ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๓๕

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดดับเท่าไหร่ในหนึ่งขณะ นับประมาณไม่ได้เลย เราถึงได้จำว่ายังไม่มีอะไรดับไปเลย เพราะต่อกันสนิทแน่นมาก แต่ว่าตามความเป็นจริงดับเร็วสุดที่จะประมาณ จึงไม่รู้ความจริง และลวงให้ยึดถือสิ่งที่ดับแล้ว แต่ลวงเหมือนกับว่ามี เพราะจำได้ เพราะว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว เกิดอีก เกิดแล้วดับไป แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับไป เพราะว่าถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีธรรมที่อาศัยกันปรุงแต่ง จนกระทั่งเป็นหนึ่งขณะจิต เช่น เห็น อาศัยอะไรบ้าง อาศัยตา ถ้าไม่มีตา ไม่มีทางที่จะมีสิ่งที่กระทบตาเดี๋ยวนี้ แล้วก็ทำให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ธาตุรู้คือเห็น รู้ว่ามีสิ่งนี้ กำลังรู้ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือธาตุรู้ เพราะว่ามีสิ่งนั้นให้รู้ว่ามี ด้วยเหตุนี้เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องมีธาตุที่รู้ในสิ่งที่ปรากฏเฉพาะสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นมีแน่ๆ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่กำลังมีทุกขณะ ขณะนี้กำลังเกิดดับ ข้อสำคัญที่ไม่มีใครรู้ก็คือว่า ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย จริงหรือเปล่า เมื่อวานนี้กลับมาเป็นวันนี้ได้ไหม เมื่อสักครู่นี้กลับมาเป็นเดี๋ยวนี้ได้ไหม ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย แต่ว่าเพราะไม่รู้ ก็ ๑ นาทีแล้ว แต่ใน ๑ นาที ถ้าไม่ดูนาฬิกาก็ตอบไม่ได้ว่า ๑ นาที หรือ ๒ นาที เห็นแล้วยังคิด แล้วยังจำ คำว่านาที คำว่าหนึ่ง จึงสามารถที่พอเห็น ก็ตอบได้ว่า ๑ นาที หรือ ๑๐ นาที ๕ นาที ๘ นาที ทั้งหมดนี้เร็วมากสุดที่จะประมาณได้ ท่านอุปมาเหมือนกับที่จุดไฟก้านธูปดอกหนึ่ง หนึ่งแต่แกว่งอย่างเร็วให้เป็นวงกลม เห็นอะไร เห็นแสงไฟที่เป็นวงกลม จากหนึ่งที่ค่อยๆ เคลื่อนไป แต่เร็วมากจนกระทั่งต่อกันเหมือนไม่มีอะไรคั่นเลย ชีวิตทั้งหมดกี่ชาติ สภาพธรรมทั้งหมดเกิดดับก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะมีการตรัสรู้ความจริง ที่จะรู้ความจริงว่าสภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน อย่างที่คิด แม้หนึ่งนาทีก็ยั่งยืนใช่ไหม เป็นหนึ่ง แต่ว่าความจริงแม้อย่างนั้นก็ไม่มี ไม่มีสภาพธรรมใดที่ยั่งยืนอย่างนั้นเลย เกิดแล้วดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เคยจำ อย่างที่เคยคิด แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เป็นพระพุทธพจน์คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเกิดจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้รู้ความจริงอย่างนี้เลย เพราะยังไม่ถึงการรู้ความจริงที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทุกอย่างที่สะสมมาแต่ละชาติ แต่ละชาติ ก็สามารถจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วยพระองค์เอง