ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
ตอนที่ ๑๐๘๒
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นรูปธรรม เป็นรูปขันธ์ กำลังเกิดดับหรือเปล่า รู้ไหม แค่ฟัง แต่เดี๋ยวนี้ใครจะรู้ว่ารูปไหนเกิด รูปไหนดับ ไม่ใช่ปัญญาระดับที่ถึงเฉพาะรูปหนึ่งที่เกิดจึงประจักษ์แจ้งว่ารูปนั้นเกิด แล้วดับ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้ฟัง เพื่อเข้าใจแต่ละคำละเอียดยิ่งขึ้น และตรงต่อความเป็นจริงยิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้รูปทั้งหมดเกิดและดับตลอดเวลา ใครรู้ ต้องปัญญา สภาพธรรมที่สามารถเข้าใจถูก เพราะว่าขณะใดที่ไม่รู้ ความไม่รู้มีจริงๆ ตรงกันข้ามกับสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง จากไม่รู้เลยทั้งสิ้น มีคำที่ได้ฟังจากผู้ที่ทรงตรัสรู้ ความรู้เริ่มเกิด ความรู้เป็นขันธ์หรือไม่ (เป็นขันธ์) เพราะเกิดแล้วก็ดับ ทุกอย่างหมดเลย สภาพธรรมเดียวซึ่งไม่เกิดดับคือนิพพาน สิ่งที่เกิดดับต้องมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แต่เรายังไม่สามารถที่จะรู้ปัจจัยได้ จนกว่าจะศึกษาเข้าใจตามลำดับ แม้ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็ได้เรียบเรียงไว้ตามลำดับ พระวินัยปิฏกเกี่ยวกับเรื่องความประพฤติเป็นไปที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตเป็นส่วนใหญ่ พระสุตตันตปิฏกก็กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งอดีต สมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน เสด็จไปที่ไหนมีใครมาเฝ้า ตรัสธรรมเรื่องอะไรกับใครก็ประมวลไว้ พระอภิธรรมปิฏกกล่าวถึงธรรมล้วนๆ ไม่เรียกชื่อก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เช่น เห็น เดี๋ยวนี้มีจริงกำลังเห็นนี่แหละเป็นธรรมหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มีจริงๆ ให้ปรากฏว่าสิ่งนี้มีจริง เป็นธรรมแน่นอน มีจริงเมื่อไหร่ เมื่อเห็น ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้จะปรากฏว่ามีจริงได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้เห็นสภาพที่กำลังเป็นธาตุรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ก็เป็นธรรม รูปที่ปรากฏทางตาซึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ปรากฏให้เห็นได้ก็เป็นธรรม แม้แต่ตา ซึ่งไม่ใช่ตาที่เรามองเห็นสีขาวสีดำ แต่เป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษใช้คำว่าปสาทรูป เพราะเหตุว่าต่างกับรูปอื่น รูปอื่นไม่สามารถที่จะเป็นที่กระทบของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ แต่รูปนี้มองไม่เห็น แต่เกิดหรือเปล่า ดับหรือเปล่า เป็นขันธ์หรือเปล่า เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ตอนนี้ยังเป็น
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เห็นไหมนี่คือความตรง ฟังธรรมแล้วรู้ว่ายังคงเป็นเรา เพราะอะไร แค่ความรู้อย่างนี้จะละความเป็นเราได้อย่างไร เพราะว่ายึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามากี่ภพกี่ชาติในสังสารวัฎฏ์นานแสนนาน และเพิ่งได้ยินได้ฟังว่าไม่ใช่เราเพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ ค่อยๆ เริ่มสะสมความเข้าใจจนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ถ้าไม่มีใครที่สามารถรู้ความจริงอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ไร้ประโยชน์ใช่ไหม แต่คนฟังเริ่มรู้ว่าก่อนฟังไม่เข้าใจ สภาพเข้าใจปัญญายังไม่เกิด แต่พอฟังแล้วเข้าใจแล้ว มาแล้วใช่ไหม เกิดแล้ว พอได้ยินคำว่าขันธ์ก็รู้แล้วว่าขันธ์คืออะไร เพราะฉะนั้นสภาพที่เข้าใจนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่งไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก ใช้คำว่าปัญญาเจตสิก หมายความถึงความเห็นถูกได้เริ่มเกิดขึ้น มากหรือน้อย เดี๋ยวนี้ที่เข้าใจแค่นี้มากหรือน้อย
