ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1065


    ตอนที่ ๑๐๖๕

    สนทนาธรรม ที่ บ้านทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์

    วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมทั้งหมด อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ แต่ว่าถ้าไม่มีการฟังธรรมให้เข้าใจ ก็เป็นตัวหนังสือไปหมด แล้วได้อะไร ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีอะไรด้วย เป็นแต่ธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ อย่างนั้น ก็ป่วยการ ที่จะมีการสนทนาที่จะพูดว่า หยุดสอนแบบนี้สอนผิด แต่จริงๆ กลับมาพิจารณาว่า ณ ขณะนี้ เป็นสิ่งที่ควรศึกษาหรือไม่

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า ฟังแล้วเข้าใจอะไร ถ้าเข้าใจคำพูด แต่ไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ไม่สอดคล้องกันเลย พระสัมมาสัมพุทธพระเจ้าทรงประจักษ์ความจริงไม่ใช่คำพูด ทรงประจักษ์ความจริงของสิ่งที่มี แต่ถ้าไม่ทรงบัญญัติคำขึ้นมาแสดงถึงความจริง แต่ละคำ ใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้น เสียงของแต่ละภาษา เป็นไปตามความหมายที่เข้าใจกัน อย่างคำว่า เข้าใจ ใช่ไหม เสียงต้องมีเสียงแน่ๆ เดี๋ยวต่ำ เดี๋ยวสูง ใช่ไหม เสียง ต่ำ เห็นไหม ก็ต่างกันละ

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่มี ที่เป็นเสียงทุกคำ เป็นไปตามความหมาย เช่น ดอกไม้ ใช่หรือไม่เสียงว่า ดอกไม้ ใครจะเข้าใจเป็นโต๊ะ ไม่มีใครเข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้น แต่ละเสียงที่ใช้กัน ก็เป็นไปตามความหมาย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราฟังธรรม เข้าใจในคำต่างๆ หมายความว่า ต้องมีเสียง ต้องมีสิ่งนั้นจริงๆ ต้องมีตัวธรรมจริงๆ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงนั้น ด้วยคำต่างๆ เพื่อให้เข้าใจ ธรรม คือ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ให้เราไปนั่งพลิกพระไตรปิฏก แล้วก็นั่งท่องจำ แล้วก็นั่งสอบ แต่ไม่รู้เลยว่าขณะนี้เป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น เขาศึกษาธรรมหรือเขาศึกษาคำ เรื่อง ชื่อ เท่านั้นเองโดยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วถ้าไม่ฟังให้เข้าใจจริงๆ จะละความยึดถือ สภาพธรรมว่าเราเป็นเราได้อย่างไร

    ผู้ฟัง ยกตัวอย่าง เช่นที่เขายกมาว่า จงเพียร จงพิจารณา ก็เป็นสิ่งที่อันตรายมากที่ว่าผู้อ่านพระไตรปิฏก ด้วยความไม่เข้าใจแล้ว ตีความ จะมีข้อเตือนใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ไม่ใช่ว่าแสดงความเป็นตัวตน ใช่ไหม แสดงว่าธรรมมีจริง เป็นอนัตตา ความเพียรไม่ใช่ไม่มี เกิดเพราะเหตุปัจจัย ใครทำได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่บอกว่า จงละ แล้วก็ละ พอบอกว่าจงเพียร ก็เพียร พอบอกว่าจงมีสติ ก็มีสตินั้นไม่เข้าใจ อะไรเลย ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น กล่าวตู่ สิ่งที่ไม่ใช่สติ ก็บอกว่าเป็นสติ สติจะเกิดได้อย่างไร และสติขณะนั้นต้องเป็นไปกับจิตประเภทไหน เป็นไปในกุศล จิตขั้นไหน ทานขณะนั้นก็มีสติ ศีลก็มีสติ กุศลจิตเกิดเมื่อไหร่ หรือว่ากุศลวิบาก ที่เป็นผลของกรรม

    ขณะนั้น ถ้าเป็นกุศลวิบาก ก็เป็นที่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ขณะนั้น ก็มีสติเกิดร่วมด้วย ใครไปจัด เกิดมาแล้วเป็นอย่างนั้น ไหนทำซิ ไหนเพียรซิ เพียรมีแล้ว ก็ไม่รู้ จนกระทั่งเข้าใจผิดว่าต้องไปเพียร

