ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๓๔

    สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี

    วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    อ.วิชัย แล้วเหตุใดภิกษุในธรรมวินัยนี้ จึงไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง

    ท่านอาจารย์ สละแล้วใช่ไหม ไม่มีแล้วใช่ไหม ถูกไหม จึงบวชแล้วจะมีอีกได้อย่างไร ถ้ามีอีกก็ไม่ใช่ภิกษุ ก็ต้องกลับไปเป็นคฤหัสถ์ ซึ่งไม่สละ เพราะฉะนั้นสละ ไม่ใช่เพียงแค่ไม่ใช้เงินใช้ทองหรืออะไรอย่างนั้น หรือว่าเพียงภายนอก แต่ต้องเป็นใจที่สละ จึงสามารถที่จะเป็นพระภิกษุในธรรมวินัยได้ และการไม่รับเงินรับทอง ก็เป็นสิกขาบทข้อหนึ่งในบรรดาสิกขาบททั้งหมดที่ได้ทรงบัญญัติไว้ ซึ่งถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามแม้ข้อใดข้อหนึ่งก็เป็นโทษ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจว่าเป็นเพศที่มั่นคงในการที่จะดำรงตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงเพศบรรพชิต แต่ต้องเป็นบรรพชิตจริงๆ คือสามารถที่จะรู้ว่าเป็นบรรพชิตอย่างไร ตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา เราไม่ใช่คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นจะเหมือนคฤหัสถ์ไม่ได้ แล้วภิกษุจะรับเงินทองไปทำไม ในเมื่อละแล้ว อย่าลืมละแล้วก่อนบวช ที่บวชคือละเงินทอง ละเพศคฤหัสถ์ทั้งหมด แล้วจะไปรับอีกได้อย่างไร แล้วเอาไปทำอะไร เอาไปซื้อของได้ไหม ซื้อของก็คือเพศของคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นไม่รับเงินและทอง แล้วไม่ยินดีด้วย ไม่ใช่ว่าไม่รับ แต่ใจยินดีอยากได้

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับเงินและทองหรือเปล่า ไม่ใช่คำถามยากเลย แล้วผู้ที่บวชเป็นพระภิกษุ ทำไมบวช เป็นคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะฟังธรรม เข้าใจธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นได้ถึงพระอรหันต์เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงไม่เป็นเพศคฤหัสถ์อีกต่อไป นี่แสดงว่าเป็นเพศที่หมดกิเลส ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นการยินดีต้องการเงินและทองเป็นกิเลสหรือเปล่า จะขัดเกลากิเลสไม่ใช่หรือ แล้วจะเอาเงินทองไปทำอะไร

