ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๐๕๕

    สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม

    วันที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏตั้งแต่ลืมตาเป็นอารมณ์ของจิต ที่เกิดดับสลับกันสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ จนลืมจิตไปเลยคิดถึงแต่สิ่งที่ปรากฏ ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีใครเตือนให้รู้เลยว่านี่จิตน่ะกำลังเห็นนะจิตน่ะ กำลังได้ยินน่ะไม่ใช่เราน่ะ ไม่มีการเตือนให้คิดอย่างนี้ เลยจนกว่าจะได้ฟังธรรมะ ใช่ไหม เพราะสนใจในสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คำว่าอารมณ์ กับเจตสิก ตัวเดียวกันหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ดีมากเลยที่ถาม เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจอีกระดับหนึ่งว่าจิตเป็นสภาพรู้ จิตรู้ได้ทุกอย่าง คำใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้วคำนั้นไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพรู้ และจิตรู้ได้ทุกอย่าง ถ้าจิตไม่รู้สิ่งนั้นไม่ปรากฏ แต่ที่ปรากฏเพราะจิตรู้ ด้วยเหตุนี้จิตรู้รูปได้ไหม จิตรู้เจตสิกได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ จิตรู้จิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ผู้ฟัง จิตรู้นิพพานได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม นี่คือต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงเป็นพื้นฐาน ถ้าเราไม่มีความเข้าใจมั่นคงเป็นพื้นฐาน เราจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังคำไหนก็คิดเองไปหมดเลย แล้วผิดหมดด้วย แล้วก็จะไม่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยในชาติต่อๆ ไป เพราะว่าไม่ได้รู้จักพระองค์ จากคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร คำนี้เป็นคำของใคร ทรงแสดงธรรมะให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง มรดกล้ำค่าที่จะติดตามไปทุกชาติ เราไปนี้ได้ยินคำว่าอารมณ์รู้เลย คนชื่ออารมณ์ก็รู้ว่าหมายถึงอะไร ไม่ใช่ตัวเขา แต่หมายความถึงสิ่งที่จิตรู้ ใช่ไหม แต่เขาชื่ออย่างนั้น จิตรู้ได้ทุกอย่าง กำลังโกรธ ถ้าจิตไม่รู้ลักษณะที่โกรธ โกรธจะปรากฏไหม ก็ไม่ปรากฏ แต่นี่สามารถที่จะบอกได้เพราะว่าจิตรู้ได้ทุกอย่าง เข้าใจขึ้นใช่ไหม เป็นบุญไหม

    ผู้ฟัง เป็นบุญ

    ท่านอาจารย์ บุญคืออะไร

    ผู้ฟัง บุญก็คือความสบายๆ

    ท่านอาจารย์ ผิดเลย

    ผู้ฟัง ไม่ใช่หรือ

    ท่านอาจารย์ อย่างนั้นนั่งเฉยๆ สบายๆ อยู่ในสวนเป็นบุญไหม ไม่ใช่ ธรรมะลึกซึ้ง คิดเองไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคนเลยได้บุญกันใหญ่เลยไปเที่ยวสนุกๆ สบายๆ ไม่ใช่ เชิญคุณคำปั่นให้ความหมายของคำว่าบุญด้วย

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ คำว่าบุญ ภาษาบาลีคือปุญญะ หมายถึงสภาพธรรมะที่ดีงาม ที่ชำระจิตให้สะอาดปราศจากอกุศล ก็คือความดีทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่างที่ท่านอาจารย์ได้ถามว่าเข้าใจธรรมะเป็นบุญไหม เพราะว่าขณะนั้น เป็นความดีที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

    ท่านอาจารย์ แล้วคำว่ากุศลล่ะ

    อ.คำปั่น ก็เป็นอีกคำหนึ่ง หมายถึงคุณความดี ที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีโรคแล้วก็ให้ผลเป็นสุข บางนัย ก็แสดงทั้งกุศลทั้งบุญ โดยนัยเดียวกันเพราะว่าเป็นธรรมะที่ชำระจิตให้สะอาด ปราศจากอกุศลเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นบุญสูงสุดก็คือสามารถดับกิเลสได้ กุศลสูงสุดก็สามารถดับกิเลสได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ หมายความถึงสภาพเจตสิกฝ่ายดี ที่เป็นโสภณเจตสิก ใช้คำว่างาม เพราะเหตุว่า ดีตลอดไม่ทำร้ายอะไรเลย ไม่ให้โทษอะไรเลย เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่ากุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา และกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา การให้ทาน การเว้นทุจริตต่างๆ พวกนี้ก็เป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้ทุกอย่างได้ ขณะนั้นก็เป็นบุญหรือกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ขณะที่ฟังธรรมะ ให้ทานหรือปล่า กำลังฟังให้ทานหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้ให้ทาน

