ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
ตอนที่ ๑๐๕๐
สนทนาธรรม ที่ แก่งกระจานคันทรีคลับ จ.เพชรบุรี
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ คือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิต อาศัยเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน จิตก็ทำหน้าที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เจตสิกที่เกิดกับจิต แต่ละหนึ่งไม่ใช่จิต และก็ไม่ใช่เจตสิกอื่นด้วย เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมดพร้อมกัน แล้วก็ดับพร้อมกัน ในขณะนั้นก็มีสัญญาเจตสิก ซึ่งไม่ใช่จิต เพราะเป็นสภาพที่จำ เดี๋ยวนี้เลยใช่ไหมคะ มากมายเท่าไหร่ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ก็คือเพื่อปัญญาปรากฏ ตามระดับขั้นของปัญญา ว่าเป็นปัญญาระดับไหน เพราะฉะนั้นระดับนี้นะคะ ขั้นฟังเข้าใจ ด้วยความไม่ประมาท ทุกคำนี่คะ พิจารณาไตร่ตรอง ฟังแล้วนะคะ ยิ่งเพิ่มความละเอียดขึ้น จากการที่ฟังแล้วเข้าใจในตอนต้น เพิ่มอีก เพิ่มอีก จนกระทั่งลึกอีก เข้าใจเพิ่มอีก
จนกว่าจะถึงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเหมือนสิ่งที่อยู่ใต้มหาสมุทรมากมาย จิต เจตสิก อยู่ใต้มหาสมุทรทั้งนั้น อันไหนปรากฏบ้าง ไม่มี แต่จะปรากฏกับสติสัมปชัญญะ ซึ่งเกิดจากการฟังขั้นปริยัติ รอบรู้มั่นคง จนกระทั่ เป็นสัจจญาณ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทุกอย่าง
โดยประการทั้งปวงถึงที่สุด คิดดู ไม่อย่างงั้นจะทรงแสดงไหมในเรื่องของโลภะ ตั้งแต่มีการจำได้นะคะ และก็มีความพอใจ เป็นรูปฉันทะ แล้วก็เร่าร้อนละ ไม่ได้อยู่เฉยเลยใช่ไหมค่ะ แล้วแต่ว่าจะพอใจอะไร ก็เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการที่จะแสวงหา จากปริฬาหะ ซึ่งเป็นความเร่าร้อน เพราะโลภะ มาเป็นปริยเทศนาการแสวงหาจนได้ เป็นรูปฬาภะ นำมาซึ่งอะไรคะ ได้ไปแล้ว ดีหรือเปล่านี่ รูปราคะ พอใจอย่างยิ่ง ในสิ่งที่ได้มา
ซึ่งความจริง ไม่เหลือเลยสักอย่าง ถ้าละเอียดยิบก็คือว่าเพียงแค่เกิดและดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นความไม่รู้มากแค่ไหน ความหลงติดมากแค่ไหน แต่เป็นสิ่งที่ปัญญารู้ได้ เพราะถ้าปัญญาไม่รู้อย่างนี้ ตามความเป็นจริงที่สะสมมา เป็นปกตินะคะ ละอะไรไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นอดทน ขันติบารมี นานเท่าไรก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาใช่ไหม ที่เข้าใจถูกต้องว่าไม่มีใครสักคนที่จะไปทำอะไรได้ นอกจากความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผมไปนั่งสมาธิ ไปภาวนา เป็นวิปัสสนาต่างๆ อาจจะลดในเรื่องของ อายตนะ เรื่องของผัสสะ ทำให้จิตที่มีความคิดที่ต้องใช้พลังงานลดน้อยลง ทำให้พลังงานที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระในร่างกายที่ทำให้มะเร็งโตกันน้อยลงๆ นะครับ ผม
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะในเรื่องของโรคภัย ไม่ว่าในเรื่องของที่ได้ฟังธรรม จากท่านผู้นั้น ผู้นี้บ้าง แต่ว่าต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ คือเราเป็นใคร พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร แค่นี้ค่ะ เราจะไม่ประมาทใน คำ ที่เราได้ยินได้ฟังเมื่อกี้นี้นะคะ ทั้งอายตนะ ทั้งอะไรต่างๆ ตั้งหลายคำ
