ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
ตอนที่ ๙๖๙
สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย
วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
ท่านอาจารย์ เพราะทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำของพระองค์จะค้านกันได้อย่างไร เมื่อเป็นอนัตตา แล้วจะสั่งให้คนนั้นทำอย่างนี้ ถามให้คำตอบอย่างนี้ได้ไหมคะ ก็ไม่ได้
อ. อรรณพ เป็นการถามเพื่อที่จะรู้ว่า คิดอะไรบางอย่าง
ท่านอาจารย์ ถามให้รู้ว่าต้องเป็นคนตรงๆ ธรรมเป็นเรื่องตรงตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ให้ไปคิด ไม่ใช่ให้ไปเตือน แต่ตรงให้รู้ว่าคิดบ้างหรือเปล่า ต้องมีปัจจัยค่ะ จึงจะเกิดคิดถึงธรรม ต่อให้วันนี้นะคะ ได้ยินคำถามนี้ ๑๐ ครั้ง ๒๐ ครั้ง คิดถึงรึเปล่า ไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้จนกว่าจะมีปัจจัย เพราะฉะนั้นหนทางนี้นะคะ เป็นหนทางที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้น ยิ่งขึ้น ทีละเล็กทีละน้อยว่า แม้คิดบังคับไม่ได้ แต่ขณะใดก็ตามที่คิด รู้เลยไม่ได้บังคับให้คิดถึงธรรม มีปัจจัยต่างหากที่เกิดในขณะนั้นที่จะคิดถึง ก็จะค่อยๆ คลายความเป็นเรา จะคิดถึงธรรม เป็นธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย อย่างไหนจะดีกว่ากันคะ เป็นเราพยายามไปคิดถึงธรรม หาเหตุที่จะให้คิดถึงธรรม รู้ว่าธรรมเกิดจากปัจจัย ก็พยายามอย่างนั้นพยายามอย่างนี้ โลภะไม่แสดงตนให้ใครรู้เลย ละเอียดมากอยู่ข้างๆ อยู่ข้างหลัง อยู่ข้างใน อยู่ในใจ พร้อมที่จะเกิดโดยไม่รู้ตัว มิฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ จะไม่ทรงเปล่งพระอุทาน ว่าเราได้พบนายช่างผู้สร้างเรือน กว่าจะเจออยู่ที่ไหนคะ ใกล้ออก มองไม่เห็น
อ.อรรณพ ได้ยินข้อความว่า คิดถึงธรรมบ้างมั้ย โลภะก็สร้างเรือน
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ โลภะอยู่ในใจ พร้อมเลยค่ะเมื่อไหร่เมื่อนั้น ไม่ได้ต้องไปแสวงหาข้างนอกนะคะ อยู่ในใจพร้อมจริงๆ
อ.อรรณพ เชื้อของความติดข้อง ซึ่งเต็มไปในจิตทุกขณะ พอมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แม้ว่าคำที่กล่าวนั้นจะเป็นพุทธพจน์ อรรถกถาหรือท่านที่มีความเข้าใจธรรม
ท่านอาจารย์ และถ้าไม่สะสมนะคะ การที่จะรู้ว่าโลภะเป็นสิ่งที่ต้องละ ตั้งแต่ต้นนะคะ จะถูกหลอกไปตลอด แม้แต่ฟังขั้นแรกนี่ก็เห็นแล้ว ใครจะไปละโลภะได้ แม้แต่เพียงได้ฟังนะคะ โลภะก็เกิดแล้ว อยากนั่นอยากนี่ อยากเข้าใจตรงนี้ อยากรู้ตรงนั้น ใครล่ะคะ เพราะฉะนั้นเริ่มจริงๆ ค่ะ เพียงได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลภะก็พร้อมที่จะตาม ตามไปตลอด เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นความลึกซึ้ง เริ่มเห็นความยากอย่างยิ่ง ทำไมกว่าจะรู้โลภะต้องบำเพ็ญบารมี กันนานแสนนานค่ะ เพราะว่าความเป็นตัวตนเนี่ย พร้อมอยู่ในใจออกมาบ่อยๆ จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ จะต้องการอย่างนั้น จะต้องการอย่างนี้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ตัวเองนะคะ ว่าหนทางนี้เป็นหนทางละเนี่ย จะรู้เลย ชีวิตปกติอย่างนี้แหละ เกิดเพราะเหตุปัจจัย ที่เกิดไม่ว่าจะเป็นโลภะ ไม่ใช่ไม่มีนะคะ มีเกิดเพราะเหตุปัจจัย โทสะมีเกิดเพราะเหตุปัจจัย ริษยามีเพราะเหตุปัจจัย สำคัญตนมี เพราะเหตุปัจจัยทุกอย่างมี เพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างมี การที่จะละ คิดสิคะยากแค่ไหน ที่จะไม่ไปตามโลภะที่เพียร ด้วยความเป็นตัวตนที่จะ ตั้งแต่ขั้นการฟัง