ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
ตอนที่ ๑๐๖๒
สนทนาธรรม ที่ บริษัทสยามแฮนด์ส จ.นครปฐม
วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เจตสิกที่เหลือ วันนี้ทั้งหมด ที่เป็นไป ที่ไม่ใช่รูป และจิต และเจตสิกทั้ง ๒ ก็เป็นสังขารขันธ์ ใช้ชื่อรวมเลย โกรธเป็นอะไร ตอนนี้เริ่มแยก เป็นขันธ์ไหน เห็น ไหมว่าถ้าไม่ใช่เวทนาเจตสิก ไม่ใช่สัญญาเจตสิก ก็ต้องเป็นสังขารขันธ์ เจตสิก ๕๐ ที่เหลือ เพราะฉะนั้น โกรธเป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งไหม จากปกติ เมื่อโกรธขึ้นมา ปรุงแต่ง สีหน้า คำพูด วาจา ตั้งแต่ไม่น่าจะพูดเลย จนกระทั่ง ถึงการประทุษร้ายกันได้ ก็เพราะ สังขารขันธ์ ที่ปรุงแต่งความโกรธมากมายสักเท่าไร ก็ตามแต่ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ให้ทราบว่า จิตเกิดขึ้นต้อง มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เกิดพร้อมกัน รู้สิ่งเดียวกัน จะแยกรู้ไม่ได้ และสิ่งที่จิตรู้ ภาษาบาลีใช้ คำว่า อารัมมณะ แต่คนไทยได้สั้นๆ ว่าอารมณ์
เพราะฉะนั้น เมื่อมีธาตุรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ จะกล่าวว่ามีแต่ธาตุรู้ โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อจิตมี เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ คือ อารมณ์ ในขณะนั้นด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่จิตกำลังรู้ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต ในภาษาไทยที่เราเรียกสั้นๆ เราจะไม่พูดอย่างคนไม่รู้ คนนี้อารมณ์ดี แต่ดีนี่กว่าจะรู้ว่าอะไรบ้างก็เป็นเจตสิกเท่าไหร่ที่เกิดในขณะนั้น
ด้วยเหตุนี้ เราค่อยๆ เข้าใจทีละหนึ่งเจตสิก เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ตอนนี้รู้แล้ว สอง สาม เจตสิกใช่ไหม เวทนาเจตสิก เป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิก เป็นสัญญาขันธ์ ที่เหลือทั้งหมด ที่ไม่ใช่จิต และเป็นเจตสิกเมื่อเป็นธาตุรู้ โกรธเป็นอะไร ตอนนี้รู้เองไม่ต้องมีใครบอก และเป็นความรู้ของเราเอง มาจากไหน มรดกที่ได้รับจากคำสอนแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดสิ่งซึ่งไม่เคยเกิดในสังสารวัฎ เป็นบุญหรือไม่ มาแล้วอีกคำหนึ่ง ชาวพุทธคุ้นหูมากเลย คำนี้ เป็นบุญ บุญคืออะไร
อ.วิชัย บุญก็คือ ธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก จิตเป็นธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ จิตเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และตั้งแต่นี้ต่อไป ให้ทราบว่า จิตที่เกิดอย่างน้อยที่สุดหนึ่งขณะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท แต่ถ้าเป็นจิตประเภทอื่น ไม่ใช่จิตเห็น ไม่ใช่จิตได้ยินเหล่านี้ ก็มีเจตสิกมากขึ้นปรุง แต่งให้จิตเป็นประเภทต่างๆ มากขึ้น เพราะฉะนั้น บุญ คืออะไร โสภณเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดี เมื่อเกิดกับจิต ทำให้จิตนั้นเป็นจิตที่ดี เป็นกุศลจิต ถ้าสำหรับพระอรหันต์ จิตนั้นไม่เป็นเหตุ ที่จะให้เกิดผลต่อไป แต่ดีก็เป็นกิริยาเจตสิก
เพราะฉะนั้น เราค่อยๆ เพิ่มคำที่พระสัมมาส้มเจ้าตรัสไว้ที่เหลือมาถึงเราให้เป็นมรดกที่จะรักษาต่อไป สำหรับคนอื่นที่จะได้มีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกต่อๆ กัน จึงจะเป็นการดำรงพระศาสนา มิฉะนั้นแล้วใครจะรู้ใครจะเข้าใจ
อ.วิชัย ดังนั้น ทุกอย่างที่เป็นข้อสงสัย หรือไม่เข้าใจ ก็สามารถสนทนา แล้วก็สอบถามได้