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ให้ แต่เป็นบุญหรือเปล่า เป็นกุศลหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เป็นบุญเป็นกุศล ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ก็ประกอบด้วยปัญญาเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจิตก็หลากหลาย เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาก็มี ที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็มี กุศลไหนดีกว่ากัน

    ผู้ฟัง ต้องประกอบด้วยปัญญา

    ท่านอาจารย์ มีปัญญาดีกว่า เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังนี่เป็นบุญ ใช่ไหม เป็นศีลด้วยหรือเปล่า ธรรมะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เพราะลึกซึ้ง ได้ยินคำว่าศีล ได้ยินคำว่าทาน ใช่ไหม เพิ่งได้ยินคำหลายคำ แต่ว่าปัญญาจะต้องไตร่ตรอง ถูกเมื่อไหร่ มั่นคงเมื่อไหร่เมื่อนั้นไม่มีการผิดหรือพลาดเลย เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังเข้าใจให้ทานหรือเปล่า ไม่ได้ให้ แล้วเป็นศีลหรือเปล่า คำธรรมดาใช้กันทั่วโลก ท่านบ้าง ศีลบ้าง แต่เข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นลองคิด ขณะที่กำลังฟังธรรมะให้ทานหรือเปล่า ไม่ได้ให้ แต่เป็นบุญใช่ไหม บอกกำลังฟังธรรมะ แล้วเป็นศีล หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ศีลก็คือข้อควรงดเว้น

    ท่านอาจารย์ น้อยไป

    ผู้ฟัง น้อยไปใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ น้อยไป เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มศึกษา ศีลคือปกติของจิต จิตที่เป็นอกุศล ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก เป็นอกุศลศีล ขณะใดก็ตามที่จิตประกอบด้วยเจตสิกฝ่ายดีเป็นกุศลศีล สำหรับพระอรหันต์ไม่ต้องเกิดอีก ไม่มีทั้งกุศล และอกุศล แต่ท่านทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณความดี อัพพยากตศีล ไปวัดได้ยินใช่ไหม งานศพได้ยินคำว่าอะไรบ้าง กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา ก็ที่เราพูดนี่แหละ กุสะลา ธัมมา ก็ได้แก่ จิต เจตสิก ใช่ไหม ที่เป็นกุศล เพราะโต๊ะ เก้าอี้ เป็นกุศลไม่ได้ อะกุสะลา ธัมมา ก็ได้แก่จิตเจตสิกที่เป็นอกุศล อัพยากะตา ธัมมา อะไรที่ไม่ใช่กุศล อกุศลเป็นอัพยากตะทั้งหมด รูปเป็นกุศลไม่ได้ รูปเป็นอกุศลไม่ได้ รูปก็เป็นอัพยากตะ อัพยากตะ คุณกำปั้นช่วยให้คำแปลด้วย

    อ.คำปั่น หมายถึงธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงพยากรณ์คือไม่ทรงแสดงว่าเป็นกุศล ไม่ทรงแสดงว่าเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าความจริงไม่เป็นกุศล ไม่เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มี อัพยากตธรรมไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ อะไร เป็นอัพยากตธรรม คำแปลเพิ่งแปล อะไรทั้งหมดที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้อะไรเป็นอัพยากตธรรม

    ผู้ฟัง รูป

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องเลย รูปทุกรูป เป็นศีลเป็นกุศลไม่ได้ เป็นอกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นรูปเป็นอัพยากตธรรมทั้งหมด ที่ตัวมีอัพยากตธรรมไหม

