ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092


    ตอนที่ ๑๐๙๒

    สนทนาธรรม ที่ วิลล่า วิลล่า พัทยา รีสอร์ท จ.ชลบุรี

    วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ใครจะมาบอกเราว่าอารมณ์ของจิตปฏิสนธิ คืออารมณ์เดียวกับจิตใกล้จุติของชาติก่อน เเล้วยังมีว่าเพราะอะไรอีก เพราะเหตุว่าทุกครั้งที่เห็นแล้วทางใจต้องรับรู้ต่อ แต่แทนที่ทางใจจะรับรู้ต่อ จุติจิตดับ ปฏิสนธิรับรู้ต่อ ไม่อย่างนั้นจะเอาอารมณ์นี้มาจากไหน คือทุกอย่างของพระองค์มีความลึกซึ้ง มีความละเอียดอย่างยิ่ง จึงเป็นอภิธรรม ถ้าไม่มีธรรมที่ละเอียดยิ่ง จะมีพระวินัยไหม ก็ไม่มี จะมีการบวชไหม ก็ไม่มี แต่เพราะเหตุว่าธรรมลึกซึ้ง ซึ่งคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ แต่ยังมีผู้ที่สะสมมาที่เขาสามารถอุทิศชีวิตของเขา เพราะเห็นค่าของพระธรรมโดยการสละชีวิตคฤหัสถ์ จึงมีการบวชเป็นพระภิกษุ เพื่อที่จะได้ศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งต้องประพฤติตามพระวินัย เพราะว่าทรงรู้ละเอียดอย่างยิ่งเลยว่า กิเลสนี้จะนำมาสู่กิเลสใหญ่หลวงแค่ไหน ถึงขั้นปาราชิกหรืออะไร

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมมี ๓ ระดับขั้น ขั้นฟังเข้าใจ ยังไม่ถึงขั้นไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น ฟังเข้าใจแล้วว่า ขณะนี้เห็นเกิดขึ้น ไม่มีใครบังคับบัญชาเลย และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาได้ คือทุกอย่างต้องฟังว่า นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะลึกซึ้ง อภิธรรม ใครไปทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร จะประจักษ์แจ้งอย่างนี้ได้อย่างไร

    ผู้ฟัง คือกำลังหาทางที่จะประจักษ์แจ้ง

    ท่านอาจารย์ ทางคือค่อยๆ เข้าใจขึ้น ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากการฟัง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจ รู้ว่ายังไม่ใช่ระดับประจักษ์แจ้ง

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วเมื่อไหร่จะเป็นขณะที่กำลังเริ่มถึงการรู้ตัวธรรม เรากำลังพูดเรื่องธรรม พูดเรื่องจิต เจตสิก เดี๋ยวนี้กำลังทำงานแต่เราไม่รู้เลย เมื่อไหร่จะรู้จักจิตสักที ไม่ใช่เราไปนั่งแล้วเราไปรู้จักจิต เดี๋ยวนี้ก็มีเจตสิก เมื่อไหร่เราจะรู้จัก จะได้รู้ว่าไม่ใช่เรา เดินเท่าไหร่เราก็ไม่รู้จักเจตสิก ก็เป็นตัวเราที่นั่ง เขาบอกว่าให้นั่งแล้วจะรู้ว่านั่งไม่ใช่ยืน ไม่ใช่เดิน อย่างนั้นไม่ต้องบอกก็รู้

    ผู้ฟัง แต่ทีนี้พอลองทำตามก็เกิดความสบายใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสบายใจคืออะไร

    ผู้ฟัง คือว่าไม่คิดถึงเรื่องอื่น

    ท่านอาจารย์ ไม่คิดถึงเรื่องอื่นเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็คือว่าเรานิ่ง อุเบกขา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นเรา ไม่ใช่เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ใช่ ก็ไม่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เป็นเราตลอด เรานิ่ง เราสบายใจ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านสอนทุกคำอย่างละเอียดยิ่ง ให้เข้าใจแต่ละคำจนกระทั่งค่อยๆ ละความเป็นเรา เพราะรู้ว่าเห็นจะเป็นเราได้อย่างไร เห็นเกิดแล้วเห็นก็ดับไป ไม่ใช่ไปเดินๆ นั่งๆ แล้วก็ว่าเห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่อย่างนั้น

    ผู้ฟัง แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอนเรื่องนั่งสมาธิพวกนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าสมาธิคืออะไร

    ผู้ฟัง สมาธิก็คือนั่ง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ใครก็นั่ง นั่งอย่างนี้เป็นสมาธิได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสมาธิ เป็นรูป หรือ เป็นนาม

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม เดี๋ยวนี้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่ ขณะไหน

    ผู้ฟัง ขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้คืออะไร

    ผุ้ฟัง เดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ เอาหนึ่งเดียว หนึ่งคือเดี๋ยวนี้ คืออะไร เห็นไม่ใช่ได้ยิน ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นหนึ่ง ได้ยินไม่ใช่คิด ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิดหนึ่ง ได้ยินหนึ่ง ต้องเอาหนึ่งจริงๆ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้หนึ่งคืออะไร

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นธรรมอะไร เป็นธรรมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แค่รู้ว่าเป็นธรรมไม่พอ เป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นเจตสิก

    ท่านอาจารย์ เจตสิกอะไร

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ วิตกเจตสิก ไม่ใช่เจตสิกที่จำ ไม่ใช่สัญญาเจตสิก ไม่ใช่เวทนาเจตสิก ทำไมเราต้องรู้ละเอียดอย่างนี้ ก็เพื่อไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปนั่งแล้วไม่ใช่เรา แต่ความเข้าใจแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา ละเอียดขึ้นต่างหาก จึงจะทำให้มีปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งถึงเฉพาะตรงนั้นเลย คือสติสัมปชัญญะ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ให้เราไปทำ ไม่ใช่ให้เราไปนั่ง หรือไม่ใช่ให้เราไปเดินแล้วจะรู้ แล้วจะคิดอย่างนั้น นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน

    ผู้ฟัง คือเราทำธุรกิจช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤตมากเลย

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ธุรกิจก็ต้องเป็น

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มีเจตสิกไหม

    ผู้ฟัง ต้องมี

    ท่านอาจารย์ มีจิตไหม

    ผู้ฟัง ต้องมี

    ท่านอาจารย์ ไม่ขาดเลย ธุรกิจก็คือ จิต เจตสิก

    ผู้ฟัง ที่ไปนั่งก็คือ ที่เรากำลังคิดวุ่นวาย นั่งเเล้วทำให้เราเลิกคิด

    ท่านอาจารย์ คิดวุ่นวาย เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง เมื่อไหร่จะรู้ ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าเราไปทำก็ไม่ใช่หนทาง ต้องรู้ ต้องเข้าใจ ตัวเข้าใจต่างหากที่ละความไม่รู้ ถ้าไม่มีความเข้าใจเลยความไม่รู้ก็อยู่เต็ม เป็นเราทำ เราวุ่นวาย แต่ความจริงทั้งหมดเป็นธรรม นิ่งเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจถูกไหมว่าขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา นิ่งมีจริงถูกต้อง นิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรา วุ่นวายมีจริง วุ่นวายนั้นก็ไม่ใช่เรา สงบมีจริง สงบนั้นก็ไม่ใช่เรา ทั้งหมดต้องไปสู่ความไม่ใช่เราตามปกติ จนกว่าจะรู้ทั่วว่าไม่ใช่เรา นั่นคือทางสายเอก คือทางสายเดียวที่จะละความเป็นเรา เพราะตราบใดที่ยังมีความเป็นเรา ยังต้องมีความติดข้องในเรา ปรารถนาแต่สุข ไม่ปรารถนาทุกข์เลย แต่ลืมว่าไม่ใช่เราทั้งหมด แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วย เป็นอภิธรรมคือลึกซึ้ง เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมที่เป็นปกติ ถ้าไม่รู้ความเป็นปกติก็ไม่มีทางละความเป็นเราในชีวิตธรรมดาปกติ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมแล้วก็ไม่รู้

