ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ปกิณณกธรรม ตอนที่ ๑๐๑๘

    สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ทรัพย์สมบัติประจำโลก จากโลกนี้ไปแล้ว ใครเอาไปได้ ไม่มีใครเอาไปได้เลย นั่นแค่ทรัพย์สมบัตินอกกาย แต่ตัวนี้นั่งอยู่ตรงนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว เอาไปด้วยได้ไหม ไม่มีทางเลยทั้งสิ้น นี่ก็แสดงความจริงซึ่งมองไม่เห็น เกิดมาก็ไม่เคยมองเลยแต่ ตามความเป็นจริง ก็คือว่าสิ่งต่างๆ นอกกายเอาไปไม่ได้ ฉันใดกายนี้เอาไปไม่ได้ฉันนั้น และอยู่ในโลกนี้ก็คือว่าเพียงชั่วคราว ที่ยังคงเข้าใจว่ายังมีกายนี้อยู่แล้ว ก็มีตาเห็นมีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายที่กระทบสัมผัส สิ่งที่เย็นบ้างร้อนบ้างอ่อนบ้างแข็งบ้าง แล้วก็มีใจที่คิดนึกสุขหรือทุกข์ จากสิ่งที่ปรากฎชั่วคราว ส่วนใหญ่คิดว่าความสุขเกิดจากทรัพย์สมบัติ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละทรัพย์สมบัติ เห็นไหมต่างกันละระหว่างปัญญา ความรู้กับความไม่รู้ ติดข้องในสิ่งซึ่งไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา เพียงมีเมื่อเกิดขึ้นชั่วคราว แล้วก็ดับหมดไป แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฎฏ์จากโลกนี้ไปแล้ว จะเป็นคนใหม่อีกไม่ได้เลย จากโรคก่อนมาเป็นใครก็ไม่รู้ ลืมหมดจากมาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเป็นคนเก่าได้เลย เพราะฉะนั้นชาตินี้เกิดมาโดยไม่รู้เลยว่าทำไมเป็นคนนี้ หลากหลายมาก ทั้งรูปร่างหน้าตาฐานะความคิด ในทรัพย์สมบัติ ทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เลือกเกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้ว เลือกเห็น เลือกได้ยิน เลือกได้กลิ่น เลือกลิ้มรสก็ไม่ได้ บางคนบอกว่าเลือกได้ไปสิที่นั่น ไปแล้วตาบอดเห็น หมายถึงว่าเลือกได้ใช่ไหม ไม่มีอะไรที่สามารถที่จะอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจพระพุทธพจน์ ธรรมทั้งหลาย สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน เที่ยงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง แต่เป็นสิ่งที่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับไป อย่างเร็วที่สุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย จึงเป็นอนัตตาไม่ใช่อัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแยกออกมาเป็นแต่ละ สิ่งซึ่งเกิดรวมกัน อย่างคนอย่างนี้ ต้องประกอบด้วยหลายๆ อย่างที่เกิดร่วมกัน ถ้าแยกอย่างง่ายๆ แล้วก็บอกมีกายกับใจ เท่าที่เราจะรู้ได้ ก็แค่กายก็ไม่รู้อะไร มีกายแต่ทั้งๆ ที่มีกาย ก็ยังไม่รู้จักกายตามความเป็นจริง แยกเป็นสองอย่าง กายกับใจเผินมาก เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงยิ่งกว่านั้น ด้วยเหตุนี้วันนี้ก็เป็นการที่เราเริ่มที่จะได้รู้จัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่เพียงกราบไหว้ และรู้ว่าพระองค์ตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่ได้ฟังทั้งหมดเลย ๔๕ พรรษา เพียงแต่เริ่มฟังประโยคที่ว่า คำที่ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เพราะเห็นเป็นเห็นไม่ใช่เรา เกิดแล้วดับแล้ว ได้ยินเดี๋ยวนี้ ได้ยินไม่ใช่เราได้ยิน ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว เราอยู่ไหนไม่มีเลย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ดิฉันอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า ทางปฏิบัติที่จะทำให้ตัวเรา เกิดปัญญาสามารถระงับ สิ่งที่เราอยากรู้อยากเห็น อยากทำ ไปในทางที่ถูกที่ชอบ ขอบพระคุณ