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ถ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ให้สอดคล้องกันว่าทุกอย่าง ต้องเป็นความจริง ตั้งแต่คำแรก ธรรมมีจริง เป็นอนัตตา คำนี้ ทิ้งได้อย่างไร ใครตรัสไว้ และเป็นอนัตตาโดยการที่ว่าต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัยต่างหาก

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการฟังธรรมเข้าใจก่อน จะมีสติสัมปชัญญะ ที่จะรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ ซึ่งไม่เคยรู้เลย เพราะว่าเกิดมา ก็เห็น เกิดมาก็ได้ยิน เกิดมาก็กระทบแข็ง เกิดมาก็จำ เกิดมาก็คิด เกิดมาก็สุข ก็ทุกข์ ทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งไม่เคยรู้เลย ไม่ได้ให้ไปทำอะไรขึ้นมารู้ แต่สิ่งที่มีอยู่แล้ว นี่เอง จะรู้ว่า เป็นสิ่งซึ่งเกิดแล้ว เพราะเหตุปัจจัย จึงละการยึดถือว่า เป็นเราได้ เพราะฉะนั้น ทรงแสดงความจริงว่า หนึ่งขณะจิตที่เกิดมีอะไรเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้น เจตสิกทุกประเภท ที่เกิดกับจิตนั้น เป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดขึ้น ขาดไม่ได้เลย ไม่มีใครไปทำ

    เพราะฉะนั้น ความเพียรเกิดแล้ว กับจิตประเภทไหน โดยที่ขณะนี้ก็มี แต่ก็ไม่รู้ แต่ให้รู้ว่า ไม่ใช่เราเลยเกิดแล้ว และต้องไปทำ อะไรขึ้นมา แล้วใครไปทำ แล้วทำได้หรือ ในเมื่อเกิดแล้วต่างหาก ทำให้จิตเห็นมีวิริยะเจตสิก เกิดร่วมด้วย ไหน เพียรทำอย่างไร ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะจิตเห็น ไม่มีวิริยะเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ฟังธรรมต้องเข้าใจ และสอดคล้องกันทั้งหมด เพื่อรู้ สิ่งที่กำลังมี ถ้าคิดอย่างนั้นไม่มีทางรู้สิ่งที่กำลังมีเลย

    ผู้ฟัง การอ่าน การที่ดูเหมือนเป็นผู้สนใจในธรรม อ่านมาก ฟังมาก แต่ขาดการพิจารณาไตร่ตรอง ก็น่ากลัว เพราะว่าที่ได้เห็นเขาลง ก็พูดถึงขนาดว่ายกมาไม่หมด ในการสนทนาธรรม มีที่ไหน ที่ปล่อยให้ปัญญาเกิดเอง

    ท่านอาจารย์ ใครปล่อย ทุกคำต้องเข้าใจ ถึงได้บอกต้องศึกษาธรรม ทีละคำ จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ ตัวตนใช่ไหม ที่ปล่อย ตัวตนใช่ไหม ที่ไม่ปล่อย ทั้งหมด ไม่แคล้วจากความเป็นตัวตน จะปล่อยหรือไม่ปล่อย ก็คือ ไม่รู้อะไรเลย ว่าไม่ใช่เรา ถ้ารู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วใครจะทำอะไรได้ อกุศลเกิดแล้ว ดับแล้ว ไหน ปล่อยไหน ปล่อยอะไรใครไปปล่อย อะไรได้ เกิดแล้วดับแล้ว

    ผู้ฟัง ความเห็นที่ไม่ตรง นี้ก็เลยเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เป็นอันตรายมาก

    ผู้ฟัง วิวาทะ กับ องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์ ไม่วิวาทกับใคร แต่คนอื่นทะเลาะกับพระองค์ ถ้ามีความหวังดี เรามีความเมตตารู้ว่า นั่นเป็นความเข้าใจผิด และหลงทาง

