ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๖๘

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙


    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเนี่ยก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ซึ่งละเอียดมากแต่ไม่ปะปนกัน แม้แต่ความอยาก ความต้องการ กับความพอใจ หรือว่าความสนใจ ก็ต่างกันใช่ไหมคะ อยากเป็นความติดข้อง ฉันทะ ความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ติดข้องเพราะว่าถ้าติดเมื่อไหร่เป็นโลภะ เป็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกันนะคะ ในหนึ่ง๑ เนี่ยเร็วมาก ไม่มีทางที่จะรู้ว่าขณะนี้ค่ะ กำลังอยู่ในความมืดสนิทด้วยความไม่รู้จริงมั้ยเห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ คิดก็ไม่รู้ จำก็ไม่รู้ ชอบก็ไม่รู้ ไม่ชอบก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งหมด และสิ่งที่ไม่รู้ที่มีจริงๆ เนี่ยอยู่ไหนล่ะค่ะ อยู่ในความมืด ไม่ได้รู้เลย เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้นะคะ ใครรู้ ปัญญาที่เกิดจากการฟังว่ามี แต่ไม่ปรากฏ เพราะอะไรคะเกิดแล้วดับแล้ว เร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปนับเลยว่า ขณะนี้จิตเจตสิกเกิดเท่าไหร่ รูปเกิดเท่าไหร่ นี่พูดเป็นคำที่คนใหม่ก็ยากหน่อยนะคะ แต่ให้ทราบว่าคำที่ชินหูก็คือว่ามีธาตุรู้ และธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานนี่ค่ะ ใช้คำว่าจิต แต่บางทีก็ใช้คำหลากหลาย เพราะว่าจิตมีหลายประเภท บางประเภทก็ใช้คำว่าวิญญาณ บางประเภทก็ใช้คำว่ามโน แล้วแต่จะใช้คำว่า มโน มนัส อะไรก็ตามแต่นะคะ ภาษาของตนของตน ก็คือว่ามีสิ่งที่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ค่อยๆ ตั้งต้น ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งนะคะ