ด้วยพระบารมีที่ได้สะสมมาแล้ว เพราะฉะนั้นปารมี ปาระคือฝั่ง มีถึงฝั่ง บารมี เพราะฉะนั้นจากฝั่งกิเลสซึ่งไม่รู้อะไรเลย กว่าจะไปถึงฝั่งซึ่งรู้แล้วไม่มีกิเลสที่เคยจำผิดๆ ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ไม่มี มี เมื่อเกิดขึ้น และที่จะเกิดได้ก็ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เป็นสิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่เป็นสิ่งอื่น อย่างเสียง เกิดแล้วเป็นเสียง จะให้เป็นหวาน จะให้เป็นแข็งก็ไม่ได้ เป็นแต่ละหนึ่ง แต่เรายังไม่รู้ว่าเหตุปัจจัยอะไรที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่รู้สิ่งนั้น แล้วจะไปรู้ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นก็เป็นไปไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรม จึงต้องฟังตามลำดับ ๔๕ ปี นานไหม ทรงแสดงพระธรรมเรื่องอะไร เรื่องนี้แหละ เรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ แล้วคนที่ได้สะสมความเข้าใจมาแล้วมาก เช่น พระโพธิสัตว์ แต่เป็นผู้ที่สะสมปัจจัยที่จะรู้เพียงขั้นสาวกโพธิสัตว์ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถที่จะฟังแล้วเข้าใจ เข้าใจจนถึงกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง เช่น ท่านพระสารีบุตรได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิ หลังจากที่ท่านได้ฟังแล้วไม่มากก็เป็นพระโสดาบัน ก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน หมายความว่าทุกคำที่เราได้ยินได้ประจักษ์กับท่าน เพราะมีจริง รู้จริง แต่ไม่ใช่เรา ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจเท่านั้นในขณะนั้นที่สามารถจะรู้ความจริงอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้นปัญญาก็มีจริง แต่ก็ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นทั้งหมด คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว คำนั้นเปลี่ยนไม่ได้ เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไม่ได้ แต่เพราะว่าความจริงเป็นอย่างนั้น เมื่อความจริงของสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วใครจะเปลี่ยนความจริงของสิ่งนั้นได้ นี่ก็แสดงให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้ดับกิเลส เพราะได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นด้วยพระองค์เอง สัมมาสัมพุทธะ เพราะฉะนั้นเราก็เป็นสาวก เข้าใจธรรมเมื่อไหร่ เป็นบารมีเมื่อนั้น บารมีคือสามารถที่จะทำให้ความเข้าใจมากขึ้น เพิ่มขึ้น จนเหมือนพระสาวกทั้งหลายในอดีต ที่ท่านได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่เป็นสิ่งที่สามารถทำให้เข้าใจสิ่งนี้ได้ ไม่สูญหายเลย กำลังสะสมอยู่ในจิต เหมือนเราเกิดมาตอนเป็นเด็กก็ไม่รู้อะไรเลย แต่สะสมการเห็นสิ่งที่อยู่ล้อมรอบบ่อยๆ ความจำในแต่ละสิ่งที่รูปร่างสัณฐานต่างกัน พร้อมทั้งการได้ยินเสียง ก็ทำให้เราสามารถจำว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอะไร แต่ยังพูดไม่ได้ แต่พอมีคำประกอบ จำเสียงแล้วแต่ว่าจะเป็นภาษาอะไร ลูกใคร เกิดที่ไหน ประเทศไหนก็ได้ยินเสียงพ่อแม่ ชาวเมืองนั้นพูดอย่างนั้น จนกระทั่งพูดตามได้ ตามความหมายของเสียงนั้น เพราะฉะนั้นเสียงแต่ละเสียง เป็นไปตามความหมาย ภาษาไทยเราบอกว่าเห็น เด็กก็ได้ยิน ถ้าเป็นเด็กเกิดใหม่ไม่รู้เรื่อง แต่ว่าหลังจากที่โตแล้วรู้ภาษา ที่ใช้คำว่ารู้ภาษาแล้วก็คือ สามารถที่จะรู้ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นเสียงมีจริง ไม่ต้องเรียกชื่อ เปลี่ยนลักษณะของเสียงไม่ได้ เพราะฉะนั้นภาษาไหนจะเรียกเสียงว่าอะไร ก็แล้วแต่ที่จะเข้าใจกันได้ตามความหมายของเสียงนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นธรรมซึ่งแม้ไม่ต้องเรียกชื่อก็มี แต่ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ไม่ทรงแสดงพระธรรมด้วยคำแต่ละคำ ใครจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละคำ หมายความถึงลักษณะที่มีจริง ซึ่งเราก็จะต้องเมื่อฟังคำไหน ก็ต้องรู้ว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี อย่างพูดถึงเสียง เสียงก็มีจริง ทุกคนก็รู้ว่ากำลังพูดถึงเสียง พูดถึงกลิ่นทุกคนก็รู้ว่ากลิ่นไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็หมายความถึงการฟังเรื่องจริงของสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ว่าฟังคำอะไรก็ไม่รู้ แต่ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสส่องไปถึงสิ่งที่มีจริงทุกคำว่าสิ่งนั้นคืออะไร และทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น ๔๕ พรรษา กว่าจะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นในแต่ละคำ เพราะฉะนั้นเป็นคำใหม่ที่ชาวโลกไม่เคยพูดมาก่อน ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะฉะนั้นใครที่ฟังคำเก่าๆ ก็ได้ยินมาแล้วทั้งนั้นแหละ จะพูดเรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็รู้ ก็เกิดกัน แก่กัน เจ็บกัน ตายกัน รู้แล้วทั้งนั้น แต่ถ้าพูดถึงธรรม ใครรู้บ้างว่าหมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็ทำให้ได้รู้ว่าเราพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย จริงหรือเปล่า ฟังธรรมไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า พูดคำที่ไม่รู้จักเลยตั้งแต่เกิดจนตาย แม้แต่คำว่าธรรมก็พูด แต่เข้าใจหรือเปล่าว่าธรรมคืออะไร คิดกันไปต่างๆ นานา เขียนหนังสือเป็นเล่มๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เข้าใจหรือยังว่า ตามหนังสือนั่นกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือรู้แจ้งประจักษ์แจ้ง จึงใช้คำว่าตรัสรู้ ไม่ใช่รู้อย่างธรรมดา คิดๆ เอา คิดๆ เอาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ มีความสงสัยในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งใครก็ยังไม่รู้ จนกว่าจะได้ค่อยๆ พิจารณา เข้าใจคำที่พระองค์ตรัส เพื่อนำทางไปสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่จะถึงเมื่อไหร่ ใครจะรู้ ต้นทาง ปลายทาง กลางทาง ถูกหรือเปล่า ถ้าทางผิดก็ไม่ถึง