ต้องรู้ว่าต้องเป็นปกตินะคะ แล้วขณะที่ฟัง ฟังไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้นฟังต้องไม่ใช่ฟังแล้วคิดเรื่องอื่น บางทีพูดเรื่องนี้นะคะ พอจบถามเรื่องอายตนะ มาจากไหนล่ะคะ เมื่อกี้พูดกี่คำไม่มีคำว่าอายตะนะเลย แล้วฟังหรือเปล่า แสดงว่ายังไงคะไม่รู้เท่าทัน เพราะฉะนั้น ฟังนี่ค่ะ ก็คือฟัง ทีละคำ แล้วก็เข้าใจคำที่ได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะเหตุว่าพอฟังแล้วก็เรื่องอื่นทันที แม้แต่กำลังฟัง ถ้าไม่เป็นฟังก็คิดเรื่องอื่นทันที แทรกอยู่ตลอดเวลา อะไรล่ะคะ แทรก กำลังฟังก็แทรกได้ ละเอียดสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมนี่ค่ะ ต้องละเอียดขึ้นละเอียดขึ้น กว่าจะรู้ทุกคำที่ทรงแสดงนี่ค่ะ เป็นความจริงตามลำดับ ไม่ใช่เร่งรัดให้ใครไปรู้เลยนะคะ แต่ให้เป็นผู้ที่มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่ามีโอกาสที่จะได้ฟังคำจริงซึ่งแสนที่จะยาก ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม กับที่เคยไม่รู้ และสะสม
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ ครับ โลภะเนี่ยตามไปโดยไม่รู้ตัว แม้การถามตอบธรรมอันนี้ฮะ บางทีอย่างนี้ก็มีคนมาถามธรรม พอถามคำหนึ่ง เขาถามคำนี้พูดเสร็จ แล้วเขาก็ไปถามอีกคำถามอีกคำ ด้วยความที่เขาก็อยากจะรู้คำนี้ คำโน้นนะฮะ เราก็ตอบเค้าด้วยความอยากตอบไปบ้าง ไปคำโน้นคำนี้ไปเรื่อยอย่างเงี้ยครับ ท่านอาจารย์ แต่เราก็ไม่รู้จิตเลยนะครับ ว่าจิตขณะนั้นน่ะ เป็นความใส่ใจสนใจด้วยกุศล เป็นความใส่ใจสนใจด้วยโลภะ
ท่านอาจารย์ ลองคิดถึงคนเก่ง เก่งมาก เก่งมานานแล้วด้วย
อ.อรรณพ ครับ
ท่านอาจารย์ แล้วทุกวันก็เก่ง แล้วก็เก่งต่อไป เก่งที่จะทำให้ติดข้อง โดยไม่รู้ คิดดูสิคะ คนนี้เก่งระดับไหน ถ้าตัวตนปรากฏชัดเจนยังพอว่านะคะ เก่งยิ่งกว่านั้นอีกไม่ให้รู้ด้วย ทั้งลวงทั้งหลอกสารพัด เพราะเขามีมานานแสนนาน แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงระลึกชาตินะคะ ไม่สิ้นสุด แสดงว่าอวิชชาความไม่รู้ และโลภะความติดข้องเนี่ย มากมายมหาศาลแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ นะคะ ว่าเริ่มด้วยการละในชีวิตปกติธรรมดา ค่อยๆ เข้าใจ และขณะที่เข้าใจคือปัญญา ขณะนี้นะคะ ไม่มีเรา ฟังตำรามาก็เยอะ จิตตั้งกี่ดวง เจตสิกเท่าไหร่ เกิดกับจิตทีละ ๑ ขณะ มากน้อยต่างกัน ดับไปแล้วไม่เหลือเลย รู้มั้ย กำลังเป็นเราฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ ที่สภาพของธรรมปรากฏซึ่งไม่ใช่เรา เมื่อนั้นก็จะปรากฏธาตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้ฟังมาแล้วนาน จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นจริงๆ ว่านั่นเป็นเราไปไม่ได้เลย แต่เวลานี้ค่ะแม้ว่าเรากำลังฟังอยู่นะคะ แต่คนเก่งเขามี จะไม่รู้เลย เก่งจริงๆ ค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดสงสัยถาม ผู้ตอบ จะอนุเคราะห์ยังไง จะพาเค้าห่างไกลจากการที่จะเข้าใจเรื่องละ สิ่งที่กำลังปรากฏ หรือว่าจะให้เขารู้ว่า ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่พร้อมที่จะรู้อย่างนั้น ถ้ายังไม่เริ่มให้ถูกต้องจริงๆ นะคะ ไม่ทันโลภะสักอย่าง เป็นอย่างนี้ไปอีกในสังสารวัฏฏ์ ด้วยเหตุนี้นะคะ ในเถระสูตร จึงมีข้อความว่า ผู้ที่เข้าใจธรรม ทรงพระไตรปิฏก แสดงธรรมทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ แต่เห็นผิด ไม่เป็นประโยชน์ แล้วลองคิดดู ถ้าเรามีตำรานะคะ อภิธรรมมัตถสังคหะ รึว่าพระไตรปิฏก พระอภิธรรมปิฏก ๗ คัมภีร์ แต่เราเรียนด้วยความเป็นเรา ไม่ได้รู้เลยว่าแต่ละคำเนี่ย นำไปสู่ไม่ใช่เรา พอได้ยินคำว่าโลภะ ความติดข้อง นำไปสู่การที่เป็นธาตุหรือเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งฉลาดแล้วก็เก่ง แล้วก็ลวง แล้วก็ล่อ ไม่พบเลย อยู่ด้วยกันทั้งวันไม่เห็น ใครเห็นบ้างคะตอนตื่น จนกระทั่งถึงตอนหลับ อยู่ตลอดวันก็ไม่เห็นใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นการที่ได้ฟังคำที่ลึกซึ้งอย่างเนี้ย ต้องกว่าคำนั้นจะนำมา สู่การที่รู้จุดประสงค์จริงๆ ว่าเราไม่รู้ และอีกไกล และต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เรา ขณะนี้จิตเจตสิกเกิดดับ ทำกิจการงานไม่รู้เลย เวลามีความเข้าใจเกิดขึ้นนะคะ ขณะนั้นสภาพของความเข้าใจ โดยความที่เป็นธรรม หรือเป็นธาตุก็ไม่ได้ปรากฏ แต่เราเข้าใจ เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมนี่ค่ะ เป็นเรื่องที่ละเอียดยิ่งนะคะ ฟังเพื่อเข้าใจ ตั้งต้นให้ถูกในชาตินี้ เพื่อว่าต่อๆ ไปทุกชาตินะคะ เราจะได้ไม่เป็นผู้ที่มีธรรม มีชื่อ มีอะไรต่างๆ สอนได้ พูดได้ แต่ว่าเห็นผิด อย่างที่เราได้ขอขมาพระรัตนตรัยใช่ไหมคะ โทษอย่างใหญ่ที่สุด ก็คือว่าขออย่าได้มีความเห็นผิด
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับ ท่านอาจารย์ครับ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสัตว์โลกทั้งหลายครับ ที่ในเบื้องต้นท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า การศึกษาให้เข้าใจทีละคำ ก่อนที่จะไปกล่าวถึงคำอื่น ที่มีในพระไตรปิฏก แต่ว่ายังไม่เข้าใจในเบื้องต้นเลยครับ ดังนั้นการที่จะกล่าวถึง สิ่งที่ปรากฏทางตาเห็น หรือว่าได้ยินเป็นปกติอย่างนี้นะครับ ความเข้าใจที่มั่นคงที่จะนำไปสู่ ความรู้ในส่วนอื่นๆ มีอายตนะ หรือว่าปฏิจจสมุปาท การที่จะมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้น แล้วก็จะนำไปสู่พระธรรม ในส่วนอื่นๆ คืออย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะคือรู้ว่าเป็นธรรม ก่อนอื่น พอพูดอย่างนี้นะคะ ชื่อมาเต็มละ เป็นธรรมหมดละ เป็นอายตนะ เป็นธาตุ ครบ อายาตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อริยสัจจะ ๔ ปฏิจจสมุปปาทครบละ ใช่มั้ยคะ แต่ว่าความเข้าใจในธรรม เริ่มตั้งแต่ธาตุรู้ ธรรมมีหลากหลายแต่ละ๑ ก็เป็นแต่ละธาตุ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ มีแน่ๆ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังเนี่ย พูดถึงธาตุรู้เนี่ย ความเข้าใจในธาตุรู้แค่ไหน เห็นไหมคะ คือไม่ข้ามที่จะนำให้คนเนี่ยเห็นความสำคัญว่า ความเข้าใจถูกก็ถูก ตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้มีธาตุรู้ ไม่ใช่บอกเค้าแต่เพียงว่า ธาตุรู้ได้แก่อะไรบ้าง มีเท่าไหร่ แต่ว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้นี่ค่ะ ธาตุรู้มีแน่นอน ไม่ปรากฏ ได้ยินชื่อ แต่กำลังเห็น ธาตุรู้หรือเปล่า ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นแม้แต่ขณะนี้ค่ะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น กับมีธาตุซึ่งกำลังเห็น ไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งหมดเลย อายตนะอะไรก็ไม่ต้องธาตุก็ไม่ต้อง กำลังมีเห็นกับมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ๒ อย่างนี้ควรรู้ยิ่ง ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจ ค่อยๆ ใกล้เข้าไปสู่ลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่หวาน ไม่เค็ม ไม่แข็ง ไม่ร้อน แต่ว่าเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ เห็นไหมคะ เพราะมีหนิ กำลังมี แต่ว่ายังไม่รู้ความละเอียด และความจริงของธาตุรู้ เพราะฉะนั้นยังไม่ประจักษ์อะไรทั้งนั้นเลย แต่ว่าค่อยๆ ใกล้ต่อความเป็นธาตุรู้ มีทั้งวัน เกิดโดยที่ว่าใครก็บังคับบัญชา ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริงๆ ว่าธาตุรู้ธาตุ ไม่ใช่เรา เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นเห็น ต้องอาศัยตา แค่นี้ค่ะ เดี๋ยวนี้ทุกขณะที่เห็นเนี่ย ต้องอาศัยตา จักขุปสาทรูป รูปพิเศษนี่ค่ะ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น มองไม่เห็นด้วย รูปนั้น มีแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างเดียวเท่านั้นในสังสารวัฎฏ์ ในบรรดาธรรมทั้งหมดนะคะ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้แหละ เป็นธาตุ หรือธรรม อย่าง ๑ อย่างเดียว ธรรมอื่นทั้งหมด ธาตุอื่นทั้งหมด ไม่ปรากฏให้เห็นเลย ค่อยๆ เข้าใจ อยู่ทั้งวันกับธาตุที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็มีธาตุที่กำลังเห็น แล้วก็มีธาตุอื่นๆ ด้วย นะคะ ซึ่งก็ต่างกันเป็น ๒ อย่างคือ ธาตุชนิด ๑ ประเภทของธรรมที่เกิดแล้วไม่รู้อะไร ก็ต้องเป็นฝ่ายไม่รู้ อย่างเสียงนี่คะ จะให้เสียงเกิดขึ้นรู้ไม่ได้เลย ใครจะไปดลบันดาลให้เสียงเกิดขึ้น เปลี่ยนสภาพจากเสียง เป็นสภาพที่รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือความหมายของธาตุแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ นะคะและก็ที่สำคัญก็คือว่า แค่ปรากฏแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก กว่าจะไปถึงใจนะคะ ฟังทุกวันบ่อยๆ ติดข้องในสิ่งที่ไม่เหลือ จากไม่มี เกิดขึ้นมี แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ไม่เหลือเลยแล้วเราติดข้องไหมคะ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ลืม ไม่รู้ว่าสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ไม่มี แต่ว่าเกิดสืบต่อจนปรากฏเหมือนกับว่า ไม่เคยขาดไปเลย ต่างหาก แต่ลักษณะต่างๆ เนี่ย เป็นแต่ละ ๑ แต่ละ ๑ เท่านั้นเอง ค่อยๆ เข้าใจเท่าเนี่ยอ่ะค่ะ เข้าใจไปเรื่อยๆ ได้ยินคำไหน ก็ไม่พ้นจากธาตุรู้ กับสภาพซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ แต่ใครจะมาบอกยังไงว่า ธาตุรู้เป็นอย่างนี้อย่างนั้น มีชื่อต่างๆ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ สัมปฏิฉันนะ สัณติรนะ เป็นธาตุรู้ เป็นจิตพวกนี้นะคะ ก็เป็นแต่เพียงชื่อ ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้นี่ค่ะ มีธาตุรู้ กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ กำลังได้ยินเสียงปรากฏละ ธาตุรู้เกิดขึ้น และธาตุรู้ได้ยินเสียงนั่นแหละ ในความมืดสนิทแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นก็เริ่มที่จะเข้าใจ ความต่างของธาตุรู้กับธาตุซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ค่อยๆ เข้าใจในขณะที่กำลังพูดถึงสิ่งนั้น ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังมี ค่อยๆ สะสมไป จนกว่าสามารถที่จะถนัด ชิน ชำนาญขึ้น ในการที่จะเข้าใจว่า พอธาตุรู้ค่อยๆ เข้าใกล้ ต้องทีละ ๑ โดยความเป็นอนัตตา ยากมั้ย ถ้าได้ฟังความจริงว่านะคะ ความเข้าใจหรือปัญญาเกิดท่ามกลางอกุศล ไม่ผิดเลยค่ะ คำนี้ แต่ว่ายากที่จะนึกถึงว่าแล้วจะนานสักแค่ไหนนะคะ ในเมื่ออกุศลเนี่ยเกิดทั้งตาเห็นเนี่ย จักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิฉันนะไม่เห็น แต่รับรู้สิ่งที่จักขุวิญญาณเห็นต่อ ๑ ขณะดับไปแล้ว