ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043


    ตอนที่ ๑๐๔๓

    สนทนาธรรม ที่ บ้านคุณขจีรัตน์ แก้วทานัง

    วันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นหาเราในโลกนี้ เจอไหม

    ผู้ฟัง ไม่เจอ

    ท่านอาจารย์ มีแต่ธรรมทั้งหมด โลกอื่นละค่ะ

    ผู้ฟัง โลกอื่นก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าที่ไหนก็ตามเป็นธรรมทั้งหมด จึงจะเข้าใจว่าศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม ประจักษ์แจ้งธรรม แต่ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร ถ้าไม่รู้ แล้วจะไปปฏิบัติธรรมได้อย่างไร เพราะปฏิบัติคืออะไรก็ไม่รู้ ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้นะค่ะ พระธรรมของสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำเนี้ยะ ช่วยขจัดความไม่รู้ ความเห็นผิด การปฏิบัติผิดทั้งหมดได้ แต่ถ้าใครยังไม่ได้ฟังให้เข้าใจ ก็หลงไปฟังคำของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น บอกให้ท่องจำ ไม่มีค่ะ ที่จะให้ท่องจำ แต่ขณะที่เข้าใจ จำแล้วค่ะ เดี๋ยวนี้มีธรรม ไหมคะ

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ ทั้งเข้าใจ และจำ เห็นเป็นธรรมหรือเปล่าคะ

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ไม่มีใครบอก แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาบอกว่าไม่มีเห็น โลกนี้ไม่มีเห็น เชื่อไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่เชื่อ

    ท่านอาจารย์ ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้นความจริงต้องเป็นความจริง ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ก็ตาม เปลี่ยนความจริงไม่ได้เลย นี่คือเริ่มเป็นผู้ตรง ถูกคือถูก ผิดคือผิด

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์นะครับ ที่ทราบมา ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือว่าคนใกล้ตัวนะครับ ก็จะพูดถึงการปฏิบัติว่า ให้ไปที่สำนักปฏิบัติ ด้วยการเดินจงกรม หรือไม่ก็นั่งสมาธิ เขาจะสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ครับ

    ท่านอาจารย์ เขารู้จักธรรมไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เขาไปปฏิบัติตรงนั้นแล้ว เขาจะทราบไหมว่าอะไรคือธรรมครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฟังให้ละเอียดนะคะ จะไม่เข้าใจเลย จะมีแต่ปฏิบัติธรรม โดยไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร แล้วปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร คำว่าปฏิบัติก็ไม่รู้ คำว่าธรรมก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้แล้ว ทำสิ่งที่ไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ทำให้คนฟังหลงเชื่อ และหลงประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏจนกระทั่งรู้แจ้งความจริงตรงตามที่ได้ฟัง ได้ยินคำไหน เข้าใจตั้งแต่ต้น ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ยังไม่พอค่ะ

    เพราะฉะนั้นจะต้องมีการเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น จนกว่าจะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นขณะที่ฟังนี้นะคะ เป็นแต่เพียงขั้นฟังเข้าใจ แต่ยังไม่รู้ถึงลักษณะของแต่ละหนึ่งที่ได้กล่าว เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ใช่ปฏิปัตติธรรม เพราะฉะนั้นต้องรู้ด้วยว่าปฏิปัตตินะมาจากคำภาษาบาลีนะคะ ปฏิ แปลว่า เฉพาะ ปัตติ แปลว่า ถึง

    หมายความว่าความเข้าใจที่ได้เข้าใจในขั้นฟังนี่ สามารถเกิดขึ้นพร้อมสติสัมปชัญญะ ถึงเฉพาะสิ่งที่ปรากฏเพียงหนึ่ง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ในสภาพที่ไม่ใช่เรา ในสภาพที่เป็นธรรม นี่เรากำลังฟัง แต่สภาพธรรมสักหนึ่งก็ยังไม่ปรากฏ แต่เมื่อมีการฟังมาก มีความเข้าใจมาก ในความเป็นอนัตตา ไม่ได้มีการหวัง ไม่ได้มีการรอ ไม่ได้มีการไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะรู้ว่า ไม่มีเรา ทำ คือ ไม่รู้ จึงเข้าใจว่าเป็นเราสามารถที่จะทำได้

