ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๑๒

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่ จ.สงขลา

    วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ พระผู้มีพระภาคประทับที่ไหนตรงนั้นเป็นสำนัก เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติหมายความว่าอะไร ชักชวนกันไปทำอะไร รู้อะไร เข้าใจอะไร เมื่อไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ชักชวนคนให้ประพฤติปฏิบัติตาม ก็ชักชวนเขาให้ประพฤติปฏิบัติตามคำของเขา ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ค่อยๆ หมดสิ้นไป เพราะว่ามีสำนักปฏิบัติ ซึ่งผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุใด ไม่มีสำนักปฏิบัติในพระไตรปิฏก มีแต่สำนักที่อยู่ของแต่ละคน ใครจะทำอะไรที่ไหน ก็เป็นสำนักที่นั่น คฤหัสถ์รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม ไปสำนักไหน ไปสำนักปฏิบัติที่ไหน อยู่ตรงไหนรู้แจ้งตรงนั้นก็ได้ไปเฝ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สุปปพุทธกุฏฐิ ขอทานโรคเรื้อนได้ฟังพระธรรม การสะสมมาใครจะรู้ บางคนอาจจะดูหมิ่นนี่ขอทานโรคเรื้อนด้วย เพราะฉะนั้นความคิดของคนที่ไม่รู้จักสุปพุทธะว่า สะสมปัญญาพร้อมที่จะฟังธรรม อย่างที่ได้ฟังนี่แหละแล้วเข้าใจ และไม่ใช่เพียงเข้าใจด้วย สะสมมาที่จะถึงเฉพาะความจริงของแต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงธรรมแต่ละอย่าง ขณะนั้นจนสภาพธรรมนั้น ปรากฏประจักษ์แจ้ง ว่าไม่เที่ยงเกิดขึ้น และดับไปตามลำดับขั้น รู้แจ้งสัจธรรมเป็นพระโสดาบันเพราะอะไร เพราะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น นี่คือธัมมปฏิปัตติถึงเฉพาะความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา

    เพราะว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจความจริง จะถึงความเป็นอนัตตาได้ยังไง เพราะเหตุว่าความจริงไม่ใช่เรา ความจริงเป็นธรรมแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นถ้าจะถึงความเป็นอนัตตา ก็คือว่าต้องรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราไปสำนักปฏิบัติ เราไปนั่ง ไปนอน ไปยืน ไปเดิน ไปพองยุบ ไปดูลมหายใจเข้าออก พุทโธ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่มีจริงทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าไปทำให้เกิดขึ้นมี แต่สิ่งที่มีแล้วทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย กี่ภพกี่ชาติก็มี แต่ไม่เคยรู้ต่างหาก เพราะฉะนั้นคำสอนทั้งหมดให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เห็นไม่ใช่เรา เดี๋ยวนี้ยังเป็นเราเห็น จนกว่าความเข้าใจ จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา โดยนัยประการต่างๆ มากมาย ที่ทรงแสดงกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ หลากหลายเป็นพระสูตรต่างๆ ทีฆนิกายพระสูตรยาว มัชฌิมนิกายก็ปานกลาง อันนี้ก็เป็นการที่ได้ศึกษาธรรม แล้วก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า ทั้งหมดของพระธรรม ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งอื่น แต่กล่าวให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังธรรมต้องเป็นผู้ตรง ถ้าไม่ตรง ไม่ได้สาระ ไม่ได้ประโยชน์แท้จริง จากการฟังแต่ละคำ เสียเวลาหมดเลย ฟังแล้วก็คิดเป็นอย่างอื่น ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจแต่ละคำว่าธรรมสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีจริง ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีใครไปบังคับบัญชา ที่จะให้สิ่งนั้นเกิดสิ่งนี้เกิด แล้วแต่ว่าจะมีปัจจัยที่จะทำให้ เดี๋ยวนี้สิ่งนี้เกิดแล้ว ปรากฏแล้วก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ต้องรู้เลยว่าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็คือคำที่เข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมี แต่ถ้าเป็นคำของคนอื่น ให้ไปนั่ง ไปนอน ไปยืน ไปเดิน แล้วเข้าใจอะไรๆ ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อิริยาปถบรรพ ทุกคนนั่งแล้วใช่ไหม ต้องไปทำนั่งหรือเปล่า นั่งแล้วก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นฟังพระธรรม จนค่อยๆ เข้าใจ ไม่ว่าจะยืน ก็ยืนกันอยู่แล้ว เดินไม่ต้องมีใครทำอะไรเลย ลองคิดดู ลองทำสิ ทำได้หรือ ถ้าคิดว่าทำได้ ลองสักอย่างสิ ทำขึ้นมาสิทำได้ไหม แต่คำที่ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แต่ว่าไม่รู้ต่างหากว่าอะไรเป็นปัจจัย เพราะไม่รู้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเพราะรู้ ตรัสรู้ความจริง จึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะมีปัญญา เพียงแค่ไม่กี่คำก็รู้แจ้งอริยสัจธรรม ถ้าไม่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นทุกคน เป็นผู้ตรงต่อตัวเอง สัจจบารมี เข้าใจแค่ไหน จะเข้าใจให้มากกว่านั้นได้ไหม จะไปเร่งรัดให้เป็นพระโสดาบันได้ไหม พระโสดาบันรู้อะไร ก็ยังไม่รู้เลยพระโสดาบัน ละอะไรก็ยังไม่รู้เลย โดยความเป็นอัตตาไม่ใช่โดยเข้าใจว่าไม่มีเรา แต่เข้าใจผิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้เราทำ ลืมพระพุทธพจน์ว่าธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ทิ้งไม่ได้ ละเลยไม่ได้ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทิ้งไม่ได้ ละเลยไม่ได้ ลืมไม่ได้ ความไม่มั่นคงในความเข้าใจธรรมทำให้ความเห็นคล้อยตามความอยาก ความติดข้อง ทุกคนมีความติดข้อง แน่นอนเพราะไม่รู้ ถ้ารู้อย่างนี้ค่อยๆ ละความเป็นเรา ดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนไม่เกิดอีกเลย ไม่มีการที่จะเข้าใจผิดว่าเห็นนี่เป็นเรา แต่กิเลสมีมาก เพราะฉะนั้นต้องละไปตามลำดับขั้นของปัญญา ไม่ใช่ของเราเลย ให้รู้จักความหมายของคำว่าปัญญา ปัญญาคือสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ที่เป็นความเข้าใจถูก ไม่ใช่เรา ตรงไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคำต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ไม่ค้านกับความจริงที่ได้ทรงตรัสไว้แล้วแต่ละคำ เพราะฉะนั้นก็พอที่จะพิจารณาได้ ว่าสำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระศาสนา เพราะเหตุว่าไม่ได้ ให้คนมีความเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน นั่งเครื่องบินในรถไฟ ที่กลางถนน ในห้องน้ำ ในครัว สวนสาธารณะทั้งหมด อยู่ตรงไหนตรงนั้นแหละเป็นธรรม ที่เกิดเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจะเข้าใจความจริงตรงไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ว่าเราไปทำตรงนี้ให้เกิดปัญญาขึ้นมา ไม่ใช่เลย เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงในแต่ละคำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเหตุว่าห่างไกลพระศาสนามานาน ละเลยการที่จะคิดว่า ธรรมเพื่อศึกษา และเข้าใจในความลึกซึ้ง อย่างละเอียด ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จึงจะสามารถเข้าใจแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็กลายเป็นชักชวนกัน ด้วยความต้องการให้ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีแต่กลับให้ไปทำ แล้วแต่สำนักแต่ละหนึ่งจะให้ทำอะไร โดยไม่รู้อะไรเลย แต่ก็บอกว่าก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือว่าจะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน แล้วแต่คำจะใช้จะใช้อะไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่เคยบอกให้รู้ความจริง ว่าเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกคำที่ไม่ใช่คำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะผู้นั้นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำที่ไม่จริงทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สนทนาธรรมที่สำนักงานเขตพระโขนง วันที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

    อ.คำปั่น แต่ละท่านก็ได้ยินคำว่าชาวพุทธ พุทธศาสนิกชน ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าพระธรรมหลากหลายคำมากเลย ทีนี้ในการตั้งต้นที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจจริงๆ จะเริ่มต้นอย่างไร จึงจะเป็นการสะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่เป็นชาวพุทธปลอม