    เพราะว่าบางคนเนี่ยคิดว่า เขาจะต้องเรียนพระอภิธรรมมัตถสังคหะจบ แล้วก็เรียนพระไตรปิฏกแต่ละส่วนอีกให้จบ หรือว่าจะไม่จบก็ตามแต่ แต่อ่านจบ และอ่านได้ แต่เข้าใจไม่มีจบ แม้แต่คำเดียวจบมั้ยคะ ธรรมลองบอกมาซิ หลากหลาย ทุกอย่างเป็นธรรมหมด แล้วจะจบได้ยังไง นี่ค่ะก็เป็นการที่ฟังเพื่อเป็นโอกาส ที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ที่ได้สามารถเข้าใจความจริง ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริงเลยค่ะ เค้าว่าเค้าบอก แต่ว่าเป็นความเข้าใจของเราเองหรือเปล่า เพราะฉะนั้นมรดกที่ล้ำค่าประเสริฐสุด จากการที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อเรา ก็เพื่อมีคำที่บ่งถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละคำ เนี่ย ละเอียดขึ้นนะคะ จนกระทั่งทำให้สามารถที่จะเห็นความจริงตามลำดับขั้นได้ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีนี่ค่ะ ตอนที่ยังไม่ได้ตรัสรู้สามารถที่จะถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาที่คิดว่า ตั้งพระทัยที่จะเป็นผู้ที่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ไม่ใช่แค่พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงนะคะ ทั้งหมดทุกคนในสากลจักรวาล ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้รู้ความจริง ได้เข้าใจด้วย แต่ละชาติ แต่ละชาติ แต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เพียงฟังแค่ไหนก็คือว่า ตามที่ได้เข้าใจนะคะ แล้วก็บางครั้งบางคราว แม้ว่าไม่ได้ฟัง ยังเกิดคิดไตร่ตรองธรรมที่ได้ฟัง แทนที่จะคิดเรื่องอื่น เพราะว่าเรื่องอื่นที่จะคิดเนี่ยมากมายมหาศาล คิดเรื่องธรรมน้อยแค่ไหน บางวันไม่ได้คิดเลย กำลังฟังนี่แหละฟังเข้าใจ จบแล้วก็คือจบเป็นธรรมดา ธรรมดา ธรรมตา ตาคือความเป็นไปของธรรมสิ่งนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ฝนต้องตกแดดต้องออก ใครไปยับยั้งได้ เพราะจันทร์ต้องขึ้นพระอาทิตย์ต้องตก เห็นต้องเห็น ได้ยินต้องได้ยิน เหมือนกันไหมคะทุกอย่าง ก็เป็นธรรมแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ จนกว่าจะค่อยๆ คลายการติดข้อง ยึดถือ ได้ยินได้ฟังธรรมเนี่ยนะคะ ตามเหตุตามปัจจัย เมื่อคืนนี้ใครคิดว่าจะได้ฟังเรื่องนี้บ้างคะ แต่ละคำแต่ละคำ ยังไม่รู้เลยว่า เราจะสนทนากันเรื่องอะไร รู้แต่ว่ามีสนทนาธรรม โอกาสที่ยากยิ่งในสังสารวัฎฏ์ เห็นอื่นก็เห็นเยอะ ได้ยินอื่น ก็ได้ยินมากมาย แต่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำที่จะได้ยิน และค่อยๆ เข้าใจขึ้นเนี่ย ถ้าไม่มีโอกาสในแต่ละชาตินะคะ ก็ผ่านไป แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังเป็นนก เป็นช้าง เป็นงู แล้วเราล่ะคะ ถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันบุคคล ก็หมายความว่ายังเกิดในอบายภูมิได้ แต่ก็ยังดีนะคะ เพราะว่าสิ่งที่ได้เข้าใจแล้ว ไม่ได้หายไปไหนเลยค่ะ อยู่ในจิตทุกขณะสืบต่อกันสะสมไว้ แต่ว่าอะไรจะสืบต่อมาก กุศลหรืออกุศล ดีหรือชั่ว ถ้ามีความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในเรื่องต่างๆ มากมาย ในวิชาการในอะไรทั้งหมดนะคะ สิ่งนั้นก็มากมายจนอดคิดเรื่องนั้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจะรู้จักธรรม ว่าเป็นไปตามการสะสมคิดถึงอะไร ผ่านร้านขายเสื้อผ้า คิดถึงอะไร ผ่านร้านอาหาร คิดถึงอะไร เห็นก็เห็นแต่ยังคิดต่อใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นทั้งวันของเราเนี่ย ก็ไม่พ้นจากเรื่องที่เคยสะสมความยินดี ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ คือสัมผัส ได้แก่เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหว ๓ รูปรวมกันก็รวมเรียกว่าโผฏฐัพพะ กระทบเย็นขณะ ๑ ไม่ใช่แข็ง กระทบอ่อนขณะ ๑ ไม่ใช่ร้อน เพราะฉะนั้นเป็นรูปแต่ละ ๑ ซึ่งสามารถปรากฏให้รู้ได้ว่ามีสิ่งนั้นจริงๆ ต่อเมื่อกายกระทบ จึงปรากฏให้รู้ว่ามี เพราะฉะนั้นก็รวมเรียกนะคะ ต่อไปนี้เห็นมีสี หรือสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีเสียง มีกลิ่น มีรส และโผฏฐัพพะ หมายความว่าสิ่งที่กระทบกายได้ ๓ อย่าง ไม่มีเราเลย ทุกขณะผ่านไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจนะคะ ความเข้าใจแม้น้อยก็เป็นประโยชน์ เพราะว่าจากความเข้าใจเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย ก็จะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกจนกระทั่งละ การที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกนะคะ สิ่งเดียวที่สามารถที่จะละความไม่รู้ได้ ถ้ายังไม่รู้อยู่ก็ต้องติดข้องค่ะ จะไม่ติดข้องได้ยังไง เกิดมาตั้งแต่ศรีษะจรดเท้านี้ ก็รักที่สุดแล้วล่ะของเราหมดทุกส่วน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่านะคะ ความรู้ความเข้าใจถูกเท่านั้นค่ะ ที่จะค่อยๆ คลายความไม่รู้ อย่าหวังที่จะไปเข้าใจอย่างโน้นมาก อย่างนี้มากไม่ได้แค่นี่ละความไม่รู้

