ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
ตอนที่ ๙๖๕
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลยว่าปัญญาคืออะไร แล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะมากน้อยตามลำดับอย่างไรก็ไม่รู้ มีแต่ว่าเราจะปฏิบัติ เราจะรู้ธรรม เราจะดับกิเลส เมื่อยังคงมีเราอยู่ ก็หมายความว่าผู้นั้นไม่ได้เข้าใจธรรม ไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งที่เพียงเกิดแล้วก็ดับเท่านั้นเอง ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงเป็นสัจจญาณ ใครที่ไหนเมื่อใดก็ไม่เปลี่ยน รู้เลยว่าใครพูดถึงธรรม ถูกหรือผิด บอกให้ปฏิบัติธรรมถูกหรือผิด เห็นไหม สามารถที่จะมีปัญญาความเห็นถูกของตนเอง นี่คือพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้แต่ละคนเกิดปัญญาของตนเอง ซึ่งเกิดเองไม่ได้ในสังสารวัฏนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นเมื่อได้ฟังแล้ว จึงมีความเคารพสูงสุดว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ถ้าอบรมมาโดยไม่หวัง ไม่ต้องการ ไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อต้องการ นั่นจะค่อยๆ เป็นปัจจัยที่จะทำให้ปฏิปัตติ ที่คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติเกิดขึ้น เพราะว่าตามรูปศัพท์ ปฏิ แปลว่าเฉพาะ ปัตติ แปลว่าถึง เวลานี้ธรรมมีมากไหม เจตสิกมีมากไหม แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะปรากฏเลยสักอย่างเดียว เพราะอะไร ยังไม่ได้ถึงเฉพาะสักหนึ่ง เพียงแต่ได้ฟังว่ามี ได้ฟังว่ามีเจตสิกที่ต้องเกิดกับจิตเห็นถึง ๗ ประเภท มีผัสสะ มีเวทนา ชื่อคล่องมากเลย แต่ไม่ได้ถึงเฉพาะเห็นที่กำลังเห็น ด้วยความเข้าใจเห็นที่เริ่มเข้าใจ สภาพซึ่งเป็นธาตุรู้ที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น
นี่คือเริ่มที่จะเป็นปฏิปัตติ ไม่ต้องกล่าวถึงเจตสิก ไม่ต้องกล่าวถึงคำว่ามรรคหรืออะไรก็ได้ แต่ว่าทรงแสดงโดยละเอียดให้รู้ว่าไม่ใช่เราแม้แต่ขณะนั้น แต่ว่าต้องเป็นสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น เพราะปัญญาที่เข้าใจอย่างมั่นคง ไม่ได้หวังไม่ได้รอ เข้าใจขึ้น ฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็เกิดแล้ว กำลังฟังอย่างนี้ คิดอย่างอื่นแล้ว มีไหม เกิดแล้วเป็นธรรมไม่ใช่เรา แม้อย่างนั้นก็ต้องรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา แล้วก็ดิ้นรนขวนขวายจะไปทำอื่น แต่ให้เข้าใจ เข้าใจสำคัญที่สุด
ถ้าใช้คำว่า ปัญญาอาจจะไม่เข้าใจเท่ากับภาษาไทยที่ใช้คำว่าเข้าใจ ต้องมีปัญญารู้อย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าปัญญารู้อย่างไร แต่บอกว่าเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริง ธาตุูรู้ หมายความว่าไม่มีรูปร่าง ไปแสวงหาธาตุรู้ที่ไหนก็ไม่เจอ เพราะว่าไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดแล้วรู้ทันทีแล้วดับไป ใครหาเจอ ไปหยิบ ไปจับ ไปต้องมาให้ใครดูได้ไหม ธาตุรู้ ไม่มีทางเลย เพราะว่าเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป ค่อยๆ ฟังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพราะว่าเป็นความเห็นถูกที่เริ่มเป็นสังขารขันธ์ กำลังทำหน้าที่จิต เจตสิกไม่มีเรา รูปก็ไม่รู้อะไรเลย จนกว่าสังขารขันธ์จะปรุงแต่งให้สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง เลือกไหม ลมหายใจดีไหม มาแล้ว ใช่ไหม นั่งนอนยืนเดินดีไหม มาแล้ว ลุกขึ้นยืน ก้าวขาออกไปดีไหม ล้วนแต่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกใดๆ เลย ในความเป็นอนัตตา ธรรมซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าความเป็นเราไม่สามารถจะเข้าใจสักอย่าง ซึ่งปรากฏทางตาเป็นรูปร่างสีสันต่างๆ เป็นธาตุที่กำลังเห็น ทางหูก็เป็นเสียงต่างๆ เวลานี้ แล้วก็มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง ทั้งหมดเป็นธรรมดา แต่ยังไม่ได้ปรากฏความเป็นธรรม จนกว่าการที่ฟังเข้าใจ ละความเป็นเราที่จะทำ ที่จะพยายาม อย่างมากเลยด้วยความเป็นตัวตน จนกระทั่งสามารถที่จะเมื่อใดก็ตาม กำลังเข้าใจเห็นอย่าลืม เมื่อใดก็ตาม ไม่ได้คิดล่วงหน้า ใช่ไหม เมื่อใดก็ตามที่เข้าใจเห็น ขณะนั้นปฏิปัตติ เริ่มถึงเฉพาะด้วยความเข้าใจเห็น ขณะใดก็ตามที่กำลังเริ่มเข้าใจแข็ง ไม่ได้มีการเตรียมตัวล่วงหน้าว่าจะเลือกเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าขณะที่กำลังเข้าใจแข็ง แค่นั้นเอง ต่างกับการที่ไม่เคยเข้าใจแข็ง แต่กระทบแข็งอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นก็มีความต่างกันของปริยัติกับปฏิปัตติ แล้วอีกนานไหม กว่าจะละความไม่รู้ ความติดข้องจนถึงวิปัสสนา เห็น วิ พิเศษชัดแจ้ง เป็นปัญญาระดับขั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยไม่มีเราในที่นั้นเลย เพราะเหตุว่าความเกิดดับของสภาพธรรมที่เร็วเหมือนเดี๋ยวนี้ แต่ความเข้าใจที่สะสมมาที่เป็นปัญญา พร้อมที่จะเกิด เกิดโดยไม่เลือก สภาพธรรมนั้นปรากฏหนึ่งตามความเป็นจริง แค่นี้ ถ้าฟังละเอียดสภาพนั้นปรากฏหนึ่งโดยความเป็นจริง จึงเป็นความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งนั้นได้ ถ้าปรากฏรวมกันหลายๆ อย่างเดี๋ยวนี้ เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ไม่ได้เคยรู้ความต่างกันเลย ไม่ได้ปรากฏทีละหนึ่งใช่ไหมเดี๋ยวนี้ แต่ว่าเวลาที่เป็นวิปัสสนา สภาพธรรมปรากฏหนึ่ง คิดถึงหนึ่ง เวลานี้ต้องคิดไม่ออกแน่ เพราะหลายหนึ่ง เร็วด้วย ซ้อนกันด้วย เห็นแล้วก็ได้ยิน แล้วก็เห็นอีก แล้วได้ยินอีก แล้วคิดอีก แล้วเห็นอีก แล้วได้ยินอีก เร็วอย่างนี้ไม่ได้ปรากฏทีละหนึ่งเลย แต่ถ้าทีละหนึ่งจะไม่เข้าใจสิ่งอื่นใช่ไหม เข้าใจเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็นว่า ความจริงของสิ่งนั้นคืออย่างนี้แน่นอน ไม่เป็นอย่างอื่น
เพราะฉะนั้นโลกของความรู้สภาพธรรมทีละหนึ่ง ต้องต่างกับโลกทุกวันนี้ จริงหรือเปล่า เพราะว่าทุกวันนี้โลกทั้งนั้นเลย นี่โลกเสียงมาแล้ว ไม่ได้หวังเลยที่จะให้มีเสียงใช่ไหม แต่ก็มีเห็นด้วย แล้วก็มีจำได้ด้วยว่าเป็นใครอยู่ตรงไหน แล้วก็บอกว่าเสียงมาแล้ว ก็ยังไม่ใช่การรู้จริง เข้าใจเสียง โดยที่ไม่มีสิ่งอื่นปรากฏเลย เพราะฉะนั้นทีละหนึ่ง ที่ปรากฏที่เป็นวิปัสสนาญาณ ต้องรู้ว่าต้องไม่ใช่เมื่อสิ่งต่างๆ ปรากฏพร้อมกันอย่างนี้ แต่ว่าโดยความเป็นอนัตตา เลือกไม่ได้เลย เห็นความเป็นอนัตตา มั่นคงขึ้นมั่นคงขึ้นมั่นคงขึ้น เพราะหนทางนี้เป็นหนทางที่จะเข้าใจถูกต้องในความไม่มีเรา และไม่มีเรา เราพูดเดี๋ยวนี้ต่างกับเวลาที่วิปัสสนาไม่มีเลย มีแต่สิ่งที่ปรากฏจะเป็นเราได้หรือ อย่างถ้าเสียงกำลังปรากฏ อย่างอื่นต้องไม่มีเลย สักหนึ่งก็ไม่มีรวมอยู่ด้วย แล้วจะไม่เข้าใจชัดเจนหรือว่า นั่นคือสิ่งที่เพียงมีลักษณะนั้น ไม่ปะปนกับอย่างอื่นเลย เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่เสียงของเรา