    ผู้ฟัง คือในสมัยก่อนเราจะเข้าใจกันว่า พระพุทธเจ้าท่านก็คือจะไม่รับเงินทองอยู่แล้ว แต่ในปัจจุบัน คือเหมือนจากที่ดิฉันได้เห็น ก็คือพระภิกษุท่านต้องมาหาหมอ ต้องใช้จ่าย ต้องมีปัจจัยในการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นบางครั้งดิฉันเห็นว่าการที่ท่านรับไว้ก็ไม่น่าจะผิดศีล เพราะว่าท่านต้องเอามาใช้ในการดูแลตัวเองรักษาตัวเอง หรือว่าบางครั้งอย่างมีกิจ เช่นพิธีศพ หรือว่างานบุญ ถ้าเราใส่ซองถวาย ถ้าสมมติว่าเป็นการผิด เพราะฉะนั้นทางญาติโยมก็จะผิดไปด้วยหรือ เพราะว่าก็เหมือนปฏิบัติเป็นแบบตามๆ กันมาอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เพราะฉะนั้นเราถึงต้องตั้งต้นว่าพระภิกษุคือใคร อันนี้ต้องชัดเจนเปลี่ยนไม่ได้เลย ไม่ว่ากาลสมัยไหน เพราะฉะนั้นพระภิกษุคือใคร คือผู้สละ มั่นคงที่จะศึกษาเข้าใจพระธรรม ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ไม่มีใครบอก ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครทำให้บุคคลนั้นเป็นอย่างนั้นได้ นอกจากตนเอง ซึ่งการที่จะบวช ไม่ใช่ว่าบวชเพราะอย่างนั้น บวชเพราะอย่างนี้ แต่บวชเหตุเดียวคือ เห็นภัยในสังสารวัฏ ต้องเป็นผู้ที่สะสมคุณความดีใหญ่มามาก ได้ฟังพระธรรมมามาก จึงสามารถที่จะดำเนินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ จึงได้ประทานอนุญาตให้อุปสมบท ไม่ใช่ใครก็ตาม ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ไปบวช เพราะอะไรจึงบวช มีคำตอบไหม คนที่ไม่เข้าใจธรรมเลย ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่บวช ตอบได้ไหมว่าเพราะอะไร คำตอบหนึ่งเพราะกิเลส อยากบวช แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าการสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เป็นเพศที่สูงยิ่ง เป็นที่เคารพนับถือของทุกคน ในคุณความดีของบุคคลนั้น ที่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ขัดเกลาคำนี้ต้องรู้ว่าไม่มีอะไรอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป เสื้อผ้าสวยๆ การสนุกสนานบันเทิงรื่นเริงต่างๆ ทุกอย่าง เพราะเห็นประโยชน์ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือที่จะได้เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นจิตใจของคนนั้นต้องมั่นคงที่จะประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประพฤติอย่างไร อากัปกิริยา การเดิน ความเป็นอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องคล้อยตามพระธรรมวินัย จึงสมควรที่จะเป็นภิกษุ มิฉะนั้นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึง ในครั้งโน้นพระภิกษุท่านป่วยกันหรือเปล่า ป่วย แล้วใครดูแลหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ขออนุญาต เพราะว่าสมัยก่อนก็มีอย่างหมอชีวกโกมารภัจจ์ ท่านก็ดูแลรักษาพระภิกษุ พระภิกษุก็ไม่ต้องใช้สตางค์ แต่เดี๋ยวนี้เมื่อมาโรงพยาบาล

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน พระภิกษุที่ก่อนบวชเป็นแพทย์มีไหม

    อ.อรรณพ มี ภิกษุ

    ท่านอาจารย์ ก็หมอชีวกไม่ได้บวช

    อ.อรรณพ ไม่ได้บวช

    ท่านอาจารย์ แต่ท่านมีความรู้ทางการแพทย์ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบวช มีแพทย์ที่มีความรู้ทางการแพทย์ แล้วก็บวชไหม เดี๋ยวนี้มีไหม

    อ.อรรณพ มี

    ท่านอาจารย์ ก็มี เหมือนหมอชีวก

    อ.อรรณพ คืออย่างนี้ ผมหมายความว่าอย่างสมัยพุทธกาล ภิกษุก็ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไร เพราะมีผู้มีศรัทธาช่วยดูแลให้

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะว่ามีผู้ที่มีศรัทธาช่วยดูแล

    อ.อรรณพ แต่ถ้าสมัยนี้ ไม่ใช่ว่าภิกษุผู้ที่บวชเป็นภิกษุ จะมีคนคอยดูแลตลอด ก็เลยน่าจะยกเว้นเรื่องสุขภาพไว้หน่อย ขอรับเงินเพื่อสุขภาพ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวคุณอรรณพต้องย้อนไปตั้งแต่ต้นว่าผู้นั้นเข้าใจธรรมหรือเปล่า หมายถึงผู้คนที่จะบวช ก่อนจะบวชเข้าใจธรรมหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ตรงนี้แหละ

    ท่านอาจารย์ นี่คือจุดเริ่ม ไม่ใช่ว่าบวชไป บวชไป แล้วไม่สบายแล้วใครจะรักษา แต่ต้องเขาคือใคร ภิกษุคือใคร ต้องมั่นคง

