ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042


    ตอนที่ ๑๐๔๒

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง

    วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏนี่ค่ะ เกิด และดับเร็วมาก ไม่ปรากฏการเกิดดับ ซึ่งสืบต่อกันแน่นมาก จนกระทั่งทำให้ปรากฏ เป็นสีสัน รูปร่างต่างๆ ถ้าไม่มีสีต่างๆ รูปร่างต่างๆ ก็ไม่มี แต่เพราะมีสีต่างๆ ก็ทำให้ปรากฏ เป็นรูปร่างต่างๆ แล้วก็รูปร่างต่างๆ นี่ รูปร่างขณะนี้ที่ปรากฏนะคะ เป็นดอกไม้ก็มี เป็นใบไม้ก็มี เป็นคนก็มี เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ก็มี เร็วปานไหน คิดดูสิคะ เพียงแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏ ทีละหนึ่ง แต่เพราะการเกิดดับไม่ปรากฏ

    จึงเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ แต่เพราะไม่รู้ความจริงนะคะ ก็เลยเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริง ทันทีที่เห็น ก็เห็นดอกไม้ แต่ลืมว่าเห็นก่อนใช่ไหม เห็นต้องมีก่อน และก็ดอกไม้เป็นการจำ สีสัน วรรณะต่างๆ ที่ปรากฏ เร็วมากเลยค่ะ เหมือนกับว่าไม่ต้องคิดเลยเห็นแล้ว คนนั้น คนนี้ สิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่เหมือนกับว่าจะต้องไปคิดไตร่ตรอง แต่ปรากฏเหมือนทันทีที่เห็น ก็เห็นดอกไม้ นี่คือความไม่รู้

    แต่ถ้าเป็นความจริง ที่ค่อยๆ ไตร่ตรองนะคะ ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตาเกิด จะไม่มีการที่คิดว่าเป็นดอกไม้เลย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วดับ ใครจะไปทันรู้ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น พอรวมกันแล้ว ก็เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ ตามสีสัน วรรณะ ที่ปรากฏที่จำได้ว่าเป็นอะไร เท่านั้นเองค่ะ

    เพราะฉะนั้นเราอยู่ในโลกของนิมิต ใช่หรือเปล่า ค่ะ ตลอดเวลาจนกว่าจะรู้ความจริงว่า นิมิตเกิดจากอะไร ถ้าไม่มีสภาพธรรมเกิดเลย นิมิตจะมีได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจถึงต้นตอของการที่ความไม่รู้นี่ ทำให้เข้าใจหลงผิดว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดที่เที่ยง ความเข้าใจผิด ที่เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ภาษาบาลีใช้คำว่า อัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใด อัตตานุทิฏฐิ มาจากคำว่า อัตตะ อานุ ทิฏฐิ นะคะ ๓ คำก็ร่วมกันเป็น อัตตานุทิฏฐิ การตามเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดร่ำไป

    เพราะฉะนั้นทุกคนมีไหมคะ อัตตานุทิฏฐิ ต้องมี มีก็ต้องมีค่ะ จะบอกว่าไม่มีได้อย่างไร ใช่ไหมคะ เพียงแต่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ว่านั่น คือ ความเห็นผิดนะ เห็นผิดอย่างไร ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่เกิดดับ แต่เชื่อว่าเห็นถูกได้ยังไง เพราะฉะนั้นมีความเห็นผิดกับความเห็นถูก ถ้าไม่มีการฟังเข้าใจความจริง จะละความเห็นผิดได้อย่างไร เพราะว่าฝังแน่นลึกมาก วิธีการต่างๆ ของแต่ละคนนะคะ ที่จะไปเร่งรัด ขจัดกิเลส เป็นไปได้อย่างไร ด้วยความไม่รู้ และความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่มีใครนอกจากธรรม เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็มี เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ความรู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก ก็มี เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกความเข้าใจถูกต่างหากล่ะ ที่ละความไม่รู้ จนกว่าสภาพธรรมนั้น ที่เรากำลังพูดถึงนะคะ ปรากฏให้รู้ว่าเป็นความจริง จึงเป็นสัจธรรม และสำหรับผู้ที่รู้นะคะ ก็เป็นอริยสัจธรรม