    ท่านอาจารย์ เป็นคำถามที่น่าคิดมากเลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ใครจะตอบคำถามนี้ได้ นักปราชญ์ทั่วโลก ไม่ว่าประเทศไหนทั้งสิ้น เทวดา และพรหมตอบได้ไหม เพราะแม้แต่เทวดา และพรหม ก็ยังมาเฝ้าทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนที่จะตอบคำถามทุกคำถาม ไม่ว่าคำถามของใคร ที่เป็นคำจริงยิ่งกว่าใคร ผู้นั้นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไปถามนักปราชญ์ประเทศไหน ชาติไหนเขาจะพูดยังไง หนังสือเล่มไหนก็ตาม อ่านไปกี่ร้อยกี่พันเล่ม ก็ไม่เท่าแต่ละคำ ของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปขวนขวาย หาคำตอบจากคนอื่น คำตอบที่ถูกต้องที่สุด คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า รู้ รู้อะไร เห็นไหม แค่คำว่ารู้ รู้อะไร ตา เห็น มีหน้าที่อย่างเดียว คือเดี๋ยวนี้รู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ นั่นคือคือธาตุรู้หรือสภาพรู้ โต๊ะไม่เห็น ดอกไม้ไม่เห็น แต่ว่าตาเองก็ไม่เห็น แต่ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นที่เราใช้คำว่าเห็นไม่ใช่ตา ด้วยเหตุนี้แต่ละคำ แม้แต่คำว่ารู้ โต๊ะรู้มั้ย สอนโต๊ะได้ไหม ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะไม่มีการได้ยิน ได้ยินได้ยินแต่เสียง ได้ยินไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นน่ะไม่ใช่เรา แต่เป็นเสียงถูกต้องไหม เสียงไม่ใช่ได้ยิน วันนี้คิด ตอนที่ตื่นมาก็คิด แต่ว่าคิดก็ไม่ใช่เห็น คิดก็ไม่ใช่ได้ยิน และถ้าไม่เคยเห็นเคยได้ยินมาก่อน จะคิดเรื่องนั้นไหม แต่ละคนแลกความคิดกันไม่ได้เลย ต่างคนก็ต่างคิด ตามที่ต่างคนก็ต่างเห็นมา ได้ยินมา เพราะฉะนั้นจะถามใครที่ดีที่สุด คือถามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคำตอบได้ตรัสไว้แล้ว สำหรับคำถามที่คนได้ไปเฝ้าทูลถามทั้งหมดมีในพระไตรปิฎก ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้นแม้แต่รู้ เราก็ยังไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วคำว่ารู้ หมายความว่าอย่างไร ธาตุรู้ ธา ตุ เย็นมีจริงๆ เย็นรู้อะไรไหม เย็นรู้อะไรไม่ได้เลย แต่มีธาตุที่กำลังรู้ลักษณะที่เย็น เพราะฉะนั้นสภาพรู้เย็นมี เป็นสภาพรู้ไม่ใช่เรารู้ ไม่ใช่นักปราชญ์คนนั้นรู้ หรือคนนี้รู้ แต่ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ตรงเย็นแล้วก็ดับไป เวลาที่รู้ตรงหูคือเสียงกระทบหูเกิดขึ้น รู้ตรงหูแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นรู้มีจริง แต่เป็นธรรมมีจริงเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น

    เวลาฟังธรรมคือการไตร่ตรอง ขณะที่ไตร่ตรอง จะค่อยๆ เข้าใจคำที่ได้ฟัง ถูกต้องว่าคำที่ได้ยิน ถูกไหม ขณะที่เข้าใจรู้ใช่ไหม แต่ต่างกับไม่เข้าใจ หรือว่าต่างกับเห็น หรือต่างกับโกรธ ต่างกับเกลียด รู้เข้าใจ รู้เป็นสิ่งที่มีจริง ในขณะที่เสียงกำลังปรากฏรู้เสียง แต่ว่ากำลังฟังธรรมเข้าใจว่า เสียงมีจริงต่างกันแล้วใช่ไหม เสียงไม่เข้าใจ ได้ยินก็ไม่เข้าใจ แต่กำลังฟังว่าเสียงมีจริงเกิดขึ้น และดับไป ความเข้าใจนั้นคือรู้ความจริงของเสียง ว่าเสียงก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดมีชั่วคราวแสนสั้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นเห็นขณะนี้ เห็นว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับไป ขณะที่คิด แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งเคยรวมกันเร็วมากทเกิดดับสืบต่อกัน ค่อยๆ ปรากฏเป็นทีละอย่าง ทีละอย่าง ทีละอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรา แล้วก็เพียงแค่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว คำนั้นเปลี่ยนไม่ได้เพราะเหตุว่าทรงตรัสรู้ถึงที่สุดว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหลาย ทั้งหมดไม่เว้นเลย เป็นอนัตตาปรากฏชั่วคราว ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้นได้ยินดับแล้วไม่ใช่เรา จะให้ได้ยินอีกอย่างนั้น สิ่งนั้นกลับมาได้ยินอีก ไม่ได้ นี่เป็นความรู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่ารู้นี้มีหลายอย่าง เคยได้ยินคำว่าจิตถูกต้องไหม มีใครไม่เคยได้ยินคำว่าจิตบ้างไหม แต่รู้ไหมว่าจิตคืออะไร จิตมีจริงแน่ๆ ใช่ไหม จิตคืออะไรคุณธีรพันธ์