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นวันนึง ที่เราได้มีโอกาสสนทนากัน เพื่อที่จะเข้าใจ มากกว่าการที่จะสนทนาเรื่องอื่น แต่ว่าแล้วเราจะเข้าใจอะไร สิ่งที่จะต้องเข้าใจ อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มี แล้วเราจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ หรือว่าจะไปเข้าใจสิ่งอื่น ฟังธรรมนี้ก็ดูเหมือนว่า จะไม่เหมือนที่เราเคยคิดว่า จะต้องนั่งฟัง และก็ได้บุญ แล้วกลับบ้าน แล้วก็ไม่เข้าใจอะไร แต่ว่าความจริงการสนทนากัน เป็นการที่จะทำให้เรามีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่เราเคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เช่นได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ได้ยินกันแต่ว่า ก็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าไม่สอน เราจะนับถือไหม หรือว่าเราก็เพียงแค่กราบไหว้ แล้วก็ฟังโน้นฟังนี่ แต่ก็ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้นก่อนอื่น คำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นบุคคลเดียวที่เลิศกว่าใคร พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เกินกว่าใครจะคิดได้ว่าพระองค์ สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ โดยประการทั้งปวง ทีละ ๑ ทีละ ๑ แค่นี้คือปัญญา หมายความว่าเราเกิดมาแล้ว แล้วเราก็จากโลกนี้ไป แล้วเราก็ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กราบไหว้ แต่เรายังไม่ได้ฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสอนให้เราแค่ทำดีใครๆ ก็สอนได้ใช่ไหม พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็สอนได้ เพราะฉะนั้นถ้าเพียงแค่สอนให้ทำดี จะเป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ

    เพราะฉะนั้นคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่เลิศกว่าใครทั้งหมด ในเรื่องของปัญญา สอนให้รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้ว เกิดมานี่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ บ้าง ลองคิดดู เกิดมาแล้วเหมือนเป็นเรา มีพ่อมีแม่ มีเพื่อนมีฝูง มีพี่มีน้อง แต่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ แค่นี้ แค่คิดว่ามีอะไรเป็นของเราจริงๆ มีหรือไม่มี คนหนึ่งว่ามีใช่ไหม อีกคนหนึ่งว่าไม่มี แล้วอะไรถูก มีความเห็น ๒ อย่าง ก่อนอื่นยังไม่รู้เลยว่ามีอะไร ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นของเราหรือเปล่า เรายังไม่รู้ว่ามีอะไร เราเข้าใจว่าเป็นเรา มีอะไรบ้าง ที่เป็นของเรา ที่ว่าเป็นเรามีอะไรบ้างที่ว่าเป็นเรา เหมือนมีเราทุกวันเลย แต่ที่ว่าเป็นเราทุกวันนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นอะไรทุกวัน แค่นี้ก็คิดไม่ออก ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ลองคิดดูก็ได้ มีอะไรที่เป็นของเรา เมื่อกี้มีเราแล้วก็มีของเราด้วย ที่นี้ที่ว่ามีเราเนี่ยอะไรเป็นเรา แล้วก็มีของเราด้วย อะไรเป็นของเรา คำถามธรรมดาอย่างนี้ แต่คำตอบพระสัมมาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ จนกว่าเราจะสามารถเข้าใจจริงๆ ทุกคำ ศึกษาธรรมนี่ไม่อยากจะให้ฟังเพลินๆ แล้วก็ไม่ได้เข้าใจ แต่ถ้าสามารถจะเข้าใจสักคำหนึ่ง ให้ถูกต้องมั่นคงจริงๆ จะมีประโยชน์กว่า แต่ว่าคนที่ได้ฟังธรรมแล้วก็เข้าใจ แม้ว่าพระองค์จะปรินิพพาน ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ คำสอนก็ยังอยู่พร้อมที่จะให้เราได้ยินได้ฟัง

    นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเหมือนใครไหม หรือว่าต้องตามคนอื่น เพราะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นก็สอนให้เราทำดี แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า ที่เข้าใจว่าเป็นเราคืออะไร เห็นไหม นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วคิดว่าเป็นเรา แต่ว่ามีเราจริงๆ รึเปล่า มิฉะนั้นก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังคงมีเรา มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเหมือนเดิม ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าคำของพระองค์แต่ละคำ เป็นเรื่องที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ที่ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จะรู้แค่ไหนไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ได้ยินได้ฟังบ้าง และก็เข้าใจบ้างว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งที่มีจริงนี่ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา เพราะว่าตอนเกิดอยู่ไหน ตอนเกิดเป็นเราเกิดใช่ไหม เดี๋ยวนี้ตอนที่เราเกิดมาเล็กๆ นั่นน่ะอยู่ไหน ก็ไม่มีแล้ว เราเมื่อปีก่อนอยู่ไหม ยังอยู่ไหม ก็ไม่อยู่ เราเมื่อวานนี้ยังอยู่ไหม ก็ไม่อยู่ มีเราวันนี้ ซึ่งพอถึงพรุ่งนี้ เราวันนี้ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นฟังคำของผู้ที่รู้ความจริงอย่างละเอียด กว่าเราจะรู้ตามได้ อีกนานมาก แต่อย่างน้อยที่สุดให้เห็นความต่างของคำสอนของผู้ที่รู้จริงๆ กับผู้ที่ไม่รู้ ก็สอนแต่ให้มีเราทำความดี จะได้ผลของความดีต่างๆ แต่ถ้ากล่าวว่าไม่มีเรา กับมีเรา อย่างไหนดีกว่ากัน นี่คือความเห็นของคนก่อนที่จะได้ฟังธรรม จะตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้ว่าความคิดของเรา ถ้าเหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ต้องเรียนคำของพระองค์ไม่ต้องฟัง แต่เพราะว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความคิดของเรา ยังไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นมีทางไหนที่จะรู้จักพระองค์ ได้มากกว่านี้ก็คือ รู้จักว่าความคิดของเราเล็กน้อยมาก และไม่ถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งซึ่งต้องละเอียดมาก ได้ยินว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพใครมากกว่านี้ไหม ลองคิดดู พ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหมดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพใครที่สุด

