ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๓๙

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง

    วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ถ้าถามว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วไม่เข้าใจอะไร หรือเข้าใจอะไร ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี แต่พูดถึงสิ่งที่มี คุณธีรพันธ์ เดี๋ยวนี้ก็มีตั้งหลายอย่างไม่เข้าใจอะไร

    อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ตอบอย่างนี้คือผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้ว แต่มีดอกกุหลาบ ใช่ไหม ไม่เข้าใจดอกกุหลาบหรือ เห็นไหม ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เขาก็จะคิดว่า เขาก็รู้จักดอกกุหลาบ แล้วทำไมบอกว่าเขาไม่เข้าใจความจริง ตรงไหนเป็นดอกกุหลาบ ตรงไหนเป็นนาฬิกา ตรงไหนเป็นโต๊ะ เห็นไหม ถ้าเป็นคำถามที่ให้คิด จะตอบได้ไหมว่าไม่เข้าใจดอกกุหลาบ หรือว่าเห็นดอกกุหลาบแต่ไม่รู้จักดอกกุหลาบ และไม่เข้าใจ ก็ตรงไหนที่เป็นดอกกุหลาบ มีเก้าอี้ กำลังเห็นเก้าอี้ ตรงไหนเป็นเก้าอี้ มีโต๊ะ ตรงไหนเป็นโต๊ะ เห็นไหม ตอบได้ไหม มี มี แล้วอย่างไร ตรงไหนเป็นโต๊ะ บอกว่ามีโต๊ะ แต่ตรงไหนเป็นโต๊ะ มีดอกไม้ ตรงไหนเป็นดอกไม้ นี่แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ฟังธรรม ตอบไม่ได้ใช่ไหม ไม่รู้ความจริงเลยว่าตรงไหนเป็นดอกไม้ ต้องมีหลายๆ กลีบมารวมกัน แล้วก็มีสีสันวรรณะต่างๆ นั่นเข้าใจว่านั่นคือดอกไม้ แต่ไม่รู้แต่ละกลีบที่รวมกัน และแต่ละสีที่กำลังปรากฏว่าคืออะไร

    ด้วยเหตุนี้ คนจึงบอกว่าฟังธรรมไม่รู้เรื่อง เพราะเขาเคยรู้อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของสิ่งที่มี ที่รวมๆ กันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ตามความเป็นจริงถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งส่วนที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ถ้าไม่มีแต่ละอย่างมารวมกัน จะมีนาฬิกาไม่ได้ ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งจะรวมกันเป็นดอกไม้ไม่ได้ เพราะว่ามีอากาศธาตุจริงๆ แทรกคั่นอยู่ชนิดซึ่งไม่ว่าอะไรทั้งหมด ที่เราเห็นว่ารวมกัน สามารถที่จะแตกย่อยให้ละเอียดยิบได้ และเมื่อแตกย่อยละเอียดแล้วสิ่งนั้นเป็นอะไร จะเป็นดอกกุหลาบ จะเป็นนาฬิกา จะเป็นโต๊ะ จะเป็นเก้าอี้ ไม่ได้เลย ฉันใดตัวเราเข้าใจว่าเป็นเรา เข้าใจว่าเป็นของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แตกย่อยให้ละเอียดยิบได้ไหม ย่อมได้ เพราะว่าทุกอย่างที่เราเห็นรวมๆ กันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นสิ่งของ ก็จะต้องมีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบ เพราะฉะนั้นเมื่อแยกออกแล้วเป็นแต่ละหนึ่ง อะไรเป็นเรา ยังไม่ต้องถึงละเอียดมาก ตาเป็นเราหรือเปล่า หูเป็นเราหรือเปล่า แยกออกมาเป็นแต่ละส่วน และแต่ละส่วนยังแยกออกละเอียดยิ่ง แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นจึงเริ่มเห็นว่าถ้าไม่มีพระโพธิสัตว์ ที่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทำไมเปลี่ยนแปลงไม่คงที่ เช่น เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด ไม่ใช่จำ ไม่ใช่รัก ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ ตลอดเวลา สลับกัน แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ เมื่อไหร่ที่แต่ละหนึ่งเปลี่ยนหรือหมดไป แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นติดต่อ สืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น จึงปรากฏเสมือนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เคยคิดอย่างนี้ไหม ไม่เคยเลยตั้งแต่เกิดก็อยู่ในโลกของความไม่รู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่พระโพธิสัตว์กว่าจะได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนานกว่าจะรู้ว่า เห็นไม่ใช่ได้ยิน แล้วเห็นหายไปเมื่อไหร่ แล้วมีได้ยินเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แล้วได้ยินก็ไม่ใช่จำ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งละเอียดมาก สามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม เพราะมีจริง ด้วยการที่สะสมมาที่จะเข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงนี่แหละ สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ความจริงอย่างที่ได้เคยคิดเคยสงสัยว่า เห็นเกิดแล้วก็มีได้ยิน มีคิดนึกสืบต่อไปเร็วมาก แล้วขณะไหน ตรงไหน ที่แต่ละหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็มีสิ่งอื่นเกิดขึ้นแทน

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงแสดงความจริง และได้ตรัสว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริง ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหมดไม่เหลือเลยเป็นอนัตตา ตรงกันข้ามกับอัตตา อัตตาคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดอกกุหลาบ โต๊ะ เก้าอี้ เป็นแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งหมดจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่อย่างที่เป็น แต่ว่าธรรมแต่ละหนึ่งด้วย ไม่ใช่รวมกัน เป็นดอกกุหลาบ เป็นโต๊ะ แต่ธรรมแต่ละหนึ่ง ธรรมทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง ไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น

    นี่คือสิ่งที่ไม่รู้มาตลอดในสังสารวัฏนานแสนนาน จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ก็เริ่มเข้าใจว่าธรรมคืออะไร เพราะเราชินหู แต่เราไม่ได้รู้ตามความเป็นจริงเลยว่าธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน และถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีอะไรปรากฏ โลกก็ไม่มี ธรรมก็ไม่มี แต่ว่าไม่เป็นอย่างนั้นเลย มีสิ่งที่เต็มโลก มาจากไหน ก็ต้องมีสิ่งที่เกิดมาทั้งนั้นแหละเต็มโลก ถ้าไม่เกิดจะมีได้อย่างไร แต่ว่าสิ่งที่ชาวโลกไม่รู้ก็คือว่าสิ่งนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วมีปรากฏว่ามีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี แต่แสนสั้นชั่วคราว คือเกิดแล้วดับไป นี่เป็นสิ่งซึ่งชาวโลกไม่รู้ แต่ให้เข้าใจในเบื้องต้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ไม่ใช่ดอกกุหลาบ ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ อีกต่อไป สิ่งที่เคยรวมกัน พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงอย่างละเอียดยิ่ง แต่ละหนึ่งที่มีจริง โดยประการทั้งปวง เช่น เราเรียกว่าดอกกุหลาบ เราเรียกว่านาฬิกา แต่ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เห็น จะมีการคิดการจำไหมว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่มีทางเลย เพราะว่าเป็นแต่ละหนึ่ง เพียงแค่หลับตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้ไม่เหลือเลย เห็นไหม นี่คือความจริง ใครจะปฏิเสธ เพราะฉะนั้นลืมตาเห็นอะไร ชาวโลกไม่รู้ ลืมตาเห็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็จำไว้มั่นคงว่า เป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละสิ่ง แต่ละสิ่ง แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่รู้ความจริงว่าที่รวมกันเป็นหนึ่ง ความจริงมีธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ที่ละเอียดยิ่งกว่านั้นอีก ซึ่งเกิดดับ รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้นเริ่มรู้ ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านานแสนนาน ได้ยินคำว่าธรรม แต่ถ้าเผิน ก็ไม่รู้จักว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยในสากลจักรวาล ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เพราะพระปัญญาที่ทรงตรัสรู้ความจริง เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟัง ส่องถึงปัญญาของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งจะทำให้คนที่ได้ฟังเกิดปัญญา เห็นไหม เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ตั้งแต่เริ่มได้ฟังแต่ละคำทีละคำ เพราะฉะนั้นใน ๔๕ พรรษา ทรงแสดงพระธรรม มีคนที่ได้ตรัสรู้เป็นสาวก อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ แต่ว่าไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่าความรู้นั้นเกิดจากการได้ฟังคำ จึงรู้ว่าพระองค์เป็นพระบรมศาสดา ถ้าไม่ตรัสคำหนึ่งคำใด ให้ใครได้ยินได้ฟังเลย ไม่มีใครที่สามารถที่จะรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ด้วย