    อ.ธีระพันธ์ จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ อย่างเช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปรากฏไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสภาพรู้ ส่วนใหญ่เราจะมุ่งไปที่สิ่งที่ปรากฏใช่ไหม แต่ลืมไปว่ามีสภาพรู้ที่กำลังรู้ เสียงปรากฏก็ลืมคิดว่า ขณะนั้นต้องมีการได้ยินด้วย ซึ่งเป็นจิตที่ได้ยิน ถ้าไม่มีจิตได้ยิน เสียงจะปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็ไม่พ้น จาก ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ นามธรรม และรูปธรรม

    ท่านอาจารย์ ศึกษา และเข้าใจธรรม ทีละคำ ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็ปะปนกันหมดเลย แล้วก็ไม่ใช่ความรู้จริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มีรู้ ไหม ได้ยินคำไหนไตร่ตรองทันที เดี๋ยวนี้มีรู้ไหม ทุกคนตอบเหมือนกันหมด หรือว่าไม่เหมือน ตามความคิดเพียงแค่ได้ยินเดี๋ยวนี้มีรู้ไหม มีไหม มี เห็นไงล่ะ รู้อะไร รู้ว่ากำลังมีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ ได้ยินยังไงล่ะ รู้ว่าเสียง ถ้าไม่ได้ยินเสียงจะปรากฏได้ไหม จะมีเสียงไหมก็ไม่มีเสียง แต่เวลานี้เสียงนี่กำลังปรากฏ เพราะมีสภาพธรรมหรือธาตุรู้ มีสภาพรู้เสียง ที่เราใช้คำว่าได้ยินคือรู้เสียง ถ้ากลิ่นปรากฏ ต้องมีสิ่งที่กำลังรู้กลิ่น เพราะกลิ่นจะปรากฏได้ยังไง มีกลิ่นทั่วไปหมดแต่ไม่ปรากฏ จนกว่าจะมีธาตุที่รู้เกิดขึ้นกำลังรู้กลิ่น เราใช้คำว่าจิต ดูเหมือนง่าย ทุกคนมีจิต สัตว์มีจิตไหม มี เพราะฉะนั้นธาตุรู้ เป็นสัตว์ หรือเป็นคน เป็นนก หรือเป็นปลา เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่นกเห็น คนเห็น ใครเห็น เพราะฉะนั้นเราเริ่มที่จะเข้าใจคำว่ารู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ถ้าศึกษาธรรม เป็นการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สูงสุด เพราะว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้คนอื่นได้มีความเข้าใจด้วย จากคำที่ทุกคำกล่าวถึง สิ่งที่มีจริงซึ่งยากที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม และการเข้าใจธรรม เป็นการบูชาสูงสุด เหนือการบูชาอย่างอื่นได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะไปรับทรัพย์สินเงินทองลาภยศสักการะใดๆ แต่เพื่อที่จะรู้ความจริง ที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย ด้วยเหตุนี้ทีละคำ คือรู้ เราใช้คำว่า จิต เราคิดว่าเราเข้าใจ ทุกคนมีจิต ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า เราคิดว่าอย่างนั้น แต่อะไรกันล่ะที่ต่างระหว่างต้นไม้ใบหญ้ากับจิต เพราะเหตุว่าต้นไม้ใบหญ้า ก็ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ขณะใดที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ หมายความว่าสิ่งนั้นปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้สิ่งนั้น แค่นี้ ธรรม มีจริงไม่เคยรู้มาก่อน และทุกอย่างหมดเลย มีเมื่อเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดขึ้นจะมีไหม ถ้าไม่ดูหนังดูละครจะสนุกไหม เห็นไหม เพราะฉะนั้นมาแต่ไหน เพราะเห็น เห็นแล้วก็มีความคิด ในสิ่งที่ปรากฏมากมาย จะรักจะชัง บางคนชอบดูหนังผี เห็นไหม เป็นไปได้ยังไง แต่เพราะมีความพอใจอย่างนั้น ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นจากการเห็น เพราะฉะนั้นทุกคน ทุกวันนี้ต้องการเห็น เพราะพอใจในสิ่งที่เห็น เมื่อพอใจในสิ่งใดที่เห็น ก็แสวงหาแต่สิ่งที่เห็น พอใจในรสก็แสวงหารส พอใจในเสียงก็แสวงหาเสียง ด้วยความไม่รู้ว่า เพราะมีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งนั้น