ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021


    ตอนที่ ๑๐๒๑

    สนทนาธรรม ที่ นิกันติ กอล์ฟคลับ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ผู้ฟัง ทำอย่างไร ให้เข้าใจเรื่องของกรรม และเกรงกลัวต่อวิบากที่จะเกิดมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีวิบากไหม ก่อนอื่นทุกคำต้องเข้าใจในภาษาของตนของตน วิปากะในภาษาบาลี หมายความถึงสภาพรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่รู้อะไร โต๊ะนี่ไม่ใช่วิบาก เพราะว่าไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้นเหตุคือกรรมการกระทำ ก็ไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่รู้อะไร ธาตุรู้มีมากมายหลายอย่าง ตอนเช้าเราก็พูดถึงเรื่องหนึ่งธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงหลากหลายต่างประเภท สิ่งที่มีจริงประเภทหนึ่งคือเกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรมทั้งหมดเลย หิวมีจริงไหม เป็นธรรมหรือเปล่า ธรรมคือไม่ใช่เรา เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ธรรมที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรมทั้งหมดเลยทุกชนิด และธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ รู้สึก จำได้ พวกนี้ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ถูกจำทั้งนั้น เพราะฉะนั้นสภาพที่จำสภาพที่คิดทั้งหมดเป็นนามธรรม หิว เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม

    ผู้ฟัง นามธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่คือประโยชน์ไหมที่จะรู้ว่าบังคับไม่ให้หิวได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ หิวมาก หิวน้อย บังคับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างหมดไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เป็นอย่างนั้นตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นเริ่มรู้แล้วว่ากำลังหิว ขณะนั้นเป็นธรรมที่มีจริงเกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เรา แค่นี้ กว่าจะทุกอย่าง ทุกอย่างนี่คือไม่เว้นเลย จากในสังสารวัฏที่ไม่เคยรู้ และยึดถือผิดๆ มาตลอดว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด กว่าจะค่อยๆ รู้ว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ทางตา แต่ไม่ใช่ใครสักคน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย กว่าจะลบล้างความเห็นผิด จำผิด ยึดถือมาผิดๆ จนกระทั่งค่อยๆ ประจักษ์แจ้ง ใช้คำว่าประจักษ์แจ้ง หมายความว่าสภาพนั้นต้องปรากฏแสนสั้น จึงจะไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพียงแค่ปรากฏนิดเดียว เอาดอกไม้หนึ่งดอกไปแตกย่อยสลายจนกระทั่งเหลือนิดเดียว จะเป็นดอกไม้ไหม ก็ไม่เป็น แต่พอมารวมๆ กัน อย่างเดียวกันเอามารวมกันก็เป็นกลีบดอกไม้กลีบหนึ่ง เป็นใบเป็นต้นเป็นราก เหลือที่จะประมาณได้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมเกิดดับ ปกปิดหลอกลวงความจริงให้เหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่ดับเลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้ฟังทุกคำ เข้าใจเมื่อไหร่ แม้ความเข้าใจก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นจึงมีคนฉลาด มีคนโง่ มีคนรู้กับมีคนไม่รู้ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงไม่ว่าจะชาติใดประเทศใดคนใด มีจริงทั้งนั้น และก็หลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง วิชานี้น่าสนใจไหม วิชาความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นวิชาที่เหนือวิชาใดๆ ทั้งสิ้น ใครจะไปเรียนวิชาอะไรมาทั้งหมด ก็ไม่รู้วิชานี้ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งหลากหลายมาก แล้วก็มีจริงๆ แล้วก็เกิดดับด้วย ทุกคำพิสูจน์ได้ นี่เป็นสิ่งที่ควรสะสมไหม ที่จะเมื่อเป็นความจริงแล้วจะรู้หรือไม่รู้ ถ้าจะรู้รู้ได้แต่ไม่ใช่ทันที เพราะความรู้ไม่ใช่เราหรือใครที่จะไปพยายามไปนั่งปฏิบัติที่หนึ่งที่ใ แต่ต้องสะสมเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ตราบใดที่สามารถจะเข้าใจได้ โดยความไม่ใช่เรา โดยความเป็นอนัตตา ถ้าไม่เคยฟังเลยหมดโอกาส

