ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๖๗

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    อ.คำปั่น ซึ่งถ้าได้ศึกษาในคำสอนทางพุทธศาสนาก็จะเห็นถึงผู้ที่เป็นพุทธบริษัทที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือแม้กระทั่งผู้ที่เป็นเพศบรรพชิต ท่านก็ไม่ว่างเว้นเลยจากการที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม แม้เทวดาก็ฟังก็ศึกษาพระธรรม ขออนุญาตยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่พระวิหารเชตวัน ก็มียักษิณีไปกับลูกน้อยชื่อปุนัพพสุกะ ลูกเล็กชื่ออุตรา ก็มาใกล้ถึงพระวิหารเชตวัน ผู้ที่เป็นแม่ก็บอกกับลูกทั้งสองว่า ขณะนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรม บุตรก็เป็นที่รัก สามีก็เป็นที่รัก แต่ว่าท่านเหล่านี้ไม่สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่การฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แม่จะฟังธรรม ผู้ที่เป็นลูก ปุนัพพสุกะก็บอกกับแม่ว่า ขอให้แม่ฟังธรรมเถิด ลูกก็จะฟังด้วย เราท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏประสบกับความทุกข์มากมายเพราะไม่ได้ฟังพระธรรม ลูกจะฟังธรรมพร้อมกับแม่ แล้วก็จะคอยบอกน้องสาวด้วยว่าไม่ให้ร้อง นี่คือความเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม มีโอกาสได้ฟังคำจริงเป็นประโยชน์เมื่อนั้น และผลจากการฟังธรรมในครั้งนั้น ผู้ที่เป็นมารดากับปุนัพพสุกะบรรลุเป็นพระโสดาบัน ทิพย์สมบัติเกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน มีวิมานอยู่ที่ต้นไม้ใกล้พระคันธกุฎี ได้ฟังธรรมตลอดเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม

    อ.อรรณพ ยักษ์ ๓ แม่ลูกมีศรัทธาที่จะมาฟังพระธรรม แล้วก็มีการปรุงแต่งของปัญญาจากการฟัง สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ๒ ท่าน เพราะฉะนั้นแค่เรื่องราวในพระไตรปิฎก ก็เห็นชัดว่า ไม่ต้องไปทำอะไรที่ไหน ในเมื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมแสดงแล้วไม่ฟังให้เข้าใจ แล้วจะไปทำอะไร

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมท่ามกลางความเห็นผิด เพราะว่าก่อนการตรัสรู้ ทุกคนก็เห็นผิดต่างๆ นานา มีบรรดาครูทั้ง ๖ มีอะไร ชมพูทวีปนี่ก็ใหญ่ แว่นแคว้นสาวัตถี พระนครราชคฤห์ ผู้คนมากมาย ไม่สามารถที่จะไปชักชวนใคร เพราะเหตุว่าทรงตระหนักแจ่มแจ้งตรัสรู้ในความเป็นอนัตตา ถ้าทุกคนมีความเห็นถูก ก็ไม่ต้องเดือดร้อนที่จะต้องไปชี้แจงอะไรมากมาย เพราะเห็นถูก แต่เพราะเหตุว่าเห็นผิดมากมายหลายระดับ อย่างพวกเดียรถีย์เขาก็มีครูของเขาที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น ก็ ๖ คน ลูกศิษย์ลูกหามาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทรงแสดงธรรม ไม่ใช่หมายความว่าเราจะไปทำให้เขาหันกลับมา แต่ความจริงความเข้าใจสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเขาฟังแล้วก็เขาสามารถที่จะรู้ว่า ชีวิตที่เกิดมาเขาต้องการอะไร เพราะว่าเขาถูกเครื่องล่อใช่ไหม โลภะมีความต้องการ อยากได้อะไร อยากได้คำง่าย อยากได้อะไรที่ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาไตร่ตรองเลย ไปสำนักปฏิบัติ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าไปทำ ไม่ใช่ไปฟังให้เข้าใจ

