ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๖๖

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ จิตเป็นธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แต่ที่เราบอกว่าแมวเห็นพูดถึงรูปร่างที่เป็นแมว ใช่ไหมคะ เราก็บอกว่าแมวเห็น แต่จิตเห็นไม่ใช่แมว จิตเป็นจิตจะเป็นอื่นไม่ได้เลย จิตจะเป็นคน จะเป็นแมว จะเป็นงู ไม่ได้ จิตเป็นจิตเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเทวดาเห็น พรหมเห็น มนุษย์เห็น สัตว์ทุกประเภทเห็น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็น เห็นของพระองค์ก็ประกอบด้วย เจตสิก ๗ เท่ากันกับจิตเห็นอื่นๆ ทุกขณะหมด นี่คืออนัตตาไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้นธรรมต้องเป็นธรรมค่ะ ตรงไม่มียกเว้น แต่ว่าความละเอียดมากกว่านั้นนะคะ เพราะเหตุว่าจิตเห็นของแต่ละคนเนี่ย เห็นแจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่สิ่งที่สะสมมาในจิตนั้นต่างกัน เพราะฉะนั้นพอเห็นเสร็จต่างคนต่างคิดใช่ไหม คนนั้นชอบคนนี้ไม่ชอบก็แล้วแต่ จะสะสมกันยังไง แต่ว่าจิตเห็นก็เห็น แล้วก็สิ่งที่สะสมมา ดี และชั่วที่สะสมที่เกิดแล้วนี่นะคะ ไม่ได้สูญหายไปไหนเลยค่ะ ติดอยู่ที่จิตนั่นแหละ แกะก็ไม่ออกเอาไปทิ้งก็ไม่ได้นะคะ มีปัญญาเท่านั้นที่จะค่อยๆ ชำระล้างอกุศล ตามประเภทของอกุศลนั้นๆ ถ้าไม่มีปัญญา ใครจะไปดับกิเลสคะ ไปนั่งทำอะไรกัน นั่นคือไม่รู้ความจริง ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นเรื่องละเอียดค่ะ แต่ที่ไปนั่งนั่น อยากได้อะไรรึเปล่า อยากรู้อะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็คือว่าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะกล่าวคำว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้พึ่งเลยนะคะ เพราะเหตุว่าไม่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจ ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

    อ.คำปั่น ในช่วงแรกครับ ท่านอาจารย์ครับ ภัยที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา ก็คือภิกษุรับเงิน และทอง และสำนักปฏิบัติ ก็กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ทั้งสองอย่างนี้เป็นภัยร้ายอย่างไรต่อพระพุทธศาสนา

