ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๑๐๒

    สนทนาธรรม ที่ กรมวิชาการเกษตร

    วันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย มีธรรมะอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ เข้าใจว่าเป็นเรา เข้าใจว่าเป็นเขา เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ซึ่งล้วนเป็นอัตตาทั้งหมด แต่ว่าความจริงแล้วเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่รวมกัน สิ่งนั้นก็แยกออกจากกันเป็นแต่ละหนึ่ง เช่นแข็งกับกลิ่น แข็งก็เกิดขึ้นเป็นแข็งจะเป็นกลิ่นไม่ได้ กลิ่นก็จะแข็งไม่ได้ แต่ที่ใดก็ตามที่มีแข็ง ธาตุแข็งซึ่งใช้คำว่าธาตุดิน มี ๔ ธาตุรวมกัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งคุ้นหูของคนไทย ที่นั่นมีสิ่งที่สามารถกระทบตา ปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ กำลังเป็นธรรมะทั้งหมด แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่ฟังก็คิดว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า แต่ละหนึ่งนั้นเปลี่ยนให้เป็นธรรมะอื่นไม่ได้เลย สีสันวรรณะก็สามารถกระทบตา กระทบหูไม่ได้ ปรากฏทางหูไม่ได้ จับดูแข็งแต่หลับตาก็ไม่รู้ว่ารูปร่างสัณฐานสีสันวรรณะอะไร

    เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมะซึ่งมีนานแสนนานมาแล้ว แล้วต่อไปก็จะมีอย่างนี้แหละ แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่า นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจึงมี ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้ว สิ่งซึ่งคนไม่ได้ตรัสรู้เพราะไม่ได้บำเพ็ญบารมีปัญญาที่จะรู้ความจริง คิดว่าเพียง แต่ความจริงแล้ว สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา คือแต่ละคำที่เคยได้ยินจนชินหู แต่ไม่เคยฟังไม่เคยเข้าใจจริงๆ เผินไปว่าเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เดี๋ยวมีลาภ เดี๋ยวเสื่อมลาภ เดี๋ยวมียศ เดี๋ยวเสื่อมยศ เดี๋ยวมีการสรรเสริญ เดี๋ยวมีการนินทา ทุกขณะเปลี่ยน เร็วสุดที่จะประมาณได้จนไม่มีใครรู้ ก็เข้าใจการสืบต่อซึ่งปิดบังการเกิดดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยของแต่ละหนึ่ง ให้เหมือนสิ่งนั้นยังมีอยู่ แต่ลองไปหาเราตอนเกิด มีไหม อยู่ไหน และเมื่อวานนี้เราอยู่ไหน พรุ่งนี้เราตรงนี้ก็ไม่มีแล้ว แต่ว่ามีรูปใหม่ มีทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยสืบเนื่องติดต่อ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมะแต่ละหนึ่ง ซึ่งแยกขาดจากกัน จนกระทั่งไม่สามารถที่จะเห็นผิด ว่าเป็นเราได้

    เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงว่ามีจริงแต่เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นปัญญามีหลายขั้น มีขั้นฟังที่ได้ยินบ่อยๆ คือปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ๓ คำนี้ก็ต้องเข้าใจทุกคำที่ผ่านหู จึงจะเป็นชาวพุทธ ผู้รู้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิเช่นนั้นก็จะเป็นชาวพุทธที่ไม่รู้อะไร แต่เป็นชาวพุทธโดยที่ว่าเข้าใจว่าตัวเองเกิดมาเป็นชาวพุทธ แต่ชาวพุทธจริงๆ ต้องรู้ต้องเข้าใจธรรมะ สิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่ใช่เชื่อ ไตร่ตรองว่าจริงหรือเปล่า เปลี่ยนได้ไหมให้เป็นอื่น ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไหม แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเสียงเสียงก็ต้องเกิด ถ้าเสียงไม่เกิด เสียงก็ไม่มี และถ้ามีแต่เสียง ไม่มีธาตุรู้คือได้ยินเสียงเสียงก็ปรากฏไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีเสียง

    เพราะฉะนั้นธรรมะจึงต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือสภาพหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรเลยทั้งสิ้น ใช้คำว่ารูปธรรม นี่คือเบื้องต้นค่อยๆ ฟังต่อไป ก็จะมีความหมายอื่นๆ ด้วย แต่ก่อนอื่นถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคง ตลอดหมดทั้งพระไตรปิฏก อรรถกถา และสิ่งที่มีจริง ก็สอดคล้องกัน ไม่มีการที่จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้เลยว่า เดี๋ยวจริง เดี๋ยวไม่จริง แต่ต้องจริง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา จริงหรือเปล่า

    อ.อรรณพ ตกลงชีวิตพอจะได้ความเข้าใจไหมว่า จิตคืออะไร ยกตัวอย่างสิ่งที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ต้องดับไป สิ่งนั้นเช่นอะไรที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง เป็นความรู้สึกหรือเปล่า ที่เกิดขึ้นแล้วก็อาจจะมีดับไป

    อ.อรรณพ ความรู้สึกคืออะไร ตอนนี้รู้สึกอย่างใร ความรู้สึกก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิต

    ท่านอาจารย์ อันนี้เราเริ่มปะปนความคิดของเรากับการฟังธรรมะ เราไม่ได้ฟังธรรมะ โดยการที่ว่าฟังธรรมะ แต่ว่าเรามีความคิดของเราแทรกเข้ามา ในขณะที่เราฟังด้วย ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมะที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ก็ต่อเมื่อฟังเฉพาะคำที่เราได้ฟัง แล้วก็เข้าใจคำนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่นสิ่งที่มีจริงทุกอย่างภาษาบาลีใช้คำว่าธรรมะ ภาษาไทยเราใช้คำภาษาบาลีซึ่งไม่ตรงความหมาย ยุติธรรม อยุติธรรม พวกนี้ แต่ความจริงธรรมะก็คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เรายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเลย แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมโดยลำดับ ก่อนอื่นให้คนที่ได้ยินได้ฟัง มีความเข้าใจของตัวเองถูกต้องว่า ถูกต้องไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มี จะตรัสรู้ได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างจากความคิดของคนอื่นทั้งหมดเลย ความคิดของคนอื่นไม่ใช่จากการตรัสรู้ แต่จากการไตร่ตรอง และการคิด ต่างคนต่างคิด แต่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คิดแต่ประจักษ์แจ้งความจริง เช่นแม้แต่ที่พระองค์ตร้สว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น เราก็เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม เดี๋ยวนี้สิ่งที่มีนี่แหละคือสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเกิด ไม่ได้คิดตามความคิดของเราอย่างแต่ก่อน คนเกิด สัตว์เกิด แล้วต้องตาย ใช่ไหม แต่ฟังคำนี้ที่ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด หนึ่งคือหนึ่ง เสียงเป็นหนึ่งหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ หนึ่ง ธรรมะประเภทหนึ่ง ไม่ว่าเสียงอะไรก็ตาม เพราะฉะนั้นเสียงคืออะไร สิ่งที่สามารถกระทบหู มีจริงๆ ใช่ไหม กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเสียงเป็นหนึ่งธรรมะ ถูกต้องไหม เสียงต้องเกิด และเสียงดับไหม หายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่กลับมาอีกเลยนี่คือตัวอย่าง พอที่จะประมาณได้ใช่ไหมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างนี้ แต่ว่ายังไม่ประจักษ์แจ้ง แต่ว่าเมื่อฟังต่อไป ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ความไม่รู้ก็จะหมดไป ทีละเล็กทีละน้อย แล้วความคิดของเราก็ เริ่มไม่คิดแล้ว ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรอง แล้วเข้าใจคำของพระองค์ดีกว่าที่จะคิดเอง เพราะฉะนั้นเสียงก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ถ้าไม่มีธาตุรู้ ธาตุรู้นี่คลุมหมดเลย ขณะนี้ที่เป็นสิ่งที่มีชีวิตต้องมีธาตุรู้ สิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างโต๊ะเก้าอี้ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นธาตุรู้มีจริง ธาตุรู้ อย่าลืม รู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่นขณะได้ยิน ต้องมีเสียง ถ้าไม่มีเสียงจะบอกว่าได้ยินได้ไหม แล้วได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะให้มีความเข้าใจเป็นชาวพุทธ ได้ยินเสียง ได้ยินเป็นเสียงหรือเปล่า ชาวพุทธนะเนี่ย หลายท่านบอกว่าได้ยินไม่ใช่เสียง ได้ยินเป็นธาตุรู้ รู้อะไร รู้เสียง เวลาเสียงปรากฏ หลากหลายมาก หลายเสียงใช่ไหมเวลานี้ก็มีเสียงปรากฏ แต่ละหนึ่งเสียง หลายเสียง ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียงแต่ละหนึ่งเสียง แต่ละหนึ่งเสียง ไม่พร้อมกันด้วย