    เพราะเหตุว่าอบรมความรู้ จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริง จนดับกิเลสได้ ถ้ายังดับกิเลสไม่ได้ ยังไม่เป็นอริยบุคคล กิเลสเหมือนเดิม ยังมีอยู่ แต่เพราะปัญญาที่ได้เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น โดยขณะนี้ค่ะ ใครรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ซึ่งเป็นเจตสิกประเภทหนึ่งเกิดขึ้น เข้าใจถูก ทีละเล็กทีละน้อยนะคะ ค่อยๆ สะสม โดยไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย เกิดแล้วทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ให้ใครไปทำอะไร ให้เข้าใจความจริง เพราะอะไรคะ เพราะปัญญาเกิดได้ ไม่มีเราเกิด แต่มีสภาพธรรมที่เกิด และเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นก็สภาพธรรมนั้น ก็เกิดขึ้น และก็ดับไป ค่อยๆ สะสม การสะสมหรือว่าคำที่ว่า สะสม ก็ละเอียดลึกซึ้งนะคะ เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่อย่าคิดว่าเข้าใจได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น ก็พูดเรื่องยาวหลายเรื่องนี่ค่อยๆ ตัดออกมาให้เหลือทีละคำ เพราะฉะนั้นพอเอ่ยคำไหน อย่าเพิ่งไปไหนคะ เข้าใจคำนั้นเสียก่อน เหมือนอย่างคำว่า นิมิตะ ต่อไปนี้เรารู้แล้วใช่ไหมคะ ทุกวันนี่มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดดับ แต่ไม่มีใครรู้ ปรากฏว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ก็คือว่าอยู่ในโลกของความจำ นิมิตะของสิ่งที่กำลังเกิดดับ อย่าลืมนะคะ

    นิมิตของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ถ้าไม่มีอะไรเกิดดับเลย จะมีนิมิตไม่ได้ แต่ว่าเมื่อเกิดดับไม่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏรวดเร็วมาก ก็เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ซึ่งจำไว้ตลอดเวลา ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตานุทิฏฐิ มีสองคำนะคะ ทิฐิ แปลว่า ความเห็นกลางๆ แต่ถ้าพูดว่า มิจฉา ผิด มิจฉาทิฎฐิ ก็คือความเข้าใจผิด ถ้าสัมมาทิฏฐิ ก็คือ ความเข้าใจถูก ไม่ใช่เพียงชื่อค่ะ แต่ว่าเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอะไร ยากไหมค่ะที่จะรู้ตรง มีแต่เรื่อง แต่ว่าจะรู้ตรงจริงๆ นี่ ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ถึงสามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นการฟัง ก็คือเป็นผู้ที่ตรง ปัญญานั้นยังไม่เกิด แต่ถ้าเกิดรู้ไหม ก็ต้องรู้ เพราะเป็นปัญญา ปัญญาที่จะไม่รู้แล้วเที่ยวไปถามใครเขา หรือให้ใครเขาบอกว่าถึงระดับนั้น ระดับนี้ เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ผู้นั้นไม่รู้จักปัญญาว่า ปัญญาคืออะไร ไม่รู้ว่าปัญญารู้อะไรด้วย แล้วไปถามใครก็ไม่รู้ แล้วเขาจะบอกได้หรือคะ ในเมื่อสิ่งนั้นเฉพาะตน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วกลับมาอีกไม่ได้ แล้วเขาจะไปรู้อะไร

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ เรื่องเดา เรื่องทาย เรื่องประมาณ แต่ความรู้ความเข้าใจนี่ ต้องมั่นคง ตามลำดับว่า นั่นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แม้ว่ายังไม่ประจักษ์ความจริงที่กำลังเกิดดับ แต่ประจักษ์ได้ไหม แต่ไม่ใช่เรา คือปัญญาที่อบรมแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เดือดร้อน ใช่ไหมคะ ถ้าเดือดร้อนเป็นธรรมหรือเปล่าคะ เป็น ทุกอย่างไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว ที่เกิดขึ้นต้องเป็นธรรมทั้งหมด แต่เวลาโกรธเกิดขึ้น เราหรือธรรม ผิดแล้วใช่ไหมคะ ทุกอย่างนะเป็นเราไปหมดเลย เพราะไม่รู้ค่ะ