    ท่านอาจารย์ ค่ะ สำหรับข้อแรกนะคะ ภิกษุรับเงินรับทอง ทำลายความเป็นภิกษุในธรรมวินัย เพราะเหตุว่าภิกษุในธรรมวินัย เป็นผู้ที่สละทุกอย่าง ทั้งญาติพี่น้องครอบครัว ชีวิต คฤหัสถ์ ทรัพย์สมบัติเงินทองทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุรับเงินทองจึงไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยนี่ค่ะ ทรงบัญญัติเพื่อที่จะให้ผู้ที่ประสงค์ ที่จะมีชีวิตที่ได้ศึกษาธรรม และขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตได้ประพฤติปฏิบัติตาม เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริงนะคะ ทรงรู้เหตุที่ว่าแม้กายวาจานี่ค่ะที่ไม่งาม แม้เพียงเล็กน้อย เกิดจากอะไร เกิดจากอกุศลจิต ธรรมดาทุกคนก็มีอกุศลจิตนะคะ ไม่ใช่ไม่มี แต่ก็นั่งนิ่ง ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวทางกายทางวาจาใดๆ ก็เป็นอกุศล แต่ถ้าถึงกับกาย และวาจาเคลื่อนไหว ประพฤติเป็นไปนี่คะ ตามกิเลสที่มีกำลัง แล้วจะขัดเกลากิเลสได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้คำสอนเป็นคำจริงค่ะ ไม่ใช่เป็นคำเท็จที่ว่า ให้เปลี่ยนสภาพอย่างหนึ่ง เป็นอีกอย่างหนึ่งได้ ถ้าสะสมมาที่จะเป็นอย่างเงี้ย ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นอย่างนี้ แต่ละคนก็ต่างๆ กันไปเนี่ยนะคะ ก็เพราะเหตุว่าสะสมมาหลายชาติ กว่าจะเป็นคนนี้วันนี้เดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นก็เห็นได้เลยค่ะ ว่าไม่มีใครสามารถ ที่จะไปเปลี่ยนแปลง ความเป็นธรรมดา หรือความเป็นธรรมได้เลย ด้วยเหตุนี้นะคะ เมื่อเป็นผู้ที่จริงใจ เห็นการมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์นี่ค่ะ ไม่สะดวกที่จะขัดเกลากิเลส ศึกษาพระธรรมได้ เท่ากับเพศบรรพชิต เพราะอะไรคะ มีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้นแบบเป็นตัวอย่าง เป็นที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ละคลายกิเลสนะคะ ประพฤติกายวาจาอย่างไร ก็ทูลขออุปสมบท ทรงอนุญาต และก็ให้ภิกษุเหล่านั้นนะคะ รู้ตามความเป็นจริงว่า เมื่อจะเป็นภิกษุก็ต้องเป็นภิกษุ อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดไม่สามารถ ที่จะขัดเกลากิเลส ที่จะค่อยๆ คล้อยตาม ปัญญาที่เจริญขึ้น จนกระทั่งดับกิเลสได้ ผู้นั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นภิกษุ เป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นภิกษุนี่ค่ะต้องจริงใจ เพราะฉะนั้นเมื่อทูลขอให้อุปสมบท เป็นพระภิกษุแล้วเนี่ยนะคะ ทรงอนุญาตแล้วก็มีการที่ภิกษุยังมีกิเลส เพราะฉะนั้นที่ยังมีกิเลสแล้วก็จะไม่กระทำผิดเนี่ย ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อมีภิกษุรูปหนึ่งรูปใดนะคะ มีความประพฤติที่ไม่สมควร คฤหัสถ์นี่แหละค่ะ อุบาสกอุบาสิกาเป็นผู้เห็นเป็นผู้รู้ เพราะฉะนั้นก็เพ่งโทษภิกษุ ทำอย่างนี้ได้อย่างไร เมื่อเพ่งโทษแล้วนะคะ ก็ติเตียน การกระทำอย่างนี้ ไม่เหมาะไม่ควรแก่เพศภิกษุ และโพนทะนา ประกาศให้รู้กระจายข่าวทั่วไป ให้ทราบทั่วกันว่า ความประพฤติอย่างนี้ไม่เหมาะสม ถึงกับได้ไปทูลพระผู้มีพระภาค และก็พระผู้มีพระภาคก็ทรงประชุมสงฆ์ พระองค์ทรงรู้แจ้งทุกอย่าง แม้แต่เหตุที่จะให้กายวาจาเป็นไปต่างๆ แต่เพื่อให้สงฆ์ซึ่งจะเป็นภิกษุอยู่ร่วมกันต่อไป ได้อยู่ด้วยความผาสุก ก็ให้ทุกคนมีความเห็นร่วมกันนะคะ ประชุมประสงฆ์แล้วก็ให้เห็นว่า การประพฤติอย่างนี้ เหมาะมั้ยควรแก่เพศบรรพชิต เมื่อพระภิกษุร่วมกันทุกคน เห็นพ้องกันว่า เป็นความประพฤติที่ไม่สมควร ก็ทรงบัญญัติเป็นพระวินัย เพื่อขัดเกลาอย่างยิ่ง ว่าเป็นภิกษุทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้เลยค่ะ ล้อเล่นได้มั้ย ถ้าล้อเล่นก็ไม่ต้องเป็นพระภิกษุ ใช่ไหมคะ จะทำอย่างหนึ่งอย่างใด ที่เหมือนเดิมเนี่ยไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ ก็ควรที่จะได้ทราบ เพียงผู้นั้นมีศรัทธาที่ได้สะสมมานะคะ ที่ถึงการที่จะสละอาคารบ้านเรือนได้ ก็ควรแก่การกราบไหว้อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่จะได้ศึกษา แล้วก็ได้เผยแพร่คำสอนต่อๆ ไป ในภายภาคหน้าด้วย จึงเป็นรากแก้วของพระศาสนา เพราะเหตุว่าเป็นหลักสำหรับ ผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน และก็สะสมขัดเกลากิเลส จนกระทั่งเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท ถ้าหัวหน้าของพุทธบริษัทประพฤติไม่ดี รากแก้วขาด พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้มั้ย แต่ว่ายังไงก็ตามนะคะ ภิกษุมีหลายความหมาย ภิกษุไม่ใช่แต่เพียงหมายความว่า ผู้ขอ ผู้ขอในที่นี้นะคะ ไม่ใช่ขอด้วยปาก ด้วยการเลียบเคียง ด้วยการแสดงนิมิตเครื่องหมายให้รู้ ไม่ได้เลย เพราะบางคนพูดกันไม่รู้เรื่องใช่ไหมคะ ก็จะขออาหารก็ทำมือหยิบใส่ปาก นั่นก็คือการขอ โดยนิมิต โดยการแสดง กิริยาอาการ บางครั้งก็กิเลสทำให้ไม่ทำอย่างนั้น แต่ทำให้พูดเลียบเคียงอยากได้อะไรก็ไม่พูดตรงๆ คฤหัสถ์บางคนหลายคน ส่วนใหญ่ส่วนน้อยก็แล้วแต่นะคะ ก็เป็นอย่างนั้นใช่ไหม แต่เป็นคฤหัสถ์ แม้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่น่าทำเลยนะคะ แต่เมื่อไม่ได้เป็นพระภิกษุก็ไม่ต้องโทษ เพราะล่วงพระวินัย แต่ว่าผู้ที่สำนึกนะคะ ก็ค่อยๆ ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนานี่ค่ะ แสดงถึงความเป็นอนัตตา ไม่มีการบังคับให้ใครทำอะไรเลยทั้งสิ้น ทรงแสดงพระธรรมให้เข้าใจในเหตุ และในผล ว่าความประพฤติอย่างนั้น กิริยาอาการอย่างนั้น สมควรมั้ย แก่การที่จะเป็นภิกษุ เมื่อไม่สมควร ก็ทรงบัญญัติพระวินัยมากมาย แต่ว่าข้อต้นๆ นะคะ ก็คือว่าไม่รับเงิน และทอง เพราะเหตุว่าเงิน และทองนี่ค่ะ นำมาซึ่งความยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ชีวิตประจำวันของเรา เต็มไปด้วยความติดข้อง ถ้าไม่มีรูปที่ปรากฏให้เห็นทางตาจะติดข้องไหมคะ จะไปติดข้องได้ยังไงไม่มี แต่โลกนี้เป็นโลกของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งทรงใช้คำว่ากามคุณ หมายความว่า เป็นสภาพที่น่าใคร่มีใครบ้างที่ไม่ชอบ สีสันวรรณะไม่ได้มีสีเดียวเลยนะคะ เหลืองอ่อน เขียวแก่ แดงม่วงสารพัด อย่างชอบทั้งนั้น ติดข้องทั้งนั้น เพราะไม่รู้ความจริงว่า จากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ มีสำหรับให้ติดข้องด้วยความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้นะคะ โลกนี้เป็นโลกของกามคุณ ของสภาพธรรมคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งน่าใคร่น่าพอใจ ที่ใช้คำว่าโผฏฐัพพะ หมายความว่ารูปที่อ่อนหรือแข็งบ้าง นะคะ เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว กระทบสัมผัสเนี่ย ไม่มีพ้นจากอ่อนด้วยแข็ง เย็น หรือร้อนตึง หรือไหว เพราะฉะนั้นรวม ๓ รูปนี้เรียกว่าโผฏฐัพพะ คือรูปที่สามารถจะกระทบปรากฎได้ทางกาย ถ้าเราไม่เคยฟังธรรมเลยนะคะ เราก็รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สัมผัสก็คือกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวนะคะ เป็นสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบได้ จึงใช้คำว่าโผฏฐัพพะ เด็กเล็กๆ นี่ค่ะ ได้ยินคำว่าโผฏฐัพพะเนี่ยจะไม่รู้เลย ผู้ใหญ่เปิดวิทยุนะคะ แล้วก็มีรายการธรรม แล้วก็มีคำว่าโผฏฐัพพะ เขาก็ถามว่าโผฏฐัพพะเนี่ยคืออะไร แต่ว่าสำหรับเรานะคะ ที่ได้ฟังธรรมแล้วก็รู้ว่าโลกนี้ ก็เต็มไปด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทางตาหูจมูกลิ้นกาย เพราะฉะนั้นเงิน และทองนี่ค่ะ นำมาซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ใช่มั้ย ทำไมเราอยากมีเงินมากๆ ล่ะคะ เราจะได้สิ่งที่เราพอใจจะเห็น ภาพเขียนโบร่ำโบราณ หรือว่าเพชรนิลจินดา หรืออะไรก็ตามแต่นะคะ เอามาเองได้ไหมคะ ไปหยิบไปฉวยเอามาเองได้ไหม ไม่ได้ แต่เงิน และทองสิ่งที่เป็นวัตถุ ที่สามารถที่จะนำมา ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้นะคะ สามารถที่จะซื้ออะไรก็ได้ นอกจากปัญญา