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้ถึงสิ่งที่มีจริงว่า มิจฉามรรค มี สัมมามรรค มี ไม่ใช่มีแต่สัมมามรรค แต่ละคำเป็นภาษาบาลี ซึ่งคนไทยเราก็ใช้คำภาษาบาลี ได้ยินก็พูดตาม แต่ว่าไม่ได้เข้าใจถี่ถ้วนตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรม รู้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงแน่นอน กำลังมีด้วย เพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง แล้วก็บอกว่าความจริงอย่างนั้นคืออะไร แต่ก็มีบางคนบอกว่าแล้วรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นความจริง เป็นความจริง จริงๆ

    ท่านอาจารย์ แข็งมีไหม

    ผู้ฟัง มี สำหรับคนที่ศึกษาแล้ว

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่ได้ศึกษา

    ผู้ฟัง คนที่ไม่ได้ศึกษา ก็ต้องอธิบายให้เขาฟัง

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าแข็งมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นเอง คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ซึ่งใครไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า แข็งเกิดขึ้น ถ้าแข็งไม่เกิด ไม่มีแข็ง และทันทีที่จับไมโครโฟน คิดว่าเป็นไมโครโฟน แต่ถ้าไม่มีแข็ง ไม่มีการจับ จะมีการนึกการจำไหมว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ใช้คำว่า ปรม อัตถ ธรรม รวมเป็นปรมัตถธรรม หมายความว่าถ้าสิ่งนั้นไม่มี เราไม่สามารถจะบอกได้ ไม่มีลักษณะอะไรปรากฏให้รู้ว่าเป็นอะไร แต่เพราะแต่ละสิ่งมีลักษณะที่ให้รู้ได้ บอกได้ กล่าวได้ จึงมีอัตถะ คือคำที่กล่าวถึงลักษณะของธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเป็นปรมัตถ์ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

    เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจคำว่าธรรม แล้วก็รู้ว่าธรรมใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และมีจริงๆ ใครจะรู้หรือไม่รู้อย่างนี้ เสียง ไม่ต้องรู้ว่าเป็นธรรม ก็ได้ยินใช่ไหม แต่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม คือเป็นเพียงแค่สิ่งที่มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ แล้วหายไป จากไม่มี แล้วมี เพราะเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นอย่างนั้น แล้วหายไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ ค้นหาอีกไม่ได้เลย ความรู้สึกเมื่อวานนี้ทั้งหมด ค้นหาอีกไม่ได้ ดับคือดับ เหมือนไฟดับ จะไปหาไฟที่ไหน ไฟที่ดับแล้ว ใครหาเจอ เพราะดับจริงๆ ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าปรมัตถธรรม เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ถ้ารู้เมื่อไหร่เป็นปรมัตถธรรมเมื่อนั้น เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็ลึกซึ้งไหม แค่ฟังคำเดียวกว่าจะเข้าใจว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เมื่อไหร่ ที่ต้องไปค้นหาตามตำราพจนานุกรมอะไร แต่กำลังมี พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงกับผู้ที่ไปเฝ้าพระองค์ สิ่งที่มีอยู่รอบตัว ตรัสถามภิกษุว่า เห็นเที่ยงไหม กำลังเห็น ถ้าคนนั้นมีปัญญา ขณะนั้นมีได้ยินซึ่งไม่ใช่เห็น ก็พอจะประมาณได้ว่า เห็นต้องไม่มีในขณะที่มีได้ยิน จากเกิดแล้วมี แล้วก็ไม่มี ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ในสังสารวัฏ

    เพราะฉะนั้นการฟังวันนี้ ก็จะเป็นการเก็บ ไม่ได้หายไปไหนเลย สะสมทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจ พอได้ยินใครพูดเรื่องธรรม รู้เลยว่ากำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นแต่ละหนึ่ง แล้วก็ดับไป เราเรียกว่าดอกบัว มีอะไรบ้าง มีกลีบ มีเกสร มีสี มีกลิ่น สารพัดอย่าง แต่ว่าแต่ละหนึ่ง เกิดแล้วดับ แต่รวมกัน ทำให้จำว่าไม่ได้ดับไปเลย แล้วก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้น จนกว่าดอกบัวไม่มี ใช่ไหม เหี่ยวแห้งไป สูญหายไป เอาไปทิ้งจมดินจมน้ำไป แต่ว่าตามความจริงก็คือไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าความจริงที่ซ่อนเร้น ที่ใครไม่รู้ ก็คือสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เราสักอย่างเดียว แต่เป็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ความลึกซึ้งของธรรมกว่าจะรู้ได้เข้าใจได้ ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น ไม่ใช่ครูอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้เลย อยู่ในป่าในวัด หรืออะไร ก็ไม่ใช่ แต่ว่าคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะอยู่ที่ไหนก็กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจได้ถูกต้อง เมื่อนั้นก็จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นใคร ทรงเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีทุกอย่างตามความเป็นจริง และทรงพระมหากรุณาแสดงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสรู้ให้คนอื่นได้ฟัง ถ้าไม่มีพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไม่ได้ยินคำเหล่านี้เลย ธรรมก็ไม่ได้ยิน ปรมัตถธรรมก็ไม่ได้ยิน อภิธรรมคือความลึกซึ้งของธรรมนั่นเอง ก็ไม่ได้ยิน แต่ว่าพอมีการบำเพ็ญบารมีทรงตรัสรู้ ดับกิเลสหมด ด้วยปัญญาที่รู้ความจริง จะดับกิเลสต้องรู้ความจริง ไม่ใช่เพียงแค่ฟังและคิด เดี๋ยวนี้เราพูดว่าเสียง ยังไม่มีเสียง แล้วก็มีเสียง แล้วเสียงก็หมดไป แล้วไม่กลับมาอีก แต่ติดข้องในสิ่งที่ไม่มี สิ่งที่หมดแล้วทุกขณะ ไม่เหลือเลย แต่ถูกปิดบังไว้ด้วยการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ยากไหม ที่ปัญญาที่จะเข้าใจละเอียดถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ที่ไม่ปะปนกันเลย อย่างเห็นกับได้ยิน เหมือนพร้อมกันเลย เหมือนคิดพร้อมกันด้วย แต่ความจริงเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วแต่ละหนึ่งที่ว่าเห็น ยังอยาก ยังไม่ได้แสดงถึงปัจจัย ธรรมที่ปรุงแต่งทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ไหม ใครไม่ให้เห็นหมดไปได้ไหม

    เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตา หมายความว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่เที่ยงเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับ ไม่มีแล้ว จะให้ความเป็นสุขได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่เที่ยงนี่แหละเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา จึงเป็น ติลักขณะ ในภาษาบาลี แต่ภาษาไทยเราก็พูดตามที่เราใช้สืบกันมาว่า ไตรลักษณะ หรือไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ คำนี้ติดกันเลย พอพูดถึงอนิจจัง ก็ต่อด้วยทุกขัง แล้วก็ต่อด้วยอนัตตา แต่ว่าเข้าใจชัดเจนไหมว่า อนิจจัง เดี๋ยวนี้ที่มี แล้วไม่มี จะเป็นสุขได้อย่างไร นั่นคือสิ่งใดทั้งหมดที่เกิดเวลานี้ ดับ เป็นทุกข์ เพราะไม่เหลือ ไม่มีเหลือเลย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ จะเก็บไว้สักหน่อยได้ไหม ความสุขเมื่อวานนี้ ไม่มีทางเลย ความทุกข์ใดๆ ก็ตามที่เคยมีแล้ว ยังอยู่ไหม ก็ไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะสุขจะทุกข์ประการใด จะน่าพอใจไม่น่าพอใจประการใด ก็เป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ชั่วคราวแสนสั้นที่สุด ที่ไม่สามารถจะรู้ได้เลย ดับแล้วทั้งหมด ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นจะกล่าวได้ว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร แต่ต้องเป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ถ้ายังไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ ก็ยังมีทุกอย่างที่เกิดดับสืบต่อจนไม่ปรากฏการดับไปเลย เพราะฉะนั้นก็เสมือนว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ นี่คือการแสดงให้เห็นว่า พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแค่แต่ละคำ เราจะรู้พระคุณมากมหาศาลแค่ไหน จากการที่เราไม่เคยรู้เลยว่า อยู่ในโลกของความไม่เที่ยง อยู่ในโลกของการเกิดดับ อยู่ในโลกของการที่ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็เหมือนทุกชาติมืดบอดคือ เกิดแล้วเหมือนชาตินี้เลย สุขทุกข์มาแล้ว แล้วหมด แล้วไม่กลับมาอีก แล้วก็จำไม่ได้ หายไปเลย เหมือนชาติก่อน ใครจำได้ ชาตินี้ก็คือชาติก่อนของชาติหน้า แน่นอนที่สุด ต้องถามใครไหมว่า ชาติก่อนเราอยู่ไหน กำลังประจักษ์แจ้งชาติก่อนของชาติหน้า เมื่อชาติหน้ายังไม่มาถึง แต่พอชาติหน้ามาถึง ไม่รู้เลย ชาติหนึ่งอาจจะเป็นคนที่เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก มีทุกสิ่งทุกอย่าง อีกชาติหนึ่งก็เป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย ยากจนแสนเข็ญตามเหตุตามปัจจัย ใครไม่ให้เป็นอย่างนี้ได้บ้าง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้นชีวิตของพระโพธิสัตว์ ซึ่งแสดงให้เราได้ฟังแต่ละพระชาติ เป็นชาดก ภาษาบาลีก็เป็น ชาตกะ บางพระชาติก็เป็นคนที่ยากไร้มาก แต่ว่าในที่สุดปัญญาที่ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตนที่จะไปพยายามให้ประจักษ์แจ้ง สภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับ เป็นไปไม่ได้ ใครพูดอย่างนี้ผิด หลงทาง เป็นมิจฉามรรค เป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่การที่จะเข้าใจสภาพธรรม เพราะว่าไม่ใช่เราที่จะไปรู้พยายามรู้ แต่ต้องเป็นความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง เช่น แม้แต่คำเดียวหรือทีละคำ ค่อยๆ เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงเพิ่มขึ้น เพราะแต่ละคำสอดคล้องกันทั้งหมด คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เพราะคำนั้นเป็นคำจริงถึงที่สุด ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนได้เลย