เพราะฉะนั้นถ้าเราถามคนที่แนะนำเราว่าคืออะไร แล้วให้เขาบอกให้เราเข้าใจได้ เราจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่เก็บชื่อมา แล้วก็พูดตามอายตนะ ขันธ์ และอะไรๆ ต่างๆ นะคะ แต่ว่าคืออะไร แล้วเดี๋ยวนี้มีไหม
เพราะฉะนั้นโรคกาย น่ากลัวไหมคะ มีตั้งหลายอย่าง นับวันก็เพิ่มขึ้นนะคะ ทั้งหมดทุกส่วนของร่างกาย ตา หู จมูก ลิ้น อวัยวะต่างๆ โรคใจน่ากลัวกว่านั้นไหม โรคใจนี่นะคะ ใครจะรักษาได้ ไม่ใช่พระธุดงค์ หรือไม่ใช่ใครทั้งสิ้นนะคะ
ผู้เดียวซึ่งเป็นหมอที่รักษาโรคนี้ได้ คือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะฟังคำของใครก็ตามแต่นะคะ ขอให้เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาบอก เขาหวังดีต่อเรา เราบวชแล้ว เราจะได้สงบ เป็นสมาธิ อย่างนั้น อย่างนี้นะคะ แต่ไม่รู้เลย ว่ามันคืออะไร
เพราะฉะนั้น โรคที่ทุกคนมีนะคะ รับรองได้เลย ไม่ใช่เฉพาะโรคมนุษย์ ทุกโรคในสากลจักรวาล ที่น่ากลัวที่สุด คือโรคไม่รู้ ใช่ไหมคะ เพราะว่าพอไม่รู้ละคะ โรคอื่นตามมาหมดเลย
จนทุกวันนี้นานแสนนานมาแล้ว ก็ยังเป็นโรคนี้อยู่ ตราบใดที่ยังไม่มียารักษาโรค คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่ให้ฟังเผิน ไม่ใช่ให้ท่อง ไม่ใช่ให้ผลีผลามตามไป สงบ และสงบคืออะไร ทุกอย่างไม่ใช่ความรู้เลยค่ะ แต่เป็นความไม่รู้
เพราะฉะนั้นโรคนี้อันตรายที่สุด เพราะว่าทุกคนหวังรักษาโรคนี้ แต่ได้ยาผิด ไม่มีทางที่จะรักษาโรคนี้เลยนะคะ ยาที่จะรักษาโรคไม่รู้ได้ คือ รู้ หมายความถึงจากไม่รู้ ไม่เข้าใจนี่ค่ะ ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้องเท่านั้นที่จะรักษาโรคนี้ได้ อย่างอื่นไม่มีทางที่จะรักษาโรคนี้ได้เลย
เพราะฉะนั้นให้เราคิดว่า ความไม่รู้ของทุกคน ไม่ว่าเทวดา พรหม มนุษย์ที่ไหนก็ตาม มากมายมหาศาล เดี๋ยวนี้รู้ไหมคะว่าไม่รู้ มีโรคก็ไม่รู้หนักหนาไหมค่ะ คิดดูนะคะ ตั้งแต่เกิด เกิดมาไม่รู้ใช่ไหม อะไรเกิด เห็นไหมคะ ไม่รู้เลยว่าอะไรเกิด กลายเป็นเราเกิด
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริง ที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นแม้แต่ขณะที่เกิดในโลกนี้นะคะ ลืมตาขึ้นมาแล้ว หรือยังไม่ลืมตาก็ไม่ทราบแล้ว แต่ว่าเกิดเป็นอะไร อะไรเกิด แค่เกิดนี่ค่ะ อะไรเกิด รู้ไหม ไม่รู้
เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเกิด ตั้งแต่บัดนั้นมา ทุกชาติ ไม่เคยรู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วนี่คะ ไม่มีใคร แต่ว่ามีสิ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้เลย แม้แต่การเกิด เกิดเป็นใคร ที่เราคิดว่าเป็นเรา ก็ต้องมีเหตุปัจจัย ที่จะให้เกิดเพราะอะไร
ถ้าไม่มีธาตุรู้ จะเป็นสิ่งที่มีชีวิตไหม ก็ไม่มีใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นธาตุรู้นี้เป็นเราหรือ แต่มีปัจจัยที่จะเกิด ซึ่งซับซ้อนมาก เพราะเหตุว่าหนึ่งขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ให้ทราบว่ามีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมาก มากกว่าหนึ่ง แต่ไม่รู้เลยสักอย่าง แล้วก็อยู่มาในโลกอย่างนี้แหละ นานเท่าไหร่แล้ว ด้วยโรคนี้ คือโรคไม่รู้
จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่นให้ไปบวช ให้ไปปฏิบัติ ให้เป็นนั่งสมาธิ แต่ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีใครรักษาโรคไม่รู้ และคนก็ไม่รู้ด้วยนะคะ ว่านั่นหมอจริงหรือเปล่า เพราะว่าให้ไม่รู้ต่างหาก ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ให้รู้เลย
เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ต่างกับคำของคนอื่น คำของคนอื่นนะคะ ได้ยินตลอด ธรรมดาทุกชาติ แต่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เหมือนคำของใคร ถูกไหมคะแม้แต่ขณะที่เกิด ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ จะมีสิ่งที่มีชีวิตเกิดไหม ก็ไม่มี และธาตุรู้นั้นมาจากไหน ไม่ว่าเราเรียกว่า งูเกิด นกเกิด คนเกิด สุนัขเกิด เทวดาเกิด หรือว่าคนในนรกเกิด มาจากไหน
ทั้งหมดต้องมีเหตุค่ะ ไม่มีใครบอกเลยว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ มีเหตุ มีแต่บอกให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ แต่ไม่รู้เลย ว่าแท้ที่จริงความไม่รู้เนี่ยจะค่อยๆ รู้ได้ โดยการที่ฟังคำไหนพิจารณาไตร่ตรอง นะคะ ว่าถูกต้องไหม เช่นขณะที่เกิด ถ้าไม่มีธาตุรู้ ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่นก ไม่ใช่งู ไม่ใช่ปลา ไม่ใช่คน ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่พรหม
เพราะฉะนั้นธาตุรู้อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้สำหรับคนที่ฟังแล้วนะคะ ก็รู้ว่ามีจิต และเจตสิก จิตเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธาน เดี๋ยวนี้ค่ะ ไม่เคยขาดเลย แต่ไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด แล้วก็ในขณะนั้น ก็มีรูปเกิดด้วย แต่ว่าถ้าเกิดในครรภ์ ยังไม่ปรากฏเลยว่าเป็นอะไร เล็กมาก ในขณะแรกนะคะ ไม่มีรู้ว่าต่อไปนี่ จะเติบโตขึ้นใหญ่เป็นช้าง หรือว่าจะเติบโตเล็กแค่มด หรือจะเป็นสัตว์ที่มีปีก หรือเป็นสัตว์ที่ไม่มีขา หรือว่ามีขามากๆ เยอะ หรือ มีแค่สองขา พวกนี้ค่ะ ไม่รู้เหตุที่จะให้เกิด เพราะไม่รู้จักธรรม
เพราะฉะนั้นกว่าจะได้ฟังคำ ที่ทำให้แต่ละคนเกิดปัญญาจากการฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จึงสามารถที่จะละความไม่รู้ได้ นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งจะได้พบคำนั้นจากผู้ที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฟังคำของพระองค์ แต่ถ้าไม่ใช่คำของพระองค์ไม่ได้เข้าใจ คำนั้นทั้งหมดไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธจ้า จะมีประโยชน์อะไรที่จะสงบ โดยไม่รู้ว่าสงบคืออะไร เขาเรียกว่า สงบ เขาบอกว่าสงบ แต่เขาไม่ได้พูดเลย ลักษณะที่สงบหมายความถึงอะไร มีจริงหรือเปล่าและเป็นอะไร
ด้วยเหตุนี้นะคะ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ต้องต่างจากคำอื่นทั้งหมด แม้แต่คำว่า จิต ตำรามีเยอะใช่ไหมคะ เรื่องจิต จิตใต้สำนึก จิตอะไรก็เยอะแยะไปหมด แต่ไม่เคยรู้เลยว่า เดี๋ยวนี้ ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นรู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ และไม่เคยขาดธาตุรู้เลย ตั้งแต่เกิดจนตายหลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่งนะคะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับทันทีเลยค่ะ