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ค่ะ ว่าเพราะเหตุว่าเงิน และทองนำมาซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แสดงว่าบุคคลนั้นน่ะค่ะ ติดข้องใช่มั้ย จึงต้องการเงิน และทอง สามารถที่จะนำมาซึ่งสิ่งที่น่าพอใจ ด้วยเหตุนี้นะคะ เมื่อสละแล้วจากคฤหัสถ์ แล้วจะเอาเงินไปให้ภิกษุทำอะไร แล้วท่านจะใช้ทำอะไร ท่านก็ทำสิ่งที่ต้องการคือ ซื้อหาสิ่งที่พอใจทางตาหูจมูกลิ้นกายเป็นต้น สมควรมั้ยแก่เพศบรรพชิต สำหรับการติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสนี่นะคะ ไม่มีลดน้อย มีแต่เพิ่มขึ้น เมื่อวานนี้กับวันนี้ เมื่อวานนี้ก็ชอบ มีอาหารที่อร่อย วันนี้อาหารก็อร่อยชอบอีก เมื่อวานนี้กับวันนี้เพิ่มขึ้นแล้วใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นถ้ายิ่งเป็นผู้ที่ไม่เห็นโทษภัย ของความติดข้อง จนเกินหรือว่า ไม่เหมาะควรเป็นวิสมโลภะ คือภาษาบาลีนี่ ท่านจะแสดงคำตามระดับขั้นนะคะ อย่างความติดข้องระดับหนึ่ง ใช้คำหนึ่ง เพราะความติดข้องนั้น เพิ่มระดับขึ้นจนกระทั่งทำให้กายวาจา นี่เป็นไปในทางที่ไม่สมควร ก็ใช้คำอีกคำหนึ่งให้รู้ว่าถึงระดับนี้แล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับพระภิกษุนี่ค่ะ สิ่งที่นำมาซึ่งโทษ ต่อการเป็นภิกษุคือเงิน และทอง แต่ถ้าสละจริงๆ ไม่มีการที่จะต้องมีภาระอย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วนะคะ ภาระเนี่ยมีมากอยู่แล้ว ที่จะต้องมีชีวิตดำรงไป ทุกคนเนี่ยนะคะ มีภาระในการที่จะมีชีวิตอยู่ แต่จะอยู่แบบไหน แบบภาระมากมาย หรือว่าง่ายๆ สบายๆ พอสมควร นี่ก็เป็นอัธยาศัยที่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้นะคะ ธรรมเป็นเรื่องที่ตรงแล้วก็จริง เมื่อเป็นภิกษุแล้วต้องต่างจากคฤหัสถ์ กิจใดๆ หน้าที่ที่เคยทำในฐานะคฤหัสถ์ทำไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุ

    เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ที่ไม่รู้ค่ะ เห็นพระตักอาหารแจกคน ชื่นชม ผิดพระวินัย เพราะว่าไม่ใช่กิจของท่าน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยนะคะ ที่จะรู้ว่าใครเป็นภิกษุแล้วใครไม่ใช่ภิกษุ เพียงภายนอกก่อน ยังไม่กล่าวถึงภายใน ขณะใดก็ตามนะคะ ที่ไม่ใช่ผู้สงบ แต่งตัวไม่เรียบร้อย จีวรไม่เรียบร้อย ทุกอย่างไม่เรียบร้อยนั่นหรือภิกษุ คฤหัสถ์ทำได้นะคะ ตามแบบสมัยนิยมต่างๆ ภิกษุสมัยนิยมไม่มีนะคะ มีสมัยเดียวตลอดตั้งแต่ ๒๕๐๐ กว่าปี จนถึงสมัยไหนก็คือจีวร ๓ ผืน เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์นี่ค่ะ ควรที่จะศึกษา และเข้าใจพระวินัย เพื่อดำรงรักษาพระศาสนา ให้รู้ว่าสิ่งใดที่ไม่ควร ไม่ทำไม่ส่งเสริม ทำลายคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภิกษุในธรรมวินัยนะคะ ต้องประเภทอย่างพระองค์ ตามแบบของพระองค์ จึงสมควรที่จะเป็นบุตรที่เกิดจากพระอุระ คือปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทุกคนนี่ค่ะอย่าคิดว่านะคะ เราไหว้พระมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนให้ไหว้พระ แต่ไม่รู้ว่าพระคือใคร เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักพระที่จะไหว้นะคะ เราก็ต้องศึกษาให้รู้จักพระวินัยด้วย และขณะเดียวกันเราก็ต้องเข้าใจธรรมด้วย ไม่ใช่มีแต่พระวินัยนะคะ แต่พระธรรมทั้งหมดของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านำออกซึ่งกิเลส ธรรมนำออกซึ่งความไม่รู้หรือเปล่า นำออกซึ่งกิเลสซึ่งเกิด เพราะความไม่รู้หรือเปล่า วินัยนำออกพิเศษอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่ากายวาจา จะต้องขัดเกลามากกว่าคฤหัสถ์ พระธรรมทั้งหมดนำออกซึ่งกิเลส เพราะฉะนั้นพระธรรมเป็นวินัย พระวินัยก็เป็นพระธรรม หรือเป็นธรรมด้วยเพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจจะเป็นวินัยได้ยังไง เพราะฉะนั้นเพราะเข้าใจจึงเป็นพระวินัยนะคะ ที่ประพฤติปฏิบัติในเพศบรรพชิต