    เพราะฉะนั้นตราบใดที่ทำวิปัสสนา หรือไปสู่สำนักปฏิบัติ เพื่อปฏิบัติไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจ เพราะฉะนั้นจะถึงอะไร ก็ถึงความไม่รู้ยิ่งขึ้น ถึงความเข้าใจผิด หลงเข้าใจว่านั่นเป็นหนทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทำอะไรคะ นั่งแล้วจะรู้หรือคะ สิ่งที่กำลังปรากฏ เกิดแล้วก็ดับจริงๆ เดินจะรู้ได้ยังไง ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะไม่รู้ จึงไปทำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ต้องทำค่ะ ปัญญาที่อบรมแล้ว สามารถที่จะถึงลักษณะที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริงของแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติธรรมทั้งหมดนะคะ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นวิวาทะ คำที่ต่างกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คำจริงมีประโยชน์ไหมคะ ควรพูดไหม เพราะบอกว่ามีประโยชน์ ใช่ไหมคะ สิ่งที่มีประโยชน์ ก็ต้องควรให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจทั่วกัน ไม่ให้สิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ ไม่ให้สิ่งที่ไม่เป็นความจริง เพราะเป็นมิตรที่ดี หวังดีนะคะ แล้วรู้ว่าความเข้าใจถูกนี่ เป็นสิ่งที่ประเสริฐในชาตินี้ ดีกว่าทรัพย์สมบัติเงินทอง ซึ่งพลัดพรากจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ร่างกาย ตาจะบอด หูจะหนวก แขนจะขาดเมื่อไหร่ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

    แต่สมบัติที่ประเสริฐยิ่งกว่าอย่างอื่นที่ติดตามไปคะ ก็คือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เพราะฉะนั้นให้สิ่งที่ทำให้คนอื่นนี่ ได้มีสมบัติ ที่ติดตามไปได้นะคะ ก็คือความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นพูดคำจริงไม่เป็นโทษค่ะ

    สนทนาธรรม

    ที่กนกรัตน์รีสอร์ท อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

    วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐


    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ความไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องหลายอย่าง เป็นความเห็นผิดบ้าง เป็นการที่จะทำทุจริตต่างๆ บ้าง และการที่จะรู้ขึ้น เข้าใจถูกต้องนี่ครับ เป็นอย่างไรครับ ที่จะละความไม่ดี ละอกุศล ละทุจริตต่างๆ นะครับ

    ท่านอาจารย์ ความไม่ดี มีมากไหมคะ ตั้งแต่เกิด แล้วก็ตลอดมาเรื่อยๆ แล้วก็จะให้ละความไม่ดี ต้องเป็นสิ่งที่ยาก ไม่ใช่ง่าย และต้องเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องตรง ใครก็ตามที่ไม่ดี แล้วอยากจะละไม่ดีเนี้ยะเป็นไปได้ไหม

    อ.วิขัย เป็นไปไม่ได้ ได้เพียงแค่ความอยาก ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นไปได้นะคะ ไม่มีคนไม่ดีในโลก เพราะว่าทุกคนก็อยากดี และคิดว่าสามารถที่จะดีได้เพียงด้วยความอยาก ด้วยเหตุนี้นะคะ เรื่องการที่จะละความไม่ดีนี่คะ ก่อนอื่นต้องรู้ว่า เป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะว่าทุกคนรู้ว่าไม่ดี แต่ยังไงๆ ก็ละไม่ได้ แต่มีผู้ที่ละได้ คิดดูนะคะ น่าอัศจรรย์ ไหมคะ ความไม่ดีนี่ ใครก็ละไม่ได้ หิว อาหารอร่อย เสื้อผ้าสวยงาม สนุกสนาน รื่นเริง ทุกสิ่งทุกอย่าง นะคะ แล้วจะละ ได้อย่างไร

    เพราะไม่รู้ว่าขณะนั้น ก็เป็นความไม่ดี ที่มีความติดข้อง ด้วยเหตุนี้นะคะ ถ้าจะละความไม่ดีจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่รู้ถึงที่สุด สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะว่าเกิดไม่ดีแล้ว แต่ว่าไม่ดีนี่เกิดมาจากไหน ด้วยเหตุนี้นะคะ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่ใครจะละความไม่ดีได้ เพราะฉะนั้นแม้เพียงคำง่ายๆ ละชั่ว ละความไม่ดี แต่ยากที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง

    ด้วยเหตุนี้นะคะ เมื่อเข้าใจถูกต้องว่า มีบุคคลเดียว ที่ได้บำเพ็ญบารมีตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลนะคะ ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน โดยประการทั้งปวง ถ้าไม่ได้ฟังธรรม จะไม่รู้เลยค่ะ ว่าเป็นความจริง ผู้นั้นคือพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นชาวโลกได้ยินคำนี้นะคะ แต่ไม่เคยเข้าใจคำว่า พุทธะจริงๆ พุทธะรู้อะไร ไม่ใช่รู้วิชาการที่ทุกคนเห็นว่าน่าอัศจรรย์นะคะ คอมพิวเตอร์หรืออะไรต่างๆ อย่างนี้ นั้นก็คือคนธรรมดา แล้วก็เราจะรู้ได้ว่าเป็นคนดีหรือเปล่า เป็นแต่เพียงคนที่มีความรู้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ยิน ได้ฟังคำว่าพุทธะนะคะ แล้วเผิน เพียงแค่พุทธะ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พอเลยค่ะ ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรองว่า แล้วพระองค์ตรัสรู้อะไร และสอนอะไร และสิ่งที่พระองค์สอน เป็นสิ่งที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่เข้าใจได้ แม้เดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบพุทธรูป แต่ต้องเป็นผู้ที่ได้เข้าใจถูกต้องว่า พระองค์ตรัสรู้อะไร และสอนอะไร ยากไหมคะ

    อ.วิชัย ก็เพียงเริ่มต้น ที่จะรู้ว่า มีบุคคลที่สามารถที่จะละความไม่ดีทั้งปวงด้วยความรู้ยิ่งด้วยพระองค์เองครับ

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ตรัสรู้แล้วนะคะ ก็ทรงแสดงธรรมให้คนอื่นได้รู้ตาม ทุกท่านก็คงได้ยินชื่อนะคะ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวก ท่านพระอานนท์ พุทธอุปฐาก ได้ยินชื่อทั้งนั้นเลยค่ะ ท่านเหล่านั้นนะคะ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจ แต่ละคำซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่งอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่ง รู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์มากมายในครั้งนั้น

    สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็มีนะคะ มากมายด้วย แม้แต่คฤหัสถ์ธรรมดา ท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี วิสาขามิคารมารดาเป็นพระโสดาบันบุคคล หมอชีวกโกมารภัจจ์ท่านก็เป็นพระโสดาบัน แต่ว่าไม่มีใครรู้เลย ได้ยินชื่อท่านเรียกชื่อท่าน รู้แต่ว่าท่านเป็นหมอเก่ง แต่ว่าอย่างอื่นเก่งกว่า คือ ถึงการดับกิเลสเป็นพระโสดาบัน แต่ไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ แสดงว่ากิเลสนี่คะ หนา ลึก เหนียว แน่น มากมายซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้

    เพราะฉะนั้นก็ละไม่ได้ แต่ผู้ที่ได้ตรัสรู้แล้วนี่คะ ก็ทรงแสดงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวงถึง ๔๕ พรรษา เราได้ฟังอะไรบ้าง เห็นไหมคะ ๔๕ พรรษา นี่นะคะ สืบทอดกันมา ท่องจำกันมา จนกระทั่งจารึกเป็นพระไตรปิฏก คือ พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก พระอภิธรรมปิฏก ใครรู้บ้างว่าข้อความในแต่ละปิฎกนี่ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งนั้นเลย ทุกขณะ แต่ว่าเพราะไม่เคยฟังก็เลยคิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงสอนให้ทำดี ละชั่วเท่านั้น แต่ไม่รู้อะไร อย่างนั้นได้หรือ เพราะการที่จะละ ต้องละด้วยความรู้ ไม่ใช่ละด้วยความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้นะคะ การฟังพระพุทธพจน์ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองนี่คะ ลึกซึ้งไหมค่ะ แม้คำเดียวก็ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ๔๕ พรรษานี่ กี่คำ จะลึกซึ้งปานใด ไม่ใช่ใครที่ไม่ศึกษาพระไตรปิฎก เพียงเปิด และอ่าน คิดว่าเข้าใจ ประมาทพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าคำที่พระองค์ตรัสนี่ ทุกคนสามารถจะเข้าใจได้เพียงอ่าน นั่นผิดเลย อ่านจบไม่รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าศึกษาแต่ละคำ