    ผู้ฟัง มีท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ มีกุศล อกุศลไหม

    ผู้ฟัง กุศล อกุศลก็มี

    ท่านอาจารย์ เป็นจิตเจตสิต ส่วนรูปก็เป็นอัพยากตะ ตอนนี้ไปงานศพ ฟังสบายสวดพระอภิธรรม คิดดูธรรมะที่ลึกซึ้ง ซึ่งแสดงความจริงของธรรมะ ไม่ได้กล่าวถึงคนนั้นคนนี้เลย แต่แสดงกล่าวถึงเฉพาะตัวธรรมะแท้ๆ จริงๆ ก็คือกุศลธรรมเป็นจิต และเจตสิกที่ดีอกุศลธรรม จิต และเจตสิกที่ไม่ดี อัพยากตธรรม จิต และเจตสิกที่เป็นผลของกรรม ไม่ใช่ตัวกรรมซึ่งเป็นเหตุ และจิตของพระอรหันต์เป็นกิริยาไม่ใช่กุศล และอกุศล และรูปทั้งหมดเป็นอัพยากตธรรม ไม่ได้ยากเลย ถ้าเข้าใจ ใช่ไหม แต่ต้องฟัง ต้องรู้ ต้องเข้าใจ จึงจะถูกต้อง มิฉะนั้นก็เพียงกล่าวคำว่า กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตาธัมมา แต่ไม่เข้าใจ

    ธรรมะไม่ใช่สำหรับให้ไม่รู้เรื่อง แต่สำหรับให้เข้าใจถูก เตือนให้เข้าใจว่า เป็นธรรมะทั้งนั้นเลยไม่มีเราสักคน ทุกอย่างเป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง และไม่ใช่กุศลบ้าง ไม่ใช่อกุศลบ้าง เพื่อให้รู้ทั้งหมดเป็นธรรมะ ต่อไปนี้ก็มั่นคงขึ้น ทั้งหมดเป็นธรรมะ วันนี้อาหารกลางวันก็คงจะถามกันได้ นี่ธรรมะอะไร ใช่ไหม ตอบได้คือได้เข้าใจที่ได้ฟังตอนเช้า ประโยชน์ทันที แล้วก็ไม่ลืมด้วย ถ้าเข้าใจแล้วเหมือนกับไม่ต้องเปิดหนังสือเลยเพราะอะไร ในครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง ไม่มีหนังสือ ไม่มีตำราอะไรเลย แต่ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้นเพราะกำลังมี จึงให้คนสามารถเข้าใจได้ เพราะตรงกับที่พระองค์ได้ตรัสไว้

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น สวดพระอภิธรรมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมายมหาศาล สุดจะหาอะไรมาเทียบได้ ทำไมงานศพสวดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็คนฟังก็ไม่ได้ประโยชน์

    ท่านอาจารย์ แล้วจะกล่าวว่ามีประโยชน์มากมายมหาศาลได้ไหมในขณะที่ไม่รู้เรื่อง

    ผู้ฟัง ไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ ประโยชน์อยู่ที่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ทีนี้จะทำอย่างไร ให้มีการแปลแล้วสวดที่งานศพได้

    ท่านอาจารย์ ถ้าแปลว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมเข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ต้องศึกษา คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำ เป็นคำที่ไม่ใช่เพียงแต่ให้ฟังเฉยๆ แต่ต้องไตร่ตรองจนเป็นปัญญาของเราเอง เมื่อไหร่เป็นปัญญาของเรา เมื่อนั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าได้รับมรดกแล้ว ในสังสารวัฎได้มีส่วนที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นจึงได้ควรจะมีการสนทนาธรรม ไม่ใช่มีแต่การสวดพระอภิธรรม เพราะสวดพระอภิธรรมไม่ได้เข้าใจ

    ผู้ฟัง อย่างนี้งานวัด น่าจะมีการสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นสิ่งที่มีในพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าในมงคล ๓๘ ก็ได้แสดงไว้ถึงการสนทนาธรรมเป็นมงคล แต่เขาไปคิดว่าอย่างอื่นเป็นมงคล เพราะไม่ได้ศึกษาธรรมะ เพราะฉะนั้นขณะนี้ มีท่านผู้หนึ่งท่านกล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้รุ่งเรืองแต่รุ่งริ่ง ไม่ทราบคิดอย่างไร คิดว่ารุ่งเรืองหรือเปล่า ในเมื่อแม้สวดพระอภิธรรมก็ไม่ได้เข้าใจ ทำอะไรก็ไม่เข้าใจ ทุกอย่างก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่ได้ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะกล่าวว่าคำสอนรุ่งเรืองได้ไหม ต้องช่วยกัน ถ้ามีความหวังดีต่อคนอื่น และพระศาสนาก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ ถ้าใครได้รับก็เป็นประโยชน์กับเขา แล้วชีวิตก็แสนสั้น เพราะฉะนั้นมีทางใดที่เขาจะได้รับประโยชน์ เขาไม่รู้ว่าเขาจะตายเมื่อไหร่ แต่ขอให้ได้เข้าใจธรรมะ ซึ่งมีท่านผู้หนึ่งท่านใกล้จะสิ้นชีวิตดิฉันไปเยี่ยม ท่านก็บอกขอเวลาหน่อยเพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมะ ไม่ต้องการอะไรเลยทั้งสิ้น ขอเพียงเวลาที่จะได้เข้าใจธรรมะ แต่ก็ขอไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ขอเวลานั้นทำไม เอาเวลานี้ดีกว่า