    อ.อรรณพ ถ้าพูดถึงเฉพาะในชาตินี้นะฮะ ตั้งแต่จำความได้เนี่ย ก็เห็นมาตลอดครับท่านอาจารย์ ก็เหมือนกับไม่ปราศจากการเห็น ถ้าไม่พูดถึงตอนที่หลับ อะไรอย่างเงี้ยนะครับ แต่ว่าทำไมเพียงแค่เห็นเนี่ย ก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ทั้งๆ ที่เห็นจนนับไม่ถ้วน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ในบรรดาชาวโลกทั้งหมดก็เห็น แล้วก็ไม่เข้าใจทั้งนั้น จนกว่าจะได้ฟังคำที่กล่าวถึงเห็น แล้วก็เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ใครเป็นผู้ที่กล่าวคำนี้ ถ้าไม่รู้จะกล่าวได้มั้ยถึงเห็น ซึ่งกำลังเห็นค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะมีความเห็นถูกต้องว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะว่าตามความเป็นจริงนะคะ ทั้งหมดนะคะ เหมือนยั่งยืน ปรากฏนาน แต่ความจริงถ้ารู้ สั้นแค่ไหน เพียงแค่ปรากฏแล้วดับ เวลานี้นะคะ ลองกระทบแข็ง มีแข็งปรากฏ รู้มั้ยว่าดับแล้ว ฉันใด ทางตานี่นะคะ ที่ดูเหมือนว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ เนี่ย ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่กระทบตา เป็นปัจจัยให้เห็นเกิดขึ้น เห็นหนึ่ง ๑ ขณะแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ฟังไปนะคะ ทุกชาติ ทุกชาติ ทุกชาติ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเราพยายาม ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ เพราะเราผิด เป็นธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    อ.อรรณพ ความสำคัญหรือความลึกซึ้ง ของเห็นอย่างไรให้พอที่จะเข้าใจเป็นพื้นฐานของปัญญา ที่พระองค์ท่านได้อนุเคราะห์แสดงครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าจะให้เข้าใจสิ่งที่มีนะคะ ไม่ใช่ผิวเผิน เข้าใจต้องทีละคำ เพราะฉะนั้นเวลาที่กำลังฟังได้ยินเนี่ยนะคะ ไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย แต่คิดถึงคำที่ได้ฟัง ธาตุหรือธาตุ ศึกษาทีละคำนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม แล้วก็กล่าวถึงธาตุ เป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า เพราะว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงนะคะ สิ่งที่มีจริงในภาษาบาลีเนี่ยไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงก็มีจริงกับทุกภาษา จะพูดหรือไม่พูด จะเรียกหรือไม่เรียก เปลี่ยนลักษณะสภาพธรรม ที่มีจริงไม่ได้เลย นี่เป็นสิ่งที่เริ่มเข้าใจ นะคะ ว่าเราไม่รู้อะไร แม้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ทุกคนเห็นเหมือนกัน ทุกคนก็คิด ทุกคนก็ชอบ ทุกคนก็ไม่ชอบ ทุกคนก็โกรธ เหมือนกันหมดเลย แล้วเป็นอะไร เป็นเรา เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงนะค่ะ จึงมีผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์นี่ค่ะ รู้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่าเนี้ย ทำไมไม่เหมือนกันอย่างเห็นกับได้ยิน จะพร้อมกันไม่ได้ แต่เราเคยคิดมั้ยคะ ตั้งแต่เช้ามา เราทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งรับประทานอาหาร ไม่เคยคิดเลยว่า ไม่ได้พร้อมกันเลย เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงแต่ละ ๑ ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้คิดเลย