    เพราะฉะนั้นใครก็ตาม ที่รู้ว่าคำนี้เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระองค์ไหม กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ กว่าจะประทับที่พระแท่นบัลลังก์ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านานเท่าไหร่ แล้วทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา นานเท่าไหร่ เพื่อใคร คนที่สามารถจะเข้าใจคำที่พระองค์ได้ตรัส ถึงความจริงซึ่งกำลังเป็นจริงอย่างนี้ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่ารู้ได้เลยว่า คำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำไหนไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ พูดถึงสิ่งที่มี จนกระทั่งเข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ในความเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับ เป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็ไม่ใช่เราด้วยทุกอย่าง คำว่าธรรมทั้งหลายต้องไม่เว้น แม้ปัญญาความเห็นถูกก็เกิดชั่วขณะที่เข้าใจ แต่ว่าความไม่รู้มากมาย ที่สะสมมาแสนโกฏกัป มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ ดับคือไม่เหลือเลย

    ก่อนเราจะมานั่งตรงนี้ เราเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า เป็นคน เป็นต้นไม้ เป็นดอกไม้ ชื่อต่างๆ สวย แต่พอถึงตรงนี้ เหมือนคนที่ได้มาสู่การได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ขณะไหน ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นความเข้าใจค่อยๆ มั่นคง ค่อยๆ ละเอียดขึ้นว่า ชีวิตสั้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย จะสั้นจนถึงเย็นนี้หรือเปล่า ถ้าเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ความตายสักคนที่นี่ เราบอกได้เลย ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย จะจากโลกนี้เมื่อไหร่ ด้วยความไม่รู้เหมือนทุกชาติ ที่ไม่ได้เคยฟังพระธรรม หรือว่าได้เริ่มสะสมที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่กราบไหว้ สวดมนต์ แต่พูดคำที่ไม่รู้จัก ใครรู้จักคำที่สวดบ้าง ไม่รู้ แล้วพูดคำที่ไม่รู้จักกับฟังธรรมให้เข้าใจ แล้วแต่ละคำที่พูดเริ่มรู้จัก ยังมีอีกมาก นี่แค่ไม่กี่คำ คือแค่ธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นพื้นฐาน เส้นทางนี้ตลอด เพราะเป็นธรรมตลอด และเป็นอนัตตาตลอด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    20 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