    ผู้ฟัง ทำธุรกิจโอกาสที่จะละก็ยาก

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างทั้งหมด ท่านอนาถบิณฑิกะท่านเป็นพ่อค้า วิสาขามิคารมารดาก็ทำการค้า ไม่ได้ไปสำนักปฏิบัติ พระพุทธเจ้าไม่บอกให้ท่านเดินแล้วจะสงบ ไม่เคยพูดเลย แต่ให้มีปัญญารู้ว่าไม่ใช่เรา คืออะไร ไม่ใช่เราแล้วต้องคืออะไร บอกเเค่ว่าไม่ใช่เราก็ไม่ได้ แล้วคืออะไร ก็มีอยู่ ถ้าไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร ตราบนั้นยังไม่ได้ละความเป็นเรา ทุกคำต้องไตร่ตรอง ต้องคิด และต้องแยกให้รู้ว่า คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่ คำที่ไม่ให้เกิดความเข้าใจไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความเป็นสิ่งนั้น จึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรา เห็นก็เป็นเราไม่ได้ ได้ยินก็เป็นเราไม่ได้ เดือดร้อนก็เป็นเราไม่ได้ วิตกกังวลก็คือธรรมทั้งหมด เป็นปกติเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงเป็นปัญญาที่สามารถละความเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นหนทางไปสู่นิพพาน คือการละความติดข้องในธรรมว่าเป็นเรา ซึ่งเป็นกิเลสแรกซึ่งเป็นกิเลสแรกขั้นต้นที่จะต้องดับ ถ้ายังคงมีเราอยู่ก็ไม่มีทาง ไม่มีทางเพราะไม่รู้ แล้วก็เชื่อโดยไม่เข้าใจว่า แต่ละคำที่เราพูดต้องเป็นตัวธรรม ซึ่งขณะนี้มี แต่ถูกปกปิดไว้เพราะไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำละเอียดยิ่ง คนที่ไปเฝ้าก็ซักถาม เพื่อที่จะให้พระองค์ได้ทรงแสดงความไม่ใช่เรา พระองค์ก็ตรัสว่าเห็นเป็นเราหรือเปล่า คนที่ฟัง ต้องมีการได้ยินได้ฟังมาแล้ว จึงสามารถที่จะตอบได้ว่าเห็นไม่ใช่เรา เมื่อเห็นไม่ใช่เรา เเล้วเห็นเป็นอะไร ตอบแค่เห็นไม่ใช่เราก็ไม่พอ เพราะว่าไม่รู้ว่าคืออะไร ถ้าไม่รู้คืออะไร แล้วบอกว่าไม่ใช่เราก็คือ แค่คิด แค่จำ ไม่ใช่เข้าใจ เห็นไม่ใช่เรา เพราะเห็นต้องเกิด แล้วเห็นได้ยินไม่ได้ เป็นธาตุรู้ ซึ่งขณะนี้มีอะไรในห้องนี้ เห็นหมด เพราะเห็นเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นเห็นดับ ขณะที่ได้ยินเสียงจะมีเห็นไม่ได้ แต่ละหนึ่ง เร็วมากสุดที่จะประมาณได้ จึงปรากฏเหมือนว่าเมื่อลืมตาห้องนี้มีทุกอย่าง แต่ความจริงกว่าจะเป็นแต่ละหนึ่ง จิตเกิดดับเท่าไหร่ ไม่ต้องประมาณเลย เพียงแต่ว่าเราค่อยๆ เข้าใจว่ามี แต่เหมือนอยู่ในใต้ก้นมหาสมุทร เราไม่สามารถที่จะเห็น แต่รู้ว่ามีอะไรจากคำที่พระองค์ตรัส

    ผู้ฟัง ตอนนี้ถ้าเราทำธุรกิจ ถ้าเราไม่คิดว่าเป็นเรา เราก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม หรือว่าทำให้เรารู้สภาพธรรมว่าเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ค่อยหาวิธี