    ด้วยเหตุนี้ฟังธรรมด้วยความเคารพ คือรู้ว่าไม่รู้ความจริง และแต่ละคำลึกซึ้งอย่างยิ่ง แต่ต้องเริ่มจากคำแรกคือธรรม เพราะได้ยินบ่อยๆ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ว่าไม่เคยรู้ว่าความจริงที่มีนั่นละเอียดอย่างไร แต่ว่าต่อไปนี้ไม่ประมาทเลย แต่ละคำเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เริ่มเข้าใจคำนี้จนถึงที่สุด ทุกคำ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง ตามที่ได้ทรงแสดงไว้ ซึ่งก่อนนั้นไม่รู้อย่างนี้เลย เป็นดอกไม้ เป็นดอกกุหลาบ เป็นทุกอย่าง แต่พอเริ่มฟังธรรม เริ่มเข้าใจความจริงแต่ละหนึ่ง และแม้ในขณะที่กำลังเห็นเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ความรู้ความเข้าใจเกิดแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟัง เบื่อได้ไหม ฟังสิ่งที่มีจริงแล้วเบื่อ แล้วจะให้ฟังอะไร ฟังเรื่องอื่นทั้งหมด บทละคร หนังโทรทัศน์ อะไรทุกอย่าง หนังสือพิมพ์ ไปรู้เรื่องอย่างนั้นไม่เบื่อ แต่ว่าสิ่งที่มีจริง ที่มีโอกาสที่จะได้รู้ว่าความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏคืออย่างไร กลับเบื่อ ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่มีวันที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คำแต่ละคำ เริ่มฟังก็เริ่มยาก แต่ว่ามีความอดทนที่จะรู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ละคำที่ได้ฟังมีจริงๆ เป็นคำจริง แสดงความจริงของคำนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็อดทนที่เริ่มรู้ว่า สิ่งที่มีจริงมีค่าที่สุดเพราะเหตุว่าเป็นจริงตลอดชีวิต แต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่ประมาทเลย ถ้าสงสัยอะไรก็สนทนา จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจคำที่ได้ฟังมั่นคง เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด แต่ไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นรู้เมื่อไหร่ จะไม่พ้นจากรู้ธรรม ต้องเป็นธรรมทั้งหมด เห็นไหม จากการไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม กว่าจะรู้จักธรรม กว่าจะเข้าใจธรรม กว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมถึงที่สุด ก็ต้องอาศัยกาลเวลา แต่เป็นกาลเวลาที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏ เพราะเหตุว่าไม่มีใครยับยั้งการเกิดขึ้นของธรรมได้เลย เมื่อวานนี้หมดไปก็มีวันนี้ แล้วก็มีพรุ่งนี้ แล้วก็มีต่อๆ ไป ใครจะหยุด ผ่านมาแล้วนานแสนนาน เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปหยุดยั้งธรรมได้เลย ต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปด้วยความไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่มีการเริ่มรู้ในชาติที่สามารถที่มีโอกาสที่จะสะสมความรู้ความเข้าใจได้