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนะคะ ก็เหมือนกับว่าเราฟังแล้ว เราไม่ได้ไตร่ตรองโดยละเอียด ฟังไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเริ่มคิดจริงๆ ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ให้เราไปรู้ไปเห็น แต่ว่าเริ่มเข้าใจแล้วก็รู้ด้วยว่า กำลังพูดให้เรื่องเห็นเนี่ย ก็เห็นกำลังมี ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ก็เริ่มเข้าใจอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ให้ไปรู้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เห็นขณะนี้เกิดดับ อย่าคิดอย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่าความเข้าใจสักเล็กน้อยยังไม่พอ ที่จะทำให้เป็นละคลายความติดข้อง ซึ่งหนาแน่นมากนะคะ อวิชาความไม่รู้นี่ค่ะ นานเท่าไหร่หนาแน่นเท่าไหร่แล้ว เพียงคำแค่นี้แล้วเราก็จะไปรู้ว่า ขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ แค่ได้ยินคำว่าเห็นเกิดแล้วดับ ไม่ได้รู้ขณะนี้ว่าเห็นเกิดแล้วดับ แต่เริ่มเข้าใจว่าเห็นเนี่ยไม่ใช่เรา เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธได้ แต่สิ่งที่มีจริงเนี่ยเกิดแล้วจึงปรากฏว่า กำลังเห็น และเห็นนะคะ ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนั้น ต้องไม่มีอย่างอื่นเลย ถ้าศึกษาต่อไปก็จะรู้ว่าสภาพรู้หรือธาตุรู้เนี่ย ที่เราใช้คำว่าจิตนี่นะคะ เกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นขณะที่เห็น ธาตุรู้ เราใช้คำว่าธาตุรู้จะใช้คำว่า จักขุวิญญาณธาตุในภาษาบาลีก็ได้นะคะ เพราะเหตุว่า ธาตุหมายความถึงสิ่งที่มีจริง วิญญาณรู้ จักขุวิญญาณสภาพรู้ที่ต้องอาศัยตาจึงสามารถจะเกิดขึ้นได้ แค่นี้ค่ะ เห็นความเป็นอนัตตามั้ย ทั้งหมดไม่ใช่ให้เราไปรู้การเกิดดับหรืออะไรนะคะ แต่ให้เริ่มเข้าใจถูกเห็นถูกว่า ขณะนี้ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงกำลังปรากฏเนี่ย เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำเลยทั้งสิ้นนะคะ เกิดแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะมีอะไรขณะนี้

    เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าถึง ความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา เพราะว่าก่อนเกิดไม่มี เกิดมีสิ่งนั้นแล้วสิ่งนั้นก็หมดไป จากไม่มีเห็น แล้วก็เกิดเห็น แล้วเห็นก็หมดไป เห็นจะเป็นเราได้อย่างไร ไม่ใช่รีบร้อนไปประจักษ์การเกิดดับ หรืออะไรเลยนะคะ แค่นิดหน่อยไม่กี่คำ ที่ได้ฟังจากการที่ทรงตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเห็นความต่างกันแสนไกล ระหว่างความเข้าใจนะคะ ต้องมาจากการฟังก่อน เพราะว่าทุกคนเห็น แต่ทุกคนไม่เคยสนใจ เรื่องเข้าใจเห็น จนกระทั่งได้ยินได้ฟังคำ ที่ทำให้เริ่มคิดว่าเห็นนี่แหละ เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรผ่านไป เพราะเหตุว่ามีเห็น และเห็นก็เกิดแล้วเห็นก็ดับ ได้แต่ฟังก่อน ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเหตุว่าถ้าคิดจะทำก็คือว่าเป็นเราอีกละ คิดเกิดแล้วใช่ไหมคะ เรารึเปล่า ก่อนคิดไม่มีคิด แล้วมีคิด แล้วคิดก็ดับไป เพราะฉะนั้นคิดเป็นเราหรือเปล่า นี่คะเป็นความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ ที่จะต้องค่อยๆ ฝังลึกลงไป เพื่อจะให้เข้าใจในความเป็นอนัตตา ว่าทุกอย่างนี่ค่ะ ต้องเป็นไปตามปัจจัย ใครอยากจะมีปัจจัย ที่จะทำให้เห็นเกิดดับเดี๋ยวนี้นะคะ เสียเวลา ใครจะไปมีปัจจัยได้ แต่ความเข้าใจต่างหาก ที่จะเกิดจากอะไร เกิดจากฟัง ไตร่ตรอง เป็นผู้ที่ตรง ว่าความลึกซึ้งของแม้เห็น ที่กำลังเกิดดับเนี่ย กว่าจะถึงปัญญาระดับนั้นได้ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมคือสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงนี่ค่ะ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ก็เป็นธาตุ หรือธาตุแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เริ่มเข้าใจนะคะ ได้ยินคำว่าธาตุ ก็รู้ว่าคือสิ่งที่มีจริง เป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ ธรรมก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเลย ไม่ได้แยกเป็นแต่ละธาตุ แต่ละธาตุ เพราะฉะนั้นจะเรียกยังไงดีคะ ทุกอย่างเป็นธรรม เอาธาตุเข้าไปใส่ ก็เลยไม่ต้องมีอะไร แต่นี่ทั้งหมดเป็นธรรม และธรรมเป็นแต่ละ ๑ จึงเป็นแต่ละธาตุ ต่อไปก็จะมีคำที่ถ้าศึกษาทีละคำนะคะ ก็จะทำให้เข้าใจขึ้น เพื่อคลายความเป็นเรา ต้องคลายก่อน ต้องมีปัญญาพอ ที่จะมีการระลึกได้ ต้องมีปัญญาที่จะรู้ความมั่นคงจริงๆ ว่าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ พระองค์ตรัสรู้เห็นที่กำลังเห็น ได้ยินที่กำลังได้ยิน คิดที่กำลังคิด ทุกอย่างที่มีจริงนะคะ ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ที่ไม่เคยรู้เนี่ย เราจะรู้เพียงอย่างเดียว แล้วคิดว่าเราละคลายกิเลสแล้ว และรู้แล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ กว่าจะค่อยๆ ฟังนะคะและมีการรู้ว่าไม่ใช่เราแม้คิด เห็นเกิดดับไหมคะ เกิดดับ คิดใช่มั้ย คิดเป็นเราหรือเปล่า ขณะนั้นไม่ได้คิดเรื่องอะไร คิดเรื่องเห็น เกิด ดับ เพราะฉะนั้นทั้งหมดในชีวิตค่ะ ไม่มีสักอย่างเดียวนะคะ ที่พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ ยิ่งกว่าคำที่เราพิมพ์เริ่มต้นได้ฟัง มากมายมหาศาลค่ะ กว่าจะค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเคารพอย่างสูงสุดนะคะ ในพระปัญญาคุณ ก็รู้ว่าด้วยพระปัญญาคุณ ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ๔๕ พรรษา ไม่ใช่วันสองวัน เรารู้ละ เห็นเกิดดับ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะคะ แต่การละคลายนี่ค่ะ ละคลายสิ่งที่สะสมมานานแสนนาน คือความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน คิดดูนะคะ ปัญญาที่สามารถจะรู้ว่าไม่มีอะไรเที่ยงเลยสักอย่าง ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นหรือเห็น หรือแม้แต่เรื่องราวหรือแม้แต่คิดนึก หรือแม้แต่แข็งหรือแม้แต่สภาพที่กำลังเป็นสุขเป็นทุกข์ ทั้งหมดแต่ละ ๑ นะคะ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงนะคะ ซึ่งไม่ใช่เรา การฟังธรรมทั้งหมดนะคะ นำไปสู่ประโยชน์สูงสุด คือละการหลงเข้าใจผิด ยึดถือว่าเป็นเรา จากสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้นจะรู้ได้นะคะ ว่ากว่าจะได้ฟังทีละคำ แล้วเข้าใจทีละคำ มั่นคงนะคะ จนเป็นสัจจญาณ เป็นปัจจัยที่จะให้ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ใครก็บันดาลให้เกิดไม่ได้เลย แต่ว่าจากการที่ได้ฟังแล้ว เข้าใจนี่ค่ะ ก็จะเป็นปัจจัยที่จะเมื่อไรก็ไม่รู้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ ก็ไม่ต้องไปรอคอย รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่มีปัจจัยก็ไม่เกิด

