ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
ตอนที่ ๑๐๔๕
สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม
วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ นี่คือความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งทำไมบุคคลอื่น จึงได้รู้ได้ ไม่ใช่แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว เมื่อได้ทรงแสดงพระธรรมแล้ว ทำไมคนอื่นรู้ได้ เพราะว่าได้อบรม ที่ได้ฟังพระธรรม และเห็นประโยชน์ แล้วไม่ท้อถอยเลยค่ะ
เริ่มเข้าใจคำว่า บารมี ซึ่งภาษาบาลีนะคะ เป็น ปาระมี ธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง ปาระ คือ ฝั่ง เราอยู่ฝั่งกิเลส อีกฝั่งหนึ่งนะคะ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีกิเลสเลย และผู้ที่จากฝั่งนี้กว่าจะไปถึงฝั่งนั้น ไกลแสนไกลค่ะ มองเห็นทะเลสุดสายตา ถ้ายืนอยู่ที่ชายฝั่งนะคะ ไม่มีทางที่จะเห็นว่าฝั่งโน้นอยู่ที่ไหน แต่ว่าอวิชชามากกว่านั้น คิดดู เอามหาสมุทรมารวมกันกี่มหาสมุทร ทั้งโลก ทั้งจักรวาล ก็ยังไม่เท่าอวิชชา
เพราะว่าเป็นธาตุหรือธรรม ซึ่งเกิดไม่รู้ จะให้ธาตุนี่รู้ไม่ได้เลยค่ะ มีจริงๆ กำลังไม่รู้นี่ เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมนี่ เวันไม่ได้แม้แต่ความไม่รู้ ก็เป็นธรรม นี่คือเริ่มเป็นคนที่มั่นคงแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร แต่มีธรรม แต่แม้คำที่พูดว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร ก็ต้องเป็นผู้ที่ฟังเข้าใจนานมาก มั่นคงจริงๆ นะคะ ถึงจะกล่าวคำนี้ได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร เพราะว่าสามารถที่จะกล่าวชี้แจงได้ ไม่มีจริงๆ เพราะอะไร ไม่มีเสียง แล้วมีเสียง และเสียงหายไปไหน ไม่มีแล้วใช่ไหมคะ จากไม่มี และเกิดเสียง แล้วไม่มี ก็เหมือนไม่เคยมีมาก่อน
เพียงแต่ว่ามีเพื่ออะไรคะ ไม่รู้ ติดข้อง เกิดดับสืบต่อปรากฏเร็วมาก แล้วจะให้ไปไม่รู้อะไร ไม่พอใจอะไร ก็ต้องไม่รู้สิ่งที่มี และก็พอใจในสิ่งที่มี เพราะไม่รู้ มีใครชอบเสียงไหมคะ มีใครไม่ชอบเสียงไหมคะ ก็ไม่มีใคร นอกจากชอบเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ชอบเป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ทั้งวันนี่คะ เป็นธรรมหมด ก็ลืมไปเรื่อยๆ อาหารเช้าก็ลืมว่าเป็นธรรม อาหารกลางวันก็ลืมว่าเป็นธรรม นั่งอยู่ตรงนี้ก็ยังลืมเลย เห็นไหมคะ
เพราะฉะนั้นลึกซึ้งแค่ไหน และต้องอาศัยกาลเวลา ด้วยความเป็นผู้ตรงจริงๆ สัจจบารมี ไม่หลอกไม่ลวงนะคะ ถ้ารู้แค่ไหนก็คือแค่นั้นรู้แค่นี้นิดเดียว จะให้มากก็ไม่ได้ จะเมื่อไหร่เราจะรู้ ผิดเลย แสดงว่าคนนั้นไม่ได้เข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจธรรมแล้วมีหรือที่จะกล่าวว่า เมื่อไหร่จะรู้ ก็เดี๋ยวนี้ไม่รู้ แล้วเมื่อไหร่จะรู้ล่ะคะ ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่เริ่มเข้าใจเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ รู้เดี๋ยวนี้ แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริง ที่เป็นอริยสัจจะ ก็เป็นเรื่องที่ต้องตรงนะคะ แต่ว่าไม่ท้อถอย เพราะรู้ว่าสิ่งนี้มี ทำไมจะรู้ไม่ได้ ไปให้สิ่งที่ไม่มี พยายามไปทำให้รู้ อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อไม่มี แต่สิ่งนี้กำลังมีจริงๆ ชัดเจน รู้ได้แน่ แต่ว่าไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ที่อยากจะรู้นะคะ แต่ต้องเป็นผู้ตรง เมื่อเข้าใจขึ้นก็ละความไม่เข้าใจไปหน่อยนึง ถ้าเราศึกษาธรรมทีละคำนี่ เราจะรู้เลยนะคะ ว่าถ้าเราไม่รีบร้อนไปไหนนี่ เราจะเข้าใจละเอียดขึ้น แต่ถ้าเราพูดเรื่องเราหวังว่าจะเข้าใจ โน่น นี่ นั่น แต่ตอนต้นเรายังไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรก็ตามนะคะ ทุกอย่างนี่ถ้าจะรู้จริงๆ ก็คือว่า ต้องเป็นคนที่ละเอียด พูดแค่นี้นะคะ ต้องเป็นคนที่ละเอียด เหมือนกับเวลาฟังธรรมต้องละเอียด ใช่ไหมคะแต่ว่าชีวิตประจำวันก็ยังต้องละเอียด ถ้าชีวิตประจำวันไม่ละเอียด ฟังธรรมจะละเอียดได้อย่างไร ทั้งหมดนี่ค่ะ เกี่ยวโยงไปหมด เราจะไม่รู้เลยว่าแต่ละคนเนี่ยที่มีอุปนิสัยต่างกัน นะคะ ละเอียดบ้าง ไม่ละเอียดบ้าง หยาบบ้าง อะไรบ้างก็แล้วแต่ทั้งหมดนี่คะ มาจากสิ่งละอันพันละน้อย ทั้งหมดเลยในทุกกรณี
เพราะฉะนั้นบางคนก็คิดว่าฟังธรรม จะเข้าใจตรงนี้ อยากเข้าใจตรงนี้เลย ละเอียดพอไหม ที่จะรู้ว่า ก่อนที่เราต้องการจะไปถึงตรงนั้น เราเข้าใจก่อนนั้นหรือเปล่า ในความละเอียด และก็ยังจะต้องรู้ด้วยว่า ธรรม คือ ชีวิตประจำวัน เราละเอียดพอในเรื่องอื่นไหม ถ้าในเรื่องอื่นยังไม่ละเอียด คิดหรือว่าเวลาฟังธรรม เราจะละเอียด นี่ค่ะ ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยมากทุกคนหวังผลว่า ฟังธรรมจะได้เป็นพระโสดาบัน ฟังธรรมจะได้รู้นั่น รู้นี่นะคะ แต่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูก ว่าเดี๋ยวนี้เข้าใจสิ่งที่มีแค่ไหน
เพราะฉะนั้นกล่าวไปถึงว่าแล้วเมื่อไหร่จะรู้ พยายามหาทางที่จะรู้ทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่หนทางจริงๆ หนทางจริงๆ คือ ไม่ใช่เรา แล้วก็เป็นธรรมหลากหลายมาก รูปธรรมไม่สามารถรู้อะไรได้ เพราะฉะนั้นสภาพรู้ทั้งหมดที่หลากหลายนี่ จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน หมายความว่ารู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าถามว่าเห็นอะไร ตอบว่าเห็นดอกไม้ จิตเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางหูได้ยินเสียง ก็เป็นจิตที่ได้ยิน ขณะนั้นเป็นแต่ละหนึ่งขณะของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อ เป็นใหญ่ เป็นประธาน
แต่เห็นแล้วเกิดอะไรขึ้นคะ ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ความขยัน ความเพียรอะไรทั้งหมดอื่นใดทั้งสิ้น เป็นเจตสิกแต่ละหนึ่ง ซึ่งเจตสิกทั้งหมดนี่คะ มี ๕๒ประเภท เมื่อกี้นี้มีความอยากรู้ไหมว่า เมื่อไหร่จะรู้ เจตสิกหนึ่งล่ะ โลภะเจตสิก เพราะฉะนั้นใครพูด พูดเพราะอะไร เห็นไหมคะ ทุกอย่างต้องเป็นคนที่ละเอียดมาก และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ชีวิตประจำวันนี่ ไม่มีเรา ที่จะไปขวนขวาย ที่จะไปพยายามให้หมดกิเลส แต่ว่าความเข้าใจค่อยๆ รู้ความจริง จึงจะสามารถละความเป็นตัวตนได้