    ด้วยเหตุนี้นะคะ ผู้ที่มีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน สามารถที่จะรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นเหตุเป็นผล อะไรสามารถที่จะเข้าใจได้ อะไรมีจริงๆ ซึ่งกำลังเริ่มเข้าใจ สิ่งที่มีจริงนะคะ จากการได้ฟังแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ที่ไม่รีบร้อนที่จะไปรู้คำ รู้เรื่องราวต่างๆ แต่แม้คำเดียว ก็ยังไม่ได้เข้าใจให้ถูกต้อง

    แต่ตามความเป็นจริงนะคะ ทุกคำที่รอบรู้ พอได้ยินคำว่าธรรม ต่อไปนี้รู้เลยใช่ไหมคะ ใครจะพูดว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ธรรม คือสิ่งที่มีจริง ถ้าเขาพูดถึงสิ่งที่มีจริงให้เราเข้าใจ หมายความว่าเขารู้ใช่ไหม ถ้าเขาไม่รู้ เขาก็ไม่พูดอย่างนี้ แต่ถ้าเขาบอกให้เราทำอะไร ไปสำนักปฏิบัติ ไปนั่งกี่ชั่วโมง ไปเดินกี่ชั่วโมง ไปท่อง ไปจำอะไร เขารู้หรอ เพราะไม่รู้ใช่ไหมล่ะ เพราะว่าฟังแล้วเราก็ไม่รู้ ไม่เห็นเข้าใจอะไร

    เพราะฉะนั้นก็มีความต่างกันนะคะ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับคำของคนอื่น รู้ไม่ยาก ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง ทนต่อการพิสูจน์ สอบถาม สนทนา ไตร่ตรอง จนกระทั่งเป็นความจริง นั่นคือถูกต้อง แต่ว่าไม่ใช่เผินๆ แล้วก็รีบที่จะคิดว่าเข้าใจแล้ว พูดถึงนิมิตกันไปทั้งวัน แต่ว่านิมิตคืออะไร ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นนิมิตก็มีหลายอย่างนะคะ อย่างปกติธรรมดา แล้วก็อย่างขณะที่ฝันก็เหมือนเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหมคะ แต่จริงเหมือนเดี๋ยวนี้ไหมละ ค่ะเพราะอะไร

    ผู้ฟัง ไม่ได้เห็น ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่มีเห็นจริงๆ แต่จำได้ เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพราะฉะนั้นก็มีนิมิตในขณะที่ฝันซ้อนอีก ว่าเราเห็นอย่างนั้นเราไปที่โน่นที่นี่ ก็เป็นการคิดถึงเรื่องราวทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏอย่างนั้น แล้วก็ยังมีนิมิตของคนที่ไปทำสมาธิ ใช่ไหมคะ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร นั่งอยู่อย่างนี้ตัวลอย ได้อย่างไรคะ แต่ว่าสิ่งที่เราสะสมมานานแสนนาน ความผิดมากๆ เลย ไม่ใช่ความถูกต้องเลย ก็ทำให้หลงคิดไปต่างๆ นาๆ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ปรากฏ ที่ไม่จริงเป็นนิมิต

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ค่ะ หมายความว่าที่จะเห็นเป็นนิมิตได้อย่างเช่น จิตเห็นทางตา

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นดอกไม้

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ นิมิต เพราะความจริงนะคะ หนึ่งดอกไม้นี่ มีตั้งหลายอย่าง แข็งก็มี สิ่งที่กระทบตาได้ก็มี กลิ่นก็มี รสก็มี เย็นก็มี แล้วแต่ เป็นแต่ละหนึ่งปะปนกันไม่ได้ รวมกันเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่น มีสี มีรสต่างๆ ก็คือรวมกันแล้ว ไม่เข้าใจแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับ

    แต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ค่ะ เพราะว่าหนึ่งที่เกิดดับแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีทางที่จะไปหาสิ่งนั้นอีกในสากลจักรวาล ที่ไหนๆ ก็ไม่มี นั่นคือความหมายของดับ และชีวิตขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้นะคะ แต่ถูกปกปิดไว้ จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อไหร่ ความจริงนี้ก็เปิดเผย

    เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ คืออะไรคะ คือรู้สิ่งที่มีจริงอย่างที่เราได้ฟังนี่แหละ เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นคำจริง ตอนนี้ได้ยินอะไรคะ พอได้ยินก็รู้เลย หมายความว่าอะไร เห็นไหมคะ ก็เป็นนิมิต เพราะฉะนั้นทุกอย่างนี่อยู่ในโลกของนิมิต จนกว่าจะรู้ว่าถ้าไม่มีธรรมจริงๆ นิมิตมีไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้นะคะ จึงมีคำว่า ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปรม อัตถ ธรรมะ อัตถคือความหมาย แต่ถ้าธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่มีลักษณะหลากหลาย เราจะเอาอะไรมาเป็นความหมาย เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่พูดนะคะ อย่างนก เห็นไหมคะ ความหมายของนกไม่ได้คิดถึงกระต่าย เพราะฉะนั้นทุกเสียงที่ได้ยิน และรู้เรื่องนี่คะ เป็นไปตามความหมายของสิ่งนั้น ที่ทำให้มีการกล่าวถึง พูดถึง ในภาษาต่างๆ เป็นที่เข้าใจได้

    เพราะฉะนั้นกำลังพูดอยู่อย่างนี้ ใครคิดถึงเสียงบ้าง ทั้งๆ ที่มีเสียง บางครั้งคิดถึงเสียง นะคะ แต่ได้ยินเป็นคำๆ เข้าใจไปเลยได้ ไม่ได้แยกเสียง กับความคิดถึงความหมายของเสียง เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมด ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม และลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่าจะรู้ กว่าจะค่อยๆ ได้ยิน ได้ฟัง ตรง ถูกต้องว่า เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    กว่าจะเข้าใจ แม้แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องเป็นเพียงแค่ปรากฏได้ คนจะไปอยู่ในสิ่งที่ปรากฏทางตาได้อย่างไง คนไม่ได้มากระทบตา แต่สิ่งที่อยู่ที่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดเย็น ร้อน อ่อน แข็งที่มีนะคะ มีสิ่งนี้รวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นรูปที่กระทบตาได้ ตัวแข็งจริงๆ ของดอกไม้ ยังไงก็มากระทบตาไม่ได้ ถ้ากระทบตา เป็นอีกอย่างหนึ่งแหล่ะ ไม่ใช่เห็นแหล่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาแหล่ะ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งนี่คะ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ สะสมความเห็นถูกไป และความจริงต้องเป็นความจริง ทุกกาลสมัย ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลึกซึ้งไหมคะ จึงเป็นอภิธรรมะ

    ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีจริงนี่คะ เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม สิ่งเดียวนั่นแหละ แต่ทรงแสดงโดยนัยของขันธ์ โดยนัยของอายตนะ โดยนัยของสิ่งต่างๆ ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้นะคะ จนกว่าจะเข้าใจละเอียดขึ้น มั่นคงขึ้น ไม่ลืม แต่กว่าจะเป็นอย่างนั้นได้นะคะ ไม่ใช่ว่าฟังวันเดียว หรือ เดือนเดียว ปีเดียว หรือชาติเดียว พูดแล้วใช่ไหมคะว่า ขณะนี้เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ใครจำ ลืมหมดแล้ว ทั้งๆ ที่กำลังพูดกำลังเห็นด้วยเห็นไหมคะ กว่าจะมั่นคง ค่อยๆ ละความเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นอัตตา