    เพราะฉะนั้นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ ไม่มีรูปร่างลักษณะเลยทั้งสิ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถูกต้องไหม ถูกต้องกับเหตุผล ถูกต้องกับความเป็นจริง ถูกต้องกับขณะนี้หรือเปล่า เพราะฉะนั้นมีธรรมะ ทุกหนทุกแห่งทั่วไป เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุรู้หรือเป็นสภาพรู้ซึ่งเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นที่บอกว่าคนเกิด ถ้ามีแต่รูปร่าง ไม่มีธาตุรู้จะเป็นคนไหม ไม่เป็น ใช่ไหม แต่ที่บอกว่าคนเกิด ต้องมีธาตุรู้ มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีจำ มีชอบ มีไม่ชอบ ทั้งหมดไม่มีรูปร่างเลย ไม่ใช่เขียว ไม่ใช่แดง ไม่ใช่ดำ ไม่ใช่เตี้ย ไม่ใช่สูง ไม่ใช่กว้าง ไม่ใช่ยาว แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ แล้วก็ดับไป เพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เพื่อที่จะให้คลายการยึดถือสภาพธรรมะว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง ที่ยั่งยืน เพราะความจริงไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนเลย แต่คิดกันไม่ออกจนกว่าจะได้ฟังธรรมว่า สิ่งที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แท้ที่จริงแล้วหลายอย่างรวมกัน ทำให้เกิดรูปร่างสัณฐาน แล้วก็จำได้ว่าเป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้บ้าง

    ตอนนี้มี ๒ อย่างที่ควรจะรู้ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา เพราะเป็นอนัตตา ก็คือว่า สภาพธรรมะเกิดมีจริงแต่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรมทั้งหมดเลย เสียงไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม กลิ่นเกิดขึ้นเป็นกลิ่นหลากหลาย แต่ไม่รู้อะไรเป็นรูปธรรม รสเกิดขึ้นเป็นรสหวาน เปรี้ยว เค็ม มัน ไม่รู้อะไรเลยก็เป็นรูปธรรม แต่สภาพธรรมะซึ่งเกิดขึ้นรู้ทั้งหมด เป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำให้รู้ความหมาย ว่าแต่ละเสียงซึ่งเป็นแต่ละคำ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงคืออะไร เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ได้ยินคำว่านามธรรม ธาตุรู้เกิดขึ้น ต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มีไหม ธาตุรู้มีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี ก็ถูกต้อง ก็เป็นชาวพุทธที่เริ่มรู้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง นั่นคือมีธรรมะ หลากหลายมาก ประมาณไม่ได้เลย แต่แม้อย่างนั้น ก็ยังสามารถเป็นประเภทใหญ่ที่ต่างกันจริงๆ ๒ อย่างคืออย่างหนึ่งมีแต่ไม่รู้อะไร เช่นแข็งมี แต่แข็งไม่รู้อะไร ทุกอย่างที่เป็นธรรมะที่มีจริงๆ ทั้งหมดแต่ไม่ใช่สภาพรู้ใช้คำว่ารูปธรรม ยกตัวอย่างรูปธรรม ฟังตรงไหนเข้าใจตรงนั้น แล้วก็ยกตัวอย่างคิดตรงนั้น มีอีกไหมที่เป็นรูปธรรม เมื่อครู่นี้มีเสียง ไม่รู้อะไรใช่ไหม แต่มีแข็ง ก็มีแต่ไม่รู้อะไรก็เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นอะไรอีกที่เป็นรูปธรรม

