ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
ตอนที่ ๙๖๗
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
อ.คำปั่น ซึ่งท่านได้ศึกษาในคำสอน ทางพุทธศาสนาเนี่ยนะครับ ก็จะเห็นถึงผู้ที่เป็นพุทธบริษัทที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือแม้กระทั่งผู้ที่เป็นเพศบรรพชิตนี่นะครับ ท่านก็ไม่ว่างเว้นเลยนะครับ จากการที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม แม้เทวดาก็ฟังก็ศึกษาพระธรรม ขออนุญาตยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่ง ที่พระวิหารเชตวันเนี่ยนะครับ ก็มียักษิณีไปกับลูกน้อยชื่อปุนัพพสุกะ ลูกเล็กชื่ออุตรา ก็มาใกล้ถึงพระวิหารเชตวัน ผู้ที่เป็นแม่ก็บอกกับลูกทั้งสองว่า ขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรม บุตรก็เป็นที่รักสามีก็เป็นที่รัก แต่ว่าท่านเหล่านี้ไม่สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่การฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แม่จะฟังธรรม ผู้ที่เป็นลูก ปุนัพพสุกะก็บอกกับแม่ว่า ขอให้แม่ฟังธรรมเถอะลูกก็จะฟังด้วย เราท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏปุประสบกับความทุกข์มากมาย เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ลูกจะฟังธรรมพร้อมกับแม่นี่แหละ แล้วก็จะคอยบอกน้องสาวดูว่าไม่ให้ร้อง นี่คือความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมนะครับ มีโอกาสได้ฟังคำจริง เป็นประโยชน์เมื่อนั้นนะครับและผลจากการฟังธรรมในครั้งนั้นนะครับ ผู้ที่เป็นมารดากับปุนัพพสุกะนี่นะครับ บรรลุเป็นพระโสดาบัน ทิพย์สมบัติเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสอง ได้มาบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน มีวิมานอยู่ที่ต้นไม้ใกล้พระคันธกุฏี ได้ฟังธรรมตลอดเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมครับ
อ.อรรณพ ยักษ์ ๓ แม่ลูกเนี่ย มีศรัทธาที่จะมาฟังพระธรรมนะครับ แล้วก็มีการปรุงแต่งของปัญญาจากการฟัง สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้๒ ท่าน เพราะฉะนั้นเนี่ยแค่เรื่องราวในพระไตรปิฏก ก็เห็นชัดว่า ไม่ต้องไปทำอะไรที่ไหน ในเมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นะครับ พระธรรมแสดงแล้วไม่ฟังให้เข้าใจ แล้วจะไปทำอะไร กราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมนะคะ ท่ามกลางความเห็นผิด เพราะว่าก่อนการตรัสรู้ ทุกคนก็เห็นผิดต่างๆ นานา มีบรรดาครูทั้ง ๖ มีอะไร ชมพูทวีปนี่ก็ใหญ่นะคะ แว่นแคว้นสาวัตถี พระนครราชคฤห์ ผู้คนมากมาย ไม่สามารถที่จะไปชักชวนใคร เพราะเหตุว่าทรงตระหนักแจ่มแจ้งตรัสรู้ในความเป็นอนัตตา ถ้าทุกคนมีความเห็นถูก ก็ไม่ต้องเดือดร้อน ที่จะต้องไปชี้แจงอะไรมากมาย เพราะเห็นถูกนะคะ แต่เพราะเห็นผิดมากมายหลายระดับ อย่างพวกเดียรถีย์นะคะ เค้าก็มีครูของเค้า ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ก็ ๖ คน ลูกศิษย์ลูกหามาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงแสดงธรรมนะคะ ไม่ใช่หมายความว่าเราจะไปทำให้เขาหันกลับมา แต่ความจริงความเข้าใจ สิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเค้าฟังแล้วก็เค้าสามารถที่จะรู้ว่า ชีวิตที่เกิดมาเนี่ยเค้าต้องการอะไร เพราะว่าเค้าถูกเครื่องล่อใช่ไหมคะ โลภะมีความต้องการ อยากได้อะไร อยากได้คำง่าย อยากได้อะไร ที่ไม่ต้องเสียเวลา พิจารณาไตร่ตรองเลย ไปสำนักปฏิบัติ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไปทำ ไม่ใช่ไปฟังให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงมีรูปแบบของการทำนะคะ เพื่ออะไรเพื่อให้เป็นพระโสดาบัน และคำสอนอย่างนี้ไม่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ เพราะเหตุว่าแม้แต่กิเลสก็ไม่รู้ เพราะเต็มไปด้วย ความต้องการที่จะไป และก็ไปแล้วก็ต้องการที่ว่าง่ายๆ ด้วย คือทำไม่เข้าใจอะไรเลย หวังว่าทำอย่างนั้น แล้วจะดับกิเลสได้ นี่คำสอนของใคร ใครสอนว่าทำอย่างนี้แล้ว จะดับกิเลสได้ ใครสอนว่าเดินจงกรม และก็ไม่ให้ความเข้าใจว่า จังกัมมะคืออะไร แม้ในภาษาเดิมนะคะ จังกัมมะ ก็คือก้าวไปตามลำดับ พระภิกษุท่านนั่งมาก ท่านไม่มีกิจธุระอย่างคฤหัสถ์ ที่จะต้องไปทำอะไรมากมายนะคะเพราะฉะนั้นผลัดเปลี่ยนอิริยาบถที่นั่ง นานด้วยการเดิน เรานั่งนานไหมคะเนี่ย ทุกคนเนี่ยค่ะมากที่สุดคือนั่ง เพราะฉะนั้นพระภิกษุท่านก็นั่งนาน เพราะฉะนั้นท่านก็ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ด้วยการเดินเท่านั้นเองค่ะ ก้าวไปตามลำดับ แต่เป็นภิกษุเพื่ออะไร ทุกก้าวเดิน เพื่อที่จะรู้ความจริงในขณะนั้น
เพราะได้ฟังว่าขณะนั้นนะคะ ไม่ใช่เราเป็นธรรม ในขณะที่เดิน หรือนั่ง หรือนอน หรือยืน ๔ อิริยาบถ หรือว่าอิริยาบถย่อยนะคะ เคลื่อนไหว เหยียดคู้ ก็เป็นธรรมหมด ธรรมล้อมรอบอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้จักธรรม เพราะฉะนั้นเขาอยากเป็นพระโสดาบันเนี่ยจะรู้อะไรไม่รู้ธรรม และเป็นพระโสดาบันได้มั้ย แล้วก็ใช้คำว่าสำนักปฏิบัติ ชื่อก็บ่งตรงชัดเจนว่าทำ และหนทางที่ไปก็คือไปทำ ไม่ใช่ไปเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ทำอะไรคะ เดิน เดินยังไงคะ ก็เดินให้รู้อะไร ให้รู้หรือว่าเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า ในขณะที่เดิน หรือว่าทำตามคำบอกเล่า ทำตามคำสั่ง มีการบ้าน มีอะไรต่ออะไรอย่างงี้ค่ะ นี่คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังมี ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าภายใน ภายนอก หน้าหลัง บนล่าง ล้อมรอบเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่มีอะไรพ้นจากธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ต้องไปไหนมั้ย จึงจะรู้ ถามว่า ก็มีธรรมอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วไปสำนักปฏิบัติจะรู้ธรรมอะไร ผู้ที่ไปแล้วนี่ค่ะ ทำแล้วจะรู้อะไรเมื่อไม่รู้ ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นการทำลายคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ เป็นการทำลายโดยตรงที่ว่า ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ธรรมก็ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะ มีสหายธรรมท่านที่มาใหม่ ไม่เข้าใจเลยค่ะ ท่านอาจารย์ว่าไม่ใช่เรา ไม่เป็นตัวตน สัตว์บุคคลเข้าใจยากมาก
ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าเข้าใจง่ายๆ จะต้องมีการบำเพ็ญบารมีที่จะตรัสรู้มั้ย ค่ะ เพราะฉะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย เคารพในอะไร ในคำง่ายๆ ไม่ต้องฟังก็รู้อย่างนั้นหรือ หรือว่าแต่ละคำเนี่ยเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เช่นแม้แต่เห็นมีจริง แล้วเมื่อเช้านี้ ก็ถามให้คิดว่า แล้วเข้าใจเห็นหรือยัง ก็เห็นมีจริง แล้วถ้าไม่เข้าใจเห็น จะเข้าใจอะไร ทุกอย่างที่มีจริงนี่ค่ะ มีแต่ว่าเข้าใจหรือยัง ถ้าไม่เข้าใจนะคะ สามารถที่จะเข้าใจได้โดยการได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ต้องการความจริงนะคะ มีศรัทธาที่จะรู้ และเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเนี่ย สนทนากันได้ไม่ยาก เช่นถามว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เห็นไหมคะ แค่ถามเนี่ยรู้เลยว่า คนนั้นรู้จักธรรมหรือเปล่า เข้าใจธรรมหรือเปล่า รึว่าไม่รู้เลยได้ยินแต่เชื่อว่าธรรม แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นเพียงคำถามคำเดียวว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม มีเหรอค่ะ อะไรเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ค่ะ เห็นได้ยิน
เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น และดับไปรึเปล่า แล้วจะรู้ความจริงเมื่อไหร่ เมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะไปไหนล่ะ ไปก็ไม่รู้ ไม่รู้ก็ไป ไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะว่ามีความจริงอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่เมื่อฟังพระธรรมแล้วนะคะ สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักว่าใครคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นไม่ใช่ เพราะไม่ได้พูดถึงสิ่งที่กำลังมี ตามความเป็นจริงชัดเจน ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นการละกิเลส หมายความว่าละความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ก็ไม่รู้สิ่งที่มีอยู่ ไม่รู้ธรรมสักอย่างเดียว แต่ว่าถ้าจะรู้ได้ ไม่ใช่ด้วยความคิดของเราเองแต่ แต่ละคำที่ตรัสไว้ดีแล้วนี่ค่ะ เป็นปัญญาทั้งหมด เห็นมีจริง เป็นปัญญารึเปล่าคะ ที่รู้ว่าเห็นอย่างนี้ ก็เห็นมีจริง มีจริงก็ต้องมีจริง เพราะฉะนั้นรู้ความจริงอะไร ก็ต้องรู้ความจริงของเห็น ในขณะที่มีเห็น แล้วก็มีเห็นอยู่ตลอดเวลา เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ตลอดเวลา จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วไม่ใช่เราด้วยค่ะที่เข้าใจ แม้เข้าใจก็เป็นธรรม รู้หรือเปล่า แต่คนที่ไปสำนักปฏิบัติเนี่ยเรารู้ เราเข้าใจ เราเป็นพระโสดาบัน เราถึงวิปัสสนา เราหมดเลย ถูกหรือเปล่า แม้แต่คำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ที่ว่าเราน่ะอะไร ลองตอบซิ รูปเป็นเราหรือเปล่า ความรู้สึกเป็นเราหรือเปล่า ก่อนฟังธรรมนะคะ รูปนี่เราแน่ จะเป็นใครได้ยังไงความรู้สึกเป็นเราหรือเปล่า ก็เป็นเรา ความจำมีเป็นเราหรือเปล่า ก็เราสิคะที่จำ ใครจะมาจำ นอกจากเราจำ
เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ นี่ค่ะ ไม่ได้เข้าใจเลยว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นวิธีทดสอบ วิธีที่จะสนทนากันให้คนที่ไปสู่สำนักปฏิบัตินี่นะคะ ได้มีความเข้าใจถูกต้องถ้าเขาเพียงคิด และก็ตอบแต่ความเป็นจริง เขาก็จะรู้ได้ว่าไม่ต้องไปไหนขณะที่กำลังฟังธรรม มีผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะปัจจัย คือปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วนานมาก โดยที่เค้าเองก็ไม่รู้ ท่านพระสารีบุตรไม่รู้ก่อนเลยว่าจะพบท่านพระอัสสชิ แล้วเมื่อพบเห็นท่านพระอัสสชิ ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นพระโสดาบัน พอฟังธรรมแล้วเป็นพระโสดาบัน มาจากไหน รู้ความจริงในขณะนั้น เพราะได้สะสมมา ไม่ต้องไปไหนเลย ปัญญาเกิดเมื่อไหร่รู้ความจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนั้น นี่จึงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.ชุมพร ท่านอาจารย์พูดถึงเข้าใจคำว่าธรรม อย่างเช่นเห็นค่ะท่านอาจารย์ค่ะ ตามที่เราเข้าใจ ก็คือเราไม่ได้เห็นเป็นสัตว์บุคคลจริงๆ เราเห็นสี แต่ด้วยความเข้าใจที่เราได้ฟังมาเนี่ย เราก็จำว่าเห็นสี เหมือนกับเป็นขั้น
ท่านอาจารย์ ฟังมาแล้วใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้ฟังจะฟังรู้เรื่องมั้ย