พูดว่าทันที ก็ยังช้า คิดดูสิคะ สภาพธรรมจริงๆ นี่ถูกซ่อนเร้น ปกปิดไว้นานเท่าไหร่ จนกว่าจะมีผู้ที่เปิดเผย สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า แต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง จะเป็นเราได้อย่างไร แล้วแต่ละหนึ่งก็เกิดดับสลับสืบต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ ปรากฏเหมือนไม่ดับเลย แล้วใครสามารถที่จะแสดงความจริงของแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมากประการใดก็ตามนะคะ
แต่ก็มีสภาพธรรมซึ่งเป็นธาตุสองอย่าง คือธาตุอย่างหนึ่ง เป็นรูปธาตุเกิดขึ้น มีจริงๆ ลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็ไม่ปะปนกัน แข็งเป็นแข็ง กลิ่นเป็นกลิ่น เสียงเป็นเสียง รสเป็นรส แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นจะมี เมื่อเช้านี้รับประทานอะไรคะ รู้รสไปหมดเลย บอกด้วย ข้าวต้มบ้าง อะไรบ้างก็แล้วแต่นะคะ แต่จริงๆ รู้ไหมว่าคืออะไร ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางเลยค่ะ
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีบุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน ที่สะสมการที่จะเห็นประโยชน์ของความรู้ ความเข้าใจ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะให้ได้เลย นอกจากพระธรรมแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะต้องศึกษาด้วยความเคารพสูงสุดจริงๆ ว่าประมาทไม่ได้เลย ว่าเราเข้าใจแล้ว เพราะว่าความเข้าใจธรรม เพียงฟังแค่นี้นะคะ รู้เลยว่าไม่เคยรู้มาเลย ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม
ถึงแม้รู้แล้วนะคะ สภาพธรรมก็ไม่เปิดเผย เพราะถูกปิดบังด้วยความไม่รู้มานานแสนนาน แม้จะกล่าวว่า เดี๋ยวนี้เป็นธาตุรู้ ไม่มีเรา ก็ยังไม่ได้เปิดเผย บอกว่าเดี๋ยวนี้มีจิตเจตสิก ก็ไม่รู้สักอย่างเดียวนะคะ เช่น บอกว่าขณะนี้ที่เห็นนี่เป็นธาตุรู้นะ เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏ และธาตุรู้นั้น กำลังเห็น จะบอกว่าไม่เห็นไม่ได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนี่ มีจริงๆ นะคะ แต่ไม่ใช่ธาตุรู้ เพราะฉะนั้นชั่วหนึ่ง ขณะที่เห็น ไม่มีเรา ที่จะไปบอกให้สงบ ไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น มีแต่ความไม่รู้ แล้วจะสงบได้อย่างไร นอกจากเรียกเอง พูดเอง สติก็เรียกเอง ปัญญาก็เรียกเอง สงบก็เรียกเอง ทั้งหมดเลย
แต่ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงที่ผู้สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงจำแนก โดยนัยมากมายใน ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้คนได้ฟัง ไตร่ตรองนะคะ ค่อยๆ ละความไม่รู้ ซึ่งมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นจะไปปฏิบัติอะไรคะ ปฏิบัติก็ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกคำ ที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทียบกันได้เลยนะคะ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ สนทนาได้ ไตร่ตรองได้ ศึกษาได้
โดยนัยต่างๆ เพื่อที่จะให้รู้ว่า สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ มีเดี๋ยวนี้ และก็เป็นจริงอย่างที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ทั้งหมด แต่ต้องเป็นผู้ที่อดทนนะคะ ว่าฟังธรรมทำไม ตอบได้ไหมคะ ตอนนี้ทุกคนก็ตอบได้ใช่ไหมคะ เพื่อเข้าใจ ใช่ไหม ไม่ใช่ฟัง เพราะว่าจะได้เป็นคนมีความรู้ มีคนอื่นชื่นชม ว่าคนนี้เป็นคนรู้มาก ไม่ใช่เลยค่ะ เรื่องการชื่นชมด้วยความไม่รู้ มีประโยชน์อะไร