    ผู้ฟัง กลิ่น

    ท่านอาจารย์ กลิ่น เป็นรูปธรรม

    ผู้ฟัง สิ่งที่เรามองเห็น

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ แม้ว่ารูปธรรมมีมาก แต่ที่ปรากฏในชีวิตประจำวันทั้งหมดมีแค่ ๗ รูป ๗ นี่แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ต้องแยกกันไม่ใช่รวมกัน สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เสียงปรากฏทางอื่นไม่ได้เลย นอกจากเห็น ฝัน มีสิ่งที่ปรากฏทางตาไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมะแล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็คิด แล้วเป็นความเข้าใจ ซึ่งไม่เคยมีก่อนการฟัง ถูกต้องไหม พราะฉะนั้นเริ่มคิด ขณะที่คิดเป็นเรา หรือเปล่า เป็นธรรมะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะอะไร นามธรรม เราก็เริ่มรู้จักนามธรรมกับรูปธรรมแล้ว และรู้จักอย่างละเอียด และมั่นคง และไม่เปลี่ยนด้วย ซึ่งถ้าไม่มีการฟังธรรมะ จะไม่มีการเข้าใจนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งมีอยู่เป็นประจำตลอดเวลา แต่ต้องเป็นปัญญาของเราเอง มรดกที่ชาวพุทธได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือปัญญาซึ่งสามารถเข้าใจสิ่งซึ่งมี แต่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน มีค่ามากไหม เหนือรัตนะใดๆ ทั้งสิ้นเพราะอะไร เงินซื้อไม่ได้ อะไรก็ซื้อไม่ได้ แต่การฟังคำของผู้ที่ เป็นที่เคารพสูงสุดในพระปัญญา ค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นปัญญาของแต่ละหนึ่งคน ที่เกิดขึ้น นั่นคือมรดก ด้วยเหตุนี้เริ่มเข้าใจแล้ว ว่ารูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป ฟังไว้เท่านั้นเอง แต่รูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ๗ รูป ทางตาหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ ถ้ามีเห็นเมื่อไหร่ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต้องมีจริงๆ จึงปรากฏว่ามีจริง และเห็นด้วย และเห็นก็กำลังเห็นสิ่งนั้น แต่เห็นไม่ใช่สิ่งนั้น เห็นเป็นธาตุรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา สว่างไหม ธาตุรู้สว่างไหม นี่แหละปัญญาต้องเกิดเป็นมรดกที่ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตัวเอง ไตร่ตรอง แล้ว เข้าใจแล้ว เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะว่าธรรมะเป็นธรรมะ มีสภาวะความเป็นอย่างนั้น ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ เป็นฐาตุ ธา-ตุ ทุกอย่างสอดคล้องกันหมดแต่ละคำ ซึ่งเป็นคำที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นธาตุรู้ มืดหรือสว่าง ใครจะเปลี่ยนธาตุรู้ให้สว่างได้ไหม สว่างเมื่อไหร่ไม่ใช่ธาตุรู้ เป็นสิ่งที่ปรากฏกับเห็นซึ่งเป็นธาตุรู้ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วอยู่ในโลกของความมืด สว่างต่อเมื่อเห็นอย่างเดียว จริงไหม เพราะฉะนั้นสว่างขณะที่เห็น แล้วมีเสียง เวลาที่เสียงปรากฏ สว่างไหม

    ผู้ฟัง มืด

    ท่านอาจารย์ ต้องมืด เพราะฉะนั้นธาตุรู้ ต้องมืด และธรรมะทุกอย่างมืด เว้นอย่างเดียวคือสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม ชอบไหม ชอบสิ่งที่ปรากฏให้เห็นไหม