อ.ชุมพร คนที่ไม่ได้ฟังก็คงจะงงๆ นะคะ ว่าเอ๊ะมันคนเนี่ยทำไมเป็นสีได้ยังไง
ท่านอาจารย์ ต้องให้เค้าคิด ว่าเขาเห็นอะไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมากนะคะ เพราะเหตุว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็จะทรงแสดงเรื่องสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่นี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมคำนี้ ลืมไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรม แค่รู้ความจริงอย่างนี้ หมดสิ้นเมื่อไหร่ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่เมื่อยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์นะคะ ก็ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ค่ะ ประมาทไม่ได้เลย ว่าเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจยากแสนยาก เพราะเหตุว่าพระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมี เป็นปกติเดี๋ยวนี้เอง ซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ใช่ไหมคะ ลึกซึ้งอย่างไร ก็เห็นทุกคนก็เห็น แต่ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น แล้วก็บอกว่าเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะ ที่เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นทุกคำนี่ค่ะ ไม่ใช่หมายความว่าฟังแล้วไม่ต้องฟังอีก แต่ฟังแล้วนะคะ ก็เตือนจนกว่าจะกำลังเห็น และก็เริ่มเข้าใจเห็นเนี่ย เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นแล้วก็ดับไป เพราะว่าขณะอื่นนะคะ ได้ยินไม่ใช่เห็นเกิดขึ้นได้ยิน เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่เสียงปรากฏนะคะ ต้องไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ละ ๑ ซึ่งไม่ปะปนกัน
อ.ชุมพร แต่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้เคยได้ยินนะคะ พูดถึงเห็นสีก็คง
ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็นสีเลย เห็นสีก็ยังยาวไกล เพียงแต่ให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เนี่ยเป็นธรรมหรือเปล่า หรือยังคงเป็นเรา เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ นั่นคือมีสิ่งที่มีจริง ไม่เคยเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่รู้เห็นก่อน กำลังเห็นนี่รู้เห็นก่อน ถ้ากล่าวถึงเห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นเปล่าๆ ได้มั้ยคะ ไม่มีอะไรถูกเห็นเลยสักอย่างได้มั้ย เห็นอะไรแม้แต่ตอบว่าไม่เห็นอะไร ก็ยังมีสิ่งที่ถูกเห็นว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่อะไร จึงกล่าวว่าไม่เห็นอะไร แต่ความจริงเห็นเกิดแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามนะคะ ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริง ก็คือว่าสิ่งหนึ่งนี่ค่ะ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ถูกเห็นมีจริงๆ ให้เห็น แต่สิ่งที่มีจริงให้เห็น ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ที่กล่าวว่าเห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะว่าเห็นเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้นะคะ ถ้าไม่มีสภาพรู้ไม่มีธาตุรู้ ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เกิดเป็นแข็งไม่มีสภาพรู้ เกิดเป็นรสเผ็ดร้อนอะไรก็ตามแต่นะคะ ก็ไม่ใช่สภาพรู้ แต่เมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นจะบอกว่า ธาตุรู้เป็นสิ่งที่ไม่รู้ไม่ได้ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ต้องรู้ทั้งนั้นค่ะ ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่ว่าเป็นคนเป็นสัตว์เนี่ยนะคะ เป็นนก เป็นงู เป็นช้างก็ตามแต่ ต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีธาตุรู้ ก็เป็นแต่แข็ง หรือเป็นแต่เสียง หรือเป็นแต่กลิ่น