    จนกระทั่งรู้ว่า ไม่มีค่ะ แต่สิ่งนั้นเกิดเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แต่ต่อกันจนกระทั่งลวง เหมือนกับนายมายากล แต่ยังช้ากว่าธรรม ธรรมต้องเร็วกว่านั้นมาก เพราะลวงทุกคนมาได้ จนถึงวันนี้ จนกว่าจะได้ฟังธรรม ไม่รู้ก็คือลืม แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่ เข้าใจขึ้นเมื่อไหร่ ก็จะรู้ว่า ถ้าไม่มีธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี แต่เมื่อมีแล้ว ปรากฏแล้ว ก็ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริง

    นี่คือประโยชน์ของ การฟัง การศึกษาธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธขาดการเข้าใจธรรม มุ่งหน้าไปไหนค่ะ มุ่งหน้าไปปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอะไร ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ไม่เป็นคนที่ตรงเลย ปฏิบัติธรรม โดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วจะรู้ความจริงต้องไปนั่งที่ไหน ไปทำอะไรรึเปล่าหรือว่าอาศัยการฟัง จนกระทั่ง ปฏิปัตติ ปัญญาและสติสัมปชัญญะถึงเฉพาะลักษณะของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

    สิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทรมากมาย แล้วก็มองไม่เห็น มีน้ำดำมืดคั่นอยู่ แต่ว่าปัญญาแสงสว่างนี่ ค่อยๆ มีเพิ่มขึ้น จนสามารถส่องถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เอง แต่ไม่เข้าใจ ต้องไม่ลืมนะคะ ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาทุกขณะ แต่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม คือฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ใช่ไปฟัง ให้ทำอะไร ไปหาอะไร แล้วก็ไม่รู้สิ่งที่กำลังมี

    เพราะฉะนั้นถ้ามีคำที่เราได้ยินนะคะ เมื่อไหร่จะมั่นคงจนกระทั่ง สามารถทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ คือ จากไม่มีเลย แล้วก็เกิดมี แล้วดับไปไม่กลับมาอีก หาที่ไหน ก็ไม่ได้ เมื่อไหร่จะรู้ว่า ติดข้องพอใจในสิ่งที่ไม่มี เพราะก่อนเกิดไม่มี ดับแล้วก็ไม่มี เหมือนยังไม่เคยเกิดเลย เพราะฉะนั้นเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไรคะ เกิดมาเพื่อไม่รู้ เพื่อติดข้อง วนเวียนไป บังคับยับยั้งไม่ได้เลย

    จึงปรากฏเป็นสังสารวัฏฏะ วัฏฏะ คือ วนเวียน สังสาระ คือ ท่องเที่ยว เดี๋ยวตาเห็น เดี๋ยวจิตได้ยินเกิด เดี๋ยวจิตคิดนึกเกิด ไม่มีใครไปทำเลยนะคะ แต่ต้องเป็นอย่างนี้ ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือนทั้งปี ทั้งชาติ ในสังสารวัฎไม่มีทางพ้นไปได้เลย จนกว่าจะรู้ความจริงว่า สมควรไหมที่จะติดข้องในสิ่งที่ไม่มี คำนี้คำเดียวค่ะ ฟังไปกี่ชาติ กว่าจะรู้อย่างนี้ จนกระทั่งอวิชชาไม่สามารถจะปิดกั้นได้ สภาพธรรมก็ปรากฏกับปัญญา ที่เริ่มค่อยๆ คลายในขั้นการฟัง

    แม้ขั้นการฟังนี่นะคะ ก็คือ ค่อยๆ คลายความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่เคยติดข้องว่าเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะรู้ว่า จริงๆ แล้วไม่มีค่ะ มีชั่วขณะนี้แล้วก็ดับไปเร็วมาก ต้องเป็นอย่างนั้นนะคะ ถึงสามารถจะละคลายได้ ไม่อย่างงั้นก็ไม่มีทางไหน ที่จะไปละคลายความเห็นผิด ในการยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดเลย ไม่ว่าอะไร นั่นก็เป็นดอกไม้ นี่ก็เป็นโต๊ะ นั่นก็เป็นปลา โน่นก็เป็นกุ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นสิ่งซึ่งติดข้อง เพราะความไม่รู้

