ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
ตอนที่ ๑๑๐๔
สนทนาธรรม ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ คือธรรมที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งรวมทั้งโพชฌงค์ด้วย ต้องละเอียดมาก ต้องมั่นคง แม้เดี๋ยวนี้ทุกอย่างเป็นธรรม แต่นี่เป็นดอกไม้ ก็ต้องเริ่มรู้ว่าขณะที่เป็นดอกไม้ เข้าใจหรือเปล่าว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่จำ และคิดว่าเป็นดอกไม้ เพราะฉะนั้นจำก็เป็นหนึ่ง คิดก็เป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่งๆ เกิดดับเร็วมาก แล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะบอกความจริงนี้ได้เลย นอกจากทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ ในช่วงเช้าก็มีคนมาร่วมสนทนา ก็ได้ถามความหมายของคำว่าอนัตตา ก็ให้ความหมายไปว่า เป็นธรรมคือไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แล้วก็ปฏิเสธอัตตาด้วย แต่ดูเหมือนกับเป็นคำแปล ของคำว่าอนัตตา แต่ว่าการที่จะอบรมปัญญา ที่จะเห็นความเป็นอนัตตาจนถึงที่สุด เพราะรู้ว่าการที่ตรัสรู้ธรรมก็เป็นธรรมนั่นเอง โดยที่ก็ไม่ใช่ตัวเราที่จะไปตรัสรู้ด้วย ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ก็ต้องมั่นคง ทุกอย่างไม่เว้นเลยทั้งสิ้นเป็นธรรมแต่ละคำเปลี่ยนไม่ได้เลย คำใดที่ตรัสไว้แล้วจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ แต่ผู้ที่ฟังต้องเข้าใจจริงๆ ไม่ละเลย ธรรมสิ่งที่มีจริง ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดว่า ขณะนี้อะไรมีจริง มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าธรรมได้ ในสิ่งที่มีจริง ก็ยังไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา แต่เป็นอนัตตา ยากที่จะเห็นด้วย แต่ว่าต้องฟังแต่ละคำ แล้วก็พิจารณาแต่ละคำ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเพิ่มความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา มั่นคงขึ้น แต่ยังไม่ถึงการประจักษ์แจ้ง ยังไม่เป็นโพธิปักขิยธรรม
เพราะฉะนั้นปัญญา มีหลายระดับมาก ตั้งแต่ขั้นฟัง บางคนฟังแล้วไม่สนใจ บางคนก็ฟังแล้วก็คิดเรื่องอื่น ส่วนใหญ่ฟังแล้วคิดตามที่เคยคิดมาก่อน เพราะฉะนั้นฟังธรรมบอกว่าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจได้อย่างไรภาษาไทย คำไหนไม่เข้าใจ แต่ว่าถ้าถามทีละคำก็เข้าใจทุกคำ แต่พอบอกว่าฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจได้อย่างไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริงไม่พูดธรรมก็ได้ พูดว่ามีจริง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ รู้หรือยังว่าแต่ละหนึ่งถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ แค่นี้
อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ อย่างเช่นถ้ากล่าวคำภาษาไทยว่าเห็นมีไหม ทุกคนก็ตอบว่าเห็น แต่ว่าการที่จะกล่าวว่าเห็นเป็นธรรมเป็นอนัตตา คือไม่เข้าใจตรงนี้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเห็นในโลกนี้ ตั้งแสนนานมาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร แต่เพราะว่ามีเห็น ไม่ใช่เพิ่งมี มีมานานแล้วซึ่งคนก็ไม่รู้ ไม่สนใจเรื่องเห็นเลย เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ก็ต้องทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งคนอื่นไม่รู้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย เดี๋ยวนี้ที่กำลังนั่งอยู่นี่แหละไม่รู้ จนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อ ไม่ต้องทำปรุงอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เดี๋ยวนี้มีแล้ว แค่ฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำอย่างมั่นคง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่ได้รู้เรื่องอื่นเลย รู้สิ่งที่มีจริงเห็นเดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ จำเดี๋ยวนี้ซึ่งทุกคนไม่สนใจเลย ไปแสวงหาอย่างอื่น คิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างอื่น แต่ความจริงตรัสรู้สิ่งที่มีในขณะนี้ ว่าเป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แค่นี้ เป็นสิ่งที่มีจริงเมื่อเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก มั่นคงไหม เห็นเดี๋ยวนี้มีจริง ต้องเกิด แต่ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นก็เป็นธรรมที่มีจริงหนึ่ง ตาก็เป็นธรรมที่มีจริงหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏซึ่งสามารถกระทบกับตาเท่านั้นก็มีจริง เพราะกำลังปรากฏเมื่อจิตเห็น แต่ละหนึ่งๆ เกิดทั้งนั้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่ไม่มีใครประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้น และดับไป แต่การตรัสรู้ก็คือว่าการรู้ความจริง ของสิ่งแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก เราอยู่ที่ไหน จะค้านหรือเปล่า แยกออกไปแล้วก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่เคยสนใจ แต่ความจริงก็กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง กำลังมีแต่ทำไมไม่รู้ ไม่รู้ก็มีจริง เป็นอวิชชา ธรรมซึ่งแม้สิ่งนั้นจะปรากฏเฉพาะหน้าก็ไม่รู้ เป็นธรรมที่มีจริง แม้อวิชชาก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นต้องตรงกับคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกคำจากนี้ไปตลอดอีก๒ ชั่วโมง ก็คือเป็นอนัตตา
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ ทำไมคนถึงสนใจตัวเอง สนใจคนอื่นสนใจเรื่อง สนใจสิ่งต่างๆ แต่ไม่สนใจเห็นว่าเป็นเห็น
ท่านอาจารย์ คำตอบมีคำเดียว เพราะไม่รู้ รู้เห็นหรือ ก็ไม่รู้ ใช่ไหม ก็หลงยึดถือว่าเราเห็น เพราะไม่มีเรา ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้น แต่พอเห็นเกิดขึ้น เราเห็น เพราะไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วดับไป ทั้งหมดเลย ตั้งแต่เกิดจนตายทุกภพชาติ เพราะฉะนั้นเพียงคำว่าไม่มี ถูกไหมแล้วก็มี แล้วก็ไม่มีเหมือนเดิม แล้วมีทำไม มีให้ไม่รู้ มีให้หลงยึดถือว่าเป็นเรา มีหลงเข้าใจติดข้อง ว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา แต่ความจริงไม่มี แค่คำว่าไม่มีคำเดียว คนที่มีปัญญาคิดอย่างไร กับคนที่ไม่มีปัญญาก็ต่างกันแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นไม่มี ว่างเปล่าหมดเลย แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ เท่านั้นเอง ตลอดทุกชาติ และความจริงก็เป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แล้วก็ดับ โดยไม่รู้เลย
เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็คือความไม่รู้ จึงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะว่าสภาพธรรม เกิดดับเร็วมาก ไม่มีใครรู้การเกิดดับของสิ่งที่กำลังปรากฏเลย ทั้งๆ ที่กำลังเกิดดับ นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้สิ่งที่มี ซึ่งใครก็ไม่รู้ว่าขณะนี้กำลังเกิด แล้วก็ไม่กลับมาอีก ชาติก่อนอยู่ไหน เมื่อวานอยู่ไหน พรุ่งนี้ตรงนี้ก็ไม่มีแล้ว ยังไม่ถึงพรุ่งนี้ ก็หลงมี ยังมีวันนี้อยู่ พอหลับสนิทเมื่อไหร่ตื่นขึ้นมาเราทันที แต่ว่าตอนหลับเราอยู่ไหน หายไปไหน เราจะหายไปไหน ทำไมหายไปได้ทำไมไม่มีเราขณะที่หลับสนิท เพราะไม่มีอะไรปรากฏ แต่พอมีอะไรปรากฏ ก็เป็นเราหรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทันทีทั้งวัน แล้วก็ไม่มีเราอีกแล้ว หลับสนิทอีกแล้ว ไม่มีจริงๆ เพราะว่าความจริงก็ไม่มี แต่ขณะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า จิตธาตุรู้ ยังคงเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ตั้งแต่เกิดจนกว่าจะสิ้นกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้ ไม่มีคนนี้อีกต่อไป คิดดู นั่งอยู่อย่างนี้ไม่มีคนนี้อีกต่อไป เป็นได้ชั่วขณะที่ยังอยู่ในโลกนี้เท่านั้น อนัตตาหรือเปล่า มีจริงๆ ไม่ใช่ไม่มี แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา
ผู้ฟัง คำว่าจิต
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ เห็น ใครเห็น เราเห็น หรือว่าธาตุรู้ สามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ คือธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ คือเห็นใช่ไหม เป็นจิต ฟังอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ เพราะว่าไม่รู้มานานแสนนาน แล้วยังเป็นเราเห็นมาตลอด เพราะฉะนั้นกว่าจะสามารถรู้ธาตุรู้ได้ ซึ่งขณะนี้ไม่มีใครเลยสักคน ถ้าไม่มีธาตุรู้ จิตธาตุรู้ เจตสิกธาตุรู้ รูปไม่รู้อะไร ทั้งหมดในขณะนี้ จิต เจตสิกกำลังเกิดดับสืบต่อ ทำกิจการงาน โดยไม่มีใครรู้จักเลย มีแต่รู้จักคนนั้นรู้จักคนนี้ ใช่ไหม แต่ไม่รู้จักจิต ซึ่งขณะนั้นกำลังคิด เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่กล่าวว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิต ก็คือว่าต้องมีธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ อย่างโต๊ะ เก้าอี้ แข็ง เย็นร้อน พวกนี้ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ก็ไม่ใช่สัตว์บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำว่าธาตุรู้ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ยากแค่ไหน ที่จะปรากฏเปิดเผยว่าไม่มีอะไรเลย ธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ แล้วแต่ว่าจะรู้อะไร
เพราะฉะนั้นขณะนี้ที่กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็คือธาตุรู้ คือจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ศึกษาธรรมคือมีธรรมเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นฟังแล้วจะรู้ว่าการที่จะเข้าใจสภาพธรรม ต้องเริ่มจากการฟัง จนกว่าจะไม่มีเราที่เห็น แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้นจะใช้คำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้เข้าใจสภาพที่สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เสียงปรากฏ เสียงปรากฏไม่ได้ถ้าไม่มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นธาตุรู้ก็คือรู้เสียงที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่เสียงอื่นเลยเฉพาะเสียงที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจเบื้องต้นอย่างนี้ ก็สามารถที่จะเข้าใจคำที่รวมกันหลายๆ คำ เพราะฉะนั้นที่รวมกันหลายๆ คำ กรุณาอ่านอีกครั้งหนึ่ง
ผู้ฟัง ชื่อว่าจิตเพราะอรรถว่าคิด
ท่านอาจารย์ ที่ว่าจิต เพราะอรรถว่าคิด ถ้าไม่ใช่สภาพรู้คิดได้ไหม
ผู้ฟัง โต๊ะ คิดไม่ได้
