ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๑๑

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตหนึ่ง ก็จะมีชื่อต่างกันตามกิจหน้าที่เช่นถ้าทำกิจ เกิดต่อจากสัมปฏิจฉันนะ ซึ่งเกิดต่อจากจักขุวิญญาณเป็นต้น ขณะนั้นก็เป็นสันตีรณจิตเพราะทำสันตีรณกิจ ดับแล้ว เพราะฉะนั้นรูปที่ปรากฏยังไม่ดับ จิตก็เกิดสืบต่อรู้รูปนั้นต่อไปจนกว่ารูปนั้นจะดับ แต่ไม่ได้ทำทัสนกิจ ไม่ได้ทำสัมปฏิจฉันนกิจ ไม่ได้ทำสันตีรณกิจ พวกนี้เป็นชื่อของกิจทั้งหมด แต่ทำตทาลัมพนกิจ ไม่ใช่จิตเก่าที่ทำสันตีรณกิจมากลับหน้าที่ทำตทาลัมพนกิจ แต่จิตใดเกิดขึ้น และดับไปไม่กลับมาอีกเลย และก็จิตใดก็ตามที่เกิด ก็เพราะอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้ารูปดับแล้วไม่มีตทาลัมพน ต้องศึกษาโดยละเอียด ไม่ใช่ไปจำชื่อ และลำดับเอาไว้ แล้วก็เขียนแผนผังให้คนจำ ธรรมไม่ใช่ให้จำ แต่ให้เข้าใจ เข้าใจแล้วลืมไหม จิตเดี๋ยวนี้ก็มีเป็นธาตุรู้ เป็นธรรมสิ่งที่มีจริง ห้ามไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา แต่หลากหลายมาก เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลย จนกว่าจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ที่ติดข้องยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เลยรู้ว่าชั่วคราวแสนสั้น ประมาณไม่ได้เลย เพราะความไม่รู้ก็หลงพอใจในสิ่งที่แค่ปรากฏ และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก

    ผู้ฟัง ผมฟังท่านอาจารย์ตั้งแต่เช้า มีคำว่าไม่ใช่เรา เยอะเลย มองไปมองมามันก็ไม่ใช่เราจริงๆ

    ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องมีความเข้าใจว่าเมื่อไม่ใช่เรา เพราะเป็นอะไรไม่ใช่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา แต่เป็นอะไรไม่รู้ แต่เพราะเป็นอย่างนี้จึงไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นใครสามารถที่จะเป็นอัตตา บังคับให้ไปรู้ที่สำนักปฏิบัติ หรือที่ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ หรืออะไรก็ได้ แต่สำนักปฏิบัติไม่ได้ให้รู้อย่างนี้เลย สำนักปฏิบัติให้ทำ แต่ไม่ได้ให้เข้าใจว่าปัญญาที่เข้าใจธรรมเป็นผู้ที่ละกิเลส เป็นสภาพธรรมที่ละกิเลส อะไรก็ดับกิเลส ละกิเลสไม่ได้ นอกจากความเข้าใจถูก ที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ และความเข้าใจผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา นั่งอยู่ตรงนี้ จะรู้มั้ย วันหนึ่งวันใด วันหนึ่งวันใด ไม่มีใครรู้ สามารถที่จะรู้ความจริง ตามที่ได้ฟัง ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะมีผู้ที่ได้รู้อย่างนี้เพราะได้เข้าใจเพิ่มขึ้นจากการฟัง นานแสนนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นนานแสนนานคือชาตินี้ ของชาติอีกนานแสนนาน ที่ได้เข้าใจธรรม เพราะได้เริ่มฟัง เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่เข้าใจก็คือว่าไม่มีทางที่จะรู้ ไม่ว่าจะทำอะไร แต่ว่าถ้าได้มีปัญญาอบรมแล้วรู้ไม่ได้เลย ว่าเมื่อไหร่จะรู้ความจริง ขณะที่กำลังร้องเพลงก็ได้ เพราะเป็นธรรม เพราะฉะนั้นปัญญาไม่ขาดกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะสามารถที่จะเข้าถึง และเข้าใจแล้วละความไม่รู้ในขณะนั้นตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ หนทางที่จะดับกิเลสจริงๆ นั้น มีความยากลำบากสูงสุด จนทำให้คิดว่าพระปัญญาของพระพุทธเจ้านั้น เลิศล้ำ ลึกซึ้งมาก จนไม่อาจที่จะกล่าวได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ได้ยินคำว่าเห็นขณะนี้มีจริง เกิดขึ้นจึงมีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่รู้ความจริงอย่างนี้จะแสดงความจริงได้อย่างนี้ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ได้ตรัสแล้ว สิ่งนั้นเป็นความจริงที่สามารถที่จะอบรมความเข้าใจถูกต้อง ตามพระองค์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ในครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้มีการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็มีการฟังเข้าใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ออกบวช แต่ว่ายังไม่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือใคร โพธิคือปัญญาความรู้ สัตว์คือผู้ข้อง เพราะฉะนั้นคนอื่นติดข้องเรื่องอื่นใช่ไหม สัตว์โลก แต่ว่านี้เป็นพระโพธิสัตว์ข้องในการที่จะรู้ความจริง ต่างกับคนอื่น ในปัจจุบันนี้ก็ได้ คนที่ไม่ได้สนใจอะไรเลย กับคนที่เริ่มคิดซึ่งต่างกว่าคนอื่นที่คิดเรื่องอื่น แต่ท่านผู้นี้คิดที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ว่าสิ่งที่มีจริงต้องรู้ได้เพราะมีจริงๆ แล้วก็รู้ได้เพราะเหตุว่าต้องมีการเกิดขึ้น แล้วก็เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างหยาบหยาบ ให้รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง แต่ว่าถ้าไม่เที่ยงเพราะเกิด แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ทุกขณะนี้ต้องไม่เที่ยงด้วย นี้เป็นการไตร่ตรอง การได้ฟังพระธรรม ชาติแล้วชาติเล่า กว่าจะถึงการรู้แจ้งเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณมหาศาล ที่ว่าในสากลจักรวาลกี่โลกก็ตาม แม้แต่พรหมโลกกามโลก มนุษย์โลก โลกไหนๆ ทั้งสิ้น จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว นี่คือความยิ่งใหญ่ของผู้ที่มีพระอัธยาศัยใหญ่ ผู้ที่ฟังเห็นความลึกซึ้ง ก็ขอเพียงได้เข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่ายากแสนยากที่จะบำเพ็ญพระบารมี แม้แต่มีผู้บอกว่าถ้าจักรวาลทั้งหมด เป็นไฟที่ลุกไหม้ จะข้ามไปไหม ข้าม เพื่ออะไร เพื่อคนที่ไม่รู้ อย่างที่เขาคือพระโพธิสัตว์ไม่รู้ จะได้รู้ เมื่อมีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงซึ่งรู้ยาก นี่คือพระมหากรุณาธิคุณ เมื่อครั้งที่บำเพ็ญพระบารมี แล้วก็เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระมหากรุณาสมาบัติ เมื่อตื่นจากบรรทมแล้วตรวจดูสัตว์โลกว่า ใครที่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ อยู่ไหน ไกลแค่ไหน ไม่ว่าจะลำบากสักเพียงไร ก็เสด็จไปเพื่อที่จะอนุเคราะห์ เป็นพระมหากรุณายิ่งใหญ่ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่สาวกคนสุดท้ายที่เป็นพุทธเวไนย ในเมื่อได้ฟังคำของพระองค์ แล้วเขาจะได้ดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ จากพระนครเวสาลีซึ่งประชวร เสด็จไปสู่เมืองกุสินารา ตลอดทางตามลำดับ แสดงพระธรรมให้คนที่มาเฝ้าได้เข้าใจ