    ผู้ฟัง ได้เคารพพ่อแม่มากกว่าใคร เพราะท่านให้กำเนิดเรามา

    ท่านอาจารย์ พ่อแม่จากเราไปแล้วหรือยัง หรือยังอยู่ จากไปแล้วอยู่ไหน ไปไหน แล้วเราก็ต้องจากใช่ไหม พอจากไปแล้ว พ่อแม่ก็ไป เราก็ไป แล้วไปไหนกันหมด เห็นมั้ย แล้วจะรู้ไหมว่ายังคงเป็นพ่อแม่กันหรือเปล่า เป็นพ่อแม่ชาตินี้จริง แต่พ่อแม่จากไปแล้วยังเหลือเรา และอีกไม่นานเราก็จากไป พ่อแม่ก็ไป เราก็ไป ต่างคนก็ต่างไป ก็ไม่รู้ว่าไปไหนกัน เพราะฉะนั้นเป็นพ่อแม่ชาตินี้ใช่ไหม แต่ว่าตายแล้วไม่รู้ ไม่ว่าเราหรือพ่อแม่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะมีผู้ที่รู้ความจริงยิ่งกว่านี้ ฟังจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าแม้พ่อแม่เรา ก็ไม่ได้สอนเราอย่างนี้ พ่อแม่เราก็ยังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนฟัง เพราะเหตุว่าชื่อว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีได้คนเดียว บุคคลเดียวเท่านั้น คนอื่นจะมาชื่ออย่างนี้ได้ไหม ไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความที่พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสูงสุดจริงๆ แต่สำหรับผู้ที่รู้คุณ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ถ้าเราไม่รู้คุณ เราจะไม่คิดว่าสิ่งนั้นมีคุณเลย อย่างคนที่เขาไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เขาก็ไม่คิดว่าพ่อแม่มีคุณ ที่เขาจะต้องดูแลพ่อแม่ แล้วก็พ่อแม่เลี้ยงเรามา มีทางไหนที่เราจะทำให้พ่อแม่สุขสบายใจ ไม่เป็นคนดื้อรั้นเกเร เราก็ทำอย่างนั้น นั่นคือเป็นคนที่รู้คุณ เพราะฉะนั้นการที่เรารู้คุณของใคร เราถึงจะรู้ว่าคนนั้นมีคุณ อย่างพ่อแม่มีคุณกับเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเรายังไม่รู้จัก เราก็ไม่รู้ว่าพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน แม้แต่พ่อแม่ก็กราบไหว้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ทุกคน ไม่ว่าพ่อแม่เรา พ่อแม่เขา หรือใครปู่ย่าตายายก็กราบไหว้มาแล้ว

