ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
ตอนที่ ๑๑๐๗
สนทนาธรรม ที่ บ้านไม้ขาว
วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะใดที่เป็นเรา ขณะนั้นก็ยังไม่เข้าใจยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าแท้ที่จริงแล้วทรงแสดงธรรมคือสิ่งที่มีจริงว่าไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่าชาวพุทธอย่าใช้พร่ำเพรื่อ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าชาวพุทธคือผู้ที่เข้าใจธรรม ถ้าไม่ใช่เข้าใจธรรมจะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร เพราะแค่มีศีล คนอื่นก็มีศีลได้ ไม่ใช่แค่คนที่มีศีลทุกคนเป็นชาวพุทธ
ผู้ฟัง ดังนั้นก็แสดงว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ ยังไม่รู้จักคำว่าธรรม ฉะนั้นธรรมคืออะไร ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มี จะรู้อะไร ก็ไม่มีอะไรจะรู้ แต่ทั้งๆ ที่มีก็ไม่รู้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงทั้งหมดก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นต้องฟังถึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจถูกต้องว่าทุกคำที่ได้ฟัง มาจากการที่ทรงตรัสรู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจผิด ยึดถือสิ่งที่มีจริงว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ทรงตรัสรู้คือ แต่ละสิ่งที่ปรากฏต้องเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่สามารถที่จะกลับมาอีกได้เลยในสังสารวัฎ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่ธรรม ทีละหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป การฟังธรรมต้องละเอียด และเป็นประโยชน์ที่รู้ว่าอีกไกลไหม จะรู้จักธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง ไม่ใช่รีบร้อน แต่ละคำ แต่ละเรื่องอยากจะรู้ แต่ไม่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้นั่นเองเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมเป็นบุญไหม เป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม ถ้าศึกษาธรรมต้องเข้าใจคำนี้ก่อน ทุกอย่างที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะ ของตน ของตน ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ก็เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้จะศึกษาธรรม เข้าใจไหม ก็เข้าใจตัวตนคิดว่าเป็นเรา เข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ยิ่งศึกษาธรรมก็ยิ่งรู้ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา นั่นคือศึกษาธรรม
ผู้ฟัง แต่สงสัยว่าศึกษาธรรมไปทำไม มีประโยชน์อะไร
ท่านอาจารย์ ศึกษาธรรมไปทำไม เกิดแล้วต้องตายไป ไม่รู้ดีกว่าหรือ อยู่ไปแล้วก็ตายไป อยู่ไปเกิดมาอีก แล้วก็ตายไป แล้วก็ไม่รู้อะไรเลย เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ไปวันๆ กับการที่รู้ความจริงว่าอะไร ทำไม จึงเป็นอย่างนี้ มีอะไรที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เกิดแล้วห้ามไม่เห็นก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้คิดก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้รัก ไม่ให้ชังก็ไม่ได้แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วเหลืออะไร จากทั้งวันทุกวันที่เคยเป็นเหลืออะไร จากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ แต่ความจริงสิ่งที่เกิดเมื่อวานนี้ก็หมด ไม่กลับมาอีกเลยเหลืออะไร ก็มีแต่วันนี้ ขณะนี้ ก็เหลืออะไร ก็กำลังจากไปทุกขณะ จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ แล้วเหลืออะไร ก็ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่าง จริงหรือเปล่า
