ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
ตอนที่ ๑๐๖๓
สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ แต่ฟังแล้วไม่ใช่เรา เป็นปัญญาเป็นความเข้าใจหรือไม่ ขณะนี้ที่เข้าใจก็เป็นธรรมซึ่งไม่มีอะไร เพราะเกิดแล้วดับแล้ว เพราะไม่มีอะไร เราจะติดข้องหรือไม่ แต่แม้ปัญญาเรายังติดข้องเลย เห็นไหม ปัญญาของเราบ้าง ปัญญามากบ้าง ปัญญาน้อยบ้าง จะต้องอบรมเจริญปัญญาบ้าง ล้วนแต่เป็นความหลงทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมแล้วยังหลง เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจความจริง จริงๆ ต้องอาศัยการฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง จนกระทั่ง ผู้นั้นอยู่ด้วยปัญญา เพราะสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ไม่มีอะไร แต่ไม่มีอะไร ก็มีสิ่งที่ปรากฏเป็นไป ตามเหตุ ปัจจัยที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เป็นเรา นั่นก็คือ เริ่มการที่จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ก็ไม่ต้องไปกังวล ว่าอีกเมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจจริงๆ เพื่อละ ไม่มีวันจะถึง จะไปทำโน่น ทำนี่ ทำนั่นที่สำนักนั้น สำนักนี้ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะว่าไม่มีในพระไตรปิฏก จะอ้างอะไรว่ามีสำนักปฏิบัติให้คนไปปฏิบัติ ๗ วัน ๑๐วัน ๑๕ วัน มีที่ไหน จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์กว่าจะได้ทรงตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วก็จะไปให้คนทำอย่างนั้นได้หรือ แค่นี้ก็ไม่มีความเคารพที่จะศึกษาธรรมด้วยความมั่นคงในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะนำพาออกจากสังสารวัฎ ไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าเข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ สภาพธรรมอื่นแม้ศรัทธา แม้วิริยะ ก็ไม่มีประโยชน์ ไปทำอะไร ไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่ขณะที่เข้าใจ มีทั้งศรัทธา มีทั้งวิริยะ มีทั้งคุณธรรมฝ่ายดีทั้งหมด ซึ่งเกิดเพราะอาศัยการสะสม ทำให้เรามีโอกาสได้ฟังอีก ได้เข้าใจอีก ได้ไตร่ตรองอีก ได้ละคลายอีก
ผู้ฟัง เรียนถาม หมายความว่า สิ่งที่ปรากฏ เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างนี้ ยกตัวอย่าง เช่น ดอกไม้ กับ ประตูบ้าน บางคนก็บอกว่าดอกไม้ต้องดับก่อน
ท่านอาจารย์ เลิกพูดเลย เสียเวลา วันทั้งวัน ดอกไม้ดับก่อน หรือว่ากรอบรูปดับ ไม่ได้นำมาซึ่งความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่าสนทนาธรรม ไม่ใช่อย่างนี้ ไม่ใช่ฟังแล้วอัพยากตอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงนี้ ดอกไม้กับกรอบรูปอะไรดับก่อน นั่นเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม คิดอะไร เห็นไหม ขณะนั้นไม่ใช่เรา อะไรคิด อกุศลเจตสิกที่สะสมมาทั้งหมดคิด
เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่า เมื่อไม่ใช่เราแล้ว ขณะใดเป็นอกุศลไม่ใช่เรา กุศลก็ไม่ใช่เรา เริ่มรู้ความจริงว่า เป็นสิ่งที่เพียงมีปัจจัยเกิดแล้วดับไปเท่านั้นเอง คิดว่ามีเราในชาตินี้ ใช่หรือไม่ นานอีกเท่าไร บางคนแป๊บเดียวหมดแล้ว ถูกฆ่าตายแล้วใช่ไหมก็ได้ ใครจะรู้ ไหนล่ะเรา อัพยากต หรืออะไรใช่ไหม ก็ไปนั่งคิดแล้วมันอะไรกันแน่ที่ตาย เป็นอัพยากตหรือไม่หรืออะไร เสียเวลาจริงๆ
ถ้าเราจะคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเราคิดให้เข้าใจถูกต้อง พระธรรมกล่าวถึงสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมาก่อนเลย แล้วทุกคำเป็นคำจริงทั้งหมด ทุกคำด้วย ลองกล่าวมาว่า คำไหนไม่จริง แม้แต่สิ่งที่มีจริงก็กำลังมี แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เข้าใจผิดไปต่างๆ นานาสภาพธรรมเกิดดับ รู้ไม่ได้ แต่ไตร่ตรองได้ว่า จริงไหม เห็น ไม่ใช่ได้ยิน เสียงก็ไม่ใช่เห็น แล้วก็ไม่ใช่ได้ยินด้วย แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง เวลานี้กำลังเกิดดับ ไม่รู้ต่างหาก ผู้ที่จะเปิดเผยความจริง ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่จะทรงแสดงธรรมให้คนได้ยินได้ฟังแล้วได้เริ่มเข้าใจ
ตั้งแต่ในครั้งอดีตกาล ๒๕๐๐ กว่าปี ผู้ฟังสามารถเข้าใจถูกต้อง และเพราะได้เคยสะสมมาแล้ว นานแสนนาน ประวัติของพุทธสาวก แต่ละท่าน เป็นตัวอย่างให้เราอดทนหรือไม่ เป็นตัวอย่างให้เรารู้ว่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏแล้ว ไม่ใช่สาวกคือ ผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีทางที่จะออกจากโลกมืด ความมืด ห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลาก็ไม่รู้ สนุกสนาน รื่นเริง ในความมืด แต่ว่าตามความเป็นจริง คือว่า ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น คำนี้ จะทำให้ค่อยๆ คล้อยตามว่า เราหลงมาเท่าไหร่ ในสิ่งที่ไม่มี และก็ยังจะหลงต่อไปหรือ แต่พอได้ฟังพระธรรม ด้วยความแยบคาย คือ ไตร่ตรอง ด้วยความเข้าใจ
ขณะนั้นก็จะต้องค่อยๆ ละการติดข้อง อยู่ในโลกนี้ ด้วยความเบาสบายขึ้นไหม ตั้งแต่รู้ว่าไม่มีอะไร เพียงแค่ปรากฏ เพียงแค่ปรากฏว่ามี แค่นั้นเอง พอปรากฎว่ามี ก็มี แต่ถ้าไม่ปรากฏมีไหม ไม่ปรากฏ ก็ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว แต่เพียงปรากฏว่ามี เมื่อปรากฏเท่านั้นเอง ซึ่งความจริง ก็ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ แต่ลึกลงไปกว่านั้น คือ ความจริงของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ โดยที่ว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ แค่ว่าสภาพธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ถูกปิดบัง ปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ มีความเป็นเจ้าของในทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น กว่าจะละ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อย่างเดียว ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ก็ไม่มีทาง แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่ว่าอีกนานเท่าไหร่ การได้ฟังแล้วก็ไม่ลืม แล้วก็ไตร่ตรอง ระลึกได้ พิจารณา เป็นสิ่งที่จะนำไปสู่ความเข้าใจเพิ่มขึ้นในสิ่งที่มี
ผู้ฟัง ถ้าศึกษาแล้ว ฟังธรรมแล้ว ถ้ายังไม่มีความมั่นคง ก็เหมือนพูดตามได้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ต่อไปนี้เลิกพูดตามได้ไหม เพราะว่าบางคน พอถามก็พูดตามที่ได้ฟังเลย เป็นบรรทัดก็มี คัดลอกมาก็มี แต่นั่นเข้าใจหรือไม่
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ไม่ใช่พูดตาม แต่ว่าเข้าใจแล้วพูด เหมือนกันไหม ก็ต้องเหมือนกัน ในเมื่อความจริงเป็นอย่างนั้น คนที่พูดตาม พูดด้วยความเข้าใจ ต่างกับคนที่ฟังแล้วพูดตามแต่ไม่เข้าใจ บอกว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พูดตาม หรือ เข้าใจ คนนั้นต้องไตร่ตรองด้วยความตรงว่าที่จะกล่าวว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา คำนี้ได้ยินมาแล้ว พูดตาม หรือว่ามีความเข้าใจตามนั้นถูกต้อง ไม่มีอะไรแต่มีธรรมซึ่งเป็นอนัตตา
เพราะเหตุว่า บังคับบัญชาไม่ได้ เกิดตามเหตุตามปัจจัยต่างหาก ใครลองไปทำอะไรให้เกิด ก็ไม่มีใครสามารถทำได้เลยทั้งสิ้น ขณะที่กำลังทำแล้ว ก็เกิดแล้ว ผิดแล้วด้วยก็ไม่รู้ ดังนั้น ต่อไปนี้ไม่ตาม แต่พูดด้วยความเข้าใจ แม้แต่คำที่เราจะพูด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เราเข้าใจคำนั้น ถูกต้องไหม เข้าใจว่า ไม่มีใคร ไม่มีอะไร แต่มีธรรมที่แน่นอนที่สุด