เพราะฉะนั้นต้องแยก ๒ อย่าง ตั้งแต่ขั้นฟัง มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าเรากำลังฟังธรรม คือฟังสิ่งที่มีจริงให้เริ่มเข้าใจ ตามลำดับขั้น ไม่กระโดดเลยนะคะ เพราะว่าคนที่ฟังมานานแล้วก็ยังไม่เข้าใจเห็น จำได้เห็นกำลังเห็น เห็นมีจริงๆ ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น ก็จำได้อย่างนี้ใช่ไหมคะ แต่กำลังเห็นจริงๆ ที่จะรู้ว่าขณะนั้นนะคะ เป็นธาตุชนิด ๑ ธาตุคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครไม่สามารถ ที่จะเปลี่ยนแปลง ลักษณะนั้นได้เลย เปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนไม่ได้เลยค่ะ อ่อนเกิดขึ้นเป็นอ่อน จะให้อ่อนเป็นหวานไม่ได้ หวานคือหวาน อ่อนคืออ่อน แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นจะกล่าวก็ได้นะคะ ว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ก็เป็นธาตุ ธ า ต ุ เป็นธาตุซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ลองให้ธาตุชนิดไหนเกิดสักธาตุ ๑ สิคะ เป็นไปได้ไหมคะ มีใครทำให้ธาตุหนึ่งธาตุใดเกิดขึ้นได้ไหม
อ.ชุมพร ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ลืมว่าที่เกิดแล้ว นี่แหละเป็นธาตุ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำเลยค่ะ เห็นแล้วไม่มีใครไปทำ แต่เห็นเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ที่จะต้องเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นจักขุปสาท รูป ๑ พิเศษ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่จักขุคือตา เนี้ยไม่เห็นค่ะ มีตาจริง มีหูจริง แต่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ธาตุรู้ต่างหากที่อาศัยตา เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจะข้ามไปหาอย่างอื่นไหมคะ โดยการที่ฟังเท่าไร ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และความเข้าใจนั่นก็ไม่ใช่เรา มีจริงๆ ค่ะ ชั่วคราวแล้วก็หมดไป และความไม่เข้าใจอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งสะสมมาก็เกิด ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ด้วยความไม่ประมาทเท่านั้นนะคะ ที่สามารถจะทำให้ค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะว่าจะไม่มีใครรู้ กำลังถามเนี่ยบางทีอยากถาม เป็นธาตุชนิดหนึ่งนะคะ อยากก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าอยากถาม เพื่อฟังคำพูด หรือเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ถ้าเผื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงนะคะ ไม่ว่าจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามนะคะ เป็นสิ่งซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ความจริงของสิ่งที่มีจริง นานเท่าไหร่ที่สะสมพระบารมี ที่จะตรัสรู้ความจริง ที่จะทรงแสดงให้คนอื่นได้ยินได้ฟังว่า เห็นมีจริง แต่เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วเห็นก็ดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราหรือใครเลยที่เห็น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ
อ.ชุมพร บางทีก็คิดเอาเอง ตามคำพูดท่านอาจารย์ว่า ขณะนี้เห็นถ้าไม่พูดถึงเห็นเนี่ย ก็จะไม่จ้องให้เห็น