ผู้ฟัง น้อย
ท่านอาจารย์ พอไหม พอหรือยัง มากขึ้นอีกได้ไหม เมื่อไหร่ อยู่ดีๆ จะมากขึ้นเองได้ไหม คิดเองได้ไหม ตั้งแต่นี้ไปคิดเอาเองเลยได้ไหม ไม่ได้ แต่ต้องอาศัยคำของผู้สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดค่อยๆ เข้าใจตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า ทุกคำไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ให้ไตร่ตรองว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อให้เข้าใจว่าความจริงของสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นปัญญาของคนนั้นซึ่งเริ่มมั่นคง จนกระทั่งยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ ยิ่งมั่นคงขึ้น ยิ่งรู้ความจริงเท่าไหร่ ความมั่นคงในการที่เข้าใจธรรม ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง เพราะประจักษ์แจ้งก็มั่นคงขึ้นเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเถระ คือฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ไม่คิดเองไม่แต่งไม่ต่อไม่เติม เพราะแต่ละคำลึกซึ้งกว่านี้มากนัก นี่เป็นเพียงชื่อซึ่งได้ยินตั้งแต่ต้นคือธรรม คือธาตุ แล้วก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไปเป็นขันธ์ ซึ่งขณะนี้ก็เป็นขันธ์ทุกขันธ์ซึ่งเกิดแล้วดับแล้วใช่ไหม แต่ไม่ปรากฏ เพราะปัญญาไม่ถึงระดับขั้นที่จะรู้แต่ละขันธ์ซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟัง และเข้าใจ ความเข้าใจค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละความติดข้อง และสภาพธรรมที่เรากำลังพูดถึงก็ปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนั้นกับปัญญาที่อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นให้เข้าใจว่าเราฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อไปทำอะไรทั้งสิ้น แต่เข้าใจให้ถูกตามลำดับด้วย เพราะฉะนั้นก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานเป็นพระพุทธเจ้าแล้วใช่ไหม ยังไม่ปรินิพพาน และก่อนปรินิพพานมีรูปไหม รูปพระพุทธเจ้ามีไหม เกิดดับหรือเปล่า เป็นอะไร เป็นรูปขันธ์ เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าคือใคร พระปัญญาคุณ รูปไม่รู้อะไรเลยรูปเป็นพระพุทธเจ้าได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทรงแสดงว่าพระพุทธเจ้าคือผู้ที่เลิศประเสริฐสูงสุดไม่มีบุคคลใดเทียบเลยในพระปัญญาคุณ ปัญญาเป็นธรรมเป็นธาตุที่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมี และปัญญาที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองทำให้พระองค์บริสุทธิ์หมดจดอย่างยิ่งเหนือบุคคลใดคือ นอกจากดับกิเลสแล้วยังประกอบด้วยพระทศพลญาณซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะมีได้ ทรงรู้สิ่งทั้งหลายทั้งอดีตปัจจุบันอนาคต ยากที่ใครสามารถจะรู้ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระองค์ เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ อาศัยคำที่ชาวเมืองเข้าใจใช้กันอยู่ทุกวัน แต่ว่ามาฟังธรรมก็เข้าใจว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่เห็น สิ่งที่ใช้เป็นประจำก็คือเป็นแต่ละขันธ์เพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยพระญาณที่ทำให้คนอื่นสามารถเข้าใจสิ่งที่มี