    เพราะฉะนั้นใครจะบอกว่าฟังธรรมทำไม เสียเวลา ไปปฏิบัติดีกว่า ผิด เพราะเหตุว่าจะไปรู้อะไร ถามจริงๆ ว่าจะรู้อะไร นั่งเฉยๆ จะรู้อะไร แต่เพราะได้ยินได้ฟังคำซึ่งยากแสนยากที่ใครจะได้ฟัง ต้องเป็นผู้ที่มีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน แล้วก็ไม่ลืมว่าขณะนี้เองกำลังเป็นปางก่อนของชาติหน้า ถ้าเรามีความเข้าใจในชาตินี้ ต่อไปเราก็มีโอกาสที่จะได้ฟังอีก เข้าใจอีก จนกว่าจะถึงวันที่เป็นอภิสมัย อภิสมย สมัยคือขณะ อภิ คือยิ่งใหญ่ในสังสารวัฏ ที่ได้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏกับปัญญา ซึ่งไม่ใช่เรา แต่จากการฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ ค่อยๆ ละความไม่รู้ไป สภาพธรรมก็ปรากฏ เพราะใครจะเปลี่ยนความจริงว่าเดี๋ยวนี้เห็นไม่ใช่ได้ยิน และคนละขณะ ไม่ใช่ขณะเดียวกัน ถ้าพูดถึงได้ยิน ขณะเดียวที่มีเสียงปรากฏ และมีธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยิน ขณะนั้นมืดหรือสว่าง ธรรมเป็นเรื่องฟังเข้าใจ จะเข้าใจก็ต่อเมื่อฟังแล้วก็คิดตาม ถูกจะเป็นผิดไม่ได้ ความจริงจะเปลี่ยนเป็นความไม่จริงไม่ได้

    เพราะฉะนั้นแม้ความจริงแค่นี้ เรารู้จริงๆ หรือเปล่า ขณะได้ยินต้องมีเสียง มีเสียงกับได้ยิน ขณะนั้นมืดหรือสว่าง ขณะที่มีเสียงกับได้ยินเท่านั้นอย่างอื่นไม่มีเลย เพราะสภาพธรรมต้องเกิดขึ้นปรากฏทีละหนึ่ง จิตคือธาตุรู้เกิดขึ้นหนึ่งขณะ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเพียงหนึ่ง เพราะประกอบด้วยเจตสิกซึ่งตั้งมั่นในอารมณ์ ภาษาบาลีจะออกเสียงว่าอารัมมณะ คือสิ่งที่จิตรู้ เราพูดถึงคำว่าอารมณ์ในภาษาไทย เราไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง วันนี้อารมณ์ดี เพราะเห็นดีได้ยินดีได้กลิ่นดี เพราะจิตรู้สิ่งที่ดีก็บอกว่าอารมณ์ดี แต่อารมณ์จริงๆ คือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นขณะได้ยิน เสียงเป็นอารมณ์ของจิตที่ได้ยิน เฉพาะเสียงที่ปรากฏไม่ใช่เสียงอื่น เพราะฉะนั้นในขณะที่เสียงปรากฏเดี๋ยวนี้เอง และก็มีธาตุที่ได้ยินเสียงด้วยอย่างอื่นมีไหม

    ผู้ฟัง อย่างอื่นไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ ในขณะนั้นต้องมีเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นในขณะที่เสียงปรากฏเดี๋ยวนี้ ธรรมดาอย่างนี้ ปกติอย่างนี้ ธรรมเป็นปกติ เป็นธรรมดา ขณะที่เสียงกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เอง เพราะมีธาตุที่ได้ยิน ถ้าใครที่นี่คิดเรื่องอื่น ไม่ได้ยินเสียงใช่ไหม แต่เสียงปรากฏเมื่อไหร่ ต้องมีธาตุได้ยินเมื่อนั้น ตั้งใจจะได้ยินเสียงหรือเปล่า หรือว่าต้องได้ยิน