    เพราะฉะนั้นแสดงว่าพระองค์ประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่นี่หมายความว่ามีความรู้ยิ่งกว่าใคร ถ้าคนที่รู้น้อยกว่าเรา เราจะนับถือไหม แต่ถ้าคนที่มีความรู้มากกว่าเรา เรานับถือในความรู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ใช้คำว่าตรัสรู้ รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ อย่างพระองค์ได้เลย ด้วยเหตุนี้กว่าจะได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำนี้มาตั้งแต่เกิดจนโต จนเดี๋ยวนี้ แต่ก็ได้ยินแค่ชื่อ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่รู้เลยว่าพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้รู้ว่าที่เกิดเป็นเรา มาจากไหน คงไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดใช่ไหม แต่ต้องมีเหตุที่จะทำให้เกิด หลากหลายต่างกันไป เกิดมาแล้วก็ยังนิสัยใจคอต่างกันอีก และก็กระทำสิ่งที่ต่างๆ กันไปดีบ้าง ชั่วบ้าง ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เป็นผล ต้องมีเหตุ และเมื่อเหตุมีแล้ว ก็จะต้องมีผลในภายหลัง แค่นี้ค่อยๆ คิดค่อยๆ เข้าใจว่า แม้แต่เราเกิดมา ยังไม่ได้ทำกรรมอะไรเลยใช่ไหม แค่เกิดมาต้องเป็นผลของกรรม ที่ทำให้แต่ละคนต่างกันหลากหลายมาก พี่น้องรูปร่างหน้าตาก็ไม่เหมือนกัน ก็มีแค่คล้ายกันมาก ก็มีแค่ไม่เหมือนกันเลยก็มี นี่แค่รูปร่างหน้าตา แล้วอย่างนิสัยใจคอ ความชอบแต่ละ ๑ ไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่รู้ว่าแต่ละ๑ มาจากไหน ใช่ไหม แต่ว่าเป็นเหตุหรือเป็นผล ต้องคิดก่อน ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ก็มีแต่เรา หารู้ไม่ว่าที่เกิดมาหลากหลายต่างกัน ต้องเป็นผลของเหตุ คือการกระทำ ถ้าเราทำกรรมไม่ดี เราคงไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะว่าเราเห็นสัตว์เกิด นกหนูปูปลาใช่ไหม แล้วทำไม เขาคงอยากจะเกิด เป็นนกเป็นหนูเป็นปูเป็นปลาหรือเปล่า ก็ไม่มีใครอยากจะเป็นอย่างนั้น แต่เกิดแล้วเป็นอย่างนั้น กับเราซึ่งเกิดแล้วเป็นอย่างนี้แต่ละ ๑ คน แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเหตุ แม้แต่เป็นคนด้วยกัน ก็หลากหลายมาก พ่อแม่ต่างกัน เพื่อนฝูงต่างกัน ฐานะต่างกัน ครอบครัวต่างกัน บางคนก็ร่ำรวยมหาศาล บางคนก็ยากไร้ เลือกได้ไหมที่จะเกิดเป็นอย่างนั้น แต่ว่าสิ่งที่ได้กระทำแล้วที่เป็นเหตุ ก็จำแนกให้แต่ละคนหลากหลายกันมาก เพียงแค่นี้ ถ้าเราไม่รู้ว่า ผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนละเอียดยิ่งกว่านี้อีก นี่เพียงให้เราเริ่มคิดว่าเรานี่ต้องมีเหตุ ที่จะเกิดมาหลากหลายต่างกัน เกิดมาแล้วนี่ี่ยังทำกรรมต่างกันอีก ทำดีก็มีทำชั่วก็มี เพราะฉะนั้นดีชั่วซึ่งเป็นเหตุ ก็จะทำให้ต่างกันหลากหลายอีก เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ คิด อย่างน้อยที่สุดถ้าวันหนึ่งๆ เรามีโอกาสได้คิดว่า เราควรจะดีกว่านี้ไหม เราเป็นคนดีแล้วหรือยัง ดีพอหรือยัง เพราะฉะนั้นฟังธรรมนี่ทีละคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย แต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก อย่างที่ตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีตา ไม่เหมือนตรงอื่นใช่ไหม ตาไม่ใช่หน้าผาก ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นตามีจริง หน้าผากมีจริง แต่สองอย่างไม่ใช่อย่างเดียวกัน ค่อยๆ คิดค่อยๆ ดูว่า แล้วเราล่ะอยู่ไหน ตาเป็นตา หน้าผากเป็นหน้าผาก จมูกเป็นจมูก แขนเป็นแขน ถูกต้องมั้ย แยกออกเป็นส่วนๆ ได้ไหม ที่ว่าเป็นตัวเราทั้งหมด แยกได้ไหม รถทับขาหัก แขนหัก หัวขาด ตัดผม ได้หมดทุกส่วน เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกขั้นละเอียดยิบ ตัดเล็บเห็นไหม ก่อนตัดก็เป็นเล็บของเรา เป็นตัวเรา พอตัดเล็บเสร็จ ก็เอาเล็บทิ้งไปไหนเรา ไหนเล็บของเรา เพราะฉะนั้นทุกส่วนในร่างกาย สามารถที่จะแตกย่อยจนละเอียด แต่เพราะเหตุว่ายังรวมกันอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่จะแตกย่อย เราก็เข้าใจว่าเป็นตัวเราทั้งหมดเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    22 ก.ย. 2567