    ผู้ฟัง ไม่ต้องใกล้ตาย

    อ.คำปั่น ข้อความในอรรถกถาก็แสดงไว้ ว่าจะขอเวลาให้ทาน ขอเวลารักษาศีล ขอเวลาฟังธรรมะ ไม่ได้น่ะ เพราะว่าความตายไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นโอกาสที่ประเสริฐจริงๆ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเมื่อสักครู่ ว่าไม่ต้องรอเวลานั้น แต่ว่าขณะนี้ได้ฟังแล้ว ได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ แล้วบางคนก็อาจจะคิดว่า ขอเวลาให้ท่านก่อนตายไม่มีเวลาสำหรับที่จะให้เลย หรือขอเวลายกโทษให้ใคร เป็นกุศลซึ่งขณะนั้นก็ไม่มีเวลาพอ ต้องเดี๋ยวนี้ทุกอย่างรอไม่ได้เลย มีค่าที่สุดคือแต่ละขณะ ซึ่งรู้ไหมว่าเข้าใจธรรมะเมื่อไหร่ ทำความดีเมื่อไหร่นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต รอไม่ได้ ทุกคนแน่นอนเลยลืมหมดแล้วว่าเป็นธรรมะ แต่ความเข้าใจยังอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นึกถึงธรรมะว่าเห็นนี่ก็เป็นธรรมะไม่ใช่เรา ได้ยินก็เป็นธรรมะไม่ใช่เรา แต่ก็เข้าใจถูกต้อง เริ่มเข้าใจถูกสำคัญกว่า เรื่องลืมนี่เป็นของธรรมดา แต่ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า แม้ลืมก็เป็นธรรม ทุกอย่างหมดที่มีเป็นธรรมะทั้งหมด แต่ว่าเราไม่เข้าใจ ก็เป็นเราลืม ทุกอย่างเป็นเราไปหมดเลยจนกว่าจะได้รู้จริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วที่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็คือธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก ลองคิดถึง เมื่อเช้านี้คิดอะไรบ้างเห็น คิดไม่ใช่เรา แต่มีปัจจัยที่แต่ละคนก็ต่างคนต่างคิด ต่างเห็นตามการสะสม ตามความจำ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เราตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ก็ยังเป็นเราไปเรื่อยๆ จนกว่าความเข้าใจว่าเป็นธรรมะจะเพิ่มขึ้น เมื่อไหร่ที่ความเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นก็คือความเข้าใจว่าเป็นเราก็ลดน้อยลง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรทั้งนั้น ที่ไหน จะขาดการที่เคยจำไว้ว่าเป็นเราไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่เคยเข้าใจว่าไม่ใช่เรา