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ครับถ้าพูดถึงพระภิกษุ ที่ท่านรับเงิน และทอง ก็แน่นอนว่าท่านล่วงละเมิดพระวินัย เป็นผู้ที่ไม่มีความเคารพยำเกรง ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ เพียงความประพฤติอย่างนี้ ก็เป็นเครื่องบ่งบอกแล้วว่า ท่านเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมไม่สามารถที่จะกล่าวคำจริงให้ผู้อื่น ได้เข้าใจอย่างถูกต้องได้ เพราะว่าตัวท่านเองก็ไม่มีความเข้าใจครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจธรรมจะล่วงพระวินัยมั้ยคะ เมื่อเป็นภิกษุไม่ล่วงเลย และถ้าล่วงล่ะคะ พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาเห็นว่า การที่จะดำรงเพศภิกษุไม่ง่าย เพราะฉะนั้นผู้ใดสำนึก สามารถที่จะแสดงโทษความผิด ที่ได้ล่วงพระวินัยบัญญัติ ปลงอาบัติคือทำให้อาบัตินั้นตกไป หมดสิ้นไป สามารถที่จะเข้าเป็นภิกษุในคณะสงฆ์ ในหมู่คณะของภิกษุได้ พระสงฆ์คือหมู่คณะ แต่ถ้าภิกษุใดละเมิดพระวินัยแล้ว ไม่ปลงอาบัติ อันตรายแค่ไหนคะ