    เพราะฉะนั้นเข้าใจขึ้นสำคัญที่สุดนะคะ คือไม่ใช่เราละ เหตุว่าเราก็ผิดแล้ว แต่ว่าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าปัญญา ในภาษาไทยเราก็ใช้คำว่าเข้าใจ เพราะว่าถ้าเราใช้คำว่าปัญญา บางทีเราก็ไม่เป็นปัญญา ใช่มั้ย มาแล้ว แต่ถ้าบอกว่าเข้าใจเนี้ย จะมีใครถามไหม ถ้าเป็นภาษาที่เราใช้อยู่เป็นประจำ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งถึง ณ ขณะนี้กำลังเห็นเข้าใจ เห็นรึเปล่า เข้าใจเรื่องเห็นแต่ไม่ได้เริ่มเข้าใจเห็น แม้แต่จะเริ่มเข้าใจเห็น ก็ต้องมีการเริ่ม จากการที่เข้าใจเสียก่อน แล้วจึงจะรู้ความต่างว่า กำลังฟังเรื่องเห็นแล้วก็มีเห็นนี่ แต่ความเข้าใจตรงเห็นจะเกิดเมื่อไร ต้องเป็นอนัตตา นี้เป็นหนทางละค่ะ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นเรื่องเพื่อละ แต่ถ้ามีการบอกให้ทำอย่างนั้น มีการนี้ ใช่แล้วนั่นไม่ใช่ เพื่ออะไรค่ะ ไม่ใช่ความรู้ของคนนั้นที่จะรู้ว่าความเข้าใจผิด มากแค่ไหน ความไม่รู้มากแค่ไหน เพราะฉะนั้นการที่ไม่สามารถ ที่จะรู้ความต่างกันของปริยัติ ปฏิปัติ ปฏิเวธ ก็ทำให้ตัวตนเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นขณะนั้น ต้องเป็นตัวตนแน่นอนที่เข้าใจผิด จะเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นปริยัตินะคะ การฟังพระพุทธพจน์ คำของพระพุทธเจ้านี่ค่ะ ต่างกับคำที่เคยได้ยินมาทั้งหมด ได้ฟังเมื่อไหร่ เริ่มต้นได้ฟังคำ ที่ไม่เคยได้ยินมาเลย เป็นคำที่ยากที่จะได้ยิน เพราะว่าเป็นคำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ให้เริ่มเข้าใจถูก ตามความจริงว่า ไม่รู้ความจริงอันนี้เลย เพียงแต่เริ่มที่จะฟังว่ามีสิ่งนี้นานแสนนานมาแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ฟังนะคะ แม้แต่จะเริ่มเข้าใจสักนิดนึง ก็เป็นไปไม่ได้