    ด้วยเหตุนี้เป็นเรื่องใหม่จริงๆ ต่อการที่จะได้ยินได้ฟัง จนกระทั่งมีความมั่นคงว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมะ ต้องยอมรับเป็นขั้นๆ ยอมรับที่นี่ไม่ได้หมายความว่า ยอมรับด้วยความเป็นตัวตน แต่ปัญญาเริ่มเข้าใจถูกรับความจริง ว่าความจริงก็คือว่าไม่มีเราแน่นอน แม้ว่าต่อไปกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ยังเหมือนเป็นเราอยู่ เพราะจำไว้ต่างหากว่าเป็นเรา แต่ว่าความจริงถึงจะจำอย่างไร จะผิดอย่างไร จะถูกอย่างไร จะดีจะเก่งอย่างไร ก็คือว่าเป็นธรรมะเท่านั้นเอง เพียงแค่มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็หมดไป แล้วก็จากโลกนี้ไปลืมทุกอย่าง อีกไม่กี่วันก็คงลืมแล้วเรามานั่งตรงนี้ อาจจะเป็นเย็นนี้ก็ลืมแล้ว พอไปถึงที่ใหม่เราก็ลืมที่ที่เราเคยกำลังฟังธรรมะอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นสภาพที่จำก็ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราก็เข้าใจว่า สิ่งที่มีที่ไม่ใช่สภาพรู้ ทุกอย่างที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น เป็นธรรมะแต่ละหนึ่ง หลากหลายมากแต่เป็นประเภทรูปธรรม ขมเป็นอะไร ขมเป็นรูปธรรมไม่รู้อะไร ขมไม่รู้อะไรแต่ว่าลักษณะที่ขมปรากฏได้ว่าเป็นอย่างนี้ เพราะมีธาตุรู้ในขณะนั้นด้วย ในขณะที่ขมกำลังปรากฏไม่ใช่ขณะอื่น เพราะฉะนั้นทุกขณะก็เป็นธรรมะหรือเป็นธาตุทั้งหมด เป็นจิตเ ป็นเจตสิก เป็นรูป เท่านั้นจริงๆ แต่ว่าหลากหลายมาก รูปก็หลากหลาย จิตก็หลากหลาย เจตสิกก็หลากหลาย แต่ละหนึ่งขณะไม่ซ้ำ เกิดขึ้นเพียงแค่มีปัจจัยทำให้เกิดแล้วดับทันที เหมือนฟองน้ำใช่ไหม ฝนตกลงมาเป็นฟองน้ำ และฟองน้ำก็แตก อยู่ไหน ไม่มีอะไรที่เหลือเลยทั้งสิ้นนี้ ก็คือแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้นกว่าความจำจะมั่นคง ท่านใช้คำว่า ถิรสัญญา หมายความมั่นคงที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา จะเกิดขึ้นคนอื่นรู้ได้ไหม ธรรมะไม่ใช่เรื่องคนอื่นรู้เรา แต่บุคคลนั้นเองเป็นผู้ที่รู้ เพราะธาตุรู้ขณะนั้นไม่ใช่ของคนอื่นไม่ใช่ของใคร แลกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นรู้ในขณะนั้น ก็เป็นรู้ ให้ใครได้ไหม เอาความรู้นี้ไปให้คนอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้ ขอยืมก็ไม่ได้ ขอก็ไม่ได้ ไม่ได้เลย เพราะว่าเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาเลย ทำไมเราต้องฟังอย่างนี้บ่อยๆ เมื่อเช้าก็พูดเหมือนอย่างนี้คล้ายๆ อย่างนี้บ่อยๆ เพราะว่าฟังมันก็ลืม ฟังแล้วก็ลืมเพราะว่าไม่เคยจำไว้มั่นคง จำไม่มั่นคงว่าเป็นเรา แต่ไม่ได้จำไว้มั่นคงว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ๒ อย่างก็คือว่าเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่พูดแต่ปาก ถ้าใครถามเราบอกไม่ใช่เรา เหมือนกับว่าเราเก่งแล้ว ตอบได้เลยไม่ใช่เรา จะถามอีกนั่นใครไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่นั่นไม่ได้แสดงความเข้าใจ ว่าขณะนั้นเข้าใจระดับไหน เข้าใจระดับพูดว่าไม่ใช่เรา หรือเข้าใจเพราะรู้ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่า จะเป็นเราได้อย่างไร ในเมื่อแข็งก็เป็นแข็ง เสียงก็เป็นเสียง กลิ่นก็เป็นกลิ่น คิดก็เป็นคิด จะเป็นเราได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม ไม่ใช่ว่าเราจะคิดว่าเราเข้าใจแล้วหรือไม่ต้องฟังก็ได้ เข้าใจแล้ว หรือคิดว่าฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ก็พอแล้ว เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นแต่เพียงคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสจากการที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ให้คนอื่นได้ฟัง เพื่ออะไร เพื่อรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างที่ได้ฟัง แต่ว่าคนฟังไม่ได้ประจักษ์แจ้งว่า กำลังเป็นอย่างที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นเพียงฟังเข้าใจ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจ เพราะอะไร อะไรเกิด ไม่มี อะไรเกิด อะไรดับ ก็ไม่เห็นมีอะไรดับ แต่รู้ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีเ มื่อต้องเกิดขึ้นจึงมีได้ และมีก็แค่ชั่วคราวแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นแสดงว่าความรู้ขั้นฟัง และยังน้อยมาก ยังไม่พอที่จะถึงขั้นระดับที่สามารถรู้เฉพาะสิ่งที่มีจริงๆ ทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง ได้อย่างไรถ้าไม่เข้าใจ อย่างทางตา หนึ่งธาตุที่กระทบตาคือจักขุปสาทะ ต้องไม่เหมือนธาตุอื่น ไม่เหมือนธาตุเสียง ไม่เหมือนเลยใช่ไหม แล้วไหนล่ะ ๑ ธาตุ เห็นมีแต่คน มีแต่โต๊ะ มีแต่เก้าอี้