    ผู้ฟัง ต้องตั้งใจถึงได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ต้องตั้งใจหรือ ต้องตั้งใจฟังเสียงเครื่องปรับอากาศหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมได้ยิน

    ผู้ฟัง เพราะมีปัจจัยทำให้ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เลือกไม่ได้ว่าจะได้ยินอะไร กำลังนอนหลับฟ้าร้อง ตื่น ใครจะต้องการให้ฟ้าร้อง ใครต้องการให้ตื่นขึ้นได้ยินเสียงนั้น เพราะฉะนั้นแม้ได้ยิน ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เริ่มเข้าใจความจริงว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ฟ้าร้องไม่ได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นลองพิจารณาเพื่อดูความเข้าใจธรรมว่า การฟังธรรมและไตร่ตรองทำให้เป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลและความจริง ซึ่งใครเปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ จะมีอำนาจอย่างไรอย่างไรมหาศาลสักเท่าไหร่ จะเปลี่ยนธรรมเปลี่ยนไม่ได้ ขณะที่กำลังได้ยิน เช่น เดี๋ยวนี้เลย เสียงปรากฏ ไม่มีอย่างอื่นเลย มีเฉพาะเสียงนั้นที่ปรากฏ ในขณะนั้นมืดหรือสว่าง เครื่องสอบถามความเข้าใจธรรม ง่ายๆ เพราะเป็นจริงอย่างนั้น ธรรมเกิดก็ไม่รู้ใช่ไหม ธรรมดับก็ไม่รู้ อะไรอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีค่าเหนือรัตนะใดๆ ทั้งสิ้น เพราะจากความไม่รู้มาเป็นความรู้ขึ้น ตรงตามความเป็นจริงด้วย

    เพราะฉะนั้นถามคำเดียวว่า ขณะที่กำลังได้ยิน มืดหรือสว่าง ตามความเป็นจริงอย่างเมื่อสักครู่นี้ใช่ไหม เห็น พอหลับตา ไม่เห็นมีคนสักคน ทำไมลืมตามีคนตั้งเยอะ เห็นไหม นี่ก็เป็นความจริงว่าไม่ได้เห็นคน เห็นเฉพาะสิ่งที่สามารถกระทบตา ถ้าไม่กระทบตาจะเห็นไหม ข้างหลังนี่ใครเห็นอะไรข้างหลังบ้าง ตาไม่ได้อยู่ข้างหลัง เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรไปกระทบตา เพราะฉะนั้นจะไปเกิดเห็นข้างหลังไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้มีเห็นเพราะตาอยู่ตรงนี้ และมีสิ่งที่ต้องกระทบตาด้วย ต้องทีละหนึ่งขณะ ผัสสะ นิกันติกอล์ฟคลับมีห้องผัสสะใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ ห้องที่เราอยู่กัน