    ท่านอาจารย์ อย่างนี้คือการฟังเผิน ฟังเผินแน่ๆ เมื่อไม่ใช่เราแล้วคือทำไม่ได้ ไม่ใช่เมื่อไม่ใช่เราแล้ว เราจะทำอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ใช่เรา แล้วเราจะทำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ นั่นผิด เมื่อไม่ใช่เราแล้ว ก็ต้องไม่ใช่เราตลอด นั่นคือถูก เมื่อไม่ใช่เราตลอดเเล้วเป็นอะไร นั่นคือปัญญาที่รู้ว่า ไม่ใช่เรา จึงละความเป็นเรา ตราบใดที่เป็นคุณตี๋ต้องอย่างนี้ ต้องทำงาน ต้องยุ่ง ต้องมีเรื่องเยอะแยะ ต้องเป็นอย่างนี้ โดยไม่รู้ว่านั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่คุณตี๋ ผ่านไปหมดตลอด โดยไม่รู้เลย ไปนั่งทำอะไรแล้วหลงคิดว่านั่นไม่ใช่เรา แต่ความจริงไม่ใช่เรา ต้องไม่ใช่เราทั้งหมด ทุกคำของพระพุทธเจ้าไปดัดแปลงเปลี่ยนไม่ได้เลย ธรรมคือธรรมดาใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ความละคลายความติดข้อง ความเดือดร้อน ก็จะค่อยๆ น้อยลง แต่ตราบใดที่ยังเป็นเรา ก็ยังคงต้องเป็นอย่างนี้ เขาก็ยังคงต้องเป็นอย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นการที่จะละกิเลส ไม่ใช่ว่าชั่วคราว แต่ว่าค่อยๆ ละจนหมด ไม่ใช่ชั่วคราว นี่คือต่างกันใช่ไหม เราไปเที่ยวขณะนั้นเราก็ลืมความทุกข์ แต่แล้วเราก็กลับมีความทุกข์อีก เมื่อมีชีวิตปกติธรรมดา ทุกข์ก็ต้องเกิดตามธรรมดา แต่ถ้าเราสามารถเข้าใจว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับ และแต่ละหนึ่งก็เป็นแต่ละธาตุ ซึ่งหลากหลายมากตามการสะสม ความเมตตาของเราจะเพิ่มขึ้น หรือว่าการที่เราจะค่อยๆ เป็นคนดี ซึ่งเราคิดว่าเราอาจจะเป็นคนดีแล้ว แต่ดีกว่านี้ได้อีกเมื่อเข้าใจความจริง ดีโดยไม่รู้ความจริง กับดีโดยเข้าใจความจริง ต่างกันตรงที่ว่า ดีคือดี แต่ความเข้าใจคือความเข้าใจเพิ่มขึ้น และความไม่ดีทั้งหลายที่สะสมมานานในสังสารวัฎฏ์ อย่างไรๆ ก็ละไม่ได้ถ้าไม่รู้ ไม่ใช่ว่าเราไปทำอะไร แล้วตอนนั้นเรารู้ว่าไม่ใช่เรา ก็ไม่ใช่ ต้องขณะนี้เดี๋ยวนี้ ต้องเป็นปกติไม่มีใครไปทำ อย่างได้ยินอย่างนี้ไม่มีใครไปทำ คุณตี๋กำลังฟัง เหมือนเป็นคุณตี๋ แต่ความจริงฟัง แล้วก็คิด แล้วก็ไตร่ตรอง เป็นเจตสิกทั้งหมด กำลังปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ต่างกันไป

    เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของแต่ละหนึ่งแล้วแต่การสะสม ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คุณตี๋ให้พนักงานเข้ามาในห้องนี้ ฟังอย่างนี้ ๑๐ คน ต่างคนก็ต่างเป็นแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแสดงความเป็นอนัตตาถึงจะถูกต้อง ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เข้าใจความเป็นอนัตตา นั่นตรงตามความเป็นจริง แต่ถ้าให้เราไปทำนั่นก็คือเริ่มผิดตั้งแต่ต้น ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครทำเลย ทุกคำของพระองค์ให้เข้าใจ เราลืมไหมว่าเข้าใจไม่ใช่ทำ ทำคือเรา แต่เข้าใจเป็นธรรมที่สามารถจะรู้ว่าไม่ใช่เรา นี่คือความต่างกันอย่างละเอียด ซึ่งถ้าไม่ไตร่ตรองก็ฟังดูเหมือนกับว่า อีกอย่างหนึ่งได้ผลเป็นเราทำได้ แต่อีกอย่างหนึ่งกว่าจะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แล้วละกิเลสจริงๆ จนถึงทางเอก ทางสายเอกคือกิเลสเกิดอีกไม่ได้เลย ของคุณตี๋ทำไป กิเลสเกิดไป เดี๋ยวกิเลสเกิด เดี๋ยวกิเลสเกิด เอาสงบไป เดี๋ยวกิเลสก็มาอีก ไม่ใช่หนทาง "ละ" หนทางละต้องเป็นหนทางเดียว คือรู้จริงๆ แล้วความเข้าใจจริงๆ จะค่อยๆ ปลอดโปร่ง จะค่อยๆ นำไปสู่การละคลาย โดยเห็นความเป็น "ไม่ใช่เรา" เพราะฉะนั้นคุณตี๋มั่นคงในความไม่ใช่เราหรือยัง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นถ้าเกิดทำธุรกิจก็ต้องแยกอีกอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่แยก ทำธุรกิจมีเห็นไหม