ท่านอาจารย์ สงสัยมีจริงไหม สงสัยจริงไหม เป็นธรรม ใช่ไหม เป็นจิตหรือ เจตสิก ต้องตอบตอนนี้ก่อน แล้วถึงจะต่อไปได้ เป็นจิตหรือเจตสิก สงสัย เป็นเจตสิกหนึ่งใน ๕๒ ประเภท จิตเป็นธาตุรู้เป็นใหญ่เป็นประธาน เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้นรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก แต่ว่าคิดอย่างไร ดีหรือชั่วแล้วแต่เจตสิกซึ่งเกิดร่วมด้วย
เพราะฉะนั้น เจตสิกแบ่งเป็นประเภทได้ คือ ประเภทหนึ่ง เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกประเภท และอกุศลเจตสิก เจตสิกฝ่ายไม่ดี เกิดกับจิตเมื่อไหร่ จิตเป็นอกุศลจิตทันทีเมื่อนั้น และโสภณเจตสิก ก็เป็นเจตสิกฝ่ายดี เกิดกับจิตเมื่อไหร่ เป็นกุศลสำหรับคนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์
แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว เจตสิกฝ่ายดีที่เกิดร่วมด้วย ไม่ให้ผลที่จะทำให้เกิดต่อไป จึงเป็นกิริยา ความรู้นี้เราศึกษาด้วยความเข้าใจและไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้น เรามีความเข้าใจมั่นคงขึ้นในความไม่ใช่เรา เป็นธรรม จนกว่าสามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมทีละหนึ่งชัดเจนขึ้นไปอีก
เวลานี้เราเพียงแต่กล่าวเรื่องธรรม ซึ่งมีแต่เหมือนอยู่ในความมืด เห็นก็กำลังเห็นแต่ก็เป็นเรา เห็นไปแล้ว ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงเห็นเกิดแล้วดับไปแล้ว ทุกอย่างหมด เหมือนอยู่ในความมืด เจตสิกทั้งหลายเวลานี้กำลังมี สงสัยก็มี เห็นไหม ก็เป็นเจตสิกหนึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า วิจิกิจฉาเจตสิก
อ.ธิดารัตน์ กล่าวถึงความสงสัย เช่น สงสัยในพระรัตนตรัย สงสัยพระพุทธเจ้า ท่านเป็นอย่างนั้น อย่างนี้จริงไหม หรือ ว่าเคลือบแคลงสงสัยในธรรม อย่าง เช่น ธรรมหัวข้อนี้ หรือ หัวข้อนี้ เพราะลักษณะของความสงสัย จะเหมือนกับตัดสินใจไม่ได้ตรงนี้คือความสงสัย
อ.วิชัย การเกิดมาเป็นบุคคลนี้ หรือการที่จะมาประสบกับสิ่งที่ดี หรือไม่ดี ในชีวิต เพราะอะไรต้องเป็นอย่างนั้น
ท่านอาจารย์ อะไรเกิด
อ.วิชัย เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ ต้องย้อนไปอีกว่า อะไรเกิด ที่ว่าเกิดมาในชาตินี้ เป็นคนนั้น คนนี้ และตอนนี้เราฟังธรรม แล้วเราก็รู้ว่าอะไรเกิด
อ.วิชัย ก็ต้องเป็นธรรมที่เกิด
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ไม่พ้นไปจากคำนี้ คำเดียว คือ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นที่ว่าคนเกิด สัตว์เกิด เป็นงู เป็นช้าง เป็นนก เป็นคน อะไรเกิด
อ.วิชัย ธรรมเกิด จิต เจตสิก รูป
ท่านอาจารย์ จิต เจตสิก รูปเห็นไหม ตอนนี้เรารู้แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วจะเรียกชื่อว่าอะไร ก็ตามแต่จะเป็นคนนั้น คนนี้ ความจริงก็คือ เป็นจิต เจตสิก รูป ใช้คำว่า ปรมัตถธรรม หมายความว่า ธรรมที่ใหญ่ ปรมัตถธรรม บรม ใหญ่อย่างไร ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะเปลี่ยนโกรธให้เป็นไม่โกรธ เป็นไปไม่ได้เลย เวลาไม่โกรธก็จะให้เปลี่ยนเป็นโกรธ ให้เป็นริษยา ให้เป็นพยาบาทก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม ไม่ได้กล่าวว่า คนเป็นปรมัตถธรรม แต่กล่าวว่าธรรมทั้งหมดเป็นปรมัตถธรรม และเป็นอภิธรรม เราไปงานศพจะได้ยินว่า สวดพระอภิธรรม แต่ไม่รู้ว่าพระอภิธรรมคืออะไร พระอภิธรรม ก็คือธรรมอย่างนี้ ใช่หรือไม่ แต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นจึงเป็นปิฏก ที่กล่าวถึงตัวธรรมล้วนๆ เป็นพระอภิธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงธรรม ก็หมายความว่าไม่ได้กล่าวถึงใครคนใดคนหนึ่งเลย แต่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นธรรม เพราะฉะนั้นสวดพระอภิธรรมในงานศพ ได้ยินคำว่าอะไร