แต่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ก็คือว่าได้เกิดมามีโอกาสได้เข้าใจ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยพระองค์เอง เพื่ออนุเคราะห์คนอื่นนี่ ได้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ตามที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องมั่นคงนะคะ เช่น คำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงทั้งหมดค่ะ ทำไมมีจริง ก็มีลักษณะปรากฏว่ามี ไม่ใช่พูดลอยๆ ว่ามีจริงอยู่ไหนไม่รู้ เป็นอะไร ก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ
แต่มีจริง เพราะกำลังมีจริงๆ ปรากฏให้รู้ว่ามีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงแน่นอน แต่สิ่งนั้นนะคะ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น จะไปบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ขณะนี้ก็เกิดดับแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นคำนี้ค่ะ จะต้องรู้ว่า จนกว่าจะรู้ จึงค่อยๆ คลายความเป็นเราในขั้นฟัง เห็นไหมคะ แค่ขั้นฟังนี่คะ ปริยัติรอบรู้ หมายความว่าเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังนะคะ แม้คำเดียว
ต่อไปนี้ใครจะชวนไปรู้ที่ไหนไปไหมคะ ก็มีธรรมะเดี๋ยวนี้ ฟังสิคะ จนกว่าจะได้เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นปัญญาที่จะถึงที่สุดได้ ไม่ใช่มีเพียงแค่ฟังนะคะ แต่ปัญญานั้นต้องอาศัยความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพื่อละความไม่รู้ จากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
รีบรับรองกันหรือเปล่า ต้องพิจารณาจริงๆ นะคะ เป็นอนัตตา หมายความว่าอะไรคะ เดี๋ยวนี้ใช่ไหม เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครไปทำให้เห็นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีตา ไม่มีปัจจัย ไม่มีจักขุปสาท ไม่มีสิ่งที่กระทบจักขุประสาทได้ เห็นก็เกิดไม่ได้เลย และยังต้องอาศัยเจตสิกด้วย ที่จะเป็นธาตุรู้ที่กระทบลักษณะที่ปรากฏ จิตเห็นเกิดขึ้นพร้อมกันเลยแล้วก็ดับพร้อมกัน
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีใครรู้บ้างว่าจิตเกิดขึ้น และดับไปอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ พร้อมเจตสิก ที่ไม่มีใครสามารถบังคับได้ ไปเลือกได้ว่าให้เจตสิกนี้เกิด แต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้เจตสิกที่เกิดกับจิตอย่างน้อยที่สุด ๗ เจตสิก หลากหลายแล้วนะคะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ยังน้อยค่ะ เพราะฉะนั้นอย่างมากก็มากกว่านั้น แต่ก็ไม่ได้ปรากฏ เวลานี้ทั้งจิต เจตสิก ไม่ปรากฏ อยู่ใต้มหาสมุทร
จนกว่า สติสัมปชัญญะและปัญญา จะถึงลักษณะหนึ่ง เลือกไม่ได้เลยเพราะเป็นอนัตตา เป็นสติสัมปชัญญะ เป็นปัตติ ปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นต้องอดทนนะคะ ที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และใครก็ตามที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังนี่คะ รู้เลย พระคุณมหาศาลจากการที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจเลย เป็นการเริ่มรู้ ความต่างของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับคำของคนอื่น