    อ.ธีรพันธ์ สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม แต่ยังรวมกันอยู่เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่บอกว่าแตกละเอียดย่อย ขณะนี้ยังไม่เห็นการแตกละเอียด อย่างเช่นดอกไม้ ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นแต่ละส่วนแต่ละส่วน

    ท่านอาจารย์ ขอแทรก ฟังธรรมต้องคิด ต้องถาม ต้องไตร่ตรอง ทำไม เพราะอะไร

    อ.ธีรพันธ์ เพราะว่ายังเห็นรวมกันเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ กำลังพูดอย่างนี้ กำลังเห็นอย่างนี้ เกิดแล้วดับแล้ว เร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วก็มีสภาพธรรมสืบต่อกันอย่างเร็วที่สุด เปรียบเทียบดู เกิดดับเร็วที่สุด แต่ก็มีสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อเร็วที่สุด แล้วใครจะรู้ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังถูกลวง ด้วยการเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งปกปิดด้วยความไม่รู้ แต่ว่ากว่าจะรู้ได้ กว่าจะรู้ว่านี่คือธรรม ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธรรม ก็ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผลต้องไตร่ตรองตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ฟังแล้วฟังไปเรื่อยๆ แต่ต้องมีคำถามอยู่ตลอดเวลา ทำไม ก็เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ใครรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ใครแสดง ใครสอน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์ ให้คนอื่นได้เริ่มเข้าใจความจริง จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ซึ่งมีผู้ที่อบรมปัญญา ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความเบื่อ แต่ด้วยความอดทนว่ามีความจริงแล้วมีผู้ที่รู้ความจริง ช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย จะไม่เป็นผู้หนึ่งที่เห็นประโยชน์ของการที่จะไม่ถูกลวงอีกต่อไปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเที่ยง มีบ้าน มีดอกไม้ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ แต่ความจริงถ้าเข้าใจแล้วเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เริ่มตรงนี้เพื่อที่จะได้ประจักษ์แจ้งอย่างนี้ ตรงที่ได้ฟังทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นฟังแล้ว แต่ละคำต้องพิจารณาไตร่ตรอง เมื่อสักครู่นี้คงไม่มีใครสงสัยเรื่องธรรมแต่ละหนึ่ง ใช่ไหม หรือใครยังสงสัย ธรรมหนึ่งไม่ใช่ธรรมอีกหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักธรรมทีละหนึ่งบ้าง สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นมีจริง ต้องเป็นธรรมแน่นอน แต่ใครจะรู้ว่าเพียงแค่หลับตาไม่ปรากฏ หมายความว่าอะไร เป็นสิ่งที่สามารถกระทบตา มีจริงๆ แล้วก็ต้องมีตา ถึงแม้ว่าสีสันวรรณะที่กำลังปรากฏขณะนี้มีจริง แต่คนตาบอดไม่มีตา ก็ไม่เห็นไม่รู้ว่ามีโลกนี้ แต่เพราะสิ่งหนึ่งที่มีจริง เริ่มหนึ่งแล้ว คือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถูกต้องไหม แต่ละคำ เป็นเราหรือเปล่า หลับตาแล้วทำไมเราหายไป ถ้าเห็นเป็นเรา รูปร่างของเรา ทุกอย่างหายไปหมดเลย