    ผู้ฟัง หมายความว่า จะรู้ว่าเป็นกุ้ง หรือเป็นอะไร ก็ขณะนั้นก็หลายวิถี นับไม่ถ้วนแล้ว พอได้ยินท่านอาจารย์กล่าวคำว่า กุ้ง ใช่ไหมคะ ก็แสดงว่าเสียงนี่เกิดกระทบ

    ท่านอาจารย์ เสียงกระทบอะไร

    ผู้ฟัง เสียงมากระทบโสตประสาท

    ท่านอาจารย์ มาอีกแล้ว ความจริงมาได้ไหมนี่ แค่เกิดดับ เห็นไหมคะ แต่การสืบต่อจนเสียงนั้นแหละกระทบหู ได้ยินเสียงกลองไหมคะ ได้ยินเสียงวิทยุไหม ไม่ได้อยู่ตรงนี้เลย แต่ได้ยิน มาอย่างไรก็กระทบกันเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงหู ก็ไม่ว่ากันนะคะ แต่โลกปรากฏเมื่อมีสิ่งที่กระทบกันได้ เช่น เสียงกระทบหู เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เพียงแค่ได้ยิน และดับ จิตที่เกิดสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ไม่ใช่จิตที่ได้ยิน

    นี่คือ พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้รู้ว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่มีอะไรเลย นอกจากธรรม เพราะฉะนั้นฟังธรรมเท่าไหร่จะพอ หรือพอแล้ว วันนี้นานละ พรุ่งนี้ก็ฟังมาแล้วนี่ เมื่อวานนี้เข้าใจแล้ว คิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ว่าความจริง เดี๋ยวนี่ล่ะ เข้าใจแล้วคือ ต้องเดี๋ยวนี้ และมีสิ่งที่ปรากฏ และก็เข้าใจสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะหมดแล้ว

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูดถึงคำว่า ทีละหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ หนึ่งค่ะ หนึ่งดับ และอีกหนึ่งก็เกิด หนึ่งที่เกิดนั้นก็ดับ แต่ละหนึ่ง

    ผู้ฟัง หนึ่งสั้นๆ ที่ดับไปแล้วก็เกิดขึ้น

    ท่านอาจารย์ หนึ่งที่เกิดดับที่สืบต่อเร็ว เหมือนไม่ดับเลย เหมือนมีแค่หนึ่งเดียวที่ปรากฏ แต่ความจริงที่ปรากฏ เหมือนหนึ่งเดียว นั้นหลายๆ หนึ่งแล้ว เกิดดับนับไม่ถ้วน อย่างเดี๋ยวนี่คะ เห็นอะไรนี่ตั้งเยอะแยะพร้อมกันเลย เห็นไหมคะ เหมือนพร้อมกันเลยนี่ และความจริงคือ อะไร ความจริงที่ถูกปกปิดไว้ ก็คือว่าแต่ละหนึ่งๆ เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ กว่าจะเป็นคนนี้หนึ่ง คนนั้นอีกหนึ่ง ในคนนี้หนึ่ง ก็ตาอย่างหนึ่ง หูอย่างหนึ่ง ผมอย่างหนึ่ง เสื้ออย่างหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างหมดค่ะ

    เพราะฉะนั้น ความรวดเร็วของจิต สุดที่จะประมาณได้ แต่ไม่ปรากฏ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ เห็นไหมค่ะ เราพูดถึงสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้ปรากฏสภาพที่เป็นธรรม จนกว่าปัญญาสามารถที่จะถึงเฉพาะหนึ่ง ที่ได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ถ้าไม่เข้าใจเลย นะคะ กระทบสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ได้ยินสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น ที่ค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ

    เพราะฉะนั้นธรรมทำให้เป็นผู้ที่ละเอียด ถ้าไม่ละเอียด เผินนะคะ ไม่มีทางเลย รู้แล้วหมด ใช่ไหมคะ บางคนก็บอกฟังแล้ว เรื่องนี้ไม่ต้องฟังอีก แต่ความจริงเดี๋ยวนี้ แล้วหรือ ยังไม่ได้เข้าใจอย่างที่ได้ฟังเลย