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์หมายความว่า ถ้ายังไม่เข้าใจว่าภิกษุคือใครจริงๆ ก็ไม่ผ่านทั้งผู้ที่จะไปบวช แล้วก็ทั้งคฤหัสถ์ที่จะให้เงิน หรือไม่ให้เงินพระนี่แหละ

    ท่านอาจารย์ ก็เพราะอะไรจึงบวช เห็นไหม ในครั้งโน้นท่านตอบได้เลยว่าเพราะอะไรท่านจึงบวช มารดาบิดาไม่ให้บวช ท่านก็บวช จะบวชเพราะอะไร ท่านมีเหตุผล มีการสะสมมา มีความเข้าใจธรรม และเข้าใจการสะสมของตนเอง มั่นคงมาก ไม่ใช่บวชเพราะเขาอยากให้บวช เขาจะได้บุญ ให้คนโน้นบวช คนนี้บวช ไม่ใช่ แต่ต้องรู้ว่าการบวชจากเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต สูงส่งมาก กับการที่จากไม่มีความรู้ แล้วจะได้รับความรู้จากการขัดเกลากิเลสจากผู้ที่ได้ทรงดับกิเลสแล้ว เห็นความต่างกันอย่างมาก ต้องมีความเคารพจริงๆ ในพระรัตนตรัย จึงสมควรที่จะบวช ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วบวช นั่นไม่ใช่ภิกษุ

    ภิกษุไม่เหมือนคนธรรมดา ทำไมเรากราบไหว้ภิกษุ เพราะความที่ท่านเข้าใจธรรม แล้วก็รู้ว่าการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ท่านสามารถที่จะกระทำได้ตามพระธรรมวินัย ท่านต้องศึกษาพระธรรมวินัยก่อน แล้วรู้ว่าสามารถที่จะเป็นภิกษุได้ไหม มิฉะนั้นไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบวช เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจธรรมแล้วบวชทำไม ไม่รักษาพระวินัยแล้วบวชทำไม แล้วก็ป่วยไข้ คนก็คิดว่าจะต้องดูแลรักษา แต่ว่าบุคคลนั้นไม่ใช่บรรพชิต ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจธรรมก่อนบวช แล้วบวชแล้วก็ไม่ได้ศึกษาธรรมด้วย แล้วก็ไม่ได้รักษาพระวินัยด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องเข้าใจจริงๆ ว่าถ้าเป็นภิกษุที่รักษาพระวินัย ไม่รับเงินและทอง เอาไปให้ท่าน ท่านก็ไม่รับ

    ก่อนอื่นก็พิจารณาตนเอง คือเราเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน สูงสุดแค่ไหน หรือคิดว่าสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้ สามารถที่จะเพิกถอนได้ตามกาลสมัย นี่คือผู้ที่ไม่เข้าใจในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อดีตไม่จำกัดเลยว่าเท่าไหร่ อนาคตที่จะเกิดขึ้น แม้ปัจจุบัน นี่คือความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการที่พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัยแต่ละข้อไหน ใครจะบัญญัติได้ ไม่มีเลย แม้ท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่ว่าอีกกี่ปีจะเป็นอย่างนี้ ข้างหน้าจะเป็นอย่างนั้น เรามาเปลี่ยนแปลงพระวินัยได้ แม้แต่การสังคายนาของพระภิกษุอรหันต์ หลังจากที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ลงมติร่วมกันว่าสิ่งใดที่บัญญัติไว้แล้วจะไม่ถอน นี่คือพระอรหันต์ทั้งหลายที่ได้ประชุมกัน แล้วก็มีมติร่วมกันอย่างนี้ แล้วเราเป็นใคร เราเคารพพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน ที่จะติว่าไม่รู้กาลสมัย พระวินัยอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร นั่นคือผู้ที่ไม่รู้ว่า การขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงจริงใจและตรงเท่านั้น จึงสมควรแก่การที่จะเป็น ใช้คำว่า ศากยบุตร บุตรของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเกิดจากพระอุระ คือปัญญาของพระองค์