    ผู้ฟัง ทำธุรกิจมีเห็นไหม ทำธุรกิจมีเห็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ มีพ่อค้าสองสามคน คิดต่างกันหรือเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ตามการสะสมใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ไปเปลี่ยนเขาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้ามีการเข้าใจ อย่างคนนี้กำลังฟังเรื่องเห็นไม่ใช่เรา กับอีกคนฟังด้วยความเป็นตัวตน ให้ไปทำอย่างนั้น อย่างนี้ คุณตี๋พิจารณาว่าอะไรถูก ตรงกับคำว่าไม่ใช่เรา ต้องให้ตรงกับคำแรกด้วย คำแรกคือคำว่า "อนัตตา" ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่เรากลุ้มใจ ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่เราสบายใจ แต่ต้องทั้งหมดเลย เกิดแล้วเราบังคับได้ไหม ตายเราบังคับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ตายแล้วต้องเกิดอีกบังคับได้ไหม เกิดแล้วสะสมสิ่งที่เกิดในชาตินี้ไปสืบต่อถึงชาติหน้า บังคับไม่ได้ ก็เป็นอย่างที่เราได้สะสมมา เพราะฉะนั้นสะสมมาที่จะกลุ้มใจ กังวลใจ สะสมมาที่จะเริ่มเข้าใจว่าไม่ใช่เรา ต่างกันแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นปัจจัยโดยละเอียดยิบ แต่ให้เริ่มต้นก่อนว่าคืออะไร แล้วถึงจะแสดงปัจจัยของแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นเห็นความละเอียดยิ่งของพระปัญญาคุณ ซึ่งทรงแสดงอย่างละเอียดเพื่ออนุเคราะห์เราให้รู้ว่า กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เราจริงๆ เราต้องฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วค่อยๆ มั่นคงในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าเราทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีเรา เพราะไม่มีเขา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่งๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วจะเห็นจริงๆ ว่าเป็นหนทางที่จะดับกิเลส คือไม่รู้แล้วก็รู้ขึ้นว่าเป็นธรรม ถ้ายังคงเป็นเราก็ไม่มีทางถึง จะไม่ใช่ทางสายเอกเลย บอกว่าเป็นทางสายเอกสักเท่าไหร่ก็ยังเป็นเรา แต่ถ้ามีความรู้ ความเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ เข้าใจ ต้องนำไปสู่การรู้ความจริง

    พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีนานเท่าไหร่ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ต้องบำเพ็ญบารมี แสดงว่าอกุศลทั้งหลายไม่สามารถจะเข้าใจธรรมได้ แต่ขณะใดก็ตามซึ่งกุศลจิตเกิดเบาบางจากอกุศล พร้อมทั้งปัญญา ที่พิจารณาความจริง ปัญญาพิจารณาความจริง ว่าอะไรจริง อะไรถูก จะนำไปสู่อริยสัจจะ เป็นทางเอกทางเดียว คือเข้าใจความจริง โดยการพิจารณาไตร่ตรองว่าคำนั้นเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่เรา ต้องไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราแต่มาบอกให้เรานั่ง ผิดหรือถูก แค่นี้เราก็รู้แล้ว คนที่มาบอกแล้วให้เรานั่ง ก็แปลว่าเขาไม่รู้ความเป็นอนัตตา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นอนัตตาทุกประการ พร้อมทั้งปัจจัยของแต่ละหนึ่ง คุณตี๋มีความสำเร็จในการงานก็ต้องมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่แค่พนักงาน ปัจจัยนั้นละเอียดมาก คือตั้งแต่เกิดมา ก่อนจะเป็นคุณตี๋วันนี้ ก็ต้องมีปัจจัยอย่างละเอียดจนกระทั่งเป็นคุณตี๋ จนกระทั่งเป็นคน แต่ละหนึ่งๆ ทรงแสดงไว้ละเอียดมาก เป็นหนทางสายเอกที่จะทำให้รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการละความยึดมั่นว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นจะให้ไปนั่งก็ไม่มีทาง ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ตรัสให้ใครไปนั่งเลย แต่แสดงความจริงว่าที่เราพูดตั้งแต่เกิดจนตาย คือพูดคำที่ไม่รู้จัก แล้วยังมีคนมาบอกให้เราเข้าใจผิดอีก โดยไม่ให้เรารู้ว่าคืออะไร ให้เราไปทำได้อย่างไรโดยเราไม่รู้ เพราะฉะนั้นสมาธิไม่ใช่ไปนั่ง สมาธิคืออะไร เป็นเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ เป็นเจตสิกที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ด้วยเหตุนี้จิตหนึ่งขณะ จะรู้สองอารมณ์ไม่ได้ ต้องรู้เพียงอารมณ์เดียว เพราะเจตสิกนี้เกิดและตั้งมั่นในอารมณ์ใด อารมณ์นั้นเท่านั้นที่จิตรู้ เพราะฉะนั้น เอกัคคตาเจตสิก เอกะคือหนึ่ง ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง เกิดกับจิตทุกขณะ แม้อกุศลจิตก็มี จึงเป็นมิจฉาสมาธิ แล้วก็มีสัมมาสมาธิ ศึกษาธรรมต้องทั่วเพราะว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเวลาที่ไม่รู้แล้วทำ คิดว่าเป็นสมาธิ นั่นคือมิจฉาสมาธิ แต่ถ้ารู้ว่าสมาธิคือสภาพธรรมที่เกิดกับจิตทุกขณะ แต่เวลาที่เกิดและดับสืบต่ออารมณ์เปลี่ยนไปทั้งวัน เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิดนึก จึงไม่ตั้งมั่นที่อารมณ์เดียว ถ้าจิตจะตั้งมั่นที่อารมณ์เดียว โดยเป็นมิจฉาสมาธิคือไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่เวลาที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นรู้ว่าขณะไหนจิตสงบ ขณะไหนจิตไม่สงบ ปัญญารู้ ปัญญาจึงนำไปสู่ความสงบ ซึ่งเป็นกุศลไม่ใช่อกุศล กว่าจะถึงกุศลตามลำดับขั้นก็ต้องมีความเข้าใจอย่างละเอียดยิ่ง และกุศลจริงๆ ก็ไม่ใช่เรา แม้สมาธิก็ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นก็เป็นเราที่ทำสมาธิแล้วก็พอใจในสมาธิ

    เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาลก่อนการตรัสรู้ ก่อนจะมีการได้ยินได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า มีคนที่เขาทำสัมมาสมาธิ แต่ไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง ตรงทุกคำ ปัญญาระดับนั้น ไม่ใช่ขั้นฟังซึ่งเป็นปริยัติ แต่ถ้าไม่มีปริยัติขั้นฟัง ปฏิปัตติซึ่งเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างก็มีไม่ได้ อย่างแข็ง เด็กก็รู้ ใครก็รู้ กระทบอะไรจับอะไรก็แข็ง มีปัญญาเกิดร่วมด้วยไหม เด็กตอบว่าแข็งมีปัญญาเกิดร่วมด้วยไหม ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นรู้ว่า ปัญญาที่รู้ ต่างกับขณะที่ไม่รู้อย่างไร ต้องอาศัยอะไรปัญญาระดับนั้นจึงเกิดได้ เพราะฉะนั้น จะไม่มี ความหลงงมงายว่าเราทำอย่างนั้น แล้วจะมีชื่อมาเรียกกันว่า สมาธิหรืออะไร เพราะสมาธิก็มีมิจฉาสมาธิ ถ้ามิจฉาแปลว่าไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ เป็นเจตสิกที่เป็น เอกัคคตา เจตสิกหนึ่ง จากการฟัง แม้ขั้นฟัง ก็ต้องมีการที่จะเข้าใจขั้นฟัง ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจก็หมดหนทาง เพราะว่าปัญญาต้องเจริญตามลำดับขั้น ถ้าฟังแล้วเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจเป็นหนทาง ทางสายเอกต้องเป็นปัญญา สัมมาทิฏฐิ ขาดสัมมาทิฏฐิไม่ได้เลย เพราะว่าไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ในเมื่อเดี๋ยวนี้ดับแล้วมีสิ่งใหม่เกิด ก็ไม่รู้ ยังคงคิดว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ นี่คือความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์ที่มีมานานมาก แล้วจะไปนั่งสมาธิและจะไปรู้อะไร ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นคำของพระพุทธเจ้าเปรียบกับคำของคนอื่นไม่ได้เลย คือหนึ่ง เป็นคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน สภาพธรรมเกิดดับเป็นอนัตตา ตามเหตุตามปัจจัย ต้องอาศัยการฟังเข้าใจก่อน ปัญญาจึงจะเจริญตามลำดับ ใครบอกเรา ถ้าบอกให้ไปทำ เขาไม่บอกให้ปัญญาเจริญตามลำดับเลย เขาไม่รู้ว่าลำดับคืออะไร ต้องมีการฟังก่อน "สุตมยปัญญา" ปัญญาคือความเข้าใจถูก สำเร็จจากการฟัง สุตมยะ สำเร็จจากการฟัง ถ้าการฟังไม่เข้าใจก็คือไม่มีทาง เพราะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ยากกว่าที่จะได้ตรัสรู้ แต่คำของคนอื่นเขามากลบหมด ทำให้คนที่ไม่รู้คิดว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าสะสมมาว่าคำของพระพุทธเจ้าต้องเป็นคำให้เข้าใจ คนนั้นจะถามตลอด ถ้าศึกษาธรรมแล้วรู้เลยว่าใครพูดผิด ให้ทำสมาธิ ให้ทำสัมมาสมาธิ หรือมิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ ปัญญารู้อะไร จากแข็งๆ ปกติอย่างนี้ ประจักษ์แจ้งการเกิดดับถึงจะเป็นวิปัสสนา เป็นปกติซึ่งเป็นอนัตตา เพราะปัญญาค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เจริญ ค่อยๆ ละ สภาพธรรมจึงปรากฏได้ เพราะขณะนี้ มีคำว่า ไม่รู้ คืออวิชชา ซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้เเต่ไม่รู้ เพราะไม่ใช่รูปธรรมที่จะไปแตะต้องได้ โมหะ ความไม่รู้ เป็นสภาพของเจตสิกซึ่งเกิดกับจิต แต่เป็นสภาพที่ไม่รู้ มืดมนไปหมดเลย โมหะ หลงไปเลย