    ด้วยความละเอียดยิ่ง ด้วยความเคารพยิ่ง เมื่อใดนะคะ ที่มีความเข้าใจถูกต้อง เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงพระพุทธรูปค่ะ ยังไงๆ กราบไหว้พระพุทธรูปทุกวัน ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าจะเข้าใจพระธรรมแต่ละคำ

    อ.วิชัย เบื้องต้นก็พอจะทราบถึงการจะเป็นคนดีได้นั้น ส่วนหนึ่งที่สำคัญมากก็คือความรู้ความเข้าใจธรรมนะครับ

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยพูดแล้วนะคะ ธรรม เพราะฉะนั้นคำเดียวจริงๆ ค่ะ เริ่มต้นด้วยคำว่าธรรม คุ้นหู เหมือนไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ว่าตามความเป็นจริง คำนี้ไม่ใช่ภาษาไทย เป็นภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนาจึงใช้คำว่า บาลี หรือ ปาละ นี่นะคะ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถูกต้องไหมคะ ถ้าไม่มีเราจะพูดถึงธรรมทำไม เสียเวลาแน่ๆ

    แต่ถ้าพูดก็ต้องพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี ขณะไหนก็มี เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมความจริงก็มี เหมือนเดี๋ยวนี้เลยค่ะ มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีจำ มีรัก มีชัง มีสุข มีทุกข์ มีเกิด มีตาย ธรรมดาหมดเลย แต่ว่าเข้าใจแค่ไหน หรือว่าไม่เข้าใจเลย เหมือนคนที่ไม่เคยฟัง

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าธรรม เริ่มต้นก่อนนะคะ สิ่งที่มีจริงแน่นอนทุกกาลสมัย เห็นมีจริงๆ ๑๐ ปีก่อนเห็นไหมคะ เห็นมีไหม ต่อไปก็มีเห็น แล้วใครรู้ว่าเห็นนี่แหละ เป็นธรรม เพียงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ใครรู้จักธรรมหรือยัง ก็คือว่าถ้ามีคนถามว่าธรรมคืออะไร แล้วตอบว่าธรรม คือ คิด คนที่ไม่เคยเรียนคงตกใจนะคะ ธรรม คือเห็น คนนั้นก็ตกใจอีก ธรรมคือได้ยิน ไม่เคยคิดว่าธรรมจะเป็นอย่างนี้ แต่ว่าตามความเป็นจริง ก็คือนี่แหละ คือ ธรรมจริงๆ

    เพราะเหตุว่ามีจริงๆ เห็นทุกวัน เห็นจริง ได้ยินจริง คิดจริง ชอบจริง ไม่ชอบจริง ถ้าผู้ที่ศึกษาพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎก ไม่ขาดจากพูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เช่น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง จำบ้าง แต่ว่าโดยนัยที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจแต่ละขั้น แต่ละตอนให้ถูกต้อง เช่น ในขั้นต้นสามารถที่จะตอบได้ ใครถามว่าธรรมคืออะไร ต่อไปนี้ก็คงจะเปลี่ยนความคิดเดิม เป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ จริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม กุศลธรรม อกุศลธรรม เพราะนั่นเป็นคำประกอบ คำว่าธรรม

    ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ โกรธเป็นธรรม เมตตาก็เป็นธรรม ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ทั้งสิ้นทั้งปวงในสากลจักรวาล ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วเป็นธรรมทั้งหมด แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงตรัสรู้ธรรมอะไร สิ่งที่คนไม่รู้ ทรงตรัสรู้ เช่น บอกว่า คนเห็น เราเห็น แต่ถ้าเห็นไม่เกิด มีใคร ก็ไม่มีอะไรใช่ไหมคะ ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่เกิดขึ้นเลย จะมีสิ่งนั้นไหม ไม่มีสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนี่นะคะ เราไม่ได้เข้าใจคำนั้นโดยถ่องแท้ เราพูดเองหมดเลย โลก ใครไม่รู้จักโลกบ้าง เกิดมาในโลกใช่ไหมคะ โลกนี้มีอะไรบ้าง ก็บอกกันไปนะคะ เยอะแยะมากมาย ต้นไม้ ใบหญ้า น้ำคลอง อะไรต่างๆ ก็ว่ากันไป แต่ว่าโลกะ หมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วดับไป