ท่านอาจารย์ ขอโทษนะคะเพราะฉะนั้นเวลาได้ยินเนี่ยนะคะ คำใดฟัง ไม่คิดเรื่องอื่น ถ้าใช้คำว่าฟัง หมายความว่ากำลังคิด โดยเราไม่รู้นะคะ แต่คิดถึงเสียงที่ได้ยินเป็นคำๆ ไม่คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะฟังพระธรรม ก็คือรู้จริงๆ ว่าฟังก็คือว่าแต่ละคำเนี่ย เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ให้เราไปคิดเรื่องอื่นเลย เพราะเหตุว่าถ้าขณะที่ฟังแล้วคิดเองหมด คิดเรื่องอื่นหมด นั่นคือไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งลึกซึ้งนะคะ เพราะว่าพูดไปเถอะ เห็นก็กำลังเห็นเนี่ย แล้วก็บอกว่าเห็นก็มีจริงๆ แต่คิดอย่างอื่นละ ไม่ฟังละ ว่าเห็นมีจริงๆ เห็นเกิดแล้วใช่ไหม ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าคิดเรื่องอื่นอีก ก็ไม่ได้ยินคำนี้ เห็นเกิดแล้ว ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้น เพราะเห็นเกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าตาบอดไม่เห็นเลย เห็นเกิดไม่ได้เลย ค่อยๆ เข้าใจความจริงซึ่งเป็นธรรมมีจริงนะคะ แต่ว่าไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย
อ.ชุมพร จริงๆ แล้วก็พอศึกษาธรรม แล้วก็ไม่พ้นโลภะที่อยากจะรู้ว่า สติปัฏฐานนี้เกิดยังไง ขณะที่เห็นแล้วก็กลายเป็นคิดไปแล้วค่ะ เพราะไม่ได้ไปคิดตรงนั้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าถามคน ที่ฟังสั้นๆ บ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย เห็นมีจริงไหมคะ มีจริง ฟังเรื่องอะไรคะ ฟังเรื่องเห็น เพราะไม่เคยรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ไม่รู้ด้วยว่าเห็นเกิดแล้ว ทุกครั้งที่พูดแล้วมีเห็นเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดเลย นี่ค่ะค่อยๆ เข้าใจความไม่ใช่เรา เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด เกิดเพราะมีเหตุปัจจัย ที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ได้กลับมาเลยซัก ๑ แล้วไม่มีใครรู้ด้วยว่าแต่ละ ๑ เนี่ยละเอียดแค่ไหน เกิดแล้วดับมากมายมหาศาล แต่ก็ทรงจำแนกสิ่งที่มีจริงเลยค่ะ เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ สภาพที่ไม่รู้อะไรมีแน่นอน ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ เห็นใครรึเปล่าคะ ไม่เห็นเลยใช่ไหมคะ เกิดขึ้นแข็ง เกิดขึ้นเย็น เกิดขึ้นเป็นเสียง เกิดขึ้นเป็นร้อน พวกนี้ค่ะ เกิดแล้วไม่ให้เกิดได้ไหมคะ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมาย ของคำว่าอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยงหรือยั่งยืน เมื่อมีปัจจัยเกิดแล้วดับทันที แค่เกิดแล้วดับ แต่ก่อนดับมีลักษณะอาการต่างๆ หลากหลายมาก เป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งถ้าไม่เข้าใจจริงๆ นะคะ ก็ไม่มีวันที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราเลย เพราะรวมกันหมด สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏนี่ค่ะรวมกันแล้วเป็นคน แต่ลืมว่าเห็นมี ได้ยินมี ไม่อย่างงั้นก็ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากนะคะ ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออยากจะรู้แจ้งสัจธรรม เป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางถึง เพราะไม่รู้ว่าธรรมเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เป็นเรื่องติดข้อง แต่ละได้ด้วยความรู้ ความเข้าใจ ถ้ายังไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ละไม่ได้เลยค่ะ ยังไงยังไงก็เราเห็น ยังไงๆ ก็เราได้ยิน ยังไงๆ ก็เราชอบ ยังไงๆ เราก็อยากฟังธรรม ใช่ไหมคะ ทั้งหมดเนี่ยก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งละเอียดมาก แต่ไม่ปะปนกัน แม้แต่ความอยาก
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020