    อ.คำปั่น ครับถ้าไม่ปลงบัติ ไม่แสดงอาบัติ ไม่แสดงโทษ ไม่กระทำคืนครับ ยังปฏิญาณตนว่าเป็นภิกษุอยู่ ถ้ามรณภาพลงครับก็คือภพถัดไป ก็คือเกิดในอาบายภูมิครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ ลวงคนอื่นหรือเปล่าว่าเป็นภิกษุ ทั้งๆ ที่ละเมิดพระวินัย เพราะเหตุว่าภิกษุนี้ค่ะ ไม่ได้ทำงาน ถูกต้องไหมคะ หน้าที่ราชการไม่มี ไม่มีเงินเดือนไม่มีเงินที่จะได้มา ไม่เป็นพ่อค้าไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ยังทำงานของคฤหัสถ์เช่นหุงต้มก็ไม่ได้ ถ้าหุงต้มได้ก็เป็นคฤหัสถ์สิ เป็นทำไมล่ะภิกษุ เพราะฉะนั้นก่อนจะเป็นภิกษุนะคะ ผู้นั้นต้องเข้าใจพระธรรมก่อน ไม่ใช่ไม่รู้เลยทั้งสิ้น แล้วก็อยากจะบวช อันตรายอย่างยิ่งนะคะ เพราะบวชไปทำไม ในเมื่อไม่รู้ว่าบวชแล้ว จะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร และก็ไม่มีความเข้าใจธรรมด้วย ทั้งไม่เข้าใจธรรม และไม่ประพฤติตามพระวินัย แล้วบวชทำไม ผิดตั้งแต่ต้น ลวงคนอื่นให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ละกิเลส สละเพศคฤหัสถ์ อบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้พฤติกรรมพระวินัย แต่มีเงินทองมากมายมาจากไหน แล้วไงคะ จะกราบไหว้ไหม พระภิกษุซึ่งล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติ รับเงินรับทอง ไม่ศึกษาพระวินัย และเป็นภิกษุทำไม จะกราบไหว้ไหมคะ หรือกราบไหว้หมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่รักษาพระวินัย แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของคฤหัสถ์นะคะ แม้ภิกษุณียังสอนพระภิกษุไม่ได้ ตามพระวินัย โดยเพราะเหตุที่ว่าท่านเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท

    เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้นะคะ กล่าวทุกคำตามพระธรรมวินัย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะติ ใครจะไม่เห็นด้วย ใครจะว่า เขากำลังพูดถึงใคร ติใคร ว่าใคร เพราะทั้งหมดนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ แต่ว่าเมื่อศึกษาแล้ว รู้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมดทั้งพระธรรม และวินัย และใครจะติพระองค์ ใครจะแก้ไขสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงบัญญัติแล้ว เคารพหรือเปล่า เก่งกว่ารึเปล่า บางคนก็บอกว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป พระภิกษุต้องรับเงินทอง มีเงินทองสำหรับเป็นค่าใช้จ่าย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงตรัสรู้หรือคะว่า อนาคตกาล เหตุการณ์ต่างๆ จะเป็นอย่างไร แม้อดีตกาล แสนโกฏฏ์กัปป์มาแล้วยังทรงตรัสรู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใครก็คิดไม่ได้ ไม่สามารถจะคิดคาดคะเนใดๆ ได้เลย คือพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้นสำหรับคฤหัสถ์นี้ค่ะ จำเป็นอย่างยิ่งนะคะ ที่จะต้องศึกษาพระวินัย และพระธรรมด้วย ไม่ใช่ศึกษาแต่พระธรรม หรือว่าถ้าศึกษาแต่พระวินัย ก็จะไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร ถ้าผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ ด้วย ข้อความต่างๆ นะคะ ที่ละเอียดอย่างยิ่ง ตามเหตุการณ์ที่หัวข้อใหญ่ เป็นอีกอย่างนั้นตามอาบัติแต่ละข้อนะคะ แต่ยังมีข้อปลีกย่อยอีกต่างหาก แม้ในข้อเดียวกัน ซึ่งทำให้ความผิดนั้นมากน้อยต่างกัน

    อ.คำปั่น ในประเด็นที่สองครับ ก็คือเรื่องของสำนักปฏิบัติครับ ซึ่งแน่นอนครับ หลายท่านได้ยินคำนี้ครับ แต่ว่าความจริงแล้วคืออย่างไร ทำไมถึงแสดงว่า สำนักปฏิบัติเป็นภัยร้ายของพระพุทธศาสนาครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ในครั้งพุทธกาลมีสำนักปฏิบัติมั้ย

    อ.คำปั่น ไม่มีครับ ท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วใครทำให้มีสำนักปฏิบัติ ใครตั้งสำนักปฏิบัติ

    อ.คำปั่น ผู้ไม่รู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่ทำลายคำสอนเหรอคะ เพราะสอนสิ่งซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะอะไรคะ ไม่รู้อะไรเลย ก็ชวนกันไปปฏิบัติ นี่หรือพระพุทธศาสนา ควรเคารพมั้ยแบบนี้ ถ้าเข้าใจว่านี่คือพระพุทธศาสนา คือไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปปฏิบัติ ทำลายคำสอนของสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่มั้ย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567