สัณตีรณะเกิดขึ้นรับรู้ต่อจากสัมปฏิฉันนะดับไปแล้ว โวฏฐัพพนะเกิดขึ้นนะคะ ชื่อของจิต ๓ ขณะไม่ต้องจำก็ได้ ดับไปละ โลภะเกิดเลยก็ได้ อกุศลก็ได้ อะไรก็ได้เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้ เราทั้งเห็น ทั้งได้ยิน อกุศลเกิดตามที่เห็นที่ได้ยินเร็วมากค่ะ กำลังเข้าใจธรรมท่ามกลางอกุศล ทำไมกล่าวอย่างนี้คะ เพื่อความไม่ประมาท ในความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าธรรมง่าย ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องเรียน ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
อ.วิชัย ดังนั้นหมายความว่าการที่มีความรู้ ความเข้าใจที่มั่นคง ในสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้เนี่ย เมื่อมีความเข้าใจแล้วไปศึกษาพระธรรม ในส่วนไหนก็ตาม ก็เป็นปัจจัยเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่มีขณะนี้ทุกๆ คำ
ท่านอาจารย์ สอดคล้องกันเลย ใช่ไหมคะ พอรู้จักธาตุรู้ ทางตา ๑ ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกาย ๑ทางใจ ๑ แค่ ๖ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฎฏ์ นับไม่ถ้วนแสนโกฏฏ์กัปป์ ก็แค่นี้เอง เพราะฉะนั้นกว่าจะชินกับการที่จะรู้ว่า เป็นธาตุรู้ รู้ไม่ว่าทางไหนคะ ทางตาพูดถึงละ ทางหู ธาตุรู้ก็เกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับไป ทั้งเสียงก็ดับ ทั้งธาตุรู้ก็ดับแล้วมีอะไรเหลือ แต่ความไม่รู้สะสมสืบต่อ เมื่อไม่รู้ก็ยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ก็สะสมสืบต่อ นานแค่ไหน กว่าจะออกได้ ด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย
อ.นภัทร ที่พระวิหารเชตวันขณะที่เดินประทักษิณนี่นะครับ ขณะที่สภาพธรรมปรากฏแล้วก็มีการพิจารณาว่า ด้วยความเป็นปัจจัย ของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะมีปัจจัยอย่างนั้น จึงทำให้สภาพทำให้ปรากฏขึ้นมา การที่พิจารณาอย่างนั้นเนี่ย ปัญญาจะรู้ถูกอย่างไรครับท่านอาจารย์ ว่าเป็นปัญญาที่เห็นถูกจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ที่จะไปพิจารณาหรือว่าเป็น สภาพธรรมที่พิจารณา โดยความเป็นปรกติ และความเป็นอนัตตาที่เกิดขึ้นครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะย้อนหลัง แล้วเดี๋ยวนี้ลืม ว่าจะรู้ความจริงเข้าใจได้ ก็คือเดี๋ยวนี้ เพราะว่าไม่ว่าจะที่พระวิหารเชตวัน ในห้องนี้ นอกห้องนี้ หรือที่ไหนก็คิด แล้วแต่จะคิดอะไร จะคิดเรื่องพระวิหารเชตวันก็ได้ จะคิดเรื่องแข็งที่พื้นของพระวิหารก็ได้ จะคิดอะไรก็ได้ทั้งหมด แต่ละ ๑ ดับ ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นที่ฟังธรรม ไม่ว่าจะที่นี่ที่นั่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ตามนะคะ เพื่อให้มีความเข้าใจถูกต้องว่าสภาพรู้ ธาตุรู้เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปค่อยๆ สะสมความเบาสบาย ความคุ้นเคย ไม่กังวลนะคะ กับการที่ว่าหมดแล้ว ผ่านไปแล้ว กับสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
อ.นภัทร เพราะฉะนั้นสภาพที่พิจารณา ความเป็นปัจจัยนี่นะครับ ท่านอาจารย์เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง ยังไม่แยกออกมาเลย
อ.นภัทร เพราะฉะนั้นถ้าจงใจที่จะพิจารณา ก็ต้องทราบว่า นั่นไม่ใช่ความก้าวหน้า