อ.ธิดารัตน์ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตธัมมา แล้วก็จบด้วยปัจจัย เหตุปัจจโย
ท่านอาจารย์ เคยได้ยินไหม ทุกคนฟังกุสลาธัมมา ไม่รู้อะไร อกุสลาธัมมาก็ไม่รู้อะไร อัพยากัตตาธัมมาก็ได้ยิน ถ้าไปงานศพบ่อยๆ ก็คุ้นหูเลย ๓ คำนี้กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อพยากตธัมมา รู้ไหมว่าเป็นคำของใคร พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสความจริงให้รู้ว่า ความจริง ก็คือ มีจิต มีเจตสิก มีรูป
เพราะฉะนั้น กุสลาธัมมา รูปเป็นกุศลไม่ได้ รูปเป็นอกุศลไม่ได้ รูปโกรธอะไรไม่ได้เพราะรูปไม่มีความรู้สึก ไม่ใช่สภาพรู้ แต่สภาพรู้คือจิต และเจตสิก กุสลาธัมมา เจตสิกฝ่ายดี เป็นกุศลเกิดกับจิต จิตเป็นกุศล
เพราะฉะนั้น กุสลาธัมมา ก็คือจิต และเจตสิก ซึ่งเกิดพร้อมกันเป็นกุศล เจตสิกเกิดตามลำพังไม่ได้ จิตเกิดตามลำพังไม่ได้ แต่จิตต่างกันเป็นหลายๆ ประเภท โดยธรรมคือเจตสิก ที่เป็นแต่ละฝ่าย ดีหรือชั่ว เกิดขึ้นขณะนั้น ถ้าเป็นฝ่ายดี ไม่ใช่เราใช่ไหม จึงตรัสไว้ กุสลาธัมมา นั่นคือ อภิธรรม ลึกซึ้งไหม กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ขณะที่ฟังสวดงานศพไม่กล่าวถึงไม่ใช่เราและไม่มีเราในขณะนั้น แต่มีจิตและเจตสิกในขณะนั้น ได้ยินก็เป็นจิต ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย คิดนึกขณะนั้น ก็ต้องเป็นจิต ซึ่งมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ว่าจะคิดดีหรือคิดชั่ว ก็เป็นธรรมทั้งหมดเตือนให้คนที่ไปฟังและเข้าใจ และรู้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งกล่าวให้คนฟังระลึกได้ว่าไม่ใช่เรา ขณะใดก็ตามก็คือจิตและเจตสิกซึ่งเป็นกุศลเป็นกุสลาธัมมา ทางฝ่ายอกุศลก็เป็นอกุศลาธัมมา ธรรมที่ไม่ดีก็คือจิต และเจตสิกฝ่ายไม่ดีที่เกิดขึ้น โกรธ โลภ หลงพวกนี้ ก็เป็นอกุศลจิตประกอบด้วยเจตสิกเป็นอกุสลาธัมมา ยังมีอีกคำหนึ่งอัพยกตธัมมา โดยศัพท์โดยคำคืออะไร
อ.วิชัย อัพยากต ก็คือ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นธรรม๒ อย่างเบื้องต้น ก็คือกล่าวไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล บวกกับธรรม ก็คือ ธรรมที่ไม่ได้เป็นธรรมที่เป็นกุศล และไม่ใช่ธรรมที่เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ มีไหม เห็นไหม ฟังแล้วเฉยไม่ได้ ฟังแล้วต้องไตร่ตรอง ถ้าไม่ไตร่ตรอง ก็คือว่า ไม่มีทางที่จะเข้าใจ ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพียงแค่ไม่กี่คำของพระองค์ก็ยังไม่รู้ และต่อไปจะรู้ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ก็ต้องมีการคิดว่ามีหรือไม่ ธรรมที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล มีไหม ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสได้อย่างไร ต้องมีแน่ๆ คิดให้ดี คิดออกไหม ใช่ไหม อยู่ที่เราเอง เรารู้ได้ใช่ไหม รูปเป็นกุศล ได้หรือไม่
อ.วิชัย รูปไม่ใช่กุศล เพราะรูปจะไปทำดี ก็ไม่ได้
ท่านอาจารย์ รูปเป็นอกุศลได้ไหม ก็เป็นอกุศลก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน รูปสวยๆ เป็นกุศลหรือไม่
อ.วิชัย รูปสวยๆ ก็ไม่ใช่อกุศล
ท่านอาจารย์ เห็นไหมต้องมั่นคง เพราะไม่ใช่สภาพรู้แล้วจะเป็นกุศล อกุศลได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ รูปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปอะไรก็ตาม ตาก็เป็นอัพยากต ไม่ใช่กุศล อกุศล หูก็ไม่ใช่กุศล อกุศล