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึง ตั้งแต่เริ่มต้นของความเข้าใจมากขึ้นเพิ่มขึ้น จนถึงการที่รู้ชัดในสภาพธรรมที่มี
ท่านอาจารย์ และที่ไม่ลืม ก็คือว่าเมื่อรู้แล้วละ ถ้ารู้แล้วติดข้องคือไม่รู้ เพราะฉะนั้นจากค่อยๆ รู้ เดี๋ยวนี้ละความไม่รู้ ไม่มีใครต่างหากเลยที่จะไปละความไม่รู้ แต่พอบอกว่า ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงมั่นคงแน่นอน ขณะนั้นความรู้นั้นละความไม่รู้ ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรอีก เพราะฉะนั้นทุกคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงด้วยความเข้าใจ ขณะนั้นจะไม่มีความไม่เข้าใจปนอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นปัญญาเท่านั้นที่ละในขณะที่ปัญญาเกิด ไม่มีตัวตนที่จะไปทำปัญญาให้เกิดที่จะละ แต่ความเข้าใจในขณะนั้นเองละความไม่รู้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น มั่นคงขึ้น มหาศาลขึ้นแค่ไหนที่จะละคลายความเป็นเรา
อ.วิชัย ในพระไตรปิฎกก็จะมีแสดงเรื่องของสัมมามรรค และก็มิจฉามรรคด้วย ดังนั้นหนทางความรู้เป็นสิ่งที่ละเอียด แล้วก็ต้องอบรมในกาลที่ยาวนาน การที่จะไม่เข้าใจผิดว่า เป็นความรู้ในสิ่งนั้นแล้วคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทีละคำ หนทาง คุณวิชัยหมายความถึงทางอะไร
อ.วิชัย ทางของความรู้ที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ทางที่จะรู้ความจริง ขณะฟังเป็นทางที่จะรู้ความจริงหรือเปล่า
อ.วิชัย ก็เป็นด้วย
ท่านอาจารย์ เป็นการเริ่มต้นที่จะเดินไปตามทางของความรู้จริงๆ ถ้าไม่ใช่ความรู้จริงไปทางนี้ไม่ได้ รู้นิดรู้หน่อยไปนั่งสมาธิ ไปทางนี้ได้ไหม ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ทางก็ต้องมั่นคง ทางอะไร ทางไปไหน ถ้ายังไม่รู้ว่าจะไปไหน หาทางจะเจอได้อย่างไร ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหนใช่ไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เป็นอนัตตา ไม่มีใครไปทำอะไรเลยทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตาย คิดก็เกิดเพราะการสะสมมา ไม่มีใครไปทำ ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ว่าจะคิดอะไร เพราะฉะนั้นหนทางนี้ที่จะรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา และเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จึงหลงเข้าใจว่ายินดีติดข้องพอใจในสิ่งที่ไม่มี เพราะจากไม่มี แล้วมีแล้วดับ แน่นอนถ้าปัญญาไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ ละคลายความติดข้องไม่ได้ แต่การติดข้องนี่ติดข้องในทุกอย่างมาก ก็ต้องละตามลำดับ