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังเห็นขณะนี้ต้องไตร่ตรอง ตั้งแต่เริ่มฟัง ความจริงคือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อกระทบรูปที่อยู่กลางตา เป็นรูปพิเศษ ไม่อ่อนไม่แข็ง ไม่เย็นไม่ร้อน แต่ว่ารูปนี้ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ รูปที่ผ่องใส หรือใช้คำว่าใสก็ได้ ใสที่นี่หมายความว่าถ้าจะอุปมาก็เหมือนกับกระจก ถ้าเป็นไม้ เป็นอะไรก็ตาม ที่ไม่ใสอย่างกระจก อะไรผ่านไปก็ไม่ปรากฏ ไม่ได้กระทบ แต่ว่ารูปนี้เป็นรูปที่มีอยู่ เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย บางคนจึงตาบอด บางคนก็ตาไม่บอด แม้แต่ตาซึ่งไม่ใช่จักขุปสาท คือรูปพิเศษที่เฉพาะรูปนั้นเท่านั้น ที่กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏได้ ยังประกอบด้วยส่วนประกอบอื่น สสัมภาระคือตาขาวตาดำ ใช่ไหม กว้างแคบ เล็กใหญ่ สีต่างๆ ตามกรรม ใครทำไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นมีสิ่งที่มีในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรเพราะอะไร พอเห็นก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ตลอดชีวิต แต่พอได้ฟังธรรม เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าธรรม สิ่งที่มีจริง ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหมดทั้งปวงไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างที่เข้าใจว่ารวมกันแล้วเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ แต่เป็นแต่ละสิ่งซึ่งต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ละคำฟังเพื่อพิจารณาให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แล้วใครไปทำให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้ว นี่คือประโยชน์ของการฟังธรรมที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เป็นธรรมจริงๆ แต่กว่าจะรู้จักธรรม กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรม กว่าจะหมดความสงสัยว่าเป็นธรรม ก็ต้องสะสมความรู้มากกว่านี้ เพราะเหตุว่ากำลังฟังอย่างนี้ก็คือเราฟัง

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มี ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้มานานแสนนาน ต่อไปนี้ฟังแล้วไม่ต้องไปเปิดหนังสือตำราอะไรเลยทั้งสิ้น ใช่ไหม ความเข้าใจเมื่อเกิดแล้วก็ไม่ลืม มีสิ่งหนึ่ง ธรรมหนึ่งที่สามารถกระทบตา ปรากฏได้เป็นสีสันวรรณะต่างๆ ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แหละ เห็นมาตั้งนานกว่าจะรู้ว่าแค่หลับตาก็ไม่มีใคร เราก็ไม่มีโต๊ะ เก้าอี้ อะไรก็ไม่มี เพราะไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นในบรรดาธรรมทั้งหมด สิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เมื่อกระทบตา แล้วธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ถ้าได้ยินแต่ละคำก็จะต้องพิจารณาแต่ละคำ เมื่อสักครู่นี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ จริง กำลังปรากฏให้เห็นได้ แต่ว่าสิ่งนี้ต้องกระทบตา ถ้าไม่มีตา ปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นตาไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ เป็นอีกหนึ่งแล้วใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ แต่ละหนึ่งในขณะนี้ จะนำไปสู่ปฏิปัตติธรรม ซึ่งอีกไกล เพราะว่าไม่ใช่เรา แต่ทั้งหมดเป็นปัญญา ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญา เป็นคำที่ทำให้เกิดความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นไม่ใช่ตา ต้องมีทั้ง ๒ อย่างใช่ไหม จึงจะมีธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นและเห็น นี่กำลังเห็นสิ่งต่างๆ นั่นคือธาตุที่สามารถที่จะรู้ว่า เขียวไม่ใช่เหลือง ไม่ใช่แดง ไม่ใช่ฟ้า ไม่ใช่ม่วง แต่ขณะที่เห็น เพียงสีปรากฏ ยังไม่มีการรู้ว่าเป็นอะไรเลย นี่คือละเอียดมาก ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกอย่างมีปัจจัย ที่จะทำให้เกิดขึ้นมากมายหลากหลาย เพียงเล็กๆ น้อยๆ เริ่มต้นที่จะให้เข้าใจถูกต้องว่าเมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิด ต้องอาศัยสิ่งที่สามารถปรุงแต่ง อุปถัมภ์ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ จึงจะมีสิ่งนั้น เช่น ต้องมีสิ่งที่กระทบตา ต้องมีตาเป็นที่อาศัยให้จิตเกิด มิฉะนั้นแล้วจิตก็จะเห็นอะไรเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตของคนที่ตาบอด มีอย่างอื่นปรากฏทั้งนั้น นอกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ฟังธรรมก็คือว่า เริ่มเข้าใจธรรม แต่ต้องไม่ลืมว่าเป็นธรรม แต่ก็ลืม เพราะอะไร คุณธิดารัตน์