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจชัดเจนรูปทุกชนิดเป็นอัพยากตธรรม หมายความว่าอะไรหมายความว่าไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล กุศลเป็นเหตุ เมื่อดับไปแล้ว กำลังของเจตนาที่เกิดขึ้นนั้น ก็สามารถที่จะทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้น ผลของกรรม ไม่ใช่ต้นไม้ดอกไม้ แต่ต้องเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นรับผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว เพราะเหตุว่า กรรมเป็นเจตนาเจตสิก ได้รู้อีกเจตสิกหนึ่งแล้ว ค่อยๆ เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเจตสิก บอกได้เลยว่าเจตสิกอะไร ไม่ใช่พูดแล้วหาไม่พบเลย แม้แต่เจตนาความจงใจ ความตั้งใจ ความขวนขวาย ทั้งหมดนี้ เป็นเจตนาเจตสิก ไม่ใช่จำ ไม่ใช่รู้สึก แต่เป็นเจตสิกอีกหนึ่ง คือ เจตนาเจตสิก
วันนี้ตั้งใจฟังธรรมหรือไม่ ตั้งใจมาฟังหรือไม่ ถ้าไม่ตั้งใจก็คงไม่มา อย่างน้อยที่สุดก็ตั้งใจเดินมาทุกก้าวจนถึง ก็หมายความมีเจตนาตั้งแต่เดินใช่ไหม ไม่ได้ไปไหนไม่ได้ไปที่อื่นแต่เจตนามาที่นี่ และขณะที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศลเหตุ เป็นกรรมที่ดี ยิ่งกว่าทานยิ่งกว่าศีล เพราะเหตุว่า แม้ศีลการไม่เบียดเบียนคนอื่นก็เป็นมหาทาน แต่ก็ยังไม่ใช่ปัญญา แต่ปัญญาที่สามารถที่จะเป็นกุศลเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ก็คือ ความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งมีไม่ได้ถ้าไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเห็นพระคุณแล้วใช่ไหม พุทธานุสติไม่ต้องไปทำอะไรเลย ขณะใดที่เข้าใจธรรมแล้วเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นคือการระลึกถึงพระคุณเป็นพุทธานุสติ
ด้วยเหตุนี้ ทุกคำสามารถที่จะพิสูจน์ได้เข้าใจได้ทั้งสิ้นว่าแม้แต่กุสลาธัมมา อกุศลาธัมมา ไปฟังงานสวดศพตอนนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม เมื่อเริ่มต้นสวดกุสลาธัมมา อกุสลาธัมมาก็คือจิตและเจตสิกที่เป็นกุศลอกุศล อัพยากตธัมมาก็คือธรรมที่ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล รูปเป็นกุศลไม่ได้เป็นอกุศลไม่ได้ รูปทุกประเภทเป็นอัพยากต จิตบางประเภทไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล เช่น จิตของพระอรหันต์เป็นอัพยากต เพราะว่าแม้มีเจตนาอย่างพระสัมมาสัมเจ้าทรงพระมหากรุณาให้คนได้ฟังคำ คิดดู ถ้าไม่ทรงแสดงก็ได้ใช่ไหม แต่พระอัธยาศัยที่สะสมมาที่จะถึงความเป็นพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นปัจจัยให้ทรงแสดงธรรมมากกว่าใครทั้งสิ้น ทุกโอกาสไม่ว่าจะอยู่ริมแม่น้ำคง หรือใต้ต้นไม้ ขณะที่เสด็จจาริกไปที่ไหน เห็นอะไรทุกอย่างตรัสกับภิกษุในขณะนั้นทัน ถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้ แม้พระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลอีกต่อไป จึงเป็นกิริยาจิต เป็นอัพยากต
เพราะฉะนั้น จำได้เลย คำใดที่ตรัสไว้แล้วไม่เปลี่ยน อัพยากตธรรม คืออะไร คือ ธรรมที่มีจริง ทั้งหมด ที่ไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล
สนทนาธรรม
ที่บ้านทันตแพทย์หญิง วิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐
ผู้ฟัง คำว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ เกิดแล้วดับแล้ว ยากยิ่งที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ยากใช่ไหม
ผู้ฟัง อาก
ท่านอาจารย์ ใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้คำเดียว ต้องยาก แล้วทุกคนก็รู้ว่ายาก ลองบอกว่าง่าย ไปที่ไหน นั่ง นอน ยืน เดิน ๗ วัน ๑๐ วัน แล้วจะรู้ความจริงได้หรือ เป็นคำไม่จริงทั้งหมด เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็เข้าใจให้ถูกต้องว่ายาก แล้วทำอะไรไม่ได้ด้วย เพราะอวิชชามากมายมหาศาล เคยไม่รู้มานานเท่าไรในสังสารวัฎ เมื่อได้ยินคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ คำนั้นเป็นคำจริงแค่ไหน และกว่าจะตรัสรู้ได้อย่างที่ได้กล่าว ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่แล้ว