เพราะมีสิ่งที่มีจริง แต่เพราะไม่รู้ และถูกปิดบังไว้ ด้วยการเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ ไมโครโฟนก็รูปร่างหนึ่ง ใช่ไหม กล่องกระดาษก็เป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ปรากฏให้รู้ว่า เป็นรูปร่าง สัณฐานต่างๆ ก็เข้าใจว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ แต่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริง ธาตุแต่ละหนึ่ง ธรรม หรือ ธาตุไม่เกิดขึ้น จะมีการรวมกันอย่างนี้ไหม เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม ก็ไม่มี แต่เมื่อมีแล้ว ไม่รู้ต่างหาก เพราะฉะนั้น กว่าจะแยกออกไป จนกระทั่ง ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิด และดับเท่านั้นเอง เห็นไหม ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดและดับเท่านั้นเอง แค่ความเข้าใจอย่างนี้ จะละไหม นี่เป็นหนทางละ จริงๆ และไม่ใช่เราด้วย ปัญญาต่างหาก ที่เกิดขึ้นทำหน้าที่นั้น
เพราะฉะนั้น กว่าจะไม่มีอะไร แม้แต่ปัญญาก็เกิดดับ จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธทรงปลดปล่อยคนที่อยู่ในความมืดให้ไปสู่ความสว่าง คนที่ถูกผูกพันพันธนาการไว้ ด้วยกิเลสรุมล้อมให้หมดไม่ให้เหลือ สามารถที่จะเป็นไปได้ ถ้าเราไม่พ้นจากกิเลส ไม่มีทางจะรู้เลยว่า การพ้นนั้นจะประเสริฐแค่ไหน คิดว่าอยู่อย่างนั้นสบายดี เหมือนกับคนอยู่ในห้องขัง สนุกสนานอยู่ในห้อง มีเครื่องเล่นตั้งหลายอย่าง มีอาหารการกินเอร็ดอร่อย มีทุกอย่างหมด ก็อยู่ในห้องขังนั้น ไม่รู้ว่าถูกขังด้วยซ้ำไป ออกไม่ได้ อยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ต้องเป็นไปอย่างนั้น ไม่มีที่สิ้นสุดของสังสารวัฎเลยจนกว่าสามารถ ที่จะรู้ว่าอยู่ที่ไหนนี่ ใช่หรือไม่ แล้วถ้าออกไปสบายแค่ไหน พ้นจากการถูกคุมขัง พ้นจากการเป็นทาส พ้นจากการที่จะต้องทำทุกสิ่ง ทุกอย่างเพื่อต้องการสิ่งนั้น
ผู้ฟัง จริงๆ แล้ว เราก็ไม่รู้เลย ว่าเราถูกขังอยู่
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย แต่ความจริง มีหรือไม่ เรา
ผู้ฟัง ตรงนี้ก็ต้องพูดว่า ถ้าศึกษา
ท่านอาจารย์ นี่เริ่มรู้ว่าอะไรขังอยู่ที่ไหน ถูกขังอยู่ในความไม่รู้ ไม่ใช่อะไรเลย เห็นดอกไม้ก็ไม่รู้
ผู้ฟัง หมายความว่า เห็นดอกไม้ก็ชอบแล้ว ก็ขังแล้ว
ท่านอาจารย์ แน่นอน
ผู้ฟัง เห็นอีกก็ชอบอีก ก็ขังยังขังอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกไปจากความชอบอันนั้น
ท่านอาจารย์ ไม่มีเชือก ไม่มีลูกโซ่ ไม่มีอะไร ยิ่งซะกว่านั้นอีก โซ่ เชือกยังปลดปล่อยได้ หาทางได้ แต่อวิชชาความไม่รู้ ที่ขังไว้ล้อมรอบ แต่จะออกได้อย่างไร พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด แสดงเรื่องความจริง แม้แต่สังโยชน์เครื่องร้อยรัด โยคะเครื่องประกอบไว้ ประกบไว้ ออกไปไม่ได้เลย คิดดูสิ ทรงแสดงลักษณะของอกุศลทั้งหลาย ให้เห็นว่า เป็นอย่างนั้น เป็นเหมือนอย่างนั้นเลย ไปไหนได้ ตามไปเลยตลอดเวลา และออกได้อย่างไร นอกจะแสงสว่างของพระธรรม ที่ทำให้เริ่มรู้ว่า ขณะนั้น คืออะไร อยู่ตรงไหน และจะพ้นไปได้อย่างไรจากสังสารวัฎ
ผู้ฟัง แม้แต่คำว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับ
ท่านอาจารย์ ต่อไปนี้ รู้สึกตัวเลยว่า เวลาพูดเข้าใจแค่ไหน แค่เข้าใจว่าไม่ใช่เรา ก็ยังดีกว่า ไม่ใช่ของใครเลย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้น เวลาเสียใจเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา สุขกาย สุขใจ ทุกอย่างหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย มีเหตุ ก็เกิดให้เห็น แต่อวิชชาไม่รู้เลย แต่ปัญญารู้ว่านั่น คือ ธรรม ไม่ใช่เรา แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น คำที่ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา ก็อยู่ตรงที่เข้าใจ เห็นไหม ฟังเข้าใจ เวลาพูด รู้ตัวเองว่าพูดด้วยความเข้าใจ จะมั่นคงมากน้อยเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมแค่ไหน จนกว่าลักษณะนั้นปรากฏเหมือนเดี๋ยวนี้เลย เข้าใจในความเป็นจริง ของสิ่งนั้นเป็นปกติ ถึงสามารถที่จะละความเป็นเราได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ใครจะไปทำให้ละความเป็นเราได้ ไม่ใช่เลย เพราะเดี๋ยวนี้ อวิชชาไม่รู้ จนกว่าวิชชานั้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ขั้นฟังอย่างนี้ อบรมไปจนกระทั่งปัญญา อีกระดับหนึ่ง มีปัจจัยเกิดขึ้นจึงเกิดได้ ไปอ่านหนังสือ เหตุให้เกิดโพชฌงค์ เหตุให้เกิดสติสัมปชัญญะอะไร นั่งทำ นั่นหรือ ไม่ใช่เลย นั่น เพราะไม่รู้ต่างหาก จึงเป็นอย่างนั้น แต่เพราะรู้ คือ เดี๋ยวนี้ต่างหากที่อาศัยการฟังใช่ไหม อาศัยความเข้าใจใช่หรือไม่ ทีละเล็ก ที่ละน้อย ค่อยๆ สะสมไป นี่ต่างหากที่จะละความเป็นเราได้ จะออกจากห้องขัง ซึ่งถูกขังมานาน ไม่ง่าย
เพราะฉะนั้น เมื่อตรัสรู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่เห็นความลึกซึ้ง ขณะนั้นที่ใช้คำว่า ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ลึกซึ้งแค่ไหน แต่เพราะว่าทุกคำของพระองค์สามารถให้คนเข้าใจได้ ความเข้าใจเท่านั้น ที่เกิดมาแล้ว มีสมบัติอะไร ที่ประเสริฐที่สุด คือ ความเข้าใจความจริง เพราะเพียงแค่เดี๋ยวเดียว พริบตาเดียว เราเป็นใครไปแล้ว ก็ไม่รู้ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ทันที จำไม่ได้เลยเหมือนชาติก่อน จิ้งจก ตุ๊กแก เต็มบ้าน ชาติก่อนเรา จำไม่ได้ว่าเป็นใครมาจากไหน จากโลกนี้ไปแล้ว จะเป็นโอกาสที่จะได้ฟัง และได้เข้าใจธรรมหรือไม่ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ชาตินี้ที่สำคัญที่สุดประเสริฐที่สุด ก็คือได้เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าคำนั้นเป็นคำของพระองค์ พระมหากรุณา ๔๕ พรรษาจาก ๒๕๐๐ กว่าปีถึงเรา
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นกรง ที่ขังเราไว้ จากเห็นได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส กระทบสัมผัส
ท่านอาจารย์ ทุกวันเลย ก็ทุกวัน ก็ไม่รู้ ไม่ใช่หรือ จะไปออกจากความไม่รู้ได้อย่างไร ทางตาก็ไม่รู้ ไม่ใช่หรือ ถ้าฟังด้วยความละเอียด จะรู้ว่า มากมายแค่ไหนแสนยาก และไม่ใช่แค่วันเดียว ชาติเดียว กี่ชาติมาแล้ว แสนโกฎกัปมาแล้ว แม้พระสัมมาส้มพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ขณะที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ พระบารมีก็คือ เดี๋ยวนี้ ที่ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กที่ละน้อย ได้พบพระสัมมาสัมเจ้า ๒๔ พระองค์ แต่ละพระองค์ กว่าจะประสูติ ตรัสรู้ ได้ไม่ใช่สิ่งที่หาง่ายเลย กว่าใครจะได้บำเพ็ญบารมีถึงอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่รู้ว่าปัญญาประเสริฐสุด และใครให้ไม่ได้ด้วย แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะได้ฟัง และไตร่ตรอง ถ้าเข้าใจถูก ขณะนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง รู้ด้วยว่าความเห็นนี้มาจากใคร มาจากไหน บำเพ็ญบารมีมานานเท่าไหร่ จึงจะได้ยิน จึงจะได้ฟังคำที่พระองค์ได้ตรัสเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว
ผู้ฟัง ไม่ใช่พูดตามได้ โดยไม่เข้าใจ แต่พูดตามได้ โดยเข้าใจ คืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องพูดตาม เมื่อเข้าใจแล้ว พูดอะไรก็ได้ ทุกคนต้องตรงกันใช่ไหม เพราะเป็นความจริง อย่างบอกว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ได้หมายความว่าต้องพูดตามนี้ แต่ทุกคนเข้าใจ ใช่ไหมว่า ธรรมเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น คนที่พูดคำว่าธรรมเป็นอนัตตา พูดความจริงที่เข้าใจ ไม่ใช่ไปพูดตามทุกคนต้องพูดตามนี้ แต่เมื่อสิ่งนี้เป็นความจริง จะให้พูดอย่างอื่นได้ไหม เพราะฉะนั้น พูดด้วยความเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เพียงแต่จำไว้พูด
ผู้ฟัง ผู้นั้นหรือว่าผู้สนทนาด้วย จะทราบไหมว่า พูดตามโดยไม่เข้าใจ พูดตามเพราะความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ พูดตามได้ไม่กี่คำ ก็ผิด เพราะไม่เข้าใจ แต่ถ้ามีความเข้าใจพูดกี่คำ ก็ถูก เพราะเข้าใจคำที่พูด