และไม่รู้ในความไม่เที่ยงของสิ่งที่เพียงปรากฏชั่วคราว ก็มีความติดข้องพอใจในโลกตั้งแต่เกิด จนกว่าจะจากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นความรู้มีหลายอย่าง รู้ทั่วๆ ไป เห็นรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้อย่างนี้ ได้ยินรู้ว่าเสียงขณะที่ได้ยิน เป็นอย่างนั้น ทั้งหมดก็เป็นธรรมดาที่มีการเกิดขึ้น และมีการดับไป แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจ ขณะนั้นความเข้าใจก็ไม่ใช่เห็นไม่ใช่ได้ยิน แต่เป็นความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏ ก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ภาษาไทยชินกับคำว่า ปัญญา แต่ถามว่าปัญญารู้อะไร เห็นไหมทุกคำไม่รู้เลย แต่พูดคำที่ไม่รู้จัก และพูดภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เอามาจากภาษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เช่นคำว่าปัญญา ปัญญา หมายความถึงความรู้ถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้นเห็นไม่ใช่ปัญญา เห็นเพียงรู้ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ได้ยินก็ไม่ใช่ปัญญา ได้ยินเพียงแต่รู้ว่า เสียงขณะนี้เป็นอย่างนี้ แต่ปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม ยากไหม ถ้าใครบอกว่าง่าย คนนั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่รู้ว่ายาก คือการสรรเสริญพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการกราบไหว้บูชา ในพระมหากรุณา ที่ทรงแสดงความจริงนั้น ให้เราได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าถ้าไม่มีคำของพระองค์แล้ว เราไม่มีทางที่จะรู้จักโลก เกิดมาแล้วก็ตายไป แล้วก็สุขบ้างทุกข์บ้าง ชาติก่อนหายไปไหนหมด พอถึงชาติหน้า ชาตินี้หายไปไหนหมด ไม่เหลือเลย จำไม่ได้เลย แต่ขณะนี้เป็นชาติก่อนของชาติหน้า ต้องไปถามใครไหม ว่าชาติก่อนเราทำอะไร ถ้าเป็นชาตินี้ด้วยนี่แหละคือชาติก่อนของชาติหน้า จะต้องไปถามใคร รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอีกมากนักใน ๔๕ พรรษา ที่จะทำให้คนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ได้เห็นประโยชน์ ได้ไตร่ตรอง ได้รู้ความจริง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ด้วยความไม่รู้อะไรเลย

    อ.คำปั่น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีค่าที่ปรากฏได้โดยยาก ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธรัตนะ พระธรรมคำสอนที่เป็นไป เพื่อความเข้าใจธรรม เป็นไปเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสเป็นธรรมรัตนะ และผู้ฟัง ผู้ศึกษาที่เป็นสาวก ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ดับกิเลสตามลำดับขั้น ก็เป็นสังฆรัตนะ รัตนะทั้ง ๓ เป็นสิ่งที่ปรากฏได้โดยยาก ชั่งไม่ได้ วัดไม่ได้ ว่ามีพระคุณมากเพียงใด เพราะฉะนั้นแต่ละคน แต่ละท่านที่ได้ฟัง ก็คือได้ฟังคำจริงที่มาจาก พระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ก็ขอทบทวนเท่าที่ได้กล่าวมาแล้ว ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่มีจริง เป็นธรรม เห็นมีจริง เคยรู้ไหมว่าเป็นธรรมไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ รู้เลยว่าสิ่งใดๆ ก็ตามทั้งหมดที่มีจริงเป็นธรรม เห็นมีจริงเห็นเป็นธรรม คิดมีจริงคิดเป็นธรรม โกรธมีจริง โกรธเป็นธรรม ไม่ชอบ สนุก ทุกอย่างทั้งหมด ที่มีจริงเป็นธรรม แต่ว่าธรรมหลากหลายมาก แต่ละ ๑ ซึ่งมีจริงชั่วคราว และก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ตอนเป็นเด็กไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ต่อไปข้างหน้าก็ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ธรรมสิ่งที่มีจริงนั้นเกิดจึงมีจริงๆ ถ้ายังไม่เกิดจะรู้ได้ยังไง