    เพราะฉะนั้นปัญญาตรงกันข้ามกับ เป็นเจตสิกต่างประเภท อยู่ดีๆ ปัญญาเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังคำแล้วเข้าใจ รู้เลยว่าถ้าไม่มีการตรัสรู้ เราจะได้ยินคำว่าธรรมไหม เราจะได้ยินคำว่าอนัตตาไหม เราจะได้ยินคำว่าเกิดดับไหม เพราะทรงแสดงความจริงตามปกติ เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับรึเปล่า ต้องตรง ถ้ายังไม่เข้าใจก็คือจบ ไม่มีการที่จะเข้าใจได้ เพราะแม้แต่เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับไหม ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า ไม่เกิดดับ แต่พอฟังเห็นคืออะไร ถ้าไม่มีตา จักขุปสาทรูปซึ่งมองไม่เห็นเลย แต่อยู่ตรงนี้ที่กระทบกับสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็ต้องมีจิต และเจตสิกอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ จิตขณะต่อไปไม่ได้ทำกิจเห็น แต่รู้ตาม เพราะรับรู้ต่อ คือแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ปัญญาของคนอื่นที่จะมาแสดงธรรมโดยไม่รู้อะไร แล้วก็เอ่ยชื่อว่าเป็นอนัตตา แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร เป็นอนัตตาเพราะอะไรโดยละเอียด จนถึงกับว่าปัจจัยของแต่ละรูป แต่ละนาม ชัดเจนเพิ่มขึ้น แต่ว่าเราจะมั่นคงแค่ไหนในความไม่ใช่เรา เมื่อมีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา ไม่มีทางที่จะไปทำตามคำของคนอื่นเลย นอกจากฟังและเข้าใจขึ้น ฟังแล้วเข้าใจขึ้น และรู้ว่านี่เป็นหนทางเดียว

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าหนทางเดียว เราก็รู้หนทางของความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะเป็นหนทางไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้เราไปนั่งสักเท่าไหร่ ให้เราไปเดินให้สงบสักเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่ทางที่จะรู้ความจริงที่จะดับกิเลส ต้องเป็นคนที่มั่นคงอย่างมากในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่ามีคนที่ศึกษาธรรม เรียนพระอภิธรรม สอนพระอภิธรรมตั้งสำนักปฏิบัติ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    3 เม.ย. 2568

    ซีดีแนะนำ