    ท่านอาจารย์ ทั้งอ่านด้วย ทั้งเห็นด้วย ทั้งพูดด้วย แต่รู้ไหมว่าผัสสะคืออะไร เห็นไหม เราพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย ลองถามสักคำหนึ่งว่ารู้ไหมคืออะไร แต่พอได้ฟัง ทุกคำก็คือสิ่งที่เราพูดนั่นแหละ พูดมาเลย หิวก็พูดแต่หิวเป็นอะไร เห็นไหม ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าหิวเป็นอะไร หิวไม่ใช่เรา แต่หิวมีจริงๆ แล้วก็สิ่งที่ไม่รู้อะไรก็หิวไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคนหิว นกหิว สัตว์หิว แต่หิวเป็นอะไร เป็นความรู้สึกที่เป็นทุกข์ทางกาย ถ้าไม่มีกายจะหิวไหม เห็นไหม ทุกอย่างเป็นความจริงในชีวิตทั้งหมด ซึ่งถูกปกปิดสนิทแน่นมากทุกชาติ ยากที่จะรู้ได้ แต่ทุกคำเป็นคำจริงของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ แต่ว่าต้องฟังไตร่ตรอง และความจริงต้องเป็นความจริงไม่ปฏิเสธสัจจะความจริง สัจจบารมีคือเมื่อรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ จะไปรู้อย่างเล่นๆ หลอกๆ ลวงๆ อย่างเดิมไหม ใช่ไหม ในเมื่อไม่ได้ให้ความจริงอะไรเลย แต่สิ่งที่มีจริงผู้ที่ตรงต่อความจริงคิดว่า ต้องดีกว่าไม่รู้แน่นอน เพราะถูกลวงมาตลอด จะไม่ถูกลวงก็ต่อเมื่อรู้ความจริงของแต่ละอย่างตรงตามเป็นจริง ก็เป็นผู้ที่สะสมสัจจบารมีเป็นผู้ที่เริ่มตรงต่อความจริงทุกอย่างที่ฟัง เมื่อรู้และเข้าใจถูกต้อง ถ้าฟังไม่ดี ฟังเผินๆ ผิดทันที ทุกคำที่พูดกันโดยไม่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ลวงใช่ไหม คิดว่าเข้าใจ อย่างฟังธรรม สนทนาธรรมปฏิบัติธรรม แต่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ถูกไหม เขาบอกว่าฟังธรรม แต่ไม่เห็นรู้เลยว่าธรรมคืออะไร และก็ปฏิบัติธรรม ก็ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร

    เพราะฉะนั้นพูดคำที่ไม่รู้จัก แต่ว่าจะเมื่อรู้จักก็ต้องฟังอย่างละเอียดเพราะอะไร เคยไม่รู้จักมานานแสนนานในสังสารวัฏ แล้วจะให้เกิดความรู้ความเข้าใจทันทีเป็นไปไม่ได้ มิฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ต้องไม่บำเพ็ญบารมีอะไรเลย ก็สามารถที่จะไปที่ไหน และก็เกิดรู้ขึ้นมาได้ ก็ไม่เป็นความจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟังแล้ว เพียงแค่ฟังแล้ว ถามทบทวนเตือนให้ไม่ลืมว่า ที่ฟังไปแล้ว พอหยุดฟังก็ลืมเลย แค่ออกจากห้องนี้ก็ลืม ยังไม่ทันออกก็ลืม เพราะว่าไม่ได้ฟังบ่อย เหมือนอย่างสิ่งที่จำไว้ ถ้าแค่ได้ยินครั้งเดียว หรือเพียงเห็นคนเดียวครั้งเดียวจำได้ไหม เห็นบ่อยๆ จำได้ไหม จำได้จนกระทั่งว่าเขาเดินอยู่ข้างหน้ายังรู้ว่าใคร เห็นไหม คนที่ไปที่มูลนิธิ คนที่อยู่ข้างหลังจะรู้ว่าใครอยู่ข้างหน้า ใครกำลังเดินอยู่ข้างหน้า นี่เพราะบ่อยๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเรายังไม่เคยได้ยินเรื่องได้ยินเห็นคิดนึก ๖ ทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ แต่เราก็ใช้คำว่า ๖ ทวาร ผัสสะ เป็นต้น