ท่านอาจารย์ คิดไม่ได้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นที่จริงแล้วจะมีคำว่าที่ว่าจิตเพราะมากด้วยความคิด เพราะว่าจิตเองไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม เป็นธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าอะไรปรากฏขณะนั้น เพราะจิตเกิดขึ้นรู้ทั้งนั้น ถ้วยแก้วปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นรู้เห็น แล้วก็คิด เพราะฉะนั้นเห็นก็เป็นจิต ที่รู้สีสันวรรณะ ที่ปรากฏที่กระทบตา เมื่อลืมตาเห็นแล้วรูปร่างสัณฐาน ก็ทำให้จำ แล้วก็คิดว่าเป็นอะไร ในขณะนั้นก็เป็นลักษณะของจิต แต่ถ้าจะศึกษาธรรมโดยละเอียด น่าตกใจ น่าแปลกใจ คาดไม่ถึง จิตเกิดขึ้นเห็นเพียง ๑ ขณะจิต ความละเอียด ความลึกซึ้ง ของการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ไม่เห็น ไม่ได้ทำทัศนกิจ เพราะว่าจิตแต่ละจิต มีกิจหน้าที่ที่เกิดขึ้นทำกิจนั้น ไม่มีจิตใดเลยซึ่งไม่เกิดขึ้นทำกิจใดๆ เลย เพราะว่าจิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ จึงทำกิจรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นในขณะนี้ จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น ธาตุรู้เกิดขึ้นจึงมีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่เห็น เพราะฉะนั้นเห็น ๑ ขณะ ก่อนเห็นจิตเกิดขึ้นไม่ได้ทำกิจเห็น พอจิตเกิดขึ้นเห็นดับไป ๑ ขณะ จิตที่เกิดต่อไม่ได้ทำกิจเห็น แต่รู้สิ่งเดียวกัน เหมือนอย่างเราฝัน ทำไมเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย เห็นจริงๆ รึเปล่าแค่ในฝัน
ผู้ฟัง ไม่จริงเลย
ท่านอาจารย์ เหมือนจริงเลยหรือเปล่า
ผู้ฟัง เหมือนจริง
ท่านอาจารย์ เหมือนเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากจิตเห็น ก็รู้สิ่งที่จิตเห็น เหมือนเลยแต่ไม่ใช่จิตเห็น นี้แหละคือชีวิตที่ถูกปกปิดไว้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะตื่น หรือจะหลับ จิตเป็นสภาพที่มากด้วยความคิด เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา ๑ ขณะเอง แล้วดับไป จิตที่เกิดต่อทั้งหมดไม่เห็น ขณะที่เสียงปรากฏ ๑ ขณะที่จิตได้ยินเสียง ก่อนจิตได้ยิน ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่จิตได้ยิน หลังจากที่จิตได้ยินดับแล้ว จิตที่เกิดต่อรู้เสียง แต่ไม่ใช่ได้ยิน เหมือนในฝันพูดรึเปล่า ได้ยินหรือเปล่า ใครมาบอกอะไรในฝันหรือเปล่า ใช่ไหม เหมือนได้ยิน เหมือนเป็นเสียง ฉันใด ขณะนี้จิตที่ได้ยินเสียง ๑ ขณะ หลังจากนั้นก็เป็นจิตอื่นซึ่งรู้เสียง ก่อนที่จะรู้ความหมาย เพราะฉะนั้นจิตคิดต่อจากเห็น คิดต่อจากได้ยิน คิดต่อจากได้กลิ่น คิดต่อจากที่รสปรากฏ คิดต่อจากที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ปรากฏทั้งวัน จิตมากด้วยความคิด เพราะเหตุว่าสิ่งที่กระทบที่ปรากฏ ให้เห็นชั่ว๑ ขณะ เพราะฉะนั้นความคิดก็มากมายมหาศาล จึงกล่าวว่าจิตมากด้วยความคิด
เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่า เดี๋ยวนี้เห็นเป็นจิต เกือบจะไม่เชื่อ เพราะไม่รู้ใช่ไหม ก็เห็นอย่างนี้ แล้วเห็นจะเป็นจิตอย่างไรได้ยินก็เหมือนกัน ก็เกือบจะไม่เชื่อว่าเป็นจิตที่ได้ยิน แต่พอคิด เชื่อใช่ไหม คิดได้สารพัดอย่างไม่เหมือนเห็น ไม่เหมือนได้ยิน แต่ตัวเห็นจริงๆ ซึ่งมีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้แหละ กำลังเป็นอารมณ์ยังแยกไม่ออก เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจธาตุรู้ที่กำลังเห็น แต่พอคิดรู้เลยนี่ไม่ใช่เห็น นี่ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส แต่เป็นการคิดนึก เพราะฉะนั้นเท่าที่คนสามารถจะเข้าใจได้ ก็ต้องเข้าใจตามลำดับ จึงใช้คำว่า จิตเป็นสภาพหรือธาตุที่มากด้วยความคิด เดี๋ยวนี้คิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง คิด