    เพราะฉะนั้น ทางเดียวที่ทำได้ คือ พูดความจริงที่ถูกต้องเท่านั้น ใครจะฟังหรือไม่ฟังด้วยก็สุดความสามารถ เพราะเราจะไปบังคับธาตุได้หรือ ทั้งหมดเป็นธาตุไม่เข้าใจก็เป็นธาตุ โกรธก็เป็นธาตุ เมตตาก็เป็นธาตุ ทุกอย่าง แล้วแต่ธาตุอะไรจะเกิดขึ้นปรากฏ ความเข้าใจก็เป็นธาตุ ความไม่รู้ก็เป็นธาตุ

    เพราะฉะนั้น เห็นความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ เป็นธาตุแล้ว เราจะทำอะไร นอกจากสิ่งไหนที่จริง ถูกต้อง ขึ้นอยู่กับผู้ฟังที่จะพิจารณา เราจะให้เขาไม่คิดอย่างเรา หรือให้คิดอย่างเรา เป็นไปไม่ได้เลย แล้วแต่เหตุปัจจัย ที่แต่ละหนึ่งสะสมมา ถ้าเราพูดความจริงแล้ว เราจะเดือดร้อนไหม เราก็ไม่ได้เดือดร้อน เราก็ไม่ได้เป็นทุกข์ ใครจะเชื่อ ไม่เชื่อ เข้าใจว่าผิดก็เรื่องของเขา เขาจะว่าถูกได้อย่างไร ถ้าเขาเห็นผิดใช่ไหม เมื่อเห็นผิด ก็ต้องว่าผิด แต่ว่าเราไม่เดือดร้อน เราก็ไม่สามารถที่จะมีใครมายับยั้ง เหตุ ปัจจัย ที่ทำให้เรากล่าวความจริง เพื่อประโยชน์ของคนอื่น

    เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ฟังธรรม สนทนาธรรม ไม่ลืมเลยว่า เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง ไม่ใช่ว่าเพื่อเรา จะเก่งหรือเราสามารถ จะไปบังคับคนนั้น ชวนคนนี้อะไร เปล่าเลยทั้งสิ้น แต่เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง คือ ให้เขาได้เข้าใจ ถูกต้อง ตามความเป็นจริง ไม่ให้โทษกับเขา เพราะว่าทุกคำที่กล่าว สนทนาได้ จะได้รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง หรืออะไรไม่จริง มีคนไหม แล้วใครเพียร

    เพราะฉะนั้น เพียรเกิดเพราะเหตุปัจจัย กับจิต กี่ประเภท ให้ไปทำอะไรได้ แต่เข้าใจถูกต้องได้ว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่สุดของพระธรรม ตรงที่ ไม่ใช่เรา ไม่เป็นเรา แต่เป็นธรรม จนกว่าจะทุกอย่างเป็นธรรม เมื่อไหร่ก็พ้นจากความเห็นผิด ความเข้าใจผิด จนไม่เหลือเลย ในขันธ์ทั้ง ๕ ยากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าเป็นนั่งเพียร นั่งทำ แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ขณะนั้นก็ไม่รู้ว่า ไม่ใช่เรา

    สนทนาธรรม ที่กนกรัตน์รีสอร์ทอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

    วันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

    ท่านอาจารย์ อนุโมทนาอย่างยิ่ง ที่คุณสัมพันธ์เป็นอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสได้ เหมือนเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะได้เริ่มเห็นพระองค์ จากการที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรม ซึ่งใครก็ตาม ซึ่งกล่าวว่าพระธรรมไม่ยาก เป็นผู้ที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะไม่รู้จัก แม้แต่คำว่า ธรรม คืออะไร

    เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสได้เข้าใจจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้สะสมความเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ความจริงว่า ความจริงเป็นสิ่งซึ่งใคร ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งหมด แม้พระอรหันต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ก็ไม่ได้ตรัสว่าพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงธรรมได้สร้างธรรมได้ ทำให้ธรรมเกิดขึ้น แต่ว่าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ก็ได้ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ รู้ไม่ได้ แน่นอน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าไม่รู้จักธรรม ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้มีธรรม นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ที่จะทำให้รู้ความต่างของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งถึงความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง ซึ่งคนอื่นไม่มีโอกาสจะรู้ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ฟังแค่นี้ ลึกซึ้งไหม ใครก็รู้ไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งนั้น เทวดา พรหม ใครก็ตามรู้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำจากการตรัสรู้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานมาก แต่ความจริง ก็เป็นความจริง และคำของพระองค์ ก็ให้คนอื่นที่ได้ฟัง ได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจ ได้เห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ทำให้เราได้มีโอกาสรู้ความจริงด้วย