ถ้าพูดเผินๆ นะคะ ละเสีย ง่ายไหมค่ะ ไม่ต้องไปยึดถือ นามธรรม รูปธรรม เกิดขึ้น และก็ดับไปไม่ใช่ของใคร ละเสีย พูดอย่างนี้จะละได้ไหม ไม่สามารถจะเป็นไปได้เลย เพราะไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร และจะรู้ขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ทุกอย่างนี่คะ ฟังแล้วก็ต้องรู้ตัวเอง นะคะ หมายความที่สะสมมาว่าเป็นเรา เป็นอะไร และมาจากไหน และถ้ารู้ ก็คือไม่ใช่เรา ไม่รู้ก็ไม่ใช่เราค่อยๆ มั่นคงขึ้นค่ะ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็จะไปพยายามแสวงหาหนทางนะคะ
บางคนก็บอกว่า ถ้าไม่ฟังธรรมก็ไม่เข้าใจ แค่นี้ค่ะ ฟังใหญ่ เป็นไงคะ ทั้งวัน ตอนเช้าก็ฟัง กลางวันก็ฟัง เย็นก็ฟัง ไม่ฟังไม่ได้ คุณพ่อไม่ฟังก็โกรธ อยากจะให้คุณพ่อได้ฟังธรรมมากๆ แต่ความจริง ใครจะไปยับยั้งโลภะได้ ละเอียดกว่านั้นอีก กำลังอยากใช่ไหมให้คนอื่นฟัง เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ไม่พ้นไปจากความไม่รู้ และความติดข้อง จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงรู้ว่าทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมีนานปานนั้นนะคะ ยิ่งด้วยปัญญา สี่อสงไขยแสนกัป กัปนะคะ ไม่ใช่ วัน เดือน ปี ไม่ใช่หนึ่งชาติ ไม่ใช่ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ สี่อสงไขยแสนกัป
นานเท่าไหร่กว่าจะรู้อย่างที่ได้ตรัสไว้แล้ว ให้เราได้เข้าใจว่า เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะพระองค์ได้ประจักษ์แจ้งอย่างนั้น เพราะฉะนั้นคนที่ฟังก็ประจักษ์แจ้งอย่างนั้นได้ วันหนึ่ง วันไหนไม่รู้ เพราะไม่ใช่เรา แต่เพราะเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้นทีละน้อย แล้วก็รู้นะคะ ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ซึ่งขณะนี้จิตเท่าไหร่ เกิดดับนับไม่ถ้วน พร้อมเจตสิกเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ประเดี๋ยวเดียว เราก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ แต่ต้อง ธรรมมี แล้วก็ขั้นนี้ขั้นฟัง แต่ขั้นประจักษ์แจ้ง สามารถที่จะเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราจะทำ หรือเราจะขวนขวาย
สนทนาธรรม ที่บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐
ผู้ฟัง เรียนท่านอาจารย์ ช่วยกรุณาแนะนำในเรื่องของ การเจริญเมตตาเพิ่มขึ้นค่ะท่านอาจารย์คะ เพราะว่ารู้สึกว่า ไม่ว่าจะฟังมานานเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกว่าโทสะก็ยังมากค่ะ ท่านอาจารย์ แล้วก็เมตตาก็ยังเจริญช้ามากค่ะ ท่านอาจารย์คะ
ท่านอาจารย์ คุณหมอฟังธรรมเพื่ออะไรคะ เพื่อจะมีเมตตาหรืออะไร
ผู้ฟัง ฟังธรรมเพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ธรรมที่เป็นกุศลก็มี ที่เป็นอกุศลก็มี แล้วก็เมตตาก็เป็นกุศลธรรมอย่างหนึ่งค่ะ ท่านอาจารย์คะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ฟังธรรมเพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา และไม่มีเรา อันนี้สำคัญที่สุดนะคะ ไม่ใช่ว่าเป็นเราหวัง ต้องการสิ่งนั้น สิ่งนี้ ฟังธรรมเพื่ออย่างนั้น อย่างนี้ จะได้มีเมตตามากๆ หรืออะไรก็ตามที่เราคิดว่าเราจะไปแก้นิสัยที่ไม่ดีของเรา แต่ไม่เข้าใจว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดนะคะ แม้โลภะหรือโทสะ ที่คุณหมอไม่ชอบเลย ก็มีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏให้รู้ว่ามี แต่ขาดปัญญา ที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา นั่นเป็นธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ไม่ใช่หวัง