    ผู้ฟัง ชอบ

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนตรง ธรรมะต้องตรง ถึงจะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าผิดนิดเดียว ไปผิดทางทันที เหมือนก้าวแต่ละก้าวพอก้าวผิดก็ผิดไปเรื่อยๆ สำนักปฏิบัติ ไม่ได้ทำให้เข้าใจสิ่งที่มี ถ้าก้าวถูก ถูกไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก้าวถูกคือความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มี ตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง และคำต่อไปที่มั่นคงขึ้น ด้วยเหตุนี้ไม่มีใครไปบังคับใครให้เชื่อ หรือให้คิด ให้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ความจริงก็เป็นความจริง เพราะฉะนั้นชอบมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ จริงแน่นอน ใช่ไหม เมื่อไหร่

    ผู้ฟัง เมื่อเราที่รู้สิ่งนั้น

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เกิดขึ้น จริงเมื่อเกิด ถ้าไม่เกิดจะมีไหม ตอนนั้นที่มีเกิด

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี แต่เกิดแล้วมี เป็นชอบอย่างหนึ่ง เป็นธรรมะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรมะ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะอะไร ๒ อย่างให้เลือก ไม่ใช่ให้ตอบตามใจชอบ แต่เพราะเข้าใจ ๒ อย่างคือนามธรรมหรือรูปธรรม รูปธรรมคือสภาพที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร นามธรรมไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ เพราะฉะนั้นชอบมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะอะไร

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง คือค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะดับกิเลสด้วยความรู้ แต่ชอบเพราะไม่รู้ใช่ไหมไม่รู้ว่าแท้ที่จริงสิ่งที่ชอบ ต้องเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก กว่าคำนี้จะอยู่ในใจอย่างมั่นคง จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นอะไร ก็รู้ว่า สิ่งนั้นก็มีชั่วขณะที่เห็น ใช่ไหม พอไม่เห็นก็ไม่มีแล้ว แต่จำว่ายังอยู่จริงไหม

    ผู้ฟัง จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจำมีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรมะ

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะอะไร มี ๒ อย่าง รูปธรรมหรือนามธรรมก่อนศึกษาธรรมะต้องตามลำดับจริงๆ เพราะฉะนั้น จำ เป็นอะไร เป็นธรรมะ และธรรมะอะไร

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ เป็นนามธรรม ใครจะบอกว่าผิด เขาต่างหากที่ผิด เพราะไม่รู้ความจริง แต่ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ จำ จะเป็นรูปธรรมได้อย่างไร ไม่แข็ง ไม่อ่อน ไม่เย็น ไม่ร้อน เพราะฉะนั้นจำมีจริง เป็นเราหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิด

    ท่านอาจารย์ ดับหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ดับ

    ท่านอาจารย์ ดับแล้วยังมีไหม

    ผู้ฟัง ไม่มีอีกแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นทุกอย่างคือไม่มี มีชั่วขณะที่เพียงเกิด ทันทีที่ดับ ก็ไม่มีอีกเลย เพราะฉะนั้นเห็นความไม่รู้มากมายมหาศาล ที่นำมาซึ่งความติดข้อง มีความสำคัญว่าเป็นเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรา เกิดมาแล้วก็แสวงหาทุกอย่าง แม้ในทางที่ทุจริต ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรมะ โกรธมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ประเภทไหน

    ผู้ฟัง เป็นนามธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่มีใครเลยในห้องนี้ นอกจากอะไร นามธรรมกับรูปธรรม ถูกไหม แค่ความจริงก็ต้องเป็นความจริง