    เพราะฉะนั้น เพียงคำเดียว รู้จักธรรมหรือยัง แค่นี้ ได้ยินชินหูใช่ไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ธรรมคืออะไร แค่คำเดียว ใครรู้จักแล้วบ้าง ต้องเป็นคนที่ฟัง ถึงจะรู้ว่าธรรมคืออะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือทั้งหมดที่ได้ทรงแสดงให้คนอื่นได้เข้าใจว่าพระองค์ทรงตรัสรู้อะไร ซึ่งความจริงก็เป็นธรรมนั่นเอง แค่ธรรมคำเดียวที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษากี่คำ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำลึกซึ้งมากเพื่ออะไร เพื่อให้รู้จักธรรม ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้ก็มีธรรม แต่จะไม่รู้จักเลยว่าเป็นธรรมถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เหมือนคนถูกปิดหู ปิดตาเหมือนคนตาบอด มีสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าก็ไม่รู้ว่าอะไร ก็ไปหาธรรม ไปปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นจะหาเจอไหม ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด รอบคอบ มีความเคารพสูงสุดในความจริง และคำจริงที่เริ่มจะเข้าใจ ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงธรรม ธรรม คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เตือนแล้ว ไม่ว่าจะฟังธรรมมานานเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เตือน ธรรม คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้น แม้ว่าคำนี้เป็นคำธรรมดาได้ยินบ่อยๆ คนที่ยังไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม คนที่ได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว กำลังมีธรรมปรากฏทุกขณะ ที่มีความเข้าใจ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ เตือนให้รู้ว่า สิ่งที่มีขณะนี้เป็นธรรมซึ่งแม้ได้ฟังอย่างนี้ก็ต้องอาศัยกาลเวลาอีกนานมาก กว่าจะรู้ความจริง ของสิ่งที่มี

    อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้ฟัง พระธรรมแท้ๆ จริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่า อะไรเป็นจริง ความจริงของ ความคิดของแต่ละคน ก็คิดกันไปใช่ไหม แต่ถ้าเป็นความรู้จริงจากการตรัสรู้ ตรัสรู้ ก็คือรู้จริงๆ ไม่ใช่คิด แต่เป็นการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริง แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ที่มีในขณะนี้ที่จริง จริงๆ ก็ต้อง พระธรรมยังมี แต่เมื่อไม่ศึกษา ก็ไปค้นหาเอาเองไปคิดเอาเอง ก็ไม่สามารถจะเข้าใจ ความจริงที่มีอย่างนี้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะตอบให้ง่าย เห็นมีไหม แค่นี้ รู้หรือไม่ว่าเห็นเป็นธรรม เหมือนกับธรรม ต้องไปที่อื่น แต่เดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่มี ได้ยินก็มี เพราะฉะนั้นได้ยินก็เป็นธรรมเพราะธรรม ต้องเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ทุกคนต้องรู้ว่าสิ่งใดที่กำลังปรากฏขณะนี้ จะไม่มีได้ยังไร ก็ปรากฏแล้วว่ามี เช่น เสียง กำลังได้ยินอย่างนี้ เราจะบอกว่าไม่มีเสียงได้หรือ กำลังเห็น จะบอกว่าไม่มีเห็น ไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตายนั่นเองเป็นธรรม เริ่มพบธรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มี แต่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้น เห็นมี แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงสิ่งที่สุดของเห็น ซึ่งความจริง ใครรู้จักเห็นบ้าง มีเห็น แต่ไม่รู้จักเห็นแล้ว ก็เห็นอะไรก็รู้ด้วยว่าเห็นอะไร แต่ก็ไม่รู้จักสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ

    เพราะฉะนั้น แสดงเห็นว่า ความรู้ของสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ของคนที่ไม่ได้ตรัสรู้ความจริง เพราะคนที่ไม่ได้ตรัสรู้ความจริง เห็นก็ไม่รู้ ใช่ไหม คิดก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ตามธรรมดาแต่ว่า เป็นแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ความจริงของเห็น คืออะไร กำลังเห็นแท้ๆ รู้ไหม ความจริงของเห็นคืออะไร เห็นไหม กำลังเห็น แล้วความจริงของเห็น คืออะไร ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น จะมีเห็นไหม แค่นี้ ไม่เคยมีใครคิด ไม่เคยมีใครไตร่ตรองเลย แต่ถ้าคิด เห็นต้องเกิดแน่ๆ จึงมีเห็น

    เพราะฉะนั้น เราจะไม่พูดถึงอย่างอื่นเลย เวลาพูดถึงธรรม พูดถึงหนึ่งเดียวแต่หนึ่งเดียว ซึ่งดูเหมือนเป็นธรรมดา แต่ว่าความลึกซึ้ง ของสิ่งนั้นมีมากแค่ไหน เช่น เห็นขณะนี้ ต้องเกิดขึ้นแล้ว ก็เห็นเท่า นั้นเอง ใช่หรือไม่ ซึ่งมีอะไรมากกว่านั้น เกิดขึ้นเห็นแล้ว ก็ดับไป ใครรู้ ก็ไม่รู้ก็เป็นเรา เห็นขณะนี้ เราเห็น แต่ว่าความจริงเห็น ต้องเกิดขึ้นเห็น เห็นทำอย่างอื่นไม่ได้เลย เห็นคิดไม่ได้ เห็นจำไม่ได้ เห็น คือ เห็น เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป นี่เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่จากการที่พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นคิด ไตร่ตรองแล้วบอก แต่เป็นการประจักษ์แจ้ง การเกิดขึ้นของเห็น และการดับไปของเห็น ในขณะนี้เอง นี่คือความต่างกัน

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์อะไร ที่เราจะต้องมาพูดเรื่อง สิ่งธรรมดา ซึ่งก็เป็นธรรมดาจะบอกว่า เห็นเกิดแล้ว ก็ดับ ก็เป็นธรรมดา แต่ประโยชน์อย่างยิ่งก็คือว่าเริ่มเข้าใจถูกต้อง เห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วใครก็บันดาลให้เห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เห็นนี่เองเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา เวลาได้ยินได้ฟังคำของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าให้เราไปคิดต่อเอาเอง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แน่ละเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็หนาว บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่การคิดอย่างนั้น แต่ต้องคิดให้ตรงกับว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตาต้องละเอียดกว่านั้นว่า แล้วอะไรมีจริงเห็นเดี๋ยวนี้มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา คำว่า อนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ของใคร ทั้งสิ้นแต่ว่ามีจริงๆ ที่เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป แค่ประโยคนี้ เห็นมีจริงเกิดขึ้น เห็นแล้วดับไป สะกิดใจใครบ้างหรือไม่ ว่าไม่ง่าย ลึกซึ้งมีประโยชน์ ละคลายการที่เห็นเป็นเรา หรือว่าเราเห็น และก็ไม่ใช่มี แต่เห็นอย่างเดียว

    ได้ยิน ได้ยินต้องเกิด แต่เกิดเองไม่ได้ ต้องมีเสียงกระทบหู หู ก็ไม่ใช่ใบหู ทั้งหมด แต่เป็นรูปพิเศษที่อยู่กลางหู ซึ่งใครก็มองไม่เห็น แต่รูปนั้น กระทบกับเสียง เสียงไม่กระทบแขน ไม่กระทบขา ไม่กระทบใบหู แต่ต้องกระทบรูปที่สามารถที่จะกระทบกัน แล้วก็เป็นปัจจัย ให้ธาตุรู้ เกิดขึ้น ได้ยินเสียง หนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นโดยที่ใครเขาบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้น และดับ แต่ไม่มีใครรู้ ความจริงเลยว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้ ด้วยความไม่รู้ ก็มีการยึดถือ สิ่งที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรา หรือ ว่าเป็นของเราถ้าเป็นเรา แล้วรักเรา ติดข้องในเราไหม ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นปรากฏ เพราะไม่รู้ก็ติดข้อง และต้องการทุกสิ่ง ทุกอย่าง เพื่อเราใช่หรือไม่ แสวงหาตลอดชีวิต ทั้งวันตั้งแต่ลืมตา นอนอยู่แสวงหาอะไร ลืมตาถ้าไม่แสวงหา ที่จะลืมตา ขึ้นมาเห็น ก็หลับตาต่อไป แต่นี่ คือ ความละเอียดของ ธรรม ก็คือว่า แม้นอนอยู่ ก็รู้ด้วยการฟังว่า ขณะนั้น ต้องมีจิต ถ้าไม่มีจิต ก็คือ คนตาย แต่ว่าขณะที่นอนหลับ ไม่ได้ตาย ต้องมีธาตุรู้ชนิดหนึ่ง ซึ่งเราพูดชื่อบ่อยๆ เลย จิตใจ อะไรก็พูดทุกอย่าง แต่ว่าไม่รู้จักคำที่เราพูดเลย จนกว่าจะได้ฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่มี โดยละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง นอนหลับมีจิต แต่ไม่ใช่จิตเห็น เห็นนี้ก็ต้องเป็นจิต โต๊ะ เก้าอี้ไม่เห็นอะไรเลย