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์บุคคล แล้วนั่งท่อง

    ท่านอาจารย์ ขอโทษนะคะ นั่งท่อง แต่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา เข้าใจ กับจำ กับท่อง ไม่เหมือนกันค่ะ ถ้าไม่ตั้งต้นให้ถูก จะไม่ถูกตลอดไป ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องตรงที่สุดค่ะ เพราะไม่มีเรา แต่เป็นธรรมที่เป็นกุศลธรรมที่ดีงาม ที่ถูกที่ตรงก็มี เป็นธรรมที่ไม่ดีงามไม่ตรงไม่ถูกก็มี แต่ไม่ใช่เราทั้งหมด ด้วยเหตุนี้นะคะ ปัญญาเป็นสภาพที่เห็นถูก ปัญญาก็ไม่ใช่ของเรา เกิดแล้วดับแล้ว แต่ทุกอย่างที่เป็นกุศล และอกุศลทั้งหมดนี่นะคะ สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ดับไปแล้ว แต่ฐานะที่เคยเกิดแล้วนั่นแหล่ะคะ อยู่ในจิต ทำให้จิตนั้นเปื้อน หรือสะสมสิ่งที่เคยมีแล้ว ต่อๆ ไปทีละเล็ก ทีละน้อย ด้วยเหตุนี้นะคะ เป็นผู้ตรงนะคะ กำลังท่องจริงๆ นะเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจนี่คือความตรง ต้องแน่นอนนะคะ เพราะฉะนั้นการท่องเป็นเพียงการจำ แต่ไม่รู้ความหมายของสิ่งที่ท่อง จนกว่าจะมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ และคำนั้นกล่าวถึงความจริงของสิ่งที่ปรากฏในขณะนั้นจริงๆ เช่น ขณะนี้หลับตาไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จริง ด้วยเหตุนี้นะคะ สิ่งที่ปรากฏจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม ถ้าไม่คิด

    เพราะมีแต่สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีการคิดจะไม่รู้เลยค่ะ ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร และก็ถ้าไม่มีการจำ ก็ไม่รู้ด้วย เพียงแค่เห็น แต่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยนะคะ เพราะขณะใดก็ตามที่เห็น ต้องมีเจตสิกซึ่งทำหน้าที่จำ ภาษาบาลี ใช้คำว่าสัญญาเจตสิก ทีละคำสองคำนะคะ แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่าจำทั้งวันใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร เพราะจิตเกิดทั้งวันค่ะ และสภาพจำนี่เป็นเจตสิกที่ต้องเกิดกับจิตด้วย จะไปเกิดกับสิ่งอื่นไม่ได้เลย ที่ใดมีจิตที่นั่นมีเจตสิก ที่ใดมีเจตสิกที่นั้นมีจิต เพราะฉะนั้นที่ใดมีสภาพที่จำ เป็นเจตสิก ที่นั้นต้องมีจิต และก็นอกจากสภาพที่จำยังมีเจตสิกอื่นๆ เจตสิกทั้งหมดนี่คะ ๕๒ ประเภท ซึ่งต้องเกิดกับจิตหนึ่งขณะจิตนี่ อย่างน้อยมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ปรากฏไหมคะเจตสิก

    ผู้ฟัง เจตสิกไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่ปรากฏ จิตปรากฏไหมคะ

    ผู้ฟัง จิตก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ แต่มีจริงๆ ไหมคะ

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ปรากฎได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ได้ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แค่ฟังแล้วจำ ไม่มีทางที่สภาพธรรมเหล่านี้ จะปรากฏเลย แต่อาศัยความเข้าใจในสิ่งที่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีที่กำลังเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ทนต่อการพิสูจน์ เพราะฉะนั้นความเข้าใจเพิ่มขึ้น สิ่งที่ปรากฏก็ปรากฏตามความเป็นจริง ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามี ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นหาเราในโลกนี้ เจอไหม

    ผู้ฟัง ไม่เจอ

    ท่านอาจารย์ มีแต่ธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ โลกอื่นละค่ะ

    ผู้ฟัง โลกอื่นก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เป็นธรรมทั้งหมด

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    27 ก.พ. 2568

    ซีดีแนะนำ