พูดแล้วพูดอีก โดยนัยหลากหลายโดยประการทั้งปวงจนกว่าความเข้าใจของคนฟังจะเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น ไม่เปลี่ยนแปลง นี่เป็นขั้นฟังพระพุทธพจน์ เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนใช่ไหม เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เข้าใจหรือยัง เข้าใจแค่เรื่องของธรรม ยังไม่ถึงระดับขั้นที่ประจักษ์ลักษณะของธรรม ซึ่งแต่ละหนึ่งก็ต้องเป็นแต่ละหนึ่ง ถ้ารวมกันจะเห็นการเกิดดับไหม ปกปิดไว้หมดเลย เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นเกิด สิ่งนี้ดับอยู่ตลอดเวลา รวมกันแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดดับเลย เป็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นนิมิต เพราะเหตุว่าถ้ามีเพียงสิ่งเดียวที่เกิดแล้วดับจะปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานได้ไหม ไม่ได้ใช่ไหม
แต่เพราะสิ่งที่เกิดดับสืบต่อโดยอาศัยปัจจัยประเภทเดียวกันนั่นแหละทำให้สิ่งนั้นปรากฏเป็นนิมิต เริ่มเป็นรูปร่างแล้ว ทั้งตัว มีผม มีหัว มีแขน มีขา มีตา มีคิ้ว ทั้งหมดเป็นนิมิตของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ เห็นดอกไม้หนึ่งดอก เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรมประเภทไหน รูปธรรมหรือนามธรรม ถ้าเข้าใจแล้วก็คือว่าเราสามารถที่จะมั่นคง ธรรมที่เกิดไม่รู้อะไรเลยเป็นรูปธรรม มีลักษณะหลากหลายก็ไม่รู้ แข็งก็มี แต่ไม่รู้อะไร กลิ่น ตัวกลิ่นก็มี แต่ไม่รู้อะไร สภาพไม่รู้ทั้งหมดเป็นรูปธรรม ต่อไปนี้พอได้ยินคำว่าธรรม ใครเขาพูดกันที่ไหน วัดวาอารามหรือที่ไหนก็ตามแต่ ที่มีการสนทนาธรรมพูดเรื่องธรรมเรารู้เลยว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งยังไม่มีการเข้าใจถูก เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีคำที่กล่าวถึงธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ก็พูดเรื่องอื่นกันทั้งนั้น คุณธรรม ศีลธรรม แล้วคุณธรรมคืออะไร เห็นไหมว่าเหมือนรู้ แต่เป็นเราหรือเปล่า ไร้คุณธรรม ใครไร้ มีคุณธรรม ใครมี ก็เป็นตัวตนหมด
แต่ต้องไม่ลืมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำนำไปสู่ความเห็นที่ถูกต้องตามความเป็นจริงว่าเป็น อนัตตา ก่อนที่จะได้ฟังมีคน มีสัตว์ มีบ้าน มีสิ่งของต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เที่ยงปรากฏเป็นนิมิตให้รู้ว่าสิ่งนั้นยังอยู่ แต่ว่าตามความเป็นจริงคือแต่ละหนึ่งแยกละเอียดยิบแล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นแต่ละหนึ่ง ทุกอย่างเกิดดับไม่เที่ยง คำว่าไม่เที่ยงคือไม่ยั่งยืน เพราะเกิดแล้วก็ดับไป สิ่งที่เพียงเกิดขึ้นปรากฏเล็กน้อยแสนสั้น แล้วก็ดับไม่กลับมาอีกเลย สมควรเห็นว่าเป็นสิ่งที่เกิดไปแล้วดับไปแล้วหรือเปล่า หรือว่ามีประโยชน์อะไร เห็น เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ยับยั้งไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้ แล้วต้องเกิดด้วย มีใครจะไม่ให้จิตเกิดบ้าง คิดไป พยายามไป เช่นฆ่าตัวตาย คือเขาเข้าใจผิดใช่ไหม คิดว่าตายแล้วคงไม่มีการเกิด แต่ธาตุรู้คือสภาพรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดเพราะเหตุปัจจัย ตราบใดที่มีปัจจัยให้จิตเกิดไม่มีทางที่จะสิ้นสุด ไม่มีทางที่จะไปยับยั้งได้ เพราะฉะนั้นคนที่ฆ่าตัวตายไม่รู้ว่าตายแล้วเกิด แล้วเกิดเป็นอะไร ยิ่งกว่าที่เป็นก่อนตายก็ได้ แล้วจะพ้นไหม