    เพราะฉะนั้นจึงมีรูปแบบของการทำ เพื่ออะไร เพื่อให้เป็นพระโสดาบัน แล้วคำสอนอย่างนี้ไม่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ เพราะเหตุว่าแม้แต่กิเลสก็ไม่รู้ เพราะเต็มไปด้วยความต้องการที่จะไป และก็ไปแล้วก็ต้องการที่ว่าง่ายๆ ด้วย คือทำ ไม่เข้าใจอะไรเลย หวังว่าทำอย่างนั้นแล้วจะดับกิเลสได้ นี่คำสอนของใคร ใครสอนว่าทำอย่างนี้แล้วจะดับกิเลสได้ ใครสอนว่าเดินจงกรม แล้วก็ไม่ให้ความเข้าใจว่า จังกัมมะคืออะไร แม้ในภาษาเดิม จังกัมมะ ก็คือก้าวไปตามลำดับ พระภิกษุท่านนั่งมาก ท่านไม่มีกิจธุระอย่างคฤหัสถ์ที่จะต้องไปทำอะไรมากมาย เพราะฉะนั้นผลัดเปลี่ยนอิริยาบถที่นั่งนานด้วยการเดิน เรานั่งนานไหม ทุกคนมากที่สุดคือนั่ง เพราะฉะนั้นพระภิกษุท่านก็นั่งนาน เพราะฉะนั้นท่านก็ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถด้วยการเดินเท่านั้นเอง ก้าวไปตามลำดับ แต่เป็นภิกษุเพื่ออะไร ทุกก้าวเดิน เพื่อที่จะรู้ความจริงในขณะนั้น เพราะได้ฟังว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นธรรม ในขณะที่เดิน หรือนั่ง หรือนอน หรือยืน ๔ อิริยาบถ หรือว่าอิริยาบถย่อย เคลื่อนไหว เหยียดคู้ ก็เป็นธรรมหมด ธรรมล้อมรอบอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครรู้จักธรรม

    เพราะฉะนั้นเขาอยากเป็นพระโสดาบันจะรู้อะไร ไม่รู้ธรรมแล้วเป็นพระโสดาบันได้ไหม แล้วก็ใช้คำว่าสำนักปฏิบัติ ชื่อก็บ่งตรงชัดเจนว่าทำ และหนทางที่ไปก็คือไปทำ ไม่ใช่ไปเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ทำอะไร เดิน โดยอย่างไร ก็เดินให้รู้อะไร ให้รู้หรือว่าเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า ในขณะที่เดิน หรือว่าทำตามคำบอกเล่า ทำตามคำสั่ง มีการบ้าน มีอะไรต่ออะไรอย่างนี้ นี่คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมี ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าภายใน ภายนอก หน้าหลัง บนล่าง ล้อมรอบเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่มีอะไรพ้นจากธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ต้องไปไหนไหม จึงจะรู้ธรรม ก็มีธรรมอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วไปสำนักปฏิบัติจะรู้ธรรมอะไร ผู้ที่ไปแล้ว ทำแล้วจะรู้อะไร เมื่อไม่รู้ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ เป็นการทำลายโดยตรงที่ว่า ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้แต่ธรรมก็ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรม

    อ.กุลวิไล มีสหายธรรมท่านที่มาใหม่ ไม่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ไม่เป็นตัวตน สัตว์บุคคลเข้าใจยากมาก

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจง่ายๆ จะต้องมีการบำเพ็ญบารมีที่จะตรัสรู้ไหม เพราะฉะนั้นเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพในอะไร ในคำง่ายๆ ไม่ต้องฟังก็รู้อย่างนั้นหรือ หรือว่าแต่ละคำเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เช่นแม้แต่เห็นมีจริง แล้วเมื่อเช้านี้ ก็ถามให้คิดว่า แล้วเข้าใจเห็นหรือยัง ก็เห็นมีจริง แล้วถ้าไม่เข้าใจเห็น จะเข้าใจอะไร ทุกอย่างที่มีจริง มีแต่ว่าเข้าใจหรือยัง ถ้าไม่เข้าใจ สามารถที่จะเข้าใจได้โดยการได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ต้องการความจริง มีศรัทธาที่จะรู้ และเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง สนทนากันได้ไม่ยาก เช่นถามว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม เห็นไหม แค่ถามรู้เลยว่า คนนั้นรู้จักธรรมหรือเปล่า เข้าใจธรรมหรือเปล่า หรือว่าไม่รู้เลยได้ยินแต่ชื่อว่าธรรม แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นเพียงคำถามคำเดียวว่า เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม มีหรือ อะไรเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เห็นได้ยิน

    เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น และดับไปหรือเปล่า แล้วจะรู้ความจริงเมื่อใด เมื่อสิ่งนั้นกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นจะไปไหน ไปก็ไม่รู้ ไม่รู้ก็ไป ไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะว่ามีความจริงอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่เมื่อฟังพระธรรมแล้วสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้จักว่าใครคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นไม่ใช่ เพราะไม่ได้พูดถึงสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริงชัดเจน ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นการละกิเลส หมายความว่าละความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ก็ไม่รู้สิ่งที่มีอยู่ ไม่รู้ธรรมสักอย่างเดียว แต่ว่าถ้าจะรู้ได้ ไม่ใช่ด้วยความคิดของเราเอง แต่แต่ละคำที่ตรัสไว้ดีแล้วเป็นปัญญาทั้งหมด เห็นมีจริง เป็นปัญญาหรือเปล่าที่รู้อย่างนี้ว่าเห็นมีจริง มีจริงก็ต้องมีจริง เพราะฉะนั้นรู้ความจริงอะไร ก็ต้องรู้ความจริงของเห็นในขณะที่มีเห็น แล้วก็มีเห็นอยู่ตลอดเวลา เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ตลอดเวลา จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วไม่ใช่เราด้วยที่เข้าใจ แม้เข้าใจก็เป็นธรรม รู้หรือเปล่า แต่คนที่ไปสำนักปฏิบัติ เรารู้ เราเข้าใจ เราเป็นพระโสดาบัน เราถึงวิปัสสนาญาณ เราหมดเลย ถูกหรือเปล่า แม้แต่คำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ที่ว่าเราอะไร ลองตอบ รูปเป็นเราหรือเปล่า ความรู้สึกเป็นเราหรือเปล่า ก่อนฟังธรรม รูปนี่เราแน่ จะเป็นใครได้อย่างไร ความรู้สึกเป็นเราหรือเปล่า ก็เป็นเรา ความจำมีเป็นเราหรือเปล่า ก็เราที่จำ ใครจะมาจำ นอกจากเราจำ

    เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ไม่ได้เข้าใจเลยว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นวิธีทดสอบ วิธีที่จะสนทนากันให้คนที่ไปสู่สำนักปฏิบัติได้มีความเข้าใจถูกต้อง ถ้าเขาเพียงคิด และก็ตอบตามความเป็นจริง เขาก็จะรู้ได้ว่าไม่ต้องไปไหนขณะที่กำลังฟังธรรม มีผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะปัจจัย คือปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วนานมาก โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ ท่านพระสารีบุตรไม่รู้ก่อนเลยว่าจะพบท่านพระอัสสชิ แล้วเมื่อพบเห็นท่านพระอัสสชิ ก็ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นพระโสดาบัน พอฟังธรรมแล้วเป็นพระโสดาบัน มาจากไหน รู้ความจริงในขณะนั้น เพราะได้สะสมมา ไม่ต้องไปไหนเลย ปัญญาเกิดเมื่อใด รู้ความจริงที่กำลังปรากฏในขณะนั้น นี่จึงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    อ.ชุมพร ท่านอาจารย์พูดถึงเข้าใจคำว่าธรรม อย่างเช่นเห็น ตามที่เราเข้าใจ ก็คือเราไม่ได้เห็นเป็นสัตว์บุคคลจริงๆ เราเห็นสี แต่ด้วยความเข้าใจที่เราได้ฟังมา เราก็จำว่าเห็นสี เหมือนกับเป็นขั้น

    ท่านอาจารย์ ฟังมาแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้ฟังจะฟังรู้เรื่องไหม

    อ.ชุมพร คนที่ไม่ได้ฟังก็คงจะงงๆ ว่าคน ทำไมเป็นสีได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องให้เขาคิดว่าเขาเห็นอะไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก เพราะเหตุว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จะทรงแสดงเรื่องสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่นี่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คำนี้ลืมไม่ได้ ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้หมดสิ้นเมื่อใดถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่เมื่อยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ประมาทไม่ได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจยากแสนยาก เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่กำลังมี เป็นปกติเดี๋ยวนี้เอง ซึ่งใครก็รู้ไม่ได้ใช่ไหม ลึกซึ้งอย่างไร ก็เห็นทุกคนก็เห็น แต่ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น แล้วก็บอกว่าเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่เกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นทุกคำไม่ใช่หมายความว่าฟังแล้วไม่ต้องฟังอีก แต่ฟังแล้วก็เตือนจนกว่าจะกำลังเห็น และก็เริ่มเข้าใจเห็น เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะว่าขณะอื่นได้ยินไม่ใช่เห็นเกิดขึ้นได้ยิน เห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่เสียงปรากฏ ต้องไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ปะปนกัน