    เพราะฉะนั้นที่จริงแล้ว ถ้าเราเข้าใจถูกต้องจะเป็นประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าเห็นแล้วนึกออกว่าคืออะไร แต่คนที่ไม่รู้ว่าผัสสะคืออะไร ก็ผ่านผัสสะไปทุกวัน ใช่ไหม แต่ไม่รู้ว่าผัสสะคืออะไร แต่ผัสสะเป็นคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ก็มีเห็นไหม เดี๋ยวนี้ก็มี ทุกขณะก็มีแต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน และคืออะไร จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คิดให้ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจซึ่งไม่ใช่เรา ทุกอย่างต้องมาที่ทุกอย่างเป็นธรรมเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้ายคือให้ประจักษ์ความจริงว่า ไม่ใช่เราเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แม้แต่ขณะนี้หรือขณะไหนก็ตาม เห็นเกิดขึ้น ได้ยินเกิดขึ้น ใครทำ คิดเกิดขึ้นใครทำ เป็นอนัตตาทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเผิน แล้วก็คอยเข้าใจตอนฟัง ไม่ใช่ หมายความว่าขณะที่ฟังนี้ก็เข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่ลืม เห็นที่ไหนเมื่อไหร่ได้ยินอีกรู้ทันที เหมือนคนที่รู้จักกัน ไม่เคยรู้จักกันเลย เห็นครั้งเดียว ไม่กี่วันก็ลืม อีก ๑๐ ปีอาจจะจำไม่ได้เลย ใช่ไหม แต่ถ้าเห็นบ่อยๆ ทุกวัน จำได้ เช่นเดียวกับทุกคำที่เราได้ยินจากที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้แล้วใน ๒,๕๐๐ กว่าปี เพราะฉะนั้นยังไม่พูดถึงผัสสะ ซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกขณะต้องมีผัสสะ แต่ให้คิดว่าในขณะที่ได้ยินมืดไหม นี่เป็นปัญญาของผู้ที่ไตร่ตรองรู้ความจริงคือสัจจะ ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง ใครจะบอกอย่างอื่นไม่ถูกต้อง ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นความจริงอย่างนี้ตลอดทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้นแค่ปัญญาจะเกิด ด้วยการคิดไตร่ตรองว่า ในขณะที่ได้ยิน มืดไหม ลองคิด มิฉะนั้นแล้ววันนี้ก็ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่จะรู้ต่อเมื่อตอบ

    ผู้ฟัง ขออนุญาตตอบ คิดว่ามืด

    ท่านอาจารย์ คิดหรือจริง

    ผู้ฟัง คิดว่าจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ากำลังเป็นความคิดใช่ไหม ยังไม่ใช่การประจักษ์จริงๆ เพราะฉะนั้นประจักษ์จริงๆ ก็เหมือนอย่างความจริงที่คิดว่าคิดถูกหรือคิดผิด หลับตาแล้วได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม มืดไหม

    ผู้ฟัง มืด

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ชัดเจน หลับตาก็ยังได้ยิน เพราะฉะนั้นได้ยินขณะนั้นไม่ได้สว่างเลย ลืมตาก็ได้ยิน เห็นไหม เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นได้ยิน เห็นเป็นเห็น แต่ขณะที่เห็นสว่าง ขณะที่ได้ยินมืด ใครรู้ ธรรมลึกกว่านี้มาก จะคิดว่าธรรมลึกซึ้งสักเท่าใด ระดับนี้คิดไม่ถึงว่าธรรมจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นทุกครั้ง เห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้นมากขึ้น เพราะฉะนั้นความศรัทธาและความเคารพของใครจะมั่นคง ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล เพราะได้ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้นศรัทธาความมั่นคงจะมากสักแค่ไหน เพราะปัญญาที่รู้ว่าทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริงที่พิสูจน์ได้ ได้ยินไม่สว่างเลย ได้ยินเป็นได้ยิน ลืมตาได้ยิน ตรงขณะที่ได้ยินก็ไม่สว่าง

    เพราะฉะนั้นโลก การเกิดดับที่สืบต่อเร็วที่สุดปิดบังความจริงไว้มั่นคงแค่ไหน กว่าจะค่อยๆ ละ ค่อยๆ ถอน ค่อยๆ คลายออกไปได้ ไม่ใช่คนหนึ่งคนใดไปนั่งพยายามที่หนึ่งที่ใดเลยทั้งสิ้น ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิด คลาดเคลื่อนด้วยความเข้าใจที่ขาดการพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความถูกต้องจริงๆ ด้วยเหตุนี้ทุกคำไม่ใช่ผ่านไป ตอนนี้ใครไม่รู้บ้างว่าขณะที่ได้ยินมืด ฟังแล้วรู้ทุกคนใช่ไหม เข้าใจถูกต้องว่าขณะที่ได้ยินแล้วมืดเราอยู่ในโลกของความไม่รู้ เริ่มเห็นแล้ว เพราะเหมือนสว่างอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ๖ โลกอย่าลืม หนึ่งคือโลกทางตามีแน่ๆ โลกคือสิ่งที่เกิดปรากฏ ก็กำลังเห็น หมายความว่าเห็นต้องเกิด