    นี่ก็แสดงถึงว่าพระมหากรุณา เมื่อเริ่มที่ตรัสรู้ ทันทีที่ตรัสรู้นั้นไม่น้อมพระทัย ที่จะทรงแสดง เพราะความลึกซึ้ง เอาประโยคนี้ไปทิ้งไว้ที่ไหน ที่จะไม่ไตร่ตรองว่า ธรรมลึกซึ้งแค่ไหน ต้องเข้าใจแค่ไหน ต้องละความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลายแค่ไหน กว่าสามารถที่จะรู้ความจริงของทุกคำ ที่ได้ฟังจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งสมควรอย่างยิ่ง ที่จะช่วยกัน ดำรงรักษาคำสอนนี้ให้ยั่งยืน สำหรับคนที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่า ที่จะไม่ได้ยินได้ฟังคำที่ถูกต้องเลย ด้วยเหตุนี้ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวถึง พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ต้องถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ถึงจะรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ใครอื่นก็ตามที่จะรู้ ก็เพียงเล็กน้อย ตามกำลังของปัญญา ผู้ที่เป็นปุถุชนหนาแน่นด้วยกิเลส ไม่เคยฟังธรรม ไม่เห็นค่าของพระธรรมแต่ละคำเลยก็ไม่ฟัง แต่ผู้ที่เริ่มเห็นค่า เริ่มรู้ว่าเป็นคำที่ยากที่จะได้ฟัง เพราะเป็นความจริงซึ่งถูกปกปิด ใครจะรู้ว่าขณะนี้ธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ในความมืดสนิท เพราะธาตุรู้มืด มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นธรรม ที่ปรากฏให้เห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ นอกจากนั้นสิ่งที่มีจริงที่เป็นธรรมทั้งหมดอยู่ในความมืด ความโกรธ ไม่สว่างเลยใช่ไหม อยู่คนเดียวในถ้ำมืด ก็ยังโกรธ มืดสนิทก็ยังโกรธ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไร ที่จะทำให้เห็นได้ด้วยตา นอกจากสิ่งที่กำลังปรากฏ ทุกคำมีประโยชน์มาก เพราะฉะนั้นจะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้เข้าใจธรรม จากความเป็นผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แล้วเริ่มได้ฟัง ฟังมากขึ้นเข้าใจมากขึ้นก็รู้ถึง พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟังแล้วรู้แล้ว สืบทอดมาจนถึงเรา และต่อๆ ไปด้วย ถ้ายังมีผู้ที่เห็นคุณที่ยิ่งใหญ่ไม่ทำลาย โดยการที่จะแก้ไขพระธรรมวินัย ด้วยเหตุนี้ก็สำเร็จในพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ ทั้งหมดมาจากพระปัญญาคุณจึงได้บริสุทธิ์ จึงทรงพระมหากรุณาด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลยทั้งสิ้น เขาเป็นขอทานโรคเรื้อน จะไปหวังอะไรจากเขาใช่ไหม ไม่ได้หวังอะไรเลย จากใครทั้งหมด แม้ดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะ เพียงอย่างเดียว ที่บำเพ็ญมา ก็เพื่อให้สัตว์โลกได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้นบริสุทธิ์แค่ไหน นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งยิ่งเข้าใจพระธรรม ยิ่งรู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.คำปั่น มีการกล่าวถึงสำนักปฏิบัติธรรม เป็นสำนักที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายอย่างไร เพราะเหตุว่าบุคคลเหล่านั้น ก็อ้างว่าสอนตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้เป็นผู้ที่มีความประพฤติดีเป็นต้น ในความละเอียดที่จะเป็นเครื่องเตือนที่ดีสำหรับชาวพุทธ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนประพฤติดีหรือเปล่า

    อ.คำปั่น ก็มี

    ท่านอาจารย์ คนประพฤติชั่วก็มี

    อ.คำปั่น มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำสอนของคนที่เพียงให้ละชั่ว และทำความดี จะต่างกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร ถ้าเหมือนกัน ก็ไม่จำเป็นต้องมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ เพราะเหตุว่าแม้กำลังปรากฏมีจริงๆ ก็ไม่รู้ความจริง ต้องอาศัยบารมีที่มั่นคงมาก ที่จะรู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็ทำไมถึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ว่าทั้งหมดต้องมีขณะซึ่งมีจริง ในระหว่างนั้น เช่นเกิดแล้วก็มีเห็นมี ได้ยินมี ได้กลิ่นมี ลิ้มรสมี การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสมี คิดนึกทั้งหมดใครไม่รู้บ้าง ก็รู้ใช่ไหม แล้วก็ทำดีด้วย แต่ว่าไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา คือไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงจริง ซึ่งลึกซึ้งกว่าที่ใครจะคิดได้ เช่นขณะนี้ใครจะรู้ว่าเห็นนี่ เกิดแล้วดับ เพราะได้ยินไม่ใช่เห็น ขณะที่ได้ยินต้องไม่มีสิ่งที่ปรากฏ เพราะขณะนั้น เฉพาะเสียงเท่านั้นที่ปรากฏ ทีละ ๑ ขณะซึ่งเกิดสืบต่อกัน จนกระทั่งไม่มีใครสามารถที่จะแยกได้ จึงเข้าใจว่าคนทำดีทำชั่วทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น และก็ดับไป ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เกิดจะมีไหมก็ไม่มีเกิด แล้วก็ดับไปแล้วใครรู้ จึงยังคงยึดถือว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกชาติที่ผ่านมามีเรา เห็นก็เป็นเรา ได้ยินก็เป็นเรา คิดก็เป็นเรา แม้เกิดก็เป็นเรา ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไรเกิด ทำไมเกิดแล้วก็เกิดต่างกันด้วย ถึงเวลาตายก็เป็นเราตาย หรือเราจะต้องตาย ซึ่งความจริงแล้วก็คือว่าไม่เข้าใจเลยว่า ทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น แล้วเป็นอะไร สำนักปฏิบัติให้ใครเข้าใจอย่างนี้บ้าง ชวนกันไปสำนักปฏิบัติ แล้วทำอะไรที่สำนักปฏิบัติ

