มีใครทำให้เกิดเลย แล้วได้ยิน รู้อะไรก็รู้เสียง ถ้าได้ยินก็ต้องมีเสียงปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ใช่เรา จะเข้าใจว่าเราได้ยินมานานเท่าไหร่ก็ตาม แต่ความจริงคือได้ยินไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น เพียงแค่ได้ยินแล้วดับ ไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่จำ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงการที่เข้าใจ แม้ในขั้นปริยัติ ยังไม่ต้องคิดถึงปฏิบัติเลย ใครจะปฏิบัติ ผิดแล้วใช่ไหม ใครจะไปสำนักปฏิบัติผิดไหม ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ปฏิปัติเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งสูงกว่าปริยัติ เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมตรงตามที่ได้แสดง เป็นปัญญาที่สูงกว่านั้นอีกระดับหนึ่งเป็นปฏิเวธ ทั้งหมดเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นจะไม่เริ่มจากปริยัติ ฟังแล้วเข้าใจด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง ว่าใครก็เปลี่ยนธรรมไม่ได้ จะไปทำให้ง่ายก็ไม่ได้ ใคร สามารถที่จะกล่าวว่าธรรมง่าย และใคร สามารถที่จะไปทำธรรมให้ง่าย ผู้นั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขากล่าวคำของใคร เขาลืมแล้วว่าผู้นั้นเป็นใคร คำทุกคำเปลี่ยนไม่ได้ แต่เขาจะเปลี่ยน

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ผู้ที่เป็นสาวก ไม่ใช่เป็นผู้ที่ฟังด้วยความเคารพ ที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรมเป็นที่พึ่ง ด้วยเหตุนี้มีรูปธรรมกับนามธรรม ถูกต้องไหม สภาพที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งหมดเป็นรูปธรรม สภาพรู้ทั้งหมดเป็นนามธรรม แต่นามธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ อย่าง อย่าง ๑ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ "ปัณฑระ" เพียงเกิดขึ้นรู้ รู้เท่านั้นแล้วก็ดับไป ไม่รัก ไม่ชัง ไม่ริษยา ไม่เมตตา ไม่อะไรทั้งหมด แต่รู้ เกิดขึ้นรู้แล้วดับ รู้อะไร กำลังเห็นเกิดขึ้น เห็นรู้อะไร รู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ รู้ธาตุที่เกิดขึ้นรู้คือเห็น เฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะเห็นแข็งได้ไหม เห็นร้อนได้ไหม ไม่ได้ แต่จะรู้ว่ามีแข็งเมื่อกระทบ โดยมีธาตุอีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งที่กระทบกาย จึงปรากฏว่ารู้แข็งหรืออ่อน ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ก็เป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน ต้องไม่ลืมอีกคำหนึ่งธรรมทั้งหลายจะเกิดต่อเมื่อมีปัจจัย เฉพาะสภาพนั้นเท่านั้นที่จะเป็นอย่างนั้นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตต้องมีปัจจัยด้วย แต่ถ้ากล่าวธรรมต้องกล่าวทีละ ๑ ให้เข้าใจก่อนทีละ ๑ แล้วค่อยๆ กล่าวต่อไปว่า ขณะใดก็ตามที่จิตเกิดต้องมีสิ่งที่เป็นปัจจัย ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ รูปธรรมก็เช่นเดียวกัน แข็งจะเกิด เย็นจะเกิด สีสันวรรณะจะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏว่ามี ก็ต้องอาศัยสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด ไม่มีสิ่งใดสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ตามลำพัง ตามใจฉัน ตามใจชอบบันดาลให้อะไรเกิดก็ได้ ไม่ใช่ผู้ที่ตรัสรู้ความจริง ด้วยเหตุนี้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลุ่มลึกตามลำดับ กว่าจะรู้ความจริงทีละ ๑ ทีละ ๑ จนกระทั่งรู้ว่าสิ่งนี้เกิดเพราะอะไร โดยอะไร ปัจจัยกี่อย่าง อะไรบ้าง ก็ต้องเข้าใจสิ่งที่มีตามลำดับก่อน ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเกิดจึงปรากฏ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นอย่างย่อๆ ก็คือธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน เกิดขึ้นรู้ทางตาคือเห็น ทางหูคือได้ยิน ทางจมูกคือได้กลิ่น ทางลิ้นคือลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เย็นไหม แข็งไหม เมื่อไหร่ ต้องกระทบสัมผัส แล้วธาตุนั้นต่างหากที่เกิดขึ้นรู้ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นเพียงในชีวิตประจำวัน เรารู้จิตเพียงเท่านี้ใช่ไหม คือเห็นนี่แหละไม่ใช่เราเป็นธาตุที่เกิดขึ้น เพราะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วเห็นแล้วดับ ทางหูธาตุได้ยินเกิดขึ้นแล้วดับ คิดไม่ได้ ไม่ใช่สภาพคิดแต่ว่าได้ยินเฉพาะเสียง เห็นไม่ได้ ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมด กำลังรับประทานอาหารตอนไหนก็ตาม เช้า สาย บ่าย เย็นเมื่อกี้นี้เลย ไม่ใช่เราเลย หวานไหม จิตอาศัยลิ้นเกิดขึ้นกระทบรส แล้วเกิดขึ้นรู้ นั่นเป็นธาตุรู้ที่ปรากฏให้รู้ว่า มีในชีวิตประจำวัน แต่เราเห็นแล้วชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง นั่นไม่ใช่จิตเลยเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เกิดพร้อมจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต และก็ดับไปพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ไม่ใช่จิต แต่เป็นธาตุรู้เกิดพร้อมกันเลย ก็คือเจตสิก ภาษาบาลีก็ต้องออกเสียงว่า เจตสิกะ เข้าใจอริยสัจจะไหม เข้าใจปฏิจสมุปบาทไหม เข้าใจปฏิปัติไหม เข้าใจธาตุไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้พระไตรปิฏกไม่ใช่สำหรับอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับศึกษาทีละคำด้วยความเคารพ และเห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ให้คนที่ไม่รู้เลยได้ฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เข้าใจสะสมจนกระทั่งถึงพร้อมเมื่อไหร่ ก็เป็นท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระมหากัสสปะ ท่านเหล่านั้นบำเพ็ญมาแล้ว บารมีทั้งหมดตรัสรู้แล้ว แต่คนที่เริ่มฟังก็คือเริ่มรู้จักว่าบารมี ว่าไม่ใช่เรา จิตอย่างนี้จะไปรู้แจ้งสภาพธรรมได้ยังไง แต่เพราะปัญญาที่เข้าใจถูกต้องเริ่มมีพร้อมบารมีอื่น วิริยะบารมีรู้ว่ารู้ไม่ง่ายเลย แสนโกฏกับป์ รู้ได้ไหม ที่ยังไม่รู้ก็มี แต่รู้ได้แน่นอน ถ้าอดทนต่อไปขันติบารมี สัจจบารมีคือตรงต่อความจริง ไม่ใช่รู้อื่น ไม่ใช่ไปนั่ง และอะไรวูบวาบขึ้นมา ตัวลอยไป หายไปหมด ไม่ใช่อย่างนั้น แต่รู้สิ่งที่มีตามความเป็นจริง ที่กำลังเกิดดับเป็นปกติ นี่ก็ต้องเป็นขันติบารมี สัจจบารมี และอธิษฐานบารมี เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีบารมีเลย ปัญญาก็ไม่มี แล้วไปปฏิบัติไปสำนักปฏิบัติแล้วจะรู้อะไร เพราะฉะนั้นคำสอนใด ที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจถูกของบุคคลนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ปัญญาของคนอื่น แต่คนอื่นสามารถได้ยินได้ฟังคำ ของผู้ที่มีปัญญาที่ทรงแสดงธรรม ที่ใครก็รู้ไม่ได้ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้น ผู้นั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นสาวกคือผู้ฟัง ใคร ถ้าเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และไม่ฟังคำของคนอื่น ซึ่งไม่ทำให้เกิดปัญญา เพราะฉะนั้นตอนนี้พื้นฐานก็คือธรรม ธรรมหลากหลายมาก เพียงแค่คำว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วดับไป รู้ไหมว่า ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์ เมื่อวานนี้รับประทานอะไรบ้าง อร่อยมากหรือไม่อร่อย อยู่ไหน เมื่อวานนี้ทั้งหมด ที่ทุกคนมานั่งเหมือนเก้าอี้ตัวเดิม คนเดิม แต่เมื่อวานนี้อยู่ไหน ไม่ใช่เก้าอี้นี้ เพราะเก้าอี้นี้เป็นรูปอ่อน แข็ง เย็น ร้อนซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เก่า แต่กว่าจะรู้จะปรากฏอย่างนี้ได้ ซึ่งถ้าไม่ปรากฏอย่างนี้ก็ดับกิเลสคือละความเป็นตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงไม่ได้ แน่นอน ถ้ายังละไม่ได้แล้วจะละกิเลสอะไรได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏ เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ถ้ารู้ความจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เสียงเป็นต้น เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย ทุกอย่างเหมือนอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้ หลงติดข้อง พอใจเพราะไม่รู้ เข้าใจว่ายังอยู่ ความจริงติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะว่าเพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทุกชาติ ทุกขณะ ที่เกิดไม่ว่าจะขณะไหนเกิดแล้วดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นกว่าคำเหล่านี้ จะซึ้งลงไปถึงจิตจรดเยื่อในกระดูก