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ต้องค่ะ ไม่ใช่ต้องค่ะ ให้เข้าใจถูกต้องว่า ขณะนั้นหมดแล้ว ไม่ใช่เรา ที่จะเลือกรึที่จะทำแล้วที่จะพิจารณา ในแบบนั้นหรือแบบนี้ ผ่านไปฮ่ะ ด้วยการที่ฟังอีก เข้าใจอีก และความเข้าใจนี้ต่างหาก กำลังละความไม่รู้ ไม่ใช่ที่พระวิหารเชตวัน ผ่านไป และความเข้าใจเดี๋ยวนี้จะไปละความไม่รู้ ในขณะที่กำลังเดินที่พระวิหารเชตวัน แต่ให้ทราบนะคะ ว่าขณะนี้ฟังแล้วเข้าใจ ตรงเข้าใจต่างหากที่ละ แล้วก็ความเข้าใจตรงนั้นแหละนะคะ กำลังทำหน้าที่ ระหว่างที่ฟังจะมาก จะน้อย จะละเอียด จะชัดเจนหรือเว้นไป ไม่มีความเข้าใจในขณะนั้นก็ได้ใช่ไหมคะ ไม่ใช่ว่าเราฟังแล้วเราเข้าใจทุกคำ ซาบซึ้ง หรือว่าไปถึงการที่ลักษณะนั้น เป็นสิ่งที่เป็นอย่างนั้น ก็ยังไม่ใช่ เพียงแต่ว่าในขณะที่กำลังฟัง ความเข้าใจขณะนั้นค่ะ ก็ไม่ใช่เรา แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เห็นไหมคะ จะพบความไม่รู้มากขึ้น มากขึ้น ความติดข้องด้วยขณะนั้น ความเข้าใจเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เหตุการณ์อย่างนั้น นั่นเป็นยังไง หรือเราสามารถจะไป ทำให้เกิดความเข้าใจ อีกอย่างหนึ่งได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังสุตมยญาณนะคะ ปัญญาสำเร็จจากการฟัง หมายความว่าฟังแล้วเข้าใจ เพราะฉะนั้นความเข้าใจต้องมาจากการฟัง เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง เข้าใจตรงไหน นั่นแหละค่ะ เขากำลังดับ และก็สะสมนะคะ แล้วก็สืบต่อ แล้วก็ปรุงแต่ง โดยไม่มีใครรู้เลยว่าออกจากห้องนี้ไป เราเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เพราะเหตุว่าปัญญาที่เข้าใจตรงนั้นนะคะ ละตรงนั้น หลังจากนั้นที่เป็นอวิชชา เป็นโลภะ เป็นความติดข้อง ไม่ได้ละ แต่ว่าความเข้าใจเกิดเมื่อไหร่ ละความไม่รู้ตรงนั้น เพราะฉะนั้นวิธีที่จะรู้ว่าเราเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ก็คือเดี๋ยวนี่แหละ เข้าใจอะไร มากน้อยแค่ไหน คิดละตรงนี้ แล้วก็เวลาที่ฟังเข้าใจนะคะ ความเข้าใจขั้นฟังก็ละ ความที่ไม่เคยเข้าใจ หรือว่าเคยเข้าใจผิด ปัญญาเขาก็ทำหน้าที่ ของเขานี่ค่ะ ตามลำดับขั้นด้วย แต่ไม่ใช่เรานะคะ จะเอาเราอยากรู้ตรงนี้ ไปเข้าใจแล้ว คิดว่าจะละ ไม่ได้เลย ต้องเป็นความเข้าใจเกิดเมื่อไหร่ ตรงนั้นทันทีที่เข้าใจ ก็ละความไม่รู้ ค่อยๆ เป็นอย่างนี้
อ.นภัทร เพราะฉะนั้นบุคคลผู้นั้นเนี่ย ต้องทราบความต่าง
ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่นะคะ มรดกจากพระองค์ที่ประเสริฐสุด คือปัญญาของผู้ฟัง ไม่ใช่ปัญญาของพระองค์ ไปบอกเขาว่าตรงนี้ผิด ตรงนั้นถูก ตรงนี้ต้องแก้ ตรงนั้น ต้องทำอย่างนั้น แต่ต้องเป็นการที่ฟังพระธรรมนะคะ ปัญญาของใครเกิด นั่นคือมรดกที่ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.นภัทร พูดถึงเรื่องการสะสมครับท่านอาจารย์ แม้ในขณะนี้ก็มีการสะสมที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก็แล้วแต่เพราะว่าสลับกัน
ท่านอาจารย์ นี่คือเราเริ่มรู้จักสภาพรู้ ว่าหลากหลายมาก และก็สภาพรู้ไหนสะสม สภาพรู้ไหนไม่สะสม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 961
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 962
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 963
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 964
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 965
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 966
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 967
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 968
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 969
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 970
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 971
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 972
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 973
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 974
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 975
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 976
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 977
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 978
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 979
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 980
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 981
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 982
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 983
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 984
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 985
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 986
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 987
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 988
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 989
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 990
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 991
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 992
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 993
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 994
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 995
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 996
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 997
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 998
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 999
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1000
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1001
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1002
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1003
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1004
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1005
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1006
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1007
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1008
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1009
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1010
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1011
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1012
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1013
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1014
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1015
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1016
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1017
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1018
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1019
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1020