    เพราะฉะนั้นเป็นโอกาสที่ทุกท่าน ที่ได้เคยไปสำนักปฏิบัติ จะได้กล่าวถึงความจริง ให้คนอื่นได้รับรู้ว่าเมื่อไปแล้ว รู้อะไรตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงโดยลำดับ ตั้งแต่ขั้นฟัง โดยลึกซึ้ง โดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยที่ละ ๑ ถ้าเป็นคำอื่น พูดได้หลายๆ คำ แล้วก็พอจะประมวลได้ว่า หมายความว่าอะไร แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ถ้าไม่ไตร่ตรองให้เข้าใจโดยละเอียด ไม่สามารถที่จะถึงความจริง ซึ่งขณะนี้ก็เป็นจริงอย่างนั้น เช่นการฟังธรรม ฟังเรื่องอะไร ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงจริงถูกต้องไหม ถ้าไม่มีจริงจะมานั่งฟังกันทำไม ไปฟังเรื่องอื่นสนุกกว่าใช่ไหม หนังละครก็มี แต่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องสิ่งที่มีจริง ให้มีการเข้าใจถูกต้องเลย เพราะยังไงๆ ก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่จากไปโดยไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิด และมีทุกวัน แม้เมื่อเช้านี้ก็มี เดี๋ยวนี้ก็มี ต่อไปก็มี นี่ก็แสดงเห็นว่า ถ้าไม่พึ่งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปสำนักปฏิบัติไปเพื่อรู้อะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เข้าใจอะไร เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีเกิดดับทุกขณะปรากฏไม่ว่างเว้นเลย ก็ทรงแสดงธรรมให้คนได้ฟังสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ด้วย พรุ่งนี้ฟังอีก ก็มีความจริงขณะนั้นที่จะให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นความรู้ขั้นนี้ พอไหมที่จะละว่า ไม่ใช่เราเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เห็นก็ไม่ใช่เรา ได้ยินก็ไม่ใช่เรา คิดก็ไม่ใช่เรา สุขก็ไม่ใช่เรา ทุกข์ก็ไม่ใช่เรา เท่านี้ไม่พอ จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยประการทั้งปวง แล้วคนที่ไม่ได้ฟังเลย ไปสำนักปฏิบัติ ฟังกี่คำกับพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพราะรู้ว่าสัตว์โลกไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์ มากพอที่จะเข้าใจถูกในขั้นปริยัติ คือมั่นคงรอบรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง มีปัจจัยเกิดขึ้น และก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ทุกคำฟังไว้ฟังไว้เมื่อเป็นความจริงที่ยังไม่รู้ก็ฟังต่อไป เพื่อทุกคำใน ๔๕ พรรษา จะค่อยๆ เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้จิตน้อมไปสู่ การที่จะค่อยๆ รู้ความจริง ค่อยๆ คลายการละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนในขั้นปริยัติ แต่ยังไม่ถึงการที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม เพราะเหตุว่าถ้าการฟังไม่มากพอ ที่สามารถที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ถ้ามีความไม่มั่นใจอย่างนี้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงตรัสรู้อะไร แล้วไปสำนักปฏิบัติเพื่อรู้อะไร ก็ไม่สามารถที่จะตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ไม่ใช่วันเดียวสองวันที่ไปอบรมกัน แต่ ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้ทุกคน มีความเข้าใจจริงๆ ว่ากิเลสที่สะสมมานานมาก เกินอสงไขยแสนกัปป์ ถ้าจะพูดถึงความหนา ความใหญ่ ก็ยิ่งกว่าจักรวาลกี่จักรวาลรวมกัน ถ้าจะพูดถึงความลึกก็ลึกสุดที่จะหยั่ง เพราะเดี๋ยวนี้สภาพธรรมเป็นอย่างที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้รู้ความจริงแต่ยังไม่ถึง

    เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยความเข้าใจ ภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ในขั้นการฟัง ว่าฟังเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนั้น ถ้าไม่มีความมั่นคงพอ ปฏิปัติถึงไม่ได้ แต่คนไทย ใช้คำว่าปฏิบัติเอามาจากไหน ถ้าไม่เอามาจากปฏิปัติธรรม ปริยัติธรรม ปฏิเวธธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมตามระดับขั้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ เมื่อสิ่งนี้เกิดจริงๆ ดับจริงๆ ปรากฏว่ามีจริงๆ อวิชชาความไม่รู้ ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ และอะไรจะไปค่อยๆ ลอกความหนาของอวิชชาซึ่งกำลังปิดบัง สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ให้รู้ความจริง ก็ต้องเป็นปัญญาความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย ที่ค่อยๆ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความไม่รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไปสำนักปฏิบัติ ไปทำอะไร บารมีอะไร เข้าใจอะไร รู้ความจริงอย่างนี้หรือเปล่า เมื่อไม่รู้ความจริงอย่างนี้ พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เขารู้ไหมว่าเพื่ออะไร ๔๕ พรรษาเพื่อให้ผู้ฟังสามารถ มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมีตามลำดับขั้น เพราะเหตุว่าความไม่รู้มีมาก หนาแน่น ปิดกั้น ไม่ให้รู้ความจริง ปัญญาความเข้าใจในขั้นการฟัง เริ่มรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร ทรงแสดงธรรมอะไร เพื่ออะไร เพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้น ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จนกว่าจะมีกำลังถึงขั้นที่เป็นปฏิปัติ ถึงปัญญาที่ได้อบรมแล้ว สามารถที่จะรู้จริงๆ คือถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ทุกคนเห็น แล้วก็ได้ยินด้วย แล้วก็คิดด้วย รู้เฉพาะเห็นหรือยัง ไม่มีทางเลย มีก็มีไป ผ่านไปแล้วดับไป และ ได้ยินละคิดละ ทั้งหมดไม่มีการถึงเฉพาะทีละ ๑ ซึ่งถ้าสภาพธรรมรวมกัน ไม่สามารถจะรู้ความจริง ของอะไรได้เลยทั้งสิ้น ต่อเมื่อแยกสิ่งที่รวมกันเป็นทีละ ๑ ซึ่งแยกขาดจากกันจริงๆ ทีละ ๑ จึงจะปรากฏความเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด แต่เป็นทีละ ๑ เส้นผมบนศีรษะ ๑ เส้น เป็นเราหรือเปล่า ๑ เส้น หลายๆ เส้นรวมกันเป็นเราหรือเปล่า ก็ไม่ใช่เรา ตัดออกตกไปเรารึเปล่า แค่นี้ก็กว่าจะคิดเองได้ก็ยาก แต่สามารถที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจพระธรรม ที่ทรงแสดงว่าความจริงละเอียด และลึกซึ้งยิ่งกว่านี้อีกมาก ตาเป็นเราหรือเปล่า

    ฟังอย่างนี้เริ่มเข้าใจคำว่า ธรรมทั้งหลาย ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ที่ไม่เคยรู้เลยว่าเกิดขึ้นจึงมี และก็เกิดขึ้นชั่วคราวแล้วก็หมดไป จึงแก่ จึงตาย จึงเจ็บ จึงตาย จากโลกนี้ไปไม่เหลือเลย ก็คือแต่ละ ๑ เกิดปรากฏเพียงทีละ ๑ แต่รวมกันจนกระทั่งเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นก้อนเป็นแท่ง ถ้าผงปลิวอยู่ในอากาศอย่างนี้ แข็งไหม ไม่แข็งเพราะอะไร ไม่ได้กระทบกาย เพียงแค่เห็น เห็นนี่ ไม่มีทางที่จะเห็นว่าอะไรแข็งได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เริ่มเห็นว่าชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ความจริงคืออะไร ซึ่งควรรู้อย่างยิ่ง และถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ฟังคำของคนอื่น เข้าใจอะไร ไปสำนักปฏิบัติ สำนักปฏิบัติคืออะไร มีคำตอบไหม สำนักคือที่อยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะประทับที่ไหน ที่นั่นเป็นสำนักที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โครไม้เป็นสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารึเปล่า พระผู้มีพระภาคประทับที่ไหน ตรงนั้นเป็นสำนัก เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติ หมายความว่าอะไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    21 ก.ย. 2567