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ให้รู้ว่าไม่รู้ตั้งแต่เกิด แล้วอยู่มานานเท่าไหร่คะ ไม่รู้หมดเลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ แต่กำลังฟังเพื่อที่จะได้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้นี่ มีอะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงให้คนอื่นได้เข้าใจตาม จนกว่าสามารถที่จะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรมค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการยึดถือว่าเป็นเรา
ด้วยเหตุนี้นะคะ พระธรรมจึงมี ๓ ระดับขั้น ปริยัติ รอบรู้ในแต่ละคำ ถ้ารอบรู้ในแต่ละคำ เดี๋ยวนี่เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ในบรรดาธรรมทั้งหมดนะคะ สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เป็นแต่ละธาตุ หนึ่งธาตุ สิ่งที่ปรากฏทางตา นี่คะ ขณะนี้ปรากฏ รู้ไหม มีจริง เป็นธรรม แล้วเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่แข็ง แข็งกระทบตาไม่ได้ แต่ธาตุนี้อยู่ที่ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ใดมีแข็ง นะคะ ซึ่งจะต้องอาศัยธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ซึ่งต้องอาศัยธาตุลม ตึงหรือไหว ซึ่งต้องอาศัยธาตุน้ำเกาะกุม ธาตุทั้ง ๔ นี้ไม่แยกกันเลย แล้วยังมีสิ่งที่เกิดที่นั่นด้วย
แต่ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นประธาน เพราะธาตุ ๔ ธาตุไม่เกิด สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดไม่ได้ สิ่งที่กำลังกระทบตาก็ไม่มี นี่ค่ะเป็นสิ่งซึ่งเปิดชีวิต ซึ่งเป็นมานะคะ ทุกชาติ ให้รู้ความจริงว่าเต็มไปด้วยความไม่รู้แค่ไหน จนกว่าแต่ละคำนี่ ฟังด้วยความเคารพจริงๆ
เพราะฉะนั้นเป็นการที่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแล้วนะคะ อนุเคราะห์คนอื่น มีความหวังดี มีความเป็นมิตร ให้เขาเข้าใจถูกต้อง ว่าพระพุทธศาสนา คำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ละเอียดลึกซึ้งนะคะ อย่าได้ทำลาย ด้วยความไม่รู้ เช่นสำนักปฏิบัติให้ไปปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ไม่รู้เลยใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ความไม่รู้ มีก็ไม่รู้ และยิ่งไปทำความไม่รู้ให้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ก็จะอนุเคราะห์คนอื่น ที่จะให้เขาเข้าใจถูก ซึ่งเป็นการที่จะไม่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความคิดของตนเอง ทุกเรื่อง
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ฟัง ด้วยความเข้าใจนะคะ ว่าขณะใดก็ตามที่เข้าใจ ขณะนั้นเริ่มรู้จัก คือเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้น อยู่ไปวันๆ ได้แต่กราบไหว้ใครก็ไม่รู้ แต่บอกว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธจ้า แต่ไม่รู้คุณซึ่งทำไมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร ก็เป็นเรื่องที่เป็นโอกาสที่จะได้ฟังแล้วฟังอีก เพื่อเข้าใจค่ะ