เพราะฉะนั้นทั้งหมดไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น เพราะเป็นธาตุหรือเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป ความจริงนี้ได้มีผู้ที่ฟังเข้าใจอบรมเจริญปัญญาประจักษ์แจ้งพิสูจน์แล้ว ถูกต้องแล้ว เป็นความจริงแล้วมากมายในครั้งพุทธกาล ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามีบุคคล เป็นพระอนาคามีบุคคล ถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสหมด จากการดับกิเลสตามลำดับ ตั้งแต่ดับการยึดถือว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องละเอียด ได้ยินคำว่า ปฏิจจสมุปบาท เรามาพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทกันดีไหม ดีหรือ ดีแน่หรือ ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร เห็นไหม ยังไม่รู้เลย เราก็ชอบแล้ว แปลว่าด้วยความไม่รู้จึงทำให้เกิดความยินดีบ้าง ความยินร้ายบ้าง คนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้คนบอด ไม่รู้ความจริงอยู่ในความมืดตลอดไป แต่ทรงอนุเคราะห์ว่าถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริง สัตว์โลกรู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เฉพาะพระองค์เดียวที่จะรู้ความจริง แต่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงอนุเคราะห์คนอื่นให้ได้ฟังคำจริงๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาเกิดขึ้น เพราะแม้พระองค์ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ก็ไม่รู้ความจริงนี้เลย ถูกปกปิดไว้แค่ไหน บำเพ็ญบารมีมานานเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ จนกว่าจะตรัสรู้เมื่อไหร่ก็ประจักษ์แจ้งความจริงเมื่อนั้น
เพราะฉะนั้นเราอยู่ในความมืดมานานเท่าไหร่ เพิ่งได้ยินได้ฟังคำ สว่างหรือยัง ยัง แต่เริ่มมีแสง ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นมืดสนิท ค่อยๆ ใกล้ที่พระอาทิตย์จะขึ้น แสงสว่างก็ค่อยๆ มีเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่สว่าง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมก็เหมือนกับอยู่ในความมืด ไม่สามารถจะใช้คำธรรมดาว่าเอาตัวรอดได้เลย อย่างไรอย่างไรก็ไม่รอด เพราะว่าจะต้องเกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายไปเรื่อย นานเท่าไหร่แล้วที่เป็นอย่างนี้ และก็กำลังเป็นในชาตินี้ซึ่งจะต้องตายแน่ๆ แล้วก็ต้องเกิดต่อไปอีกด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นรัตนะที่สูงค่ายิ่งซึ่งไม่สามารถที่จะมีใครมอบให้ได้เลยนอกจากพระสัมมาส้มพุทธเจ้า มอบอะไรให้ ทุกคำที่ตรัสแล้วให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ให้ไปคิดเอง ได้ยินคำเดียวก็แต่งต่อเติมจนเป็นอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคำที่เกิดจากการคิดเอง
เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรม ถ้าเป็นเรื่องอื่นทั้งหมดเป็นคำของผู้พูด แต่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดเจนว่าคืออะไร ตั้งต้นให้รู้ก่อน ไม่อย่างนั้นพูดไปทั้งวันก็เสียเวลา พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่จะรู้ก็ต่อเมื่อเริ่มว่าคำนั้นคืออะไร อย่างพูดคำว่าขันธ์ พูดคำว่าธรรม ถ้าไม่รู้จักว่าธรรม จะรู้จักขันธ์ได้ไหม ก็เป็นดอกไม้เกิด ดอกไม้ดับ ไม่รู้จักว่าแท้ที่จริงขันธ์ต้องหมายความถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะของตนของตน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างเสียงต้องเป็นเสียง แข็งต้องเป็นแข็ง แล้วพอจับดอกไม้แข็งก็มี แต่ว่าไม่รู้เลย คิดว่าเป็นดอกไม้ไม่ใช่แข็ง คือถ้าฟังธรรมก็ต้องรู้ว่าแต่ละหนึ่ง ต้องเข้าใจขึ้นไม่ใช่รวมกัน
รูปธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงไว้ ๒๘ประเภท อยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ เปิดเผยสิ่งที่มีซึ่งใครก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยทั้งสิ้น ให้รู้ว่าไม่ต้องไปรู้อื่นเลย รู้สิ่งที่มีนี่แหละแต่ไม่เคยรู้ เมื่อเช้านี้รู้ไหม รู้ไหมว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เมื่อเช้านี้รู้ไหม ตื่นมาหลับไป ตื่นอีกหลับอีก รู้ไหม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เห็นไม่ใช่เรา แต่ว่าตื่นมาเห็น คิดไหมว่าเห็นไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่อาศัยตา รูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ และต้องอาศัยธาตุรู้เกิดขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธานคือจิต และเจตสิกซึ่งปรุงแต่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เห็นหนึ่งขณะแล้วดับ นี่คือความจริงซึ่งกว่าจะรู้อย่างนี้ก็คือว่าได้เริ่มรู้จักเพราะสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ฟังคำของพระองค์ด้วยความไม่ประมาท สิ่งที่ได้ฟังแล้วฟังอีกจนสภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน มีรูปของพระองค์ไหมที่เราบอกว่าเป็นรูป มี เกิดดับไหม พิเศษไม่ดับมีไหม ก็รูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพิเศษไม่ดับ ได้ไหม ไม่ได้ นี่คือความเข้าใจชัดเจนว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น ให้เกิดก็ไม่ได้ ให้ดับก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นหนทางนี้เป็นหนทางที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดของความเข้าใจว่าไม่มีเรา เป็นแต่ธรรมแต่ละหนึ่ง โกรธเกิดขึ้น ก่อนฟังธรรมเป็นเราโกรธ แต่พอฟังธรรมแล้ว โกรธเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดเมื่อมีปัจจัย ใครก็ไปทำให้โกรธเกิดไม่ได้ ใครลองทำสิ โกรธเกิดแล้วไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดับ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเป็นไปแต่ว่ายากที่จะรู้ได้ แต่ที่จะรู้ได้ก็เพราะเข้าใจ คือปัญญา ถ้าปัญญาไม่เกิด ฟังแล้วไม่เข้าใจ ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย ไม่มีทางที่จะเป็นปัญญา ไม่มีทางที่จะเห็นถูก เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละคำคือเข้าใจในคำแต่ละคำ ไม่ใช่ไปเข้าใจหมดเลย
เพราะฉะนั้นจะพูดเรื่องปฏิจจสมุปบาทดีไหม พูดคำที่ไม่รู้จักหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้จักว่าปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่คำภาษาไทย ถูกต้องไหม เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัสกับชาวมคธ ภาษามคธี เหมือนเรากำลังพูดภาษาไทยทุกคำแต่เราก็ไม่ได้เข้าใจ เราต้องฟังฉันใด ชาวมคธก็มาเฝ้าฟังธรรมในภาษาของตนเพื่อที่จะได้เข้าใจ พอพูดคำว่าปฏิจจสมุทปบาทเขาเข้าใจ แต่เราไม่เข้าใจเพราะไม่ใช่ภาษาของเรา ด้วยเหตุนี้ปฏิจจสมุทปบาทเป็นธรรมหรือเปล่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร แล้วจะมาบอกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแต่ละคนหลงกลของโลภะ และโมหะ ไม่รู้อะไรเลยก็อยากแล้ว อยากไปหมดเลย