เพราะฉะนั้นแต่ละครั้งที่ได้ฟังคำนี่นะคะ เข้าใจคำที่ได้ฟังให้มาก มิฉะนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะละคลายความต้องการได้ เพราะว่าถ้าไม่ได้ฟังธรรม เราต้องการอย่างอื่นใช่ไหมค่ะ อาหารอร่อย เสื้อผ้าสวยๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พอฟังธรรม ก็เปลี่ยนความต้องการ บางคนเข้ามาต้องการธรรม จนกระทั่งต้องไปสำนักปฏิบัติ เพราะคิดว่านะคะ จะเข้าใจธรรมได้ บางคนก็รู้ว่าอีกไกล เพราะฉะนั้นก็มีกุศลอื่นๆ เสียก่อน โดยที่ว่าไม่เข้าใจว่า ขณะนั้นนะคะ เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นแล้ว
เพราะฉะนั้นเราห้ามความหวังไม่ได้ ห้ามความอยากไม่ได้ แต่ความยากนี่คะ รู้ยากว่าขณะนั้นนะเป็นความต้องการ เพราะชินกับความไม่รู้ และความยึดมั่นในสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการขัดเกลานะคะ ด้วยการเข้าใจ จนกระทั่งไม่หวั่นไหว แม้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ไม่พอใจเกิดขึ้นนะคะ อาจหาญ ร่าเริง ที่จะรู้ว่านั่นไม่ใช่เรา
ต้องไม่ลืมเลยค่ะ จุดประสงค์ของการฟัง เพื่อเข้าใจความจริง มีจริงๆ เดี๋ยวนี้กำลังมี แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง ซึ่งยังไม่รู้เลย ฟังเพื่อรู้ความเป็นจริงของสิ่งแรก ซึ่งเกิดแล้ว โดยที่ไม่มีใครอยากให้เกิด หรือไม่อยากให้เกิด ก็เกิด มีเดี๋ยวนี้ตามเหตุตามปัจจัย จะไปทำให้อะไรเกิดก็ไม่ได้ค่ะ เพราะอะไรคะ สิ่งที่มีแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ก็ไปทำให้ความไม่รู้เกิดอีก หรือว่าสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น เพราะความไม่รู้ ก็เกิดไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดนะคะ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่อดทน ฟังอะไรก็ได้ หรือเปล่า เห็นไหมคะ อดทนหรือเปล่า บางคนฟังเรื่องนี้ไม่ชอบเลย บ่อย เบื่อ ซ้ำไป ซ้ำมา ซ้ำไป ซ้ำมา ในประโยชน์อยู่ที่ว่านะคะ เดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่กำลังพูดซ้ำ เดี๋ยวนี้ก็มีสิ่งที่กำลังพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ความเข้าใจถึงไหน นี่ค่ะเป็นการเตือนให้รู้ว่าความไม่รู้นี่มาก และความไม่รู้ และความต้องการนี่ก็ผลักไสให้ไปที่อื่น แทนที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีว่า ยังรู้น้อยมาก
เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องนี้ไม่พอ ถ้าเบื่อ เป็นธรรมหรือเปล่าคะ แต่ไม่รู้เลยค่ะ ทุกอย่างหมด จนกว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นเราได้ต่อไป ฟังธรรมเพื่ออย่างนี้ค่ะ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ชีวิตประจำวันอดทนบ้างหรือเปล่าคะ อดทนด้วยความเป็นเรา เป็นบารมีหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่ ค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เห็นไหมคะ สอนให้อดทนกันต่างๆ นานา แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ อดทนนั้นก็ไม่ใช่บารมี เป็นเราต่างหาก เพิ่มความเป็นเรา ว่าเราเก่ง เราอดทนได้ เราดี