ใครก็ให้ความเข้าใจนี้ไม่ได้ นอกจากการสะสม จากการฟังพิจารณาไตร่ตรอง เข้าใจขึ้น นะคะ เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงระดับของปัญญา ขั้นปัตติ ปัตติ ไม่ใช่ว่าไปสำนักปฏิบัติ แล้วปฏิบัติ แต่ความเป็นอนัตตาของธรรม ซึ่งเกิดจากความเข้าใจถูกนะคะ เป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด โดยความเป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้นคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด นำไปสู่การเข้าใจถูกต้องว่า ไม่มีเราแต่เป็นธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ถ้าคำใดเป็นคำจริง ต้องเข้าใจคำนั้นในขณะนี้ได้ เพราะมีสิ่งที่กำลังพูดถึง เมื่อไหร่จะรู้ความจริง ถ้ารู้ความจริงนะคะ ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงตรัสรู้ว่าไม่ใช่ใครสักคนเดียว แต่ว่ามีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นที่คนแยกโลกกับธรรม นี่ไม่ถูกต้อง โลกก็เป็นธรรมใช่ไหมคะ ไม่ใช่ว่าโลกไม่มีธรรม แต่เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ใช่การที่จะเข้าใจตัวธรรม เป็นเรื่องวิชาการต่างๆ แล้วเขาบอกว่าโลกทำมาหากิน โลกวิชาชีพต่างๆ นะคะ แต่ถ้าไม่มีธรรม มีโลกไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าโลกคำเดียวนะคะ คืออะไร ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จะมีโลกไหม ไม่มีเลยค่ะ ไม่มีใช่ไหมคะ แต่เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นโลก
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ โลกหมดเลย เพราะว่าเกิด เพราะเหตุปัจจัย แต่ที่ชาวโลกไม่รู้ก็คือว่า สิ่งนั้นดับ และก็มีปัจจัยที่จะเกิด เหมือนสิ่งที่ทำให้เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ เกิดแล้วปรากฏแล้ว แต่ไม่ปรากฏการเกิดดับ แต่ความจริงผู้ที่ตรัสรู้ความเกิดดับของทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง
อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่านะคะ ไม่ว่าจะศึกษาอะไรก็ตาม ขณะนั้นนะคะ ปัญญาที่สามารถถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม รู้ได้เลย ไม่มีการแยกว่า โลกหรือธรรม เพราะทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด พูดถึงเรื่องบวช คุณหมอได้ยินคำนี้ แล้วรู้สึกยังไงคะ บวช
ผู้ฟัง ความรู้สึก คือรู้สึกดีนะครับ ผม บวช แต่ในแค่ความนึกคิดนะครับ
ท่านอาจารย์ แค่ได้ยินคำว่าบวช ยังไม่รู้เลยว่า บวชคืออะไร ก็รู้สึกว่าดีเสียแล้ว ถูกไหม
ผู้ฟัง ไม่ถูกครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ถูกไหมคะ เริ่มรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิดด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรงถึงก่อน จะทำอะไรรู้สิ่งนั้นซะก่อน ถ้ามีคนแนะนำให้บวช ก็ต้องถามว่า บวชคืออะไร ถ้าคนๆ นั้นไม่มีคำตอบ ที่เหมาะที่ถูกต้องนะคะ จะบวชทำไม
เพราะว่ามีใครบ้างที่จะตอบว่า บวชเพื่อที่จะได้ศึกษาพระธรรม เพราะเห็นโทษของการที่จะอยู่ครองเรือน ซึ่งวุ่นวายมาก แต่ถ้าสามารถที่จะสละได้ สละไม่ใช่อยากบวชนะคะ ต่างกันแล้ว
อยากบวชให้ไม่ได้สละอะไรเลย แต่ใจนี่สละชีวิตของ ครอบครัว คฤหัสถ์ วงศาคณาญาติ เรื่องสนุกสนาน บันเทิง รื่นเริงต่างๆ อาหารรสอร่อย ทุกสิ่ง ทุกอย่าง สังคมที่เคยมีมา ทั้งหมดโดยเห็นว่า มีสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้นมาก พร้อมที่จะสละ จึงสามารถที่จะบวชได้ แต่ก่อนบวช ต้องเข้าใจธรรม
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080