ผู้ฟัง กล่าวคำว่าธรรม คือ สิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ แค่นี้ เข้าใจแค่ไหน ถูกไหม นี่หมายความว่าเข้าใจไง แค่คำว่าธรรม คืออะไร ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เข้าใจคำนี้ถูกต้องหรือยัง ว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครจึงใช้คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง ธรรมสิ่งที่มีจริง เห็นเดี๋ยวนี้จริงๆ ได้ยินอยู่จริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนฟังเห็นจริงหรือไม่ ได้ยิน จริงหรือไม่ ไม่ใช่เขาว่า เราก็ตาม แต่กำลังพูดถึงความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ หรือไม่ เห็นเดี๋ยวนี้ จริงไหม
ผู้ฟัง จริง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จริงนั้น เป็นธรรมไหม
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ ก็เท่านี้ คือ ให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่พูดตาม
ผู้ฟัง ก็มีคนกล่าวได้ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง แล้วจะอย่างไร พูดตามหรือพูดเพราะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องของเรา ที่จะต้องไปนั่งดู
ผู้ฟัง เรารู้เอง หรือ เราพูดตาม หรือ เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราพูดคำว่า ธรรม เราเข้าใจแค่ไหน
ผู้ฟัง ยกตัวอย่าง ธรรม คือ สิ่งที่จริงเดี๋ยวนี้ ถ้าแต่ก่อนก็ต้องไปแสวงหา
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อน ถ้าพูดถึงธรรม เราเข้าใจแค่ไหน ก็เข้าใจว่าธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้เห็น ได้ยิน ไม่ใช่เป็นชื่อคำอธิบาย ว่าธรรมคือ สิ่งที่มีจริง แต่พอได้ยินคำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เรารู้ถึงสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้เลย เห็นไหมไม่ใช่ว่า พอบอกว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วเรา จำคำนี้ไว้ทุกอย่าง ทุกอย่างมีจริง แต่พอพูดถึงธรรมที่มีจริง เดี๋ยวนี้เลย เห็นจริง ได้ยินจริง คิดจริงนี้ คือ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง
ผู้ฟัง ขอยกตัวอย่างคุณเบญ บางทีคุณเบญ ก็มาถามโน่นนี่ เดี๋ยวจะอธิบายบอกตรงนี้ ก็เป็นธรรมทำกิจนะ ไม่ใช่คุณเบญ อย่างเหมือนกับความเข้าใจรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม เขาเกิดขึ้นอย่างนี้ ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้อะไรๆ เกิด ก็มีเห็นแล้วก็คิด ได้ยินแล้วก็คิด เป็นธรรมหรือไม่ เป็น ก็ตรงตามที่เข้าใจ อะไรเกิดอีก อยากรู้เกิดอีก อยากรู้ ก็เป็นธรรม มีจริงๆ เกิดแล้วด้วย
ผู้ฟัง ในการศึกษาพระธรรม ก็จะทราบว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ตรัสรู้แล้วก็ไม่สามารถมีคำมาอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ แต่พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เนื่องจากปัญญา และการอบรมบารมี ต่างกัน
ท่านอาจารย์ พระปัจเจกพุทธเจ้า รู้มากกว่าเราหรือไม่
ผู้ฟัง มากกว่า มาก
ท่านอาจารย์ เห็นไหม บางคนคิดว่า ท่านไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า บางคนอาจจะคิดว่าท่านเป็นเพียงพระปัจเจกพุทธเจ้า เท่านั้น บางคนอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ปัญญาของพระองค์ และก็การที่ทรงบำเพ็ญบารมีมา ก็ต้องมากกว่าสาวกใดๆ ทั้งสิ้นจึงถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ความต่างกัน ก็คือว่าบารมีไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ประกอบด้วยพระทศพลญาณต่างๆ ไม่ประกอบด้วยคำที่จะมากล่าวโดยละเอียดว่า ธาตุ อายตนะ ขันธ์ โพชฌงค์ โดยละเอียด แต่ท่านรู้อย่างนั้นใช่ไหม