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่คฤหัสถ์ทั้งหลาย ง่ายๆ ใครจะบวชก็บวช ไม่เป็นอย่างนั้นเลย ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบันไม่ได้บวชเลย ท่านจิตตคหบดีก็เป็นพระอนาคามี ไม่บวช เห็นไหม ก็แสดงว่าไม่ใช่ว่าจะบวชทำไม บวชอะไรอย่างนั้นง่ายๆ อยู่ดีๆ ก็อยากจะบวช คิดอยากจะบวชก็บวช ไม่ได้เลย ต้องเคารพอย่างยิ่งว่าสามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการ ไม่รับเงินรับทอง ไม่ทำอะไรทั้งหมด เพราะเหตุว่าทรงรู้ว่า กิเลสมาจากไหน อย่างละเอียดมาก เพราะฉะนั้นก่อนบวชเป็นพระภิกษุมีกิเลส บวชแล้วกิเลสไม่ได้หมด แต่ว่าการขัดเกลากิเลสต้องด้วยพระธรรม ต้องมีความเข้าใจคุณของพระธรรม ที่รู้ว่าสามารถที่จะทำให้จิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความไม่ดี ค่อยๆ มีความเห็นถูกความเข้าใจถูกว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เพราะฉะนั้นพระภิกษุทุกรูป ไม่ว่าจะเป็นใคร ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถ้าทำผิดต้องโทษคืออาบัติ ต้องปลงอาบัติหมายความว่าแสดงโทษของตนเองโดยการสำนึก ต้องมีความสำนึกว่าได้กระทำผิด แล้วก็แสดงอาบัติ เพื่อที่จะให้ภิกษุอื่นได้รู้ และได้รับเข้าหมู่คณะ เป็นพระภิกษุได้ต่อไป นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสะอาดอย่างยิ่งของพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดจะไปเจือปนว่าความคิดเห็นของคนนั้นควรจะเป็นอย่างนี้ ความคิดเห็นของคนนี้ควรจะเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาพระธรรมจริงๆ ก็รู้ว่าสามารถที่จะรู้จักตนเอง ยิ่งศึกษายิ่งรู้จักตนเองว่า จะเป็นพระภิกษุได้ไหม สมควรไหม และถ้าเมื่อใดก็ตามที่บวชแล้วกระทำผิด แล้วก็รู้ตนเองว่าไม่สามารถที่จะมีชีวิตตามพระธรรมวินัยได้ ท่านเหล่านั้นท่านลาสิกขา เป็นผู้ที่ตรง มีความจริงใจ


    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ วันนี้ก็เป็นวันเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าขณะนี้ก็มีธรรมหมดทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขาดไปเลย แต่ว่าความเข้าใจธรรม เป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย ก็เหมือนเดิมคือเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สุข ทุกข์ แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย เท่านั้นเอง แต่ว่าระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งซึ่งมี ไม่เคยขาดไปเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน เดี๋ยวนี้ก็มีธรรม แต่ถ้าไม่เข้าใจก็คือมีเรา มีต้นไม้ มีโต๊ะ มีผู้คนต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงธรรมคืออะไร ถ้าเราไม่เริ่มต้นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่าได้ยินแต่ชื่อ อย่างมากที่สุดที่รู้ๆ กัน ชาวพุทธทั้งหลายว่า เป็นผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้อริยสัจธรรม แต่ทุกคำทั้งหมดไม่เข้าใจ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำว่าพุทธะคืออะไร พุทธะคือรู้ หรือว่าปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วเห็นถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏแล้วหรือยัง ไม่ใช่ไม่มี มี แต่ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย เราบอกเรารู้ทุกอย่าง เรียนจบวิชาโน้นวิชานี้ ทำกิจการงานต่างๆ มีความสามารถทุกอาชีพ แต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ รู้อะไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

    เพราะฉะนั้นก็อยู่มาในโลกด้วยความไม่รู้ หรือถ้าบางคนจะบอกว่ารู้ เขาก็รู้เผินๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่รู้อย่างนั้นไม่ใช่การเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าเพียงได้ยินชื่อ แล้วก็จำ แต่ว่าถ้ารู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะคือผู้รู้ เป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดเปรียบเลย ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วยพระองค์เอง ผ่านไปแค่นี้ ตั้งแต่เด็ก แล้วแต่ว่าใครเริ่มจะสนใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อะไร ตรัสรู้อะไร คำว่าตรัสรู้ไม่ใช่รู้อย่างชาวโลก แต่ตรัสรู้คือรู้ความจริงของสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจพระธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องที่เราประมาท ไม่ใช่ที่บางคนก็อ่านธรรมของบุคคลโน้นบุคคลนี้ วันละ ๓ ชั่วโมง แต่ถามว่ารู้อะไร ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ตรง ก็คือว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ รู้หรือยัง ดูเหมือนไม่น่าสนใจ สนใจอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่า ที่เป็นการงานอาชีพ แล้วแต่ว่าสาขาไหน ดนตรีต่างๆ เพลงต่างๆ เรื่องราวต่างๆ แต่ว่าไม่เข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่รู้

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไร เริ่มต้นจากไม่รู้อะไร แล้วสิ่งนั้นแหละเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเริ่มจากคำว่าธรรม ให้ชัดเจน เพราะว่าควรที่จะได้เข้าใจธรรมทุกครั้งที่ฟังธรรม ไม่ใช่ฟังเผินๆ แต่ว่าทุกครั้งที่ฟังธรรมก็ต้องเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ เดี๋ยวนี้มีไหม ต้องคิด ถ้าได้ยินว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ต้องมีจริงแน่ๆ ตลอดไป เปลี่ยนคำนี้ไม่ได้เลย แล้วเดี๋ยวนี้มีไหม เดี๋ยวนี้มีธรรมไหม ถ้าไม่เคยฟังมาก่อน จะบอกไม่ได้เลยว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้ อะไรบ้าง ก็ตอบกันไป เป็นดอกไม้บ้าง โต๊ะบ้าง คนบ้าง แต่ว่าถ้าพูดถึงสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ มีสิ่งที่มีจริงคือเห็น จึงมีสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นดอกไม้ เป็นศาลา เป็นคน แต่ต้องมีการเห็น ถ้าไม่มีการเห็นจะมีการนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละอย่างได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นแม้แต่การเห็น เราเผินมาก ไม่มีใครจะรู้ความจริงว่าเห็นอะไร ทุกคนตอบตามที่เคยเห็น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ มีความลึกซึ้งไหม เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เมื่อกระทบตา ถ้าไม่มีตา สิ่งนี้ก็ปรากฏว่ามีไม่ได้เลย คนตาบอดไม่รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้เลย แต่ว่าเมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กระทบตา ทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แต่ละคำประมาทไม่ได้เลย หลับตาแล้วมีสิ่งที่ปรากฏเหมือนที่ลืมตาไหม ไม่เหมือน ชัดเจนอย่างนี้ก็ไม่คิดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาตลอดไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แล้วก็ต้องเมื่อมีตา แล้วเมื่อสิ่งนี้กระทบตา แล้วก็มีการเห็น เพราะฉะนั้นเห็นมานานเท่าไหร่ แต่ก็ยึดถือว่าเห็นสิ่งต่างๆ อยู่นั่นแหละ จนกว่าจะรู้ว่าเห็นเกิดขึ้นเห็น ต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วดับไป อันนี้ไม่มีใครรู้เลย เพราะเหตุว่าไม่ได้มีปัญญาพอที่จะรู้ แม้แต่แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เห็นเกิดขึ้นเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นจะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ขณะใดที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นสิ่งที่เพียงปรากฏทางตา ต้องดับแล้ว แล้วก็มีการจำ แล้วก็คิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏ ทำให้จำได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นถามว่าเห็นอะไร ตอบตามที่จำได้ว่าเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เห็น นั่นคิด เห็นดับแล้ว แต่เพราะเห็นจึงสามารถที่จะนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่เราจำไว้ว่าเป็นอะไร แล้วเราก็ตอบว่าเราเห็นสิ่งนั้น บางคนฟังแล้วก็บอกว่าไม่เข้าใจ ก็เป็นธรรมดา แต่ว่าคำไหนที่ไม่เข้าใจ คำไหนไม่เข้าใจ เห็นเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มีเห็น เห็นอะไร เห็นสิ่งที่เวลาหลับตาไม่ปรากฏ แต่พอลืมตาปรากฏ นั่นแหละเห็นสิ่งนั่นแหละ ที่เมื่อลืมตาแล้วเห็นเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าการคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ไม่ต้องเห็นก็คิดได้ เคยได้ยิน แล้วแม้ไม่ได้ยินอีก แต่ก็คิดถึงคำที่เคยได้ยินได้ เพราะฉะนั้นความจำเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่สามารถจะไปบังคับให้จำอะไร ทันทีที่เห็นสิ่งที่ปรากฏจำสิ่งอื่นได้ไหม เห็นอะไรแล้วไปจำอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เห็นได้ไหม ไม่ได้ เห็นอะไรก็จำเฉพาะสิ่งที่เห็น เพราะฉะนั้นจึงรู้ว่าเห็นอะไร