เริ่มตั้งแต่ฟังคำที่ทำให้เข้าใจถูก จะไปฟังคำอื่นไหม ที่ไม่พูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้เข้าใจถูกต้อง ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้รู้หนทาง แม้แต่ในขั้นฟังว่าฟังใคร ฟังคำอะไรจึงสามารถที่จะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ไม่คิดเลยว่าจะเข้าใจได้ ในสิ่งที่มีจริงๆ คือกำลังเห็น แค่เห็น กำลังได้ยิน ขณะที่ได้ยิน ไม่เคยคิดเลยใช่ไหมว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละอย่างแต่ละอย่างในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อฟังแล้วเข้าใจหนทางนี้ใช่ไหม คือไม่ใช่คำของคนอื่นเลยทั้งสิ้น เริ่มรู้ว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่ คำที่ชักชวนให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ เป็นทางที่สะสมเพิ่มพูนความเป็นตัวตนขึ้น เพราะว่าไม่ได้เข้าใจว่า เป็นเรื่องละโดยตลอด แต่ถ้าไม่ลืม ทุกคำเป็นเรื่องละ ละความไม่รู้ ละความติดข้อง ตามระดับขั้นของความเข้าใจถูกในคำที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นแม้แต่หนทาง ก็ต้องรู้ด้วยว่าหนทางไหน หนทางนั้นไปไหน เพราะฉะนั้นหนทางไปไหน เดี๋ยวนี้รู้แล้วใช่ไหม ไปสู่ความเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ทางอื่น ไปสู่ทางที่จะเข้าใจ คิดเกิดแล้วดับแล้ว ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นแต่ละคำเป็นหนทางที่ยังไม่ถึงการที่จะไปสู่ เพียงแต่ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจว่าไปไหน ก็ไปไม่ถูก
อ.จริยา ที่ท่านอาจารย์เริ่มอธิบายคำว่าวิปัสสนา ท่านอาจารย์ก็บอกว่าวิแปลว่าพิเศษชัดแจ้ง แล้วมีคำหนึ่งที่ท่านอาจารย์พูดตรงนั้นแต่ไม่เข้าใจ เพราะว่าท่านบอกว่า เห็นชัดแจ้งว่าไม่มีเราในขณะนั้น โดยที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะรู้ชัดแจ้ง แต่ตรงนี้ท่านอาจารย์ใช้คำว่ารู้แล้วติดข้อง แล้วท่านอาจารย์ก็อธิบายในเรื่องคำว่ารู้แล้วละ แต่ติดใจตรงคำว่ารู้แล้วติดข้อง
ท่านอาจารย์ ขณะใดก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น จะไม่รู้เลย ความไม่รู้นั่นเองนำมาซึ่งความติดข้องในสิ่งนั้น ไม่มีตัวเราต่างหากต้องไปทำความไม่รู้ และความติดข้อง แต่ขณะนี้สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ปรากฏแล้วเพราะไม่รู้ ติดข้องแล้วก็ไม่รู้
อ.จริยา หมายความว่าจะเห็นชัดแล้วว่าไม่มีเรา แต่ก็ยังติดข้องได้
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าวิปัสสนาญาณเป็นปัญญา ตั้งแต่ขั้นที่อ่อนจนกระทั่งมีกำลัง ไม่ใช่ว่าทันทีนั้นก็มีกำลังที่จะประหารกิเลสได้เลย และรู้ได้เลยว่าโลภะตามไปตลอด ไม่รู้จักโลภะเดี๋ยวนี้เลย รอบตัวเลย พอเห็นไม่รู้หรอกว่ามีโลภะแล้ว จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจิตเกิดดับสืบต่อแต่ละขณะทีละหนึ่งขณะ ก่อนเห็นมีเห็นไหม ไม่มีเห็น ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบจักขุปสาท เดี๋ยวนี้ทุกคนรู้ว่าเรามีตา แต่ไม่รู้รูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏ เรามีตานี่เรามีตา สสัมภาระจักขุ คือส่วนประกอบของตาทั้งหมด สีดำ สีขาว บางคนก็สีเขียว สีน้ำตาล ก็แล้วแต่กรรมสามารถที่จะทำให้แม้สีของตาก็ต่างกันไปได้ แต่ทั้งหมดจะมีรูปที่กระทบสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ ซึ่งรูปนั้นมองไม่เห็นเลย อยู่กลางตา เห็นเมื่อใด เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีสันวรรณะต่างๆ เพราะอยู่ติดกันรวมกันแยกไม่ออก แต่สิ่งที่สามารถกระทบตาได้คือสีสันวรรณะ ซึ่งมีอยู่ในทุกแห่งที่มีธาตุดินน้ำไฟลม
เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่มีใครรู้จักตา แต่มีสิ่งที่กระทบตารู้ แต่ก่อนเห็นต้องมีจิตที่สิ่งที่กระทบตากระทบตาก่อน เพราะเห็นจะเกิดทันทีได้อย่างไร อยู่ดีๆ นอนๆ อยู่เห็นเกิดขึ้นทันทีได้ไหม ไม่ได้ แต่เมื่อใดที่มีรูปที่กระทบกันได้ เช่นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ กระทบจักขุปสาท กระทบตาได้ รูปพิเศษที่อยู่กลางตาสามารถกระทบกับสิ่งนี้ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้คือจิตเกิดขึ้นเห็น รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏ เราไม่รู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏ จิตรู้แจ้งแน่นอน บางคนบอกว่าในห้องสลัวๆ รู้แจ้งไหม ก็แจ้ง ถึงได้บอกว่าสลัว ไม่มีอะไรเลยซึ่งจิตจะรู้ คือเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อความจริงสลัว จิตรู้แจ้งในความสลัว ค่อยๆ เพิ่มแสงสว่างขึ้นทีละน้อยทีละน้อย จิตก็ยังรู้แจ้งเลยว่า ไม่เหมือนตอนที่มืด ตอนที่สลัว และตอนที่ค่อยๆ สว่างขึ้นทีละเล็กทีละน้อย นั่นคือสภาพของธรรมซึ่งไม่ใช่เราเลย เป็นจิตที่กำลังรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นเวลาที่ใช้คำว่ารู้แจ้ง ไม่ใช่ขั้นฟัง แต่เมื่อยังไม่เกิดจะรู้ไหมว่าเป็นอย่างไร ไม่รู้ แต่รู้ว่าต่างกันแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ว่าขณะใดก็ตามที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ปัญญาไม่พอที่จะดับโลภะตามลำดับขั้น เพราะว่าการที่จะละความติดข้องได้ ก็เมื่อละความไม่รู้ และสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกันก็คือปัญญาเท่านั้นที่รู้เข้าใจ ตรงกันข้ามกับความไม่รู้ความไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเวลาที่ปัญญาเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็ละความไม่รู้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพธรรมเพียงปรากฏตามความเป็นจริงเป็นวิปัสสนา การเกิดดับอะไรๆ ก็แม้ขณะนั้นเกิดดับ ปัญญาก็ไม่เกิดที่จะถึงการประจักษ์แจ้งในการละความติดข้อง เพราะว่าประจักษ์แจ้งการเกิดดับเหมือนเดี๋ยวนี้ เราก็รู้ว่าเกิดดับแต่ไม่ได้ปรากฏ ปัญญาไม่พอ ถ้าปัญญาพอ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม จะเป็นเห็น จะเป็นสิ่งที่ปรากฏ จะเป็นเสียง จะเป็นได้ยิน จะเป็นแข็งกับสภาพที่รู้แข็ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วปัญญาจะไม่รู้สิ่งที่เป็นธรรมดาอย่างนั้นหรือ แต่ต้องเป็นปัญญา ไม่ใช่เรา ทั้งหมดเป็นเรื่องละ ถ้าไม่ตั้งต้นด้วยการละไม่มีทางที่จะถึง เพราะการละเป็นหน้าที่ของปัญญา เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ไม่ละ ตัวตนกำลังพากเพียร กำลังขวนขวาย กำลังแสวงหา โดยรู้ไม่ทันเลยว่าใครที่ทำให้ทำอย่างนั้น