    อ.วิชัย เพราะบางครั้งไม่รู้เลยใช่ไหม คิดว่าเป็นเราทั้งหมด แต่ตามความเป็นจริงแล้ว จิตเกิดดับเร็วมาก ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่แสดงเพียงแค่ผิวเผิน แต่ว่าจากการสนทนาเมื่อสักครู่นี้ก็พอเริ่มที่จะรู้จักธรรมะว่ามีจริงๆ แต่ว่าความละเอียดของธรรมะ ลึกซึ้งกว่านี้มาก เพราะเหตุว่าความไม่รู้นี่เยอะใช่ไหม เพราะว่าก่อนฟังไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ ดังนั้นการเริ่มต้นที่จะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องค่อยๆ ที่จะรู้ทีละอย่าง เริ่มต้นจาก ผู้รู้ รู้อะไร ธรรมะ ธรรมะคืออะไร ทุกอย่าง ต้องมีคำตอบทั้งหมด นี้จึงชื่อว่าเป็นผู้รู้จริงๆ ถ้าศึกษาละเอียดอีกก็รู้ว่าจิตแต่ละขณะนี้ ก็จะมีทั้งจิตที่ดีก็มี จิตที่ไม่ดีก็มี ใช่ไหม บางคนก็โกรธ ขณะนั้นจิตประกอบด้วยความโกรธ จิตนั้นย่อมไม่ดีแน่นอน แต่ขณะใดก็ตามที่จะช่วยเหลือคนอื่น ต่างกันแล้วใช่ไหมคนละขณะกันแล้ว นั่นก็เป็นจิตอีกประเภทหนึ่ง แต่ทั้งหมดพระองค์แสดงว่าเป็นธรรมะทุกอย่าง แต่ว่าเมื่อไม่รู้ความจริงก็ยึดถือว่าสิ่งที่เกิดแล้วเป็นเราทั้งหมด เหมือนอย่างนี้ เห็นอะไร เห็นคนฟังเยอะแยะเลย ใช่ไหม แต่ลืมว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น แต่ที่รู้ว่าเป็นคนโน้นคนนี้เพราะคิดต่างหาก ถ้าไม่คิดไม่มีเลย ใช่ไหม คนโน้นคนนี้ แต่เมื่อมีเห็น คิดในสิ่งที่เห็น จึงรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ตามที่เราเคยจำมา

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวว่า ที่เขาพูดว่าดีต่อใจ ท่านอาจารย์บอกว่าพูดถูกนะ แต่ไม่เข้าใจ แล้วถ้าเข้าใจจริงๆ จะเป็นความถูกต้องลึกซึ้งของคำว่าดีต่อใจ นี่คืออะไรท่านอาจารย์ อะไรที่จะดีต่อใจต่อจิต

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้เริ่มรู้ยัง ตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก เหมือนเข้าใจกันแต่ไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าไม่ดีต่อใจ มีไหม

    อ.อรรณพ ก็มีนะ

    ท่านอาจารย์ นี่แสดงว่าเริ่มรู้แล้วว่าสิ่งที่ดีก็คือสิ่งที่ใจชอบ สิ่งที่ไม่ดีก็คือสิ่งที่ไม่ชอบ ก็แสดงว่าพูดคำที่ไม่รู้จัก ใจคืออะไร ชอบคืออะไรแต่พูดแล้ว จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าใจหรือจิต ที่เราใช้ด้วยกัน คือจิตใจ มีคำอื่นอีกไหม มโน เคยได้ยินไหมหมายความถึงใจ ใช่ไหม มนัส หทย วิญญาณะ ภาษาไทยออกเสียงว่าวิญญาณ พูดแล้วไม่รู้จักใช่ไหม ต่อไปนี้รู้จักแล้วว่า ไม่ว่าจะใช้คำว่าจิต ไม่ว่าจะใช้คำว่าใจ ไม่ว่าจะใช้คำว่าวิญญาณ มนัส มโน พวกนี้หมายความถึงธาตุรู้ แต่ว่าธาตุรู้ก็ยังต่างกันเป็น ๒ อย่าง เริ่มขยาย แล้วจากธรรม ๑ ป็นธรรมะ ๒ คือนามธรรมกับรูปธรรม รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้เลย แต่นามธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้มี ๒ อย่าง ซึ่งต่างกัน อย่างหนึ่งคือจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังปรากฏไม่ทำอะไรเลย แค่เกิด แล้วก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นได้ยินเกิดขึ้นก็ต้องเฉพาะเสียงที่ปรากฏ ไม่ทำอะไรเลย ไม่จำ ไม่โกรธ ไม่ชอบอะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแต่ว่ารู้แจ้งจริงๆ ในสิ่งนั้น ทางตาก็รู้แจ้งไปหมด ฟ้ากับน้ำจรดกัน ก็ยังรู้ว่านั่นฟ้า นี่น้ำ เพราะฉะนั้นเป็นสภาพที่รู้แจ้งสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง ก็คือจิต

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    31 ก.ค. 2567