    นี่คือการเคารพสูงสุดในการฟังพระธรรม ที่จะไม่ตู่ ที่จะไม่ประมาทว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก แค่เห็นอย่างนี้อ่ะค่ะลึกซึ้งระดับไหน ระดับที่จะไม่มีความติดข้องในเห็นอีกต่อไป ว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งหมดนะคะ ไม่ใช่เฉพาะเห็น ทั้งหมดไม่ว่าอะไรทั้งหมดค่ะ ที่มีจริงๆ เนี่ย ที่จะหมดการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ไม่เหลือเลยไม่มีปัจจัย ที่จะให้เกิดอีกเลย ในสังสารวัฎฏ์ นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ จนกระทั่งถึงการดับกิเลส ซึ่งเกิดจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ตามลำดับขั้นถึงความเป็นพระอรหันต์ อีก ๗ ชาติ จากพระโสดาบันก็เป็นพระอรหันต์ ท่านพระสารีบุตรนะคะ ท่านเป็นพระโสดาบัน ๑๕ วัน ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านพระมหาโมคัลลานะ ท่านเป็นโสดาบัน ๗ วัน ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นพระโสดาบันทีหลังท่านพระสารีบุตร นี้เป็นแต่ละ ๑ ไม่มีซ้ำกันเลย แต่ละ ๑ นะคะ ก็ยังต่างกันเป็นแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเกิดเพราะปัจจัย แล้วไม่กลับมาอีกเลย ต้องรู้อย่างนี้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้จะดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้มั้ย ไม่มีทางเลยนะคะเพราะฉะนั้นให้ทราบว่า การฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนี่ค่ะ เป็นเรื่องละ ไกลแสนไกล ใครจะหวัง เป็นเรื่องละ แต่ว่าไม่ใช่เราละ ต้องเป็นความรู้เท่านั้นที่ละได้ และความรู้นั้นต้องตามลำดับด้วย ตั้งแต่ขั้นฟัง ไม่ประมาทเลยค่ะ มีความเป็นผู้ที่ตรง เดี๋ยวนี้เข้าใจเห็นรึเปล่า จะพยายามไปเข้าใจหรือเปล่า จะสงสัยหรือเปล่า ว่านี่เห็นเกิดดับรึเปล่า ทั้งหมดเนี่ยค่ะ เป็นธรรมซึ่งต้องรู้ทั่ว ละทั่ว จึงสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่มีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราอีกต่อไป

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า เห็นเนี่ยนะฮะ เราก็คิดเรื่องเห็นนะฮะ เข้าใจเรื่องเห็นว่าเห็นเนี่ยเป็นธรรมนะ แลเะเห็นเกิดดับมั้ย เห็นก็เกิดดับ แต่เมื่อวานท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า คิดถึงธรรมบ้างไหม ถามกันเพื่อเตือน

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถามกันทุกเรื่องไป ไม่เห็นถามว่า คิดถึงธรรมบ้างหรือเปล่า ใช่มั้ยคะ ก็เป็นคำถามจากหลายๆ คำถาม ในแต่ละวัน มีคำถามอย่างนี้บ้างมั้ย เท่านั้นเอง ไม่ใช่ไปบอก ไม่ได้เป็นแนะ ไม่ใช่ไปสั่ง ไม่ใช่อะไรเลยนะคะ ก็เหมือนคำถามอื่นๆ แต่คำถามอื่นๆ ถามกันเยอะแล้วหนิ ทุกวันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ลองถามว่า คิดถึงธรรมบ้างรึเปล่าคะ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

    อ.อรรณพ ใช่ครับ แต่การที่ผู้ฟังนะฮะ เราก็มีความเป็นตัวตน ก็อาจจะไปคิดเอาเองว่า ท่านอาจารย์บอกให้คิดถึงธรรม

    ท่านอาจารย์ ใครว่า ผิดล่ะ เนี่ยค่ะ ฟังก็ผิดค่ะ แม้แต่การฟังนะคะ ก็เป็นพระพุทธเจ้าสั่งให้ทำอย่างนี้ บอกให้ทำอย่างงั้น เราเลยค่ะ ให้เข้าใจความจริง เพราะทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำของพระองค์จะค้านกันได้อย่างไร

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 180
    20 ก.ค. 2567