    เพราะฉะนั้นโลกนี้ ไม่เป็นเสียง ไม่เป็นกลิ่น แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ หนึ่งโลกแล้วใช่ไหม เห็นแล้วคิดไหม ห้ามไม่ให้คิดไม่ได้เลย แต่ไม่เคยแยกไม่เคยรู้ความต่างว่าเห็นไม่ใช่คิด แต่ทำไมรู้ว่าเป็นคนนั้นคนนี้ ไหนว่าไม่คิด ใช่ไหม เห็นเพียงเห็น แต่ก็ไม่รู้แล้วว่าเห็นแล้วคิดทันที แต่คำว่าทันที พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อห่างกัน แล้วใครรู้ พอเห็นก็เหมือนรู้ทันทีว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอภิธรรม คำว่าอภิหมายความว่าละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ได้ฟัง เห็นมีจริงเป็นธรรม ได้ยินมีจริงก็เป็นธรรม แต่ความละเอียดว่า หนึ่งขณะที่เห็นกับหนึ่งขณะที่ได้ยินห่างกัน โดยจิตที่เกิดในระหว่างนั้นทำหน้าที่ของจิตแต่ละขณะ โดยไม่มีใครรู้เลย เช่น เดี๋ยวนี้ใครรู้ว่าจิตเจตสิกกำลังเกิดดับ ทำกิจเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง จำบ้างตลอดเวลา ถูกปกปิดไว้หมดเลย ไม่มีใครรู้เลย จึงเข้าใจว่าเป็นเราเป็นเขาเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมด้วยความเคารพ จะทำให้รู้ว่าการเคารพจริงๆ คือการเข้าใจธรรม ไม่ใช่การกราบไหว้แล้วก็ไม่เข้าใจธรรม ไม่ใช่นำเครื่องบูชาดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะ แต่ไม่เข้าใจธรรม พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ต้องการเครื่องบูชาใดๆ ทั้งสิ้น แต่มีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้รู้ความจริง ซึ่งทุกคำจริง เปิดเผยเมื่อได้ฟังเมื่อได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา จะมากกว่านี้อีกเท่าไหร่ นี่เพียงไม่กี่คำ แล้วก็ยังไม่ถึงครึ่งวันเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นมากกว่านั้น ก็จะต้องเป็นสิ่งซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นก็ตอบได้แล้วว่าขณะที่ได้ยินไม่เห็น ความไม่รู้ปิดบังไว้แค่ไหน เพราะฉะนั้นค่อยๆ เปิดเผย ค่อยๆ รู้จนกว่าจะเป็นธรรมหมดเลย ไม่ใช่เรา เพราะเพียงแค่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ก็ตอบได้ใช่ไหม เมื่อไตร่ตรองและเมื่อเข้าใจ เข้าใจก็ไม่ใช่เรา ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่เข้าใจ แต่ละหนึ่งละเอียดยิบจึงเป็นอภิธรรม เมื่อธรรมปรากฏแต่ไม่มีการเข้าใจถูกต้อง เพราะว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วทำให้เกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นทางตา นิมิต หมายความถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ใครเห็นดอกไม้ก็ต้องรู้ใช่ไหมว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่ถ้วยแก้ว ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ เพราะอะไร เพราะสัณฐานรูปร่างของสิ่งนั้น จึงทำให้รู้ว่าไม่ใช่สิ่งอื่น คน สุนัข นก แมว ปรากฏสัณฐาน เพราะเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ถ้าเพียงแค่นิดเดียวเกิดและดับไปจะไม่มีอะไรเลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    11 เม.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