โดยที่ว่าไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ต้องเป็นอนัตตาไม่ใช่เรา แต่มีเหตุฟังไตร่ตรองพิจารณา ถ้าฟังแล้วก็ไม่สนใจ ก็แค่ผ่านไป จะเข้าใจได้อย่างไร แม้แต่ความเข้าใจยังต้องมีเหตุว่าไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แต่ต้องมีความใส่ใจในการที่จะเข้าใจด้วย ถึงจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดว่า จะไม่รู้จักโลภะ แต่ว่าโลภะที่มีแม้ไม่รู้ แต่ขณะนั้นโลภะก็ปรากฏ เป็นสภาพที่ติดข้อง ซึ่งปัญญาจะต้องละ
อ.อรรณพ อย่างจิตเห็นก็รู้แจ้งในสิ่งที่กำลังถูกเห็น แต่ว่าจิตเห็นไม่ได้มีปัญญาที่จะเป็นสภาพที่เข้าใจถูก คนก็จะงงว่าจิตรู้แจ้งก็มี หรือปัญญาที่คมชัดที่เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นการรู้แจ้งด้วยปัญญา ซึ่งต่างกับปัญญาขั้นฟัง
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่ารู้แจ้ง ก็ต้องเข้าใจความจริงของธรรมนั้น เช่นเห็น รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ หมายความว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร ไม่ได้เข้าใจ เห็นไหม นี่ต่างกันแล้ว ไม่ได้เข้าใจ เพียงแต่รู้แจ้งสิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ขมมากหรือน้อย
อ.อรรณพ เป็นตามนั้น
ท่านอาจารย์ อะไรรู้ จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง ขมนิดหนึ่ง หรือว่าขมมากขึ้น หรือขมของผักชนิดหนึ่ง กับขมของผักอีกชนิดหนึ่ง ไม่มีเราเลย แต่ทันทีที่กระทบลิ้น จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะมีคำต่อท้ายว่า รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น อย่างเสียงปรากฎใช่ไหม จิตรู้แจ้งเสียงที่ปรากฏ ไม่ใช่เสียงอื่น เฉพาะเสียงที่ปรากฏ แค่ได้ยินจำได้เลยว่าเสียงใคร บางคนเดินไปข้างหน้า คนข้างหลังจำได้ว่านั่นใคร แค่เห็นข้างหลัง จิตรู้แจ้งแต่สัญญาจำ เป็นเรื่องของความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับพร้อมกัน และก็ต่างคนก็ไม่ใช่ธรรมอย่างเดียวกัน อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น กลายเป็นเราเพราะไม่รู้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นก็มีความเข้าใจถูกต้องว่า จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ ต้องมีสิ่งที่รู้แจ้งด้วย ส่วนปัญญาความเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏในอารมณ์ จะใช้คำว่าสิ่งที่ปรากฏหรืออารมณ์ก็ได้ แต่ว่าเป็นความเข้าใจถูก ไม่ใช่เป็นความรู้แจ้งในสิ่งที่เป็นอารมณ์ รู้แจ้ง แต่ไม่เข้าใจเลยก็ได้ ถามบางคนตอบได้ชัดเลย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดดับ
อ.อรรณพ ถ้าสนทนากับท่านผู้ฟัง จิตของมนุษย์กับจิตของสัตว์เดรัจฉาน รู้แจ้งเหมือนกันไหม จิตของสัตว์เดรัจฉานเขาต้องรู้แจ้ง เพราะว่าถ้าตรงไหนร้อนๆ เขาก็จิตที่รู้สิ่งที่ร้อนที่ปรากฏทางกาย เขารู้ว่าร้อนแค่ไหน แค่นี้เขาไม่เอาแล้ว เขาก็ลุกขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
อ.อรรณพ เพราะจิตรู้แจ้ง
ท่านอาจารย์ เพราะจิตไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่งู ไม่ใช่นก จิตเป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020