ท่านอาจารย์ เห็นหรือเปล่า ดูเหมือนจะเห็นมากไม่เคยดับไปเลย นั่นคือการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ใครตรัสรู้ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเข้าใจคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ หลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้วเ พื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย และสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ ถึงโพชฌงค์ได้แต่ต้องเป็นการอบรมปัญญาจริงๆ ที่มั่นคงในความเป็นธรรม ไม่มีใครเลยสักคน ต้องไม่ลืมคำว่าอนัตตา แต่จิตไปใน หรือว่าจิตน้อมไปไหน
อ.วิชัย จิตเกิดขึ้น ทำกิจ แล้วก็ดับไป
ท่านอาจารย์ แต่เวลาใช้คำว่านาม
อ.วิชัย ก็น้อมไปสู่อารมณ์
ท่านอาจารย์ ที่น้อมไปสู่อารมณ์ ไม่ได้ไปที่อื่นเลย ต้องเข้าใจว่าอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นศึกษาแต่ละคำ ไม่ใช่ว่าต้องไปท่อง แต่ว่าความเข้าใจนั่นเอง รู้ว่าเมื่อมีจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ และสิ่งที่ถูกจิตรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะ หรืออาลัมพนะแต่เรานิยมใช้คำว่าอารมณ์ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้
ผู้ฟัง คำว่าสติปัฎฐาน
ท่านอาจารย์ สติคืออะไร คนถาม ปัฎฐานคืออะไร คนถาม เพราะได้ยินคำว่าสติปัฎฐาน
ผู้ฟัง สติปัฎฐานไม่ใช่การคิด
ท่านอาจารย์ แสดงว่าคนพูด คนถามรู้ว่าสติปัฎฐานไม่ใช่คิด แล้วอย่างไรต่อในเมื่อแต่ละคำ ต้องเข้าใจถูกต้องทีละคำ จิตเป็นธาตุรู้ ไปไหน ภาษาบาลีจะใช้คำว่าน้อมไปสู่อารมณ์ ไม่ไปที่อื่นเลย ที่จริงก็ไม่ได้ไป ทันทีที่เกิดก็รู้สิ่งที่ปรากฏ สภาพธรรมเร็วแล้วก็ละเอียดมากไม่ใช่ว่าฟังแล้วก็จะทำอะไรได้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถึงนิพพานได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
ผู้ฟัง คำว่าบารมีหมายถึงอะไร
อ.คำปั่น ในการสนทนาก็บ่อยครั้ง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นจริงของคำคำนี้ ซึ่งไม่ใช่เพียงกล่าวเฉพาะคำว่าบารมีเท่านั้น แต่ว่ากล่าวเพื่อให้เข้าใจถูก เห็นถูกตรงตามความเป็นจริง ว่าคืออะไร เพราะว่าเป็นคำที่แสดงถึงว่าหมายถึง ธรรมที่ดีงามทั้งหมด ที่จะเป็นไปเพื่อถึงฝั่งของการดับกิเลส เพราะว่ากิเลสมีมากยังอยู่ในฝั่งของกิเลส เพราะฉะนั้นจึงต้องสะสมอบรมคุณความดี ที่จะเป็นเหตุหรือว่าเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูล ให้ถึงฝั่งแห่งการดับกิเลสซึ่งก็กล่าวถึงความดีทั้งหมดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือปัญญา ที่เข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรมตามความเป็นจริง ถ้าไม่เริ่มศึกษา ก็จะเข้าใจเลยว่าแม้ในขณะนี้ที่ฟังธรรม ตั้งใจฟัง เพื่อความเข้าใจความจริง มีจุดประสงค์ที่ถูกต้องว่า ฟังเพื่อความเข้าใจความจริง เป็นอธิษฐาน เป็นความตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว เพราะเหตุว่าธรรมเป็นเรื่องที่ยาก ก็ต้องมีความอดทน อดทนก็ขันติ ใช่ไหม ขันติก็เป็นหนึ่งในบารมีด้วย มีความจริงใจว่าธรรมจะเข้าใจได้ ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน แล้วก็มุ่งตรงต่อตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นสัจจบารมี แล้วก็ที่สำคัญขณะนี้ อดทนไหม มีความเพียรไหม ที่จะฟัง ที่จะศึกษา