เราอดทนได้ แต่ความจริงก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเรื่องของการละ เรื่องของการขัดเกลานี่คะ เป็นเรื่องของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา อะไรก็จะไปขัดเกลากิเลสไม่ได้ เพราะขณะนี้นะคะ กิเลสอย่างละเอียดก็เกิดแล้วทั้งนั้น แต่ไม่ปรากฏให้รู้ว่าเป็นกิเลส และยังไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นการฟัง จึงฟังไปเรื่อยๆ นะคะ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ซึ่งขณะที่ค่อยๆ เข้าใจก็ไม่ใช่เรา จนกว่าจะรู้ว่าแม้ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา หนทางจริงๆ ก็คือไม่ใช่หนทางของใครที่จะไปคิดไปทำนะคะ แต่ว่าฟังธรรมด้วยความเคารพ ด้วยความมั่นคง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ไม่เคยรู้มาก่อน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะกำลังมีจริงๆ
หนทางมีเยอะนะคะ หนทางของจิตแพทย์ หนทางอะไรก็ตามแต่ มากมายที่จะให้ผู้คนนี่ อยู่ดี กินดี แล้วก็มีความสุข และก็ไม่เบียดเบียนกัน แต่นั่นก็คือหนทางของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะดับจริงๆ เพียงแต่ว่าพยายามสุดขีดเลย ที่จะให้เกิดขึ้นนะคะ โดยประการต่างๆ แต่ก็ไม่สำเร็จค่ะ เพราะเหตุว่ายังไม่รู้เหตุที่แท้จริงว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นได้เพราะอะไร
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีโรงพยาบาล หรือว่าจะไม่มีกิจการงานต่างๆ นะคะ ต่างคนก็ไปตามทิศทางของตน แต่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่หนทางอย่างนี้ แต่เป็นหนทางที่จะสามารถเข้าใจความจริงนะคะ จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้การที่ไม่รู้ แล้วมีกิเลสต่างๆ มากมายนี่ค่อยๆ ละคลายเพราะความรู้ ถ้าไม่มีปัญญานะคะ ไม่มีทางเลยค่ะ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมองไม่เห็นเลย
ความดีความชั่วทั้งหลายนี่อยู่ในจิต มองไม่เห็นเลยว่ามากมายมหาศาลแค่ไหน แต่ความเข้าใจธรรมอย่างเดียวนะคะ ที่จะทำให้สิ่งที่สะสมมานี่ ค่อยๆ ละคลายไปได้ ซึ่งต้องอาศัย ประโยชน์ของการรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว ใครก็ตามที่ไม่รู้เลยว่า สิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว ก็ไม่สามารถที่จะทำสิ่งที่ดีได้ เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงการที่เพียงอยู่ดีกินดีนะคะ มีความสนุกสนาน รื่นเริง มีความไม่เดือดร้อน แต่ว่าต้องถือว่าแล้วจิตใจ ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดการกระทำนั้นๆ มีทางใดที่จะเยียวยา
เพราะว่าเป็นโรคเรื้อรังนะคะ รักษาไม่หาย ยังไงก็ไม่หายค่ะ หายได้แค่ปะทะประทังไป นะค่ะ แล้วก็เป็นกันอีก วันนี้ดีมากนะคะ พรุ่งนี้เป็นยังไง เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นไม่สำเร็จ ถ้าไม่ใช่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ซึ่งผู้ที่ได้เข้าใจจริงๆ และก็อบรมเจริญปัญญา กิเลสค่อยๆ ละคลาย จนถึงความเป็นพระอริยบุคคล มากจนถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นไปได้ แต่ว่าไม่ใช่การที่จะไม่รู้ ไม่เข้าใจ และก็พยายามหนทางของตัวเอง