เพราะฉะนั้นกว่าจะเห็นว่าอยากมีจริงๆ ไหม ติดข้องในอะไร ในทุกอย่างที่ปรากฏว่ามี นอนหลับสนิทเห็นอะไรไหม สนิทเลย ได้ยินอะไรไหม อยากไหมตอนนั้น ไม่อยาก เพราะไม่มีอะไรปรากฏให้อยาก แต่ทันทีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏอยากไหม เห็นไหมว่าติดข้องในสิ่งที่มี พอใจที่จะเห็น ไม่มีใครอยากตาบอดไม่อยากเห็นอะไร พอใจในการเห็นและยังพอใจในสิ่งที่เห็นด้วย เพิ่มเป็น ๒ อย่างแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นอุปาทานขันธ์ ขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของความติดข้องที่มีแล้วไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่ต้องเรียกขันธ์อะไรเลยทั้งสิ้นยังไม่จำแนกเลยแต่ก็เป็นสิ่งที่มี และไม่รู้จึงติดข้อง เพียงแค่ลืมตาเห็น มีขันธ์แล้วใช่ไหม ปรากฏเพราะเกิดแล้วให้รู้ว่ามี ติดข้องทันที ถ้าไม่เกิดจะติดข้องไหม ไม่เกิด แล้วจะไปให้ติดข้องในสิ่งที่ยังไม่เกิดได้อย่างไร แต่พอเกิดรู้ตัวไหมว่าติดข้องแล้วทันที
เพราะฉะนั้นอุปาทานขันธ์ อุปาทานเป็นสภาพที่ติดข้องเป็นกิเลสติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏว่ามีในขณะนั้นซึ่งเป็นขันธ์ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีอุปาทานไหม ไม่มี แต่มีขันธ์ไหม มี เพราะฉะนั้นสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีใดๆ ทั้งหมดไม่เป็นที่ตั้งของอุปาทาน สำหรับพระองค์ขันธ์ก็เป็นขันธ์ แต่ไม่มีอุปทาน แต่คนอื่นเห็นรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าติดข้องไหม เพราะฉะนั้นอุปาทานของคนนั้นแหละมีในขันธ์ คือรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นธรรมนี่เป็นคำที่ละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าเข้าใจจริงๆ คือรอบรู้ ทีละคำ ทีละคำ ทีละคำ จนกระทั่งในที่สุดก็รอบรู้ว่านี่คือสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่อาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงให้ปัญญาความเห็นที่ถูกต้องเกิดขึ้น ปัญญาเป็นเราหรือเปล่า ปัญญาความเข้าใจถูก เดี๋ยวนี้กำลังเข้าใจถูกเป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่ เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธาตุหรือเปล่า เป็นขันธ์หรือเปล่า เห็นไหมว่าสามารถที่จะเข้าใจสามคำนี้ไม่ว่าใครจะพูดอะไรที่ไหนเราก็สามารถที่จะรู้ได้ แล้วปัญญาความเข้าใจถูกเป็นขันธ์อะไร เป็นนามขันธ์หรือรูปขันธ์ แยกขันธ์ออกเป็น ๒ อย่าง นามขันธ์กับรูปขันธ์ เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูกนั้นเป็นขันธ์อะไร
ผู้ฟัง เป็นนามขันธ์
ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นพอฟังแล้วก็ต้องมาจบลงที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา จนกว่าจะมั่นคงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร ก็เป็นธรรม เป็นธรรมอะไร ก็เป็นรูปธรรม แล้วก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือด้วย ก็ใช้คำว่า รูปูปาทานขันธ์ หมายความว่าความยึดมั่นอุปาทาน ยึดถือในรูปที่ปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายทั้งหมด รูปกับอุปาทานก็เป็นรูปูปาทานขันธ์ มีคำว่ารูป มีคำว่าอุปาทาน มีคำว่าขันธ์ในสิ่งที่ปรากฏ ชัดเจนขึ้นเข้าใจขึ้น ต้องท่องหรือไม่ ต้องไปเปิดตำราไหม เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมในครั้งโน้น ไม่มีตัวหนังสือเลย แต่มีทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ให้คนที่เงี่ยโสตลงสดับ กำลังมีเสียง และมีการได้ยิน และแต่ละเสียงก็เป็นไปตามความหมายซึ่งทำให้เข้าใจแต่ละคำนั้นเพิ่มขึ้น ธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา ต้องเป็นอย่างนี้กว่าจะไม่ใช่เราได้จริงๆ
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140