    ขณะนี้นะคะ ทีละคำอีก เอาเกิดก่อน ถ้าเห็นไม่เกิดมีเห็นไหมคะ ได้ยินไม่เกิดมีได้ยินไหม คิดไม่เกิดก็ไม่มีคิดใช่ไหม มีต่อเมื่อเกิดทุกอย่างที่เป็นโลก ถูกต้องไหมคะ เพราะฉะนั้น สำรวจโลกแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นทั้งนั้นค่ะ ถ้าไม่เกิดไม่มี แต่ว่าความเกิดละเอียดมาก มีเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิด เกินวิสัยที่ใครจะรู้ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นนี่ก็เริ่มเห็นแล้วนะคะ ว่าการที่จะเข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมที่ทรงแสดงลึกซึ้งขึ้น ต้องฟังอย่างละเอียดจริงๆ เวลานี้ก็รู้จักธรรมและรู้จักคำว่าโลก เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นโลก โลกะ สิ่งที่เกิดเป็นธรรมหรือเปล่าคะ เป็นแล้วธรรมเป็นโลกหรือเปล่า เป็น นี่คะต้องตรง เพราะเหตุว่ากว่าเราจะได้เข้าใจละเอียดกว่านี้ นะคะ ก็ต้องเป็นความที่ ไม่ต้องไปเปิดหนังสือ ถ้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องไปถามใครอีกใช่ไหมคะ ว่าโลกคืออะไร

    อ.วิชัย ดังนั้น ได้ยินคำว่าโลกนี่ บุคคลที่ไม่ฟังธรรม ก็เข้าใจเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่บุคคลที่ตรัสรู้ความจริงนี่ ก็รู้จักโลก ครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จักธรรม โลกมีวันจบไหม ถามไปเถอะ เขาก็ตอบกันไปคนละอย่าง คนละอย่าง แต่ถ้าคำตอบที่ทุกคนตอบ ตามความเป็นจริงเมื่อเข้าใจเปลี่ยนไม่ได้เลยนะคะ ก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นนั้นแหละ โลก เพราะว่าถ้าสิ่งนั้นไม่เกิด ไม่มีอะไรเกิดเลย โลกก็ไม่มี

    อ.วิชัย ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาครับ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตานี่ มีจริง แล้วก็เกิดแล้ว ก็เป็นโลกหนึ่ง เมื่อมีเห็น จึงยึดถือว่าเป็นเราเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ ยังยึดถือว่าเห็นเป็นเรา เพราะไม่รู้ว่าเห็นเกิด ข้อหนึ่งแล้วนะคะ แล้วไม่รู้ว่า เราไม่ได้ทำให้เห็นเกิด ไม่มีเราจะไปให้เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครจะไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้นนะคะ คำต่อไป คือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตรงกันข้ามกับอัตตา

    เดี๋ยวนี้ก็ เราได้ยิน เราเห็น เราคิด ทั้งหมดเป็นเรา แต่ถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่เกิดขึ้นเลย มีไหมค่ะ เรา ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นธรรมเป็น แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ปะปนกันเลย รวมกันไม่ได้ แยกเป็นแต่ละหนึ่ง แล้วแต่ละหนึ่ง ก็เกิดดับ โดยที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้นได้ยินคำว่าธรรม ต้องได้ยินคำว่าอนัตตา ถ้าเป็นอัตตาก็คือเรา สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าเป็น อะ ไม่ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่ยั่งยืน ที่จะกล่าวได้ว่าเป็นเราเห็น เพราะว่าเห็นเกิดขึ้นชั่วขณะ แล้วเห็นดับ แล้วก็ได้ยินเกิด ไม่ใช่เห็นแหละ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง นี่หลากหลาย ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะยั่งยืน แต่ว่าเกิดดับเร็วมากสุดที่จะประมาณได้จึงลวงให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดดับเลย

    ชาวโลกจึงเห็นผิด ว่าเกิดมาเป็นตัวเรา มีเห็น มีได้ยิน มีคิด มีชอบ มีทุกอย่าง และก็ยั่งยืน ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งถึงอายุเพิ่มขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นนะ เป็นสิ่งที่เป็นเราหมด แต่ว่าความจริง ก็คือแต่ละหนึ่งเกิด และ ดับไป คำว่าดับหมายความว่า ไม่กลับมาอีกเลย ได้ยินเมื่อกี้นี้ ไหนได้ยินเมื่อกี้นี้ ไหนเสียงเมื่อกี้นี้ หาอีกในสากลจักรวาลกี่ภพกี่ชาติไม่มี