ถ้าหากว่าขาดความเพียร การฟังก็ไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นความเพียรก็เป็นหนึ่งในคุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส ซึ่งก็เป็นการค่อยๆ สะสมอบรมไป เพราะว่าต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานจริงๆ กว่าที่จะค่อยๆ เริ่มสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในธรรม เพราะฉะนั้นขาดคุณความดีเหล่านี้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจากคำที่กล่าวถึงก็คือบารมี คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส เป็นเรื่องที่ยาวไกลมาก แต่ก็ได้เริ่มแล้วในขณะนี้ก็คือ เริ่มฟังพระธรรมด้วยความอดทน ด้วยความเป็นผู้เห็นประโยชน์ ว่าเป็นสิ่งที่ยากก็ต้องค่อยๆ สะสมอบรมไป
ผู้ฟัง เป็นคำถาม ถ้าคนที่มีความรู้ธรรม จะไปปฏิบัติธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมจะได้ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าคนที่มีความรู้ธรรม จะไม่ไปปฏิบัติธรรม
อ.วิชัย ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วย ที่กล่าวว่าถ้าบุคคลที่เข้าใจธรรมแล้ว จะไม่คิดไปปฏิบัติธรรมเลย ก็ต้องมีเหตุผล เพราะสนทนาตั้งแต่แรกเลย ก็คือเป็นธรรมทั้งหมดเ ป็นอนัตตาทั้งหมด ดังนั้นลองพิจารณาถ้าคิดจะไปปฏิบัติธรรม เป็นใคร เพราะเหตุว่าความรู้ความเข้าใจธรรมต่างหาก ที่เกิดขึ้น ทำกิจเข้าใจถูกในธรรมตามความเป็นจริง แล้วเมื่อไหร่ ไม่ได้กำหนดสถานที่หนึ่งสถานที่ใดเลย ขณะที่ฟังอย่างนี้แหละ แสดงเปิดเผยสิ่งที่มีจริง ตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพิจารณาในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ว่าสภาพธรรมขณะนี้กำลังมี เกิดขึ้นเป็นแต่ละอย่าง ให้เกิดความเข้าใจถูก ขณะที่เข้าใจถูก ไม่ต้องไปไหนเลยใช่ไหม เพราะเหตุว่าปัญญาเกิดขึ้น ทำกิจรู้ตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ ก็ขอให้พิจารณาเรื่องมูลนิธิกับสำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่ามูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ชื่อก็ชัดเจน พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ควรศึกษาหรือเปล่า หรือว่าควรทอดทิ้งละเลย เมื่อศึกษาแล้วก็ควรที่จะให้คนอื่นได้รู้ความจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และได้ศึกษาแล้วโดยละเอียด เพราะว่าไม่ใช่คนเดียว แต่ว่าทุกคนที่สนใจที่จะเข้าใจความจริง ไม่สามารถที่จะหาความจริงได้จากที่อื่นเลย นอกจากพระไตรปิฏกซึ่งเป็นคำสอนที่สืบทอดต่อมาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้องชัดเจน มีประโยชน์หรือเปล่า หรือว่าเป็นโทษ เมื่อศึกษาแล้วก็ยังเผยแพร่สิ่งที่ได้ศึกษาแล้ว ให้คนอื่นได้รับ ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ของเขา เพราะฉะนั้นผู้ที่ให้สิ่งที่ดีที่สุด คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในความจริง เป็นมิตรที่ดีหรือเปล่า หรือว่าเป็นผู้ที่ทำร้ายคนอื่น ชักชวนคนอื่นให้หลงผิด
เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้เข้าใจ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไม่ได้ทำอย่างอื่น ก็ศึกษาพระไตรปิฎกเท่าที่สามารถจะกระทำได้ แล้วก็เผยแพร่ไปทุกทางที่จะให้เป็นประโยชน์ กับผู้ที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรม และได้เข้าใจถูกต้อง แต่สำนักปฏิบัติให้เข้าใจอะไรหรือเปล่า หรือว่าชื่อสำนักปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140