ไม่เปลี่ยน จึงจะสามารถทำให้ค่อยๆ ละคลาย สิ่งที่ติดข้องในชีวิตประจำวัน แม้ปัญญายังไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับ แต่ความเข้าใจเพียงเท่านี้ ก็สามารถทำให้ค่อยๆ คลายได้ แสดงให้เห็นว่าถ้ามีการไตร่ตรอง สิ่งที่เคยสะสมมา เปลี่ยนได้ อย่างคนหนึ่งเขาเห็นท่านผู้หนึ่ง ท่านทำกุศลมากเลยเป็นปกติเลย เหมือนชีวิตของท่านทั้งวันเป็นกุศลขั้นทาน ขั้นช่วยเหลือคน อะไรต่างๆ แม้แต่คนที่ทำความสะอาดห้องน้ำ ในสถานที่ต่างๆ เขาก็ให้เงินได้ ช่วยกัน ใช่ไหม นั่งรถแท็กซี่ก็ไม่ต้องต่อ ถึงที่แล้วก็ยังให้เงินเขาไปได้ เพราะเป็นประโยชน์มากกับเงินของเราเพียงเล็กน้อย ซึ่งเราสามารถจะให้เขาได้ เพราะฉะนั้นคนที่คิดอย่างนี้ เริ่มเห็นแต่ละ ๑ ค่อยๆ คลายแต่ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพียงแต่ว่าอาศัยว่าขัดเกลากิเลส โดยการที่ว่าไม่ใช่ด้วยปัญญา แต่ด้วยสิ่งที่จะเป็นบารมีเมื่อมีปัญญา แต่ถ้ายังไม่ใช่ปัญญาก็ไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่าไม่ได้ไปไหน ก็ไม่รู้เหมือนเดิม จะเป็นยังไงๆ ดีสักเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่าละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์ คิดดู เว้นชั่วเราก็ว่าดีแล้วใช่ไหม ไม่ทุจริต ไม่โกง ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียนอะไรต่างๆ กายวาจาดี ไม่ประทุษร้ายใคร ก็ว่าดีแล้ว ก็ยังไม่พอใช่ไหม คนที่เขาลำบากทุกข์ยาก ถ้าได้ช่วยเขาดีไหม คนที่ยากจน เด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้งไป ถ้าได้รับความอุปการะ ช่วยเหลือเขา จะดีไหมทุกสิ่งทุกอย่าง ความดีทำได้รอบข้าง แต่เฉพาะจิตดี แต่ถ้ายังคงเป็นเราเป็นของเรา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของเราเลย ทรัพย์สมบัติก็เก็บไว้มากมาย ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์เลย แล้วอยู่ไหน แม้แต่ร่างกาย เส้นผมสักเส้นเดียว ก็ติดตามไปไม่ได้ แล้วอะไรเป็นของเรา ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจธรรม ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา และฟังธรรม ความเข้าใจธรรมก็เริ่มคล้อยตาม การที่รู้ว่าไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมขึ้น ไม่ยากสำหรับผู้ที่มีกุศลมากกว่า ที่จะมีอกุศลเหมือนเดิมต่อไป เพราะว่ากุศลนี้เกิดยากแน่เพราะอะไรอกุศลเกิดทั้งวัน เว้นขณะที่เป็นกุศล ถ้าขณะใดเป็นกุศลเท่านั้นแหละ ขณะนั้นไม่ใช่อกุศล แล้วเมื่อวานนี้กุศลเท่าไหร่ ระหว่างฟังธรรมเข้าใจ เป็นกุศลอย่างยิ่ง แต่ถ้าขณะอื่น ก็เป็นอกุศลเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นการฟังธรรม แล้วเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง แม้ในขั้นต้นที่จะทำให้เป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุ และในผล ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าคำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ๔๕ พรรษา ทั้งพระอภิธรรม พระสูตร และพระวินัย เพราะว่ากิเลสมากมายมหาศาล เพียงแต่จะรู้จักว่าจิตมีเท่าไหร่จำนวนเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่จบ แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไม่ได้ขัดเกลาอะไรใช่ไหม หรือแม้แต่พระสูตร ท่านพระสารีบุตรเคยเกิดเป็นอะไรมากี่ชาติ ท่านพระอานนท์เคยยากจนเหลือเกิน กี่ชาติมาแล้ว แต่ละชาติก็เปลี่ยนแปลงไป ใครก็เคยร่ำรวย ใครก็เคยเป็นคนที่สวยงาม ใครก็เคยเป็นคนที่น่าเกลียด พระชาติ ๑ ของพระโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็คือเป็นคนจัณฑาล มาตังคะ คิดดู แต่ปัญญาสามารถที่จะสะสม จนกระทั่งเข้าใจสภาพธรรม และเมื่อมีอัธยาศัยใหญ่ที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี มากกว่าใคร เราจึงมีโอกาสได้ฟังคำที่ไม่ควรจะผิวเผิน และเปลี่ยนให้เป็นคำอื่น ซึ่งคิดว่าง่ายแต่ไม่ถูก เป็นการทำลายคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยากแสนยากกว่าจะเข้าใจได้ และคำของพระองค์จะเป็นประโยชน์ต่อไป อีกมหาศาลสำหรับคนอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้ที่ตรง และสะสมบารมีมาแล้วที่จะเข้าใจได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    15 ก.ย. 2567