ศึกษาธรรมคือศึกษาความจริง ให้เข้าใจความจริง ไม่ใช่เราเป็นคนที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แค่ฟังไม่กี่คำดับกิเลส ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริง จะดิ้นรนเดือดร้อนไปละกิเลสกันไหม มีกิเลสเยอะๆ หรือว่าศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความจริง และความเข้าใจนั้นก็ไม่ใช่เรา มาที่นี่เพื่ออะไร ฟังธรรม สนทนาเพื่อเข้าใจสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ให้เป็นความเข้าใจถูกขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพื่ออะไรไม่ใช่เรา แล้วฟังไปทำไม ศึกษาไปทำไม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ใครไม่อยากเข้าใจก็ไม่เข้าใจไปทุกชาติ จิตเห็นคืออะไร
ผู้ฟัง จิตเห็นเป็นธาตุรู้ เมื่อมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ จิตเห็นจึงเกิดขึ้นรู้ได้
ท่านอาจารย์ ต้องมีตา
ผู้ฟัง ต้องมีตา
ท่านอาจารย์ แล้วต้องมีรูปที่กระทบตา
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่กระทบหู กำลังกระทบตา รูปนี้กระทบอะไรไม่ได้เลย รูปที่กำลังปรากฏให้เห็น กระทบส่วนไหนของกายไม่ได้เลยนอกจากกระทบส่วนที่เป็นจักขุปสาทด้วย ไม่ใช่หางตา หัวตา แต่ต้องปสาท ส่วนพิเศษที่ใช้คำว่าใส เพราะว่าสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง แต่ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ลักษณะของจิต ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่รู้อะไรเลย แค่ฟัง แค่ฟังให้เข้าใจว่าจิตไม่ใช่เราเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ขณะเกิด ทุกขณะต่อมาจนกระทั่งตาย ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจธรรมว่าไม่ใช่เรา คนที่ได้ฟังแล้ว เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง นับถือในคำๆ นี้ไหม ว่าเป็นคำที่มาจากการตรัสรู้ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เกิดขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้นเพื่อเข้าใจธรรม เห็นประโยชน์ แล้วก็ศึกษาต่อไป มีความมั่นคง ก็เป็นชาวพุทธที่มั่นคงขึ้น แต่ใครก็ตามได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ว่าทรงตรัสรู้อะไร สอนอะไร แล้วรู้จักคำสอนก็เป็นชาวพุทธ ออกไปข้างนอกเป็นชาวพุทธหรือเปล่า ก็ต้องเป็น จะเอาสิ่งที่เป็นแล้วไปไหน ใช่ไหม เข้าใจก็คือเข้าใจ ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่เป็นชาวพุทธระดับไหน ได้ฟังบ้านนิดหน่อย หรือว่าระดับที่เริ่มเข้าใจเพิ่มขึ้น เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นการที่จะนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่โดยไม่เข้าใจอะไร เข้าใจเมื่อไหร่นับถือเมื่อนั้น ยิ่งเข้าใจขึ้น ความนับถือในพระรัตนตรัยก็ยิ่งมั่นคงขึ้นเท่านั้น อยู่ดีๆ ไม่รู้เลยแล้วก็เป็นผู้ที่มั่นคงในพระรัตนตรัยได้ไหม ยังไม่รู้จักเลยว่าพระรัตนตรัยคืออะไร ถ้าไม่มีธรรมจะมีเรื่องราวของธรรมไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็อันเดียวกัน เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรมไม่มีเรื่องอะไรเลย ไม่มีแน่นอน แต่เพราะมีธรรมก็มีเรื่องต่างๆ เป็นเรื่องราวต่างๆ ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องราวของธรรม แต่เมื่อเป็นเรื่องเป็นราวก็เพราะเหตุว่าเป็นธรรม ซึ่งทำให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมก็เหมือนกัน คือให้เข้าใจธรรมไม่ใช่เข้าใจเรื่องอื่น ไม่ได้เข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ ไม่ได้เข้าใจเรื่องประวัติศาสตร์ ใช่ไหม สนทนาเพื่อเข้าใจธรรม ก็ต้องเป็นเรื่องราวของ ธรรม ไม่ใช่เรื่องอื่น แต่ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ อะไรทั้งหมด ถ้าไม่มีธรรมก็ไม่มี เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าเป็นเรื่องเยอะมาก แต่ละเรื่องๆ เพราะฉะนั้นเรื่องของธรรมก็ต้องเป็นเรื่องของธรรม เพราะฉะนั้นเพราะมีธรรมเราก็สนทนาเรื่องราวของธรรมให้เข้าใจธรรม ธรรมไม่ต้องคิดเองเลย จะเสียเวลามากเลย ถ้าคิดเอง เพราะไม่ถูก แต่พอฟังคำหนึ่งคำใด แล้