หรือว่าหนทางของคนอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนี่คะ เป็นการที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้นะคะ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะบอกได้ โดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวงว่า คืออะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ว่าคืออะไร จะรักษาตรงไหนคะ หาไม่เจอใช่ไหมคะ แต่ถ้ารู้ว่าตรงไหนคืออะไร ต้นตอที่ใหญ่สุดก็คือ ความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลสทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นโลภะความติดข้อง หรือว่าโทสะ หรือความริษยา หรือว่าความสำคัญตนทุกสิ่งทุกอย่าง มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน แต่มองไม่เห็นเลยค่ะ
อาจจะส่งเสริมให้มีมากๆ คือ ความไม่รู้ ช่วยกันไม่รู้ต่อไป ทำสิ่งที่เขาใจว่าถูกต้อง แต่ไม่ถูกต้อง เช่น การบวช ภิกษุ สามเณร ซึ่งยังไม่มีความเข้าใจธรรม ถูกหรือผิด เห็นไหมคะ ละเอียดไหมคะ เพราะว่าคนอื่นเพียงแค่ได้ยินว่าบวชภิกษุก็อนุโมทนา บวชสามเณรก็อนุโมทนา แต่ว่าคิดให้ดี ไม่มีความเข้าใจพระธรรม แล้วบวช จะเป็นประโยชน์อะไร บวชเพื่ออะไร ชื่อพระธรรมเดี๋ยวนี้นะคะ กำลังสามารถที่จะเข้าใจได้ แม้ไม่บวช
เพราะฉะนั้นการบวชเปลี่ยนจากเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ซึ่งต่างกันมาก อยู่ได้ด้วยความศรัทธายิ่ง ด้วยการที่รู้คุณ ของพระธรรมยิ่ง ด้วยการที่รู้ว่าชีวิตสั้นมาก และก็สามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลย แม้ในครั้งพุทธกาล ก็มีชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ก็มี บรรพชิตก็มี ตามอัธยาศัยแต่ทุกคนสามารถที่จะรู้ความจริงได้
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ก็พลอยยินดีไปด้วย ทั้งบ้านทั้งเมืองก็เลยผิดกันหมด เพราะฉะนั้นคนที่จะฟังพระธรรมนี่ ต้องเป็นคนที่ตรง รู้ว่าจุดประสงค์ของการพูดเพื่ออะไร จุดประสงค์ของการฟังเพื่ออะไร เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในความเป็นจริง แม้แต่การที่จะละคลายกิเลสนะคะ คิดว่าไปบวชแล้วจะละคลายได้ไหม เป็นสามเณรแล้วจะละคลายได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหมคะ แต่ว่าเพราะได้เข้าใจธรรม ปัญญาต่างหากซึ่งทำให้ละความไม่รู้
เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่ใช่ว่าเรื่องไม่รู้ ถ้ามีคนบอกว่าเรามาเรียนเรื่องเมตตากันวันนี้ จะมากันเยอะไหมคะ อยากมีเมตตาใช่ไหมคะ แต่เมตตาอยู่ไหน เดี๋ยวนี้มีไหม พอเรียนเสร็จจบ ทั้งวันกลับไปบ้านสิคะ เมตตาอยู่ไหนคะ เหมือนเดิมหรือว่ามีโลภะมากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างนี่คะ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปทำได้ ด้วยเราคิดว่าเราไปฟังมาแล้วนะคะ