    อ.ชุมพร สำหรับผู้ที่ไม่ได้เคยได้ยิน พูดถึงเห็นสีก็คง

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็นสีเลย เห็นสีก็ยังยาวไกล เพียงแต่ให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือเปล่า หรือยังคงเป็นเรา เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ นั่นคือมีสิ่งที่มีจริง ไม่เคยเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง แต่รู้เห็นก่อน กำลังเห็นนี่รู้เห็นก่อน ถ้ากล่าวถึงเห็นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นเปล่าๆ ได้ไหม ไม่มีอะไรถูกเห็นเลยสักอย่างได้ไหม เห็นอะไรแม้แต่ตอบว่าไม่เห็นอะไร ก็ยังมีสิ่งที่ถูกเห็นว่าไม่มีอะไร ไม่ใช่อะไร จึงกล่าวว่าไม่เห็นอะไร แต่ความจริงเห็นเกิดแล้วเมื่อใดก็ตามต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่มีจริง ก็คือว่าสิ่งหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ถูกเห็นมีจริงๆ ให้เห็น แต่สิ่งที่มีจริงให้เห็นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ที่กล่าวว่าเห็นเดี๋ยวนี้กำลังเห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีสภาพรู้ไม่มีธาตุรู้ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เกิดเป็นแข็งไม่มีสภาพรู้ เกิดเป็นรสเผ็ดร้อนอะไรก็ตามแต่ ก็ไม่ใช่สภาพรู้ แต่เมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นจะบอกว่า ธาตุรู้เป็นสิ่งที่ไม่รู้ไม่ได้ เกิดขึ้นเมื่อใดต้องรู้ทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นนก เป็นงู เป็นช้างก็ตามแต่ ต้องมีธาตุรู้เกิดขึ้น ถ้าไม่มีธาตุรู้ ก็เป็นแต่แข็ง หรือเป็นแต่เสียง หรือเป็นแต่กลิ่น

    เพราะฉะนั้นต้องแยก ๒ อย่าง ตั้งแต่ขั้นฟัง มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าเรากำลังฟังธรรม คือฟังสิ่งที่มีจริงให้เริ่มเข้าใจตามลำดับขั้น ไม่กระโดดเลย เพราะว่าคนที่ฟังมานานแล้วก็ยังไม่ได้เข้าใจเห็น จำได้เห็นกำลังเห็น เห็นมีจริงๆ ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น ก็จำได้อย่างนี้ใช่ไหม แต่กำลังเห็นจริงๆ ที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ธาตุคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นได้เลย เปลี่ยนธาตุ เปลี่ยนไม่ได้เลย อ่อนเกิดขึ้นเป็นอ่อน จะให้อ่อนเป็นหวานไม่ได้ หวานคือหวาน อ่อนคืออ่อน แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นจะกล่าวก็ได้ว่าสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง ก็เป็นธาตุ ธา-ตุ เป็นธาตุซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ ลองให้ธาตุชนิดไหนเกิดสักธาตุหนึ่ง เป็นไปได้ไหม มีใครทำให้ธาตุหนึ่งธาตุใดเกิดขึ้นได้ไหม

    อ.ชุมพร ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่ลืมว่าที่เกิดแล้ว นี่เองเป็นธาตุ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำเลย เห็นแล้วไม่มีใครไปทำ แต่เห็นเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ที่จะต้องเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นจักขุปสาทรูปหนึ่งพิเศษ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แต่จักขุคือตา ไม่เห็น มีตาจริง มีหูจริง แต่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ธาตุรู้ต่างหากที่อาศัยตา เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจะข้ามไปหาอย่างอื่นไหม โดยการที่ฟังเท่าใด ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น และความเข้าใจนั่นก็ไม่ใช่เรา มีจริงๆ ชั่วคราวแล้วก็หมดไป และความไม่เข้าใจอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งสะสมมาก็เกิด ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงด้วยความไม่ประมาทเท่านั้น ที่สามารถจะทำให้ค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะว่าจะไม่มีใครรู้ กำลังถาม บางทีอยากถาม เป็นธาตุชนิดหนึ่ง อยากก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าถ้าอยากถาม เพื่อฟังคำพูดหรือเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ถ้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เป็นสิ่งซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง นานเท่าใดที่สะสมพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง ที่จะทรงแสดงให้คนอื่นได้ยินได้ฟังว่า เห็นมีจริง แต่เห็นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วเห็นก็ดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราหรือใครเลยที่เห็น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ

    อ.ชุมพร บางทีก็คิดเอาเอง ตามคำพูดท่านอาจารย์ว่า ขณะนี้เห็นถ้าไม่พูดถึงเห็น ก็จะไม่จ้องให้เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเวลาได้ยินคำใด ฟัง ไม่คิดเรื่องอื่น ถ้าใช้คำว่าฟัง หมายความว่ากำลังคิด โดยเราไม่รู้ แต่คิดถึงเสียงที่ได้ยินเป็นคำๆ ไม่คิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้นผู้ที่จะฟังพระธรรม ก็คือรู้จริงๆ ว่าฟังก็คือว่าแต่ละคำเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ไม่ใช่ให้เราไปคิดเรื่องอื่นเลย เพราะเหตุว่าถ้าขณะที่ฟังแล้วคิดเองหมด คิดเรื่องอื่นหมด นั่นคือไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งลึกซึ้ง เพราะว่าพูดไปเถิด เห็นก็กำลังเห็น แล้วก็บอกว่าเห็นก็มีจริงๆ แต่ว่าคิดเรื่องอื่นแล้ว ไม่ฟังแล้วว่าเห็นมีจริงๆ เห็นเกิดแล้วใช่ไหม ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าคิดเรื่องอื่นอีก ก็ไม่ได้ยินคำนี้ เห็นเกิดแล้ว ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดขึ้น เพราะเห็นเกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าตาบอดไม่เห็นเลย เห็นเกิดไม่ได้เลย ค่อยๆ เข้าใจความจริงซึ่งเป็นธรรมมีจริง แต่ว่าไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย

    อ.ชุมพร จริงๆ แล้วก็พอศึกษาธรรม ก็ไม่พ้นโลภะที่อยากจะรู้ว่า สติปัฏฐานเกิดอย่างไร ขณะที่เห็นแล้วก็กลายเป็นคิดไปแล้ว เพราะไม่ได้ไปคิดตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าถามคนที่ฟังสั้นๆ บ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยว่า เห็นมีจริงไหม มีจริง ฟังเรื่องอะไร ฟังเรื่องเห็น เพราะไม่เคยรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา ไม่รู้ด้วยว่าเห็นเกิดแล้ว ทุกครั้งที่พูดแล้วมีเห็น เห็นเกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดเลย ค่อยๆ เข้าใจความไม่ใช่เรา เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิด เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ได้กลับมาเลยสักหนึ่ง แล้วไม่มีใครรู้ด้วยว่าแต่ละหนึ่งละเอียดเพียงใด เกิดแล้วดับแล้วมากมายมหาศาล แต่ก็ทรงจำแนกสิ่งที่มีจริงเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ สภาพที่ไม่รู้อะไรมีแน่นอน ภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ เห็นใครหรือเปล่า ไม่เห็นเลยใช่ไหม เกิดขึ้นแข็ง เกิดขึ้นเย็น เกิดขึ้นเป็นเสียง เกิดขึ้นเป็นร้อน พวกนี้เกิดแล้วไม่ให้เกิดได้ไหม เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงหรือยั่งยืน เมื่อมีปัจจัยเกิดแล้วดับทันที แค่เกิดแล้วดับ แต่ก่อนดับมีลักษณะอาการต่างๆ หลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่มีวันที่จะรู้ว่าไม่ใช่เราเลย เพราะรวมกันหมด สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ รวมกันแล้วเป็นคน แต่ลืมว่าเห็นมี ได้ยินมี ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่คน หรือไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งของ

    ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออยากจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางถึง เพราะไม่รู้ว่าธรรมเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เป็นเรื่องติดข้อง แต่ละได้ด้วยความรู้ความเข้าใจ ถ้ายังไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ละไม่ได้เลย อย่างไรอย่างไรก็เราเห็น อย่างไรอย่างไรก็เราได้ยิน อย่างไรอย่างไรก็เราชอบ อย่างไรอย่างไรเราก็อยากฟังธรรม ใช่ไหม ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดมาก แต่ไม่ปะปนกัน แม้แต่ความอยาก

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    12 ธ.ค. 2567