    นี่ก็เป็นการเริ่มต้นที่จะให้รู้ว่าธรรมมีอยู่ทุกวันทุกขณะ แต่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย นี่คือสัจธรรมความจริงซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ จนกว่าความเข้าใจนี้จะประจักษ์แจ้งมั่นคง ก็เป็นอริยสัจธรรมอย่างที่เราเคยได้ยิน และเคยจำว่าอริยสัจจะมี ๔ แต่ว่า ๔ เราก็รู้จักแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ นี่แหละ เป็นธรรมและก็เป็นสัจจะจริง ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็เป็นความจริงสำหรับผู้ที่ประจักษ์แจ้งแล้วจึงเป็นอริยสัจธรรม คนที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง จะรู้เหมือนพระอริยะรู้ไม่ได้เลย เพราะว่าต้องเป็นปัญญาที่เริ่มเข้าใจธรรม จนกว่าจะค่อยๆ แยกรู้สิ่งที่มีจริงเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ปะปนกันเลย เห็นกับคิด เกิดติดกันต่อกันทันที แต่ว่าไม่ได้แยกให้รู้ว่าเห็นเป็นอย่างหนึ่ง แล้วคิดเป็นอย่างหนึ่ง ต่อกันสนิทจนกระทั่งเหมือนว่าเห็นอะไร

    เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจะเข้าใจถูกในคำว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง และธรรมทั้งหลาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้คำภาษาบาลีว่า อนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด อัตตา คือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่อนัตตาไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อย่างที่เราเข้าใจว่าเป็นดอกบัว เป็นคน แต่ว่าสิ่งนั้นแหละ เพียงปรากฏแล้วดับ ลองคิดดูใครจะรู้ ทุกอย่างเวลานี้ซึ่งไม่ปรากฏการเกิดดับเลย แต่ความจริงของสิ่งนี้ก็คือว่าทันทีที่เกิด ทำหน้าที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แล้วก็ดับไป ตลอดเวลา แสนสั้น แล้วก็เร็วมาก ขณะนี้กี่นาทีแล้ว มีผู้ตอบไหม กี่นาทีแล้ว ๑๐ หรือ ถ้าน้อยกว่านั้นเป็นเท่าไหร่ เป็น ๙ ๘ ๗ ๖ ๕ สั้นกว่า ๑๐ แล้วใช่ไหม ๔ สั้นกว่า ๕ ๓ ๒ ๑ ขณะ สภาพธรรมเกิดดับเท่าไหร่ในหนึ่งขณะ นับประมาณไม่ได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    15 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