เห็นหรือไม่ว่าความรู้ของท่าน ประมาทได้อย่างไร แต่เพราะเหตุว่า ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วยพระทศพลญาณ และพระญานอื่นๆ ในกาลอื่นๆ ไม่มีใครสามารถที่จะได้ฟังคำแล้วก็เข้าใจได้ใช่ไหม และพระองค์รู้แน่ๆ รู้มากกว่าสาวกใดๆ มากกว่าอัครสาวกอีก เพราะฉะนั้น อัครสาวกแสดงธรรม คำทั้งหลายมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงบัญญัติไว้แล้ว ใช่ไหม จะพูดเรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องขันธ์ เรื่องปฏิจจสมุปปาทะอะไร ตามที่พระสัมมาสัมเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว อย่างธาตุ ๑๘ เราจะไปแสดงบางแห่ง ก็อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็ได้ใช่ไหม นั่นคือ ความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ประมาท พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านรู้ แต่ว่าไม่ประกอบด้วยพระทศพลญาณ เพราะฉะนั้น คำทั้งหลายแม้ของสาวก ก็เป็นคำที่มาจากได้ฟัง สาวกจะมาคิดเองอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ประมาณเท่าที่เป็นอย่างนั้นคือ ถ้าเป็นอัครสาวก ก็รู้ตามความที่เป็นพระอัครสาวก ถ้ารู้ประมาณหนึ่งพระมหาสาวก ท่านก็เป็นตามความเป็นพระมหาสาวก
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจ ไม่ได้หมายความว่า เรามานั่งเปรียบเทียบ หรือมานั่งคิดว่า ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ขอเพียงคำนั้นได้ยินแล้วเข้าใจแค่ไหน นี่คือประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่มาคิดเทียบเคียงว่า แล้วตรงนี้พูดอย่างนั้น ตรงนั้นพูดอย่างนี้ แล้วความจริงเป็นอย่างไร เราก็เสียเวลาไป แต่ประโยชน์จริงๆ ก็คือ ฟังคำนั้นแล้วเข้าใจแค่ไหน เข้าใจขึ้นอีกได้ไหม สนทนากันให้เข้าใจขึ้นในคำนั้น ในสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะพูดอย่างไร พูดอย่างนี้ไม่ได้ พูดอย่างนั้นได้ไหม นั่นไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ความเข้าใจ เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือเข้าใจ
ผู้ฟัง ในการสนทนา ก็พูดภาษาไทยให้เข้าใจ ไม่ต้องไปติดคำบาลี ตรงนี้จะ สนทนาอย่างไร
ท่านอาจารย์ เมื่อได้ยินคำว่า ขันธ์ คนไทยไม่รู้หรอกว่าอะไร ขันตักน้ำ ขันอะไรก็แล้ว แต่หัวเราะขัน หรือขบขันอะไร แต่ธรรม ขันธ์ คืออะไร เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่า เรากำลังพูดถึงคำว่า ขันธ์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้ก็ตั้งต้น ด้วยคำว่า ขันธ์ คืออะไร จากคำที่เราไม่คุ้นหูเลย เพราะเราไม่ใช่ชาวมคธ ใช่ไหม เราก็พูดภาษาไทย ด้วยเหตุนี้ คำนี้ จริงๆ คืออะไร แม้แต่ชาวมคธ เขาก็ยังต้องฟังธรรม เห็นไหม ไม่ใช่ว่าใช้ภาษาเขาแล้วเขารู้ เขาไม่ได้รู้เหมือนเราใช้ภาษาไทยเรายังต้องอธิบายว่า คืออะไร สิ่งที่มีจริง ก็ยังต้องอธิบายว่า อะไรมีจริงเดี๋ยวนี้มีจริงไหม
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า ขันธ์ ตั้งต้นว่าคืออะไร ถ้าจะสนทนาธรรม เหมือนในครั้งโน้นเลยใช่ไหม แต่ท่านใช้คำนี้แล้ว เป็นภาษาของท่าน แต่อย่างนั้นท่าน ก็ยังไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้น ขันธ์ คืออะไร
ผู้ฟัง ก็คือสภาพธรรม ที่เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตัวเอง แล้วก็ไม่มีความเป็นตัวตน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีขันธ์ไหม
ผู้ฟัง ก็เห็นเป็นขันธ์
ท่านอาจารย์ นี่ก็คือให้เราเข้าใจเดี๋ยวนี้ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ที่สามารถจะพิสูจน์ได้เข้าใจได้ทุกขณะ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1021
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1022
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1023
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1024
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1025
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1026
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1027
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1028
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1029
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1030
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1031
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1032
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1033
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1034
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1035
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1036
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1037
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1038
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1039
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1040
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1041
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1042
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1043
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1044
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1045
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1046
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1047
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1048
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1049
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1050
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1051
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1052
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1053
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1054
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1055
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1056
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1057
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1058
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1059
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1060
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1061
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1062
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1063
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1064
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1066
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1067
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1068
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1069
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1070
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1071
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1072
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1073
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1074
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1075
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1076
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1077
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1078
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1079
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1080