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วก็คือว่า มีธาตุรู้ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ห้ามไม่ให้ใครเกิดได้ไหม เพราะฉะนั้น อะไรเกิด ธาตุรู้ต่างหาก ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ต้นไม้ ใบหญ้า เกิด แต่เป็นธาตุรู้ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แต่ไม่มีใครรู้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา แต่ละคำ แต่ละคำ แต่ละคำ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วเผินไปอยากจะรู้โน่น รู้นี่ โดยไม่รู้ว่าแม้คำที่ได้ฟัง รู้หรือไม่ ว่าสิ่งหนึ่ง สิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ง่ายๆ คือว่า ขณะนี้ เห็นไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก เพราะฉะนั้น ขณะหนึ่งในชีวิต ชีวิต คือ การที่มีธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป ทีละหนึ่งขณะ ลองค่อยๆ พิจารณา คน หรือ สัตว์ และสิ่งที่มีชีวิต ก็คือ มีธาตุรู้ เกิดขึ้นรู้ เพียงหนึ่งขณะ แล้วก็ดับไป การดับไปของขณะนั้น เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไป ธาตุรู้ คือ จิตเกิดขึ้นสืบต่อไม่ขาดสายเลย ตั้งแต่เช้ามาจนถึงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีจิตได้ไหม ใช่หรือไม่ แต่ว่าเพราะมีจิตใช่ไหม จึงจากหลับแล้ว ก็ตื่นขึ้น และก็ทำธุระ ทุกสิ่ง ทุกอย่างจนกระทั่ง มาถึงขณะนี้ ที่กำลังได้ยินเสียง ที่เสียง ก็ต้องเกิดขึ้น ถ้าเสียงไม่เกิด ได้ยินจะได้ยินอะไร ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เสียงเกิดขึ้นจริง แต่ต้องกระทบหูด้วย ถ้าเสียงไม่กระทบหู ธาตุรู้ คือ จิตได้ยิน ก็เกิดไม่ได้ แต่เราก็บอกว่า เราได้ยิน ทุกคน คุ้นหูกับคำว่า เห็น ทุกคนคุ้นหูกับคำว่า ได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอะไรที่เห็น อะไรที่ได้ยินแล้วก็ไม่ใช่ขณะเดียวกันด้วย เห็นต้องเป็นขณะหนึ่ง ได้ยินต้องเป็นอีกขณะหนึ่ง แข็งที่ปรากฏก็เป็นอีกขณะหนึ่ง หลับตาไม่เห็น แข็งก็ปรากฏได้ หลับตาไม่เห็น ได้ยินเสียงก็ปรากฏได้

    เพราะฉะนั้น ธรรม คือ แต่ละหนึ่ง ซึ่งมีในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่มีใครเคยคิดถึงมาก่อนว่าเพราะมีสิ่งเหล่านี้ต่างหากจึงเป็นเรา เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้ตามความจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แต่มีเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วจะเป็นของใคร สิ่งที่ดับไปแล้วเป็นของใคร เพราะฉะนั้น ให้รู้ว่า เพราะความไม่รู้ ก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความไม่รู้มากมาย ตั้งแต่เริ่มมีความติดข้อง ต้องการ แสวงหา ตั้งแต่เกิดจนตาย ก่อนตายก็ยังแสวงหา

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 181
    21 เม.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