ว่ามีจริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริง หมายความว่าเกิดแล้วปรากฏว่าเป็นจริง ตามที่เป็นเท่านั้นแล้วก็ดับหมดไป ด้วยเหตุนี้แม้เพียงเวลาเล็กน้อย แต่เป็นความถูกต้องถึงที่สุด คือได้เข้าใจความจริงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง และสิ่งที่มีจริงทุกอย่างไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้นใช้คำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก่อนนี้ถ้ามีคนถามว่าธรรมคืออะไร ก็อาจจะตอบกันไปคนละอย่างสองอย่าง ยุติธรรมบ้าง อยุติธรรมบ้าง แต่ว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่างไม่เว้น คำตอบนี้ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวว่าไม่จริง เพราะพูดถึงสิ่งที่มีจริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    อย่างน้อยก็รู้จักว่าธรรมคืออะไร ถ้ามีคนถามว่าโกรธเป็นธรรม ไหม เป็น เป็น คิดเป็นธรรมไหม คิด ต่อไปอีกนิดได้ไหม เมื่อคิดเป็นธรรมมีจริงๆ แล้วคิดเป็นเรารึเปล่า เห็นไหมยืนยัน และว่าการที่ได้ฟัง และความเข้าใจลึกแค่ไหน มั่นคงแค่ไหน เพราะฉะนั้นคิดมีจริงใช่ไหม เพราะคิดเกิดขึ้นไม่ใช่เห็นแต่เป็นคิด คิดเกิดขึ้น มีจริง คิดดับไปไม่เหลือละ คิดเมื่อกี้นี้ดับจริงๆ คิดอะไรเมื่อกี้นี้ดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย คิดใหม่แล้วก็ดับอีก แล้วคิดอีกแล้วก็ดับอีก แล้วก็เห็นอีก แล้วก็ดับอีก ได้ยินอีกแล้วก็ดับอีก นี่คือธรรมทั้งหมด ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงถึงที่สุดใน ๔๕ พรรษา สำหรับผู้ที่ได้ฟังเริ่มเข้าใจ ต้องมีการตั้งต้นทุกอย่างที่ถูกต้อง จะไปเอาอริยสัจ ๔ มาพูดในขณะนี้ ไม่มีประโยชน์ ยังไม่รู้เลยว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำ ถ้าเข้าใจจริงๆ คำแรก ต่อไปทีละคำก็เข้าใจเพิ่มขึ้นถูกต้องขึ้น และก็สิ่งใดที่เป็นธรรม สิ่งนั้นเปลี่ยนไม่ได้ จึงใช้คำว่า ธาตุ หรือธาตุแต่ละชนิด เราอาจจะได้ยินคำว่าธาตุ ในภาษาของวิทยาศาสตร์ หรือภาษาทางโลก หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเพียงเสียงตัวสะกดก็หลายคำ หลายอย่างหลายภาษา แต่ๆ ละอันมีความหมายเฉพาะ เช่นถ้าใช้คำว่า ธาตุ ซึ่งออกเสียงในภาษาบาลี ต้องออกเสียงทุกคำ ธ า ต ุ หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นไม่ได้เลย ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่สิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงเป็นธาตุ พราะฉะนั้นทบทวนอีก เห็นเป็นธาตุรึเปล่า เป็น มีจริงใครเปลี่ยนแปลงเห็นให้เป็นได้ยินได้ไหม ให้เป็นคิดได้ไหม ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจคำว่าธรรม เริ่มเข้าใจคำว่าธาตุ ธาตุ แล้วต่อไปทุกคำที่จะได้ยิน เพราะเข้าใจความจริงในเบื้องต้น จึงสามารถที่จะเข้าใจความจริงนั้นต่อๆ ไปอีกได้ ไม่ใช่ว่าพอพูดว่าอริยสัจจะ อะไรเป็นอริยสัจจะ ทุกข์อริยสัจจะ อะไรเป็นทุกข์ก็เป็นเราไปหมดเลย แต่ความจริงทั้งหมดเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นชั่วคราว แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้ามีพื้นฐานที่มั่นคงอย่างนี้ก็จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ โดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ทุกข์มีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธาตุหรือเปล่า ใครบังคับบัญชาได้ไหม ไม่ให้เกิดได้ไหม เกิดแล้วไม่ให้หมดไปได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกข์ก็เป็นธรรมมีจริง เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรมเป็นธาตุไม่ใช่เรา ไม่ใช่นก ไม่ใช่ปลา เห็นไม่ใช่ปลา เห็นไม่ใช่คน เห็นไม่ใช่งู เห็นเป็นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละ ๑ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    3 ต.ค. 2567