เมตตาคืออะไรนะ หวังดีต่อคนอื่น พร้อมที่จะเกื้อกูลทำประโยชน์ ทำ ทำไมคะ ทำไมต้องหวังดี ทำไมต้องทำประโยชน์ ทำ ทำไม เพราะเราอยากมีเมตตาหรือว่าเพื่อขัดเกลากิเลส แค่นี้ความละเอียดก็ต่างกันแล้ว เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนี่เผินไม่ได้เลยค่ะ ถ้ารู้ว่าเพื่อขัดเกลากิเลส เราจะรู้ตัวเลย เราขาดเมตตาเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นการขัดเกลา ก็ด้วยการที่รู้ว่านะคะ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เราก่อน สำคัญที่สุด เพื่อจุดประสงค์อันนั้นค่ะ การฟังพระธรรมทั้งหมดเพื่อเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดยิ่ง แค่อวิชชาความไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะคะ ใหญ่มาก เพราะไม่รู้นี่แหละ จึงทำให้เป็นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวดี เดี๋ยวชั่ว ต่างๆ นานานะคะ แล้วก็ยังเป็นเหตุให้เกิดอกุศลอีกมากมาย เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่านะคะ ถ้าไม่มีใครสามารถที่จะให้เข้าใจถูกต้อง อวิชชาก็อยู่ที่นั่นเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะอยู่ไปก็อยู่ด้วยอวิชชา ไม่ว่าจะแสวงหาเมตตานะคะ ก็เพื่อเราใช่ไหม
เพราะเหตุว่าขณะนั้นนะคะ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น จะค่อยๆ ลดคลายไปได้ ก็ขณะนั้น เพราะความเข้าใจว่าเมตตา ไม่ใช่เรา ลองคิดดูเปรียบเทียบนะคะ ถ้าเข้าใจว่าเมตตาไม่ใช่เรา ความเมตตาจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ กับการที่เมตตาเป็นเรา แล้วก็อยากมีเมตตามากๆ เท่าไหร่ก็ไม่พอ จะเมตตาสักเท่าไหร่คะคุณหมอ มีจำกัดไหมคะ กว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน หรือว่าไม่สามารถจะเป็นอย่างนั้นได้
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจความเป็นอนัตตา สภาพธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ใคร แต่ละหนึ่งนี่คะ ขณะนี้กำลังเกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย ไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้เดี๋ยวนี้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ต่อไปด้วย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนี่นะคะ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ที่รู้ประโยชน์จริงๆ ว่าเพื่อไม่ใช่เรา แล้วถ้าเมตตาเกิดดีใจไหมคะ กับการที่รู้ว่าเป็นธรรมดา ไม่ใช่เราค่ะ แล้วเวลาอกุศลเกิดดีใจไหม เห็นไหมค่ะ หวั่นไหวไปตามกิเลส โดยที่ว่าเพราะไม่รู้ตามความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้นะคะ จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่ ที่สามารถที่จะให้ปัญญาซึ่งเกิดยาก และก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตรงกับความเป็นจริงได้ ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ฟังไปอีกนานเท่าไหร่นะคะ ในสังสารวัฎจนกว่าขณะนั้นนะคะ คลายการติดข้องได้ เพราะสภาพธรรมปรากฏการดับไป แล้วไม่กลับมาอีก อย่างนั้นยังต้องขัดเกลาต่อไปอีก เพราะปัญญาแค่นั้นไม่พอ
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นความหมายของคำว่า พุทธ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ มิฉะนั้นไม่มีโอกาสที่ใครจะรู้หนทางที่จะดับกิเลสได้เลย คิดดูนะคะ กิเลสมากแค่ไหน ดับได้ ไม่เหลือเลย แล้วยังประกอบด้วยพระญาณต่างๆ พระมหากรุณา ซึ่งใครก็เปรียบไม่ได้ เพราะว่าบำเพ็ญพระบารมี เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์นานเท่าไหร่
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080