คนฟังเขาบอกว่ายากแค่นั้น จะทำแล้ว จะหมดแล้ว หารู้ไม่ว่า รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีการที่ใครจะทำอะไรได้เลย นอกจากอาศัยคำของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะทรงบำเพ็ญพระบารมีมานาน เพื่อคนฟังจะเจริญอบรมบารมีนานจนสามารถที่จะรู้ความจริงซึ่งไม่เปลี่ยนเลยว่าความจริงต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เป็นการที่ผู้ที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ เริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็รู้ว่าอาศัยคำนี้ออกจากสังสารวัฎ นานเท่าไหร่ คิดไม่ได้เลย เพราะว่ายังไม่เห็นความหนาแน่นของกิเลส ที่สะสมมามากมาย มหาศาล แล้วจะไปกำหนดได้อย่างไรว่านานเท่านั้นนานเท่านี้ แต่รู้ว่าจากที่ไม่เคยมีทางออกเลยจากสังสารวัฎ มีทางออกแต่ต้องอาศัยคำที่จะทำให้เข้าใจความจริง ซึ่งยากจริงๆ แน่นอน เพราะเหตุว่าขณะนี้อย่างที่คุณเบญบอกว่าไม่เห็นมีอะไรดับเลย แล้วก็บอกว่าไม่มีอะไร แต่ความจริงก็สิ่งที่ว่ามีนั่นเอง เกิดแล้วก็ดับไป แล้วไม่มี
เพราะฉะนั้น มีสิ่งที่เกิดสืบต่อ ไม่ปรากฏการดับไปเลย คิดดู เกิดมากสักแค่ไหน จนกว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ และเวลานี้ก็มากมายอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเกิดดับเร็วเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ แต่ว่าเมื่อเป็นจริงอย่างนี้ ปัญญามีหลายระดับขั้น ปัญญาต้องเกิดจากการฟังแล้วละ ไม่ใช่ฟังแล้วจะทำแล้วจะได้ ผิดไปอีกนานในสังสารวัฎ
เพราะฉะนั้น มีแต่หนทางผิด เพราะความไม่รู้นานมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินคำไหนแล้ว รู้เพื่อละ เพราะว่าไม่มีอะไร แล้วจะติดข้องได้อย่างไร แสดงว่าปัญญาของเรา ไม่มีทางที่จะละได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้ ที่กำลังฟังก็มีเรา มีสิ่งนั้นสิ่งนี้ติดข้องแล้ว
เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อความเข้าใจจะค่อยๆ เจริญขึ้น และก็ละความไม่รู้ ซึ่งมีมากมาย เป็นบุญที่ประเสริฐที่สุดที่ได้ฟังคำที่สามารถจะทำให้เห็นว่าสารสารวัฎ ก็คือ การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเพราะไม่รู้จึงเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง ยั่งยืน เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคลต่างๆ หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วแม้แต่คำว่าธาตุ หรือ ธา -ตุ หรือ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง คือ ความจริงแท้ของสิ่งที่กำลังมี แต่เพราะไม่รู้ในความเป็นจริงของแต่ละหนึ่งลักษณะที่เกิดขึ้นก็ไม่มีทางที่จะทำลายการที่เป็นตัวตนที่เคยเข้าใจมานานแสนนานว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นญาติพี่น้อง เป็นเพื่อนฝูงได้ เพราะฉะนั้น การได้ฟังธรรม ก็จะมีการฟังแบบที่ว่าเป็นตัวตนให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คนก็หลงตาม แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่ายากไหมที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ซึ่งสะสมมาแสนนาน