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าความรู้ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเราไม่รู้ แล้วกว่าจะรู้ แล้วกว่าจะรู้อย่างจริงๆ อย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตาต้องปรากฏโดยฐานะที่ไม่ใช่คน คนจะกระทบตาได้ไหม ดอกไม้เป็นดอกๆ อย่างนี้จะมากระทบตาได้ไหม ไม่ได้ แต่มีสิ่งที่กระทบตาแล้วก็ปรากฏสีสันต่างๆ เพราะความรวดเร็วทำให้สภาพที่จำ จำไว้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เสื่อมคลายเลย เป็นนิจจสัญญา ไม่ใช่อนิจจัง เป็นอัตตสัญญาว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อนัตตสัญญา ความเห็นของผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะ กับการที่เพิ่งเริ่มฟังธรรมะต้องห่างไกลกันมาก ประมาทไม่ได้เลยว่าความจริง ความตรงก็คือว่าขณะนี้เพียงเริ่มฟัง แต่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา ควรฟังไหม ฟังได้แค่นี้เอง ไม่กี่คำ กี่คำ แต่ว่าที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษากี่คำนับไม่ถ้วน แล้วแต่ละคำแสดงความจริงของธรรมะทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นส่วนที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษาต้องมากกว่าเพียง ๒-๓ คำที่เราเพิ่งได้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คือว่าไม่มีทางที่คิดว่าชาตินี้ชาติเดียวพอ ที่จะเข้าใจธรรมะ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจคือเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างที่ได้ตรัสไว้ว่า สิ่งหนึ่ง ไม่ใช่หลายๆ สิ่งรวมกัน เกิดแล้วก็ดับ เสียงเกิดแล้วดับ สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดแล้วดับ จำเกิดแล้วดับ คิดเกิดแล้วดับ ทุกอย่างหมด แสนสั้น แต่รวดเร็วจนกระทั่งเหมือนไม่ดับเลยอย่างที่ทรงแสดงไว้ หรือว่าเราอาจจะเปรียบเทียบได้ว่าเราจุดธูปดอกหนึ่ง แกว่งเร็วๆ ก็เป็นวงกลม ถ้าจะให้เป็นรูปอะไรก็แกว่งไปตามที่เราทำให้เป็นสิ่งนั้นก็ปรากฏเป็นสิ่งนั้น แต่จริงหรือ วงกลมนั้นมีจริงหรือ ไม่มีเลย แต่มีจุดเดียวที่เป็นไฟเล็กๆ ที่ตรงก้านธูปเท่านั้น ไม่มากมายอะไรเลย ก็ยังลวงได้ถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก้านธูปมีกี่ดอกตอยู่ตรงนี้ นับไม่ถ้วนเลย ใช่ไหม กว่าจะปรากฏเป็นคิ้ว เป็นตาเป็นจมูก เป็นผม เป็นเครื่องประดับ เป็นอะไรต่างๆ รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าความเข้าใจยังเพียงเล็กน้อยมาก ที่สามารถจะทำให้รู้ความจริงได้ ต้องอาศัยความเข้าใจยิ่งกว่านี้มากมายเท่าไหร่ จึงสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งนี้ได้ แต่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ต้องรู้ได้แน่ เหมือนครั้งพระโพธิสัตว์ ท่านรู้ว่าสิ่งนี้มีสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งนี้ได้ และท่านก็เคยฟังเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มาแล้ว

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    10 ก.ค. 2567