    อ.ธิดารัตน์ เพราะว่าความไม่รู้ที่ปกปิดไว้ ถึงแม้ฟังธรรม ก็มีอกุศลคั่นได้

    ท่านอาจารย์ ลืมเป็นธรรมหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ลืมก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ลืมแล้ว กำลังฟังเราลืม ฟังแล้วลืม แต่ลืมก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม เมื่อเกิดขึ้นมีจริงทุกอย่าง ความไม่รู้ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ตรงกันข้ามกับความรู้ ก่อนฟังความไม่รู้มี มีแน่ๆ ทำให้ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ว่าพอฟังแล้วเริ่มเข้าใจ ความเข้าใจก็มีแน่ๆ ตรงกันข้ามกัน เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถจะเข้าใจได้เมื่อได้ฟังละเอียดกว่านี้ ตอนนี้ก็มีแต่ละหนึ่ง ทางตา คือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นหนึ่ง ตาหนึ่ง และจิตเห็น ธาตุรู้ใช้คำว่าจิต ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานรู้ว่ามีนั่นมีนี่ทั้งหมดไม่ใช่เราเลย โต๊ะ เก้าอี้ รู้อะไรไม่ได้ เพราะไม่ใช่สภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นกำลังเห็นมีจริงๆ จับต้องเห็นได้ไหม ใครจับเห็นได้บ้าง ใครจับอะไรได้บ้าง เห็นไหม ธรรมสำหรับไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความเข้าใจ ใครจับอะไรได้บ้าง ไหนลองบอก ก่อนฟังธรรมจับได้หมดเลย จับปากกา จับดินสอ จับดอกไม้ จับโต๊ะ จับเก้าอี้ ได้หมด แต่พอฟังธรรมเริ่มรู้ความจริงว่าจับอะไรได้บ้าง

    อ.ธิดารัตน์ จับแข็ง

    ท่านอาจารย์ จับได้แต่แข็ง หรือเย็นหรือร้อน หรือตึงหรือไหวเท่านั้นเอง แต่ว่าเพราะไม่รู้ความจริงว่าต้องมีสิ่งนั้นเกิดขึ้น เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนไม่ปรากฏการเกิดดับ แต่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ก็เลยเข้าใจว่ากำลังจับนาฬิกา หรือกำลังจับหนังสือก็ได้ แต่ความจริงไม่ใช่เลย นี่เริ่มเข้าใจ ซึ่งต้องมั่นคง เปลี่ยนความจริงนี้ได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ เปลี่ยนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไม่ได้เลย นี่คือเริ่มเข้าใจว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงเป็นอนัตตา ทุกคำต้องสอดคล้องกัน ไปสู่ความเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มั่นคงขึ้น เดี๋ยวนี้ยังไม่ใช่ทั้งหมดใช่ไหม เพียงแค่ ๑ อย่าง ๒ อย่าง แต่ทั้งหมดจริงๆ ก็คือแต่ละหนึ่งจริงๆ เกิดดับจริงๆ ไม่ใช่ของเราจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาจริงๆ

    อ.ธิดารัตน์ กว่าจะเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่ง ก็เป็นเรื่องยากเพราะว่าเห็นกับสิ่งที่ถูกเห็น จะรวมกันเป็นอย่างเดียวเสมอเลย คือถ้าไม่ใช่ปัญญา ไม่สามารถจะรู้เลยว่าเป็นธรรมทีละอย่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังธรรมแต่ละคำด้วยความเคารพ เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้นใช่ไหม อยากจะรู้มากๆ วันนี้ก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามีการไตร่ตรอง ความเข้าใจมั่นคงไหมว่า ที่เห็นทุกวัน เห็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    24 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