    กี่ภพกี่ชาติไม่มี หมายความว่าอะไร หมายความว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่เหลือเลย เดี๋ยวนี้ค่ะ เป็นอย่างนี้ทุกกาลสมัย และแต่ว่าถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ก็ทำให้อยู่ในสังสารวัฎต่อไป จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินอย่างนี้แล้วจะฟังต่อไปไหมคะนี่ ไม่มีเราเหลือเลย

    อ.วิชัย การแสดงความหมายของคำว่ากุศล ก็คือเป็นสภาพที่ ไม่มีโทษ ไม่มีโรค แล้วก็ให้ผลเป็นสุขครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นได้ยินแล้ว ยังไม่ได้เข้าใจทันที ได้ยินแต่คำแปล กุศล ดีงาม ไม่ให้โทษใดๆ เลยทั้งสิ้น ภาษาไทยก็เรียกสั้นๆ ว่ากุศลธรรม เราก็เริ่มคิดไตร่ตรอง ธรรมมีมากมายหลากหลายใช่ไหม ทำไมมีคำว่า กุศลธรรม อกุศลธรรมแสดงว่าสองอย่างนี้ ไม่เหมือนกัน

    เพราะฉะนั้นธรรมแต่ละหนึ่ง คิดดูนะคะ เวลานี้มากมายทุกอย่างเป็นธรรมหมด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นในแสนโกฎกัปมาแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้กลับมาอีกเลยนะคะ ไม่ได้ย้อนกลับมา ให้เราเป็นเดี๋ยวนี้ วันนี้ ต้องเป็นสิ่งที่ใหม่ตลอดไป เพราะฉะนั้นธรรมมากไหมนะคะ ประมาณไม่ได้เลยนะคะ

    อ.วิขัย ประมาณไม่ได้เลยครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ที่โลกนี้ นก หนู ปู ปลา เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นหมดเลย ต้นไม้ ใบหญ้า เป็นธรรมหรือเปล่า ทุกอย่างเป็นธรรมนะคะ เพราะฉะนั้นธรรมหลากหลายมากมาย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงจำแนกว่าในบรรดาธรรมทั้งหมดเลย ต้องเป็นหนึ่งในสอง คือเป็นสภาพธรรมที่เกิดจริงแต่ไม่รู้อะไร ไม่สามารถที่จะมีความรู้สึก ความคิด ความจำ เช่น ลักษณะที่แข็งนี่ ไม่ใช่ไม่มีนะคะ มีแข็งเดี๋ยวนี้ ใครไปทำให้เกิดขึ้น ใครก็ทำไม่ได้ แต่มี ใครไปทำให้หมดไปก็ไม่ได้ แต่ก็ดับไปหมดแล้ว

    แต่ว่าแข็งเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ในบรรดาหลายอย่าง ซึ่งเป็นสภาพที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร เช่น เสียงก็มีจริง แต่ไม่รู้อะไร กลิ่นก็มีจริง แต่ไม่รู้อะไร รสหวาน เค็ม เปรี้ยวมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้แหละมีจริง เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ไม่สามารถจะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นก็ตรัสเรียกทุกอย่างที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้นะคะ เป็นรูปธรรม เพราะรู้อะไรไม่ได้ หัวใจมีจริงไหมคะ รู้อะไรหรือเปล่า แข็งไหม มีกลิ่นไหม เป็นรูปธรรมทั้งหมด แล้วใจละ ความละเอียดของธรรมนะคะ เราพูดถึงจิตใจใช่ไหม เวลาพูดถึงใจน่ะ เขาใจดี ไม่ใช่แข็ง อ่อน เย็น ร้อน ใจดี

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งนะคะ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สภาพนั้นกำลังมีเดี๋ยวนี้ด้วย ทั้งหมดที่เป็นสภาพรู้นะคะ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่า เป็นนามธรรม สภาพซึ่งเกิด ต้องรู้ เป็นนามธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    5 มี.ค. 2568

    ซีดีแนะนำ