เพราะฉะนั้น กว่าจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ เป็นความรู้ ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรม เพราะปัญญา ละความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่ง สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปกติ แล้วความเข้าใจในสิ่งนั้นต่างหากที่ชัดขึ้น เป็นปกติตามความเป็นจริง ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะสอดคล้องกับคำที่ว่าธรรมทั้งหลายเป็ อนัตตา แค่คำนี้ถึงใจแค่ไหน ที่ไม่มีอะไร เป็นธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นบังคับบัญชาไม่ได้ สอดคล้องกันทั้งหมดเลย ใช่ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น มีอย่างเดียว คือ ได้ฟังคำไหน ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ยาก แต่มีจริง แต่รู้ได้ แต่ไม่ใช่เพียง แค่การฟัง เพราะไม่มีเรา แต่อาศัยปัญญา ที่เกิดเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ คลายความเป็นเรา แม้เดี๋ยวนี้ ที่กำลังฟัง ใครก็ตามที่เข้าใจอย่างนี้ คล้อยตามการได้ฟังนี่เองที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่สามารถจะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเดิมไม่เข้าใจเลย เห็นก็เป็นเรา ไม่รู้เลย ไม่ใช่เราได้อย่างไร พูดไปนานเท่าไหร่ ก็ยังไม่เข้าใจใช่ไหม แต่อาศัยการฟัง และรู้ประโยชน์ของการฟังว่า ฟังเพื่ออะไร ฟังเพื่อเข้าใจว่า ขณะนั้น เข้าใจไม่ใช่เราด้วย แต่ว่าเกิดแล้วก็ดับไป ค่อยๆ สะสมไป ค่อยๆ สะสมไปจนกว่าจะมีกำลัง ที่สามารถจะรู้ว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง
ผู้ฟัง บางคนจะเข้าใจว่า รูปทั้งหลายที่เป็นอัพยากตธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไรเลย
ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง
ผู้ฟัง อย่างดอกไม้ กับ ประตูบ้าน บางคนบอกว่าดับไม่พร้อมกัน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนเป็นอัพยากตธรรม อย่างไร
ผู้ฟัง ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นอย่างไร ที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล
ผู้ฟัง เพราะว่ารูปไม่รู้อะไร เป็นกุศล ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ต้องใช้คำว่ารูปหรือ เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม ตัวชื่อออกมาเต็ม พร้อมทั้งตัวเลข ติดอยู่ตรงนั้นเลย ให้รู้ว่าพอได้ยินคำนี้ อ๋อ คนนี้ฟังธรรมมา อ้อ คนนี้ศึกษาพระอภิธรรม แต่ว่าเข้าใจแค่ไหน ในภาษาของเราเอง ในภาษาของตน ของตน เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญเลยไม่ใช่ว่า เราไม่รู้ คำว่าอัพยากต แต่วันนี้เราอยู่บ้าน เราต้องพูดกับ อัพยากตไหม
ผู้ฟัง ไม่ต้องพูด
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถึงต้องสนทนาธรรม ใช่ไหม เราใช้คำนี้เมื่อพูดถึงคำนี้ แต่ว่าเมื่อพูดถึงคำนี้ด้วยความเข้าใจอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้มี ธรรม และเราก็รู้ว่า ไม่สามารถที่จะเข้าถึงปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืม พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสทุกคำออกมาจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ คำเหล่านั้นเป็นคำจริง ซึ่งเกิดจากการได้ประจักษ์แจ้งว่า ขณะนี้ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป เร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้น เลิกคิดที่จะไปเป็นอย่างนั้น แต่ฟังแล้วไม่ใช่เรา เป็นปัญญา เป็นความเข้าใจหรือไม่ ขณะนี้ที่เข้าใจก็เป็นธรรม ซึ่งไม่มีอะไร เพราะเกิดแล้วดับแล้ว เพราะไม่มีอะไร เราจะติดข้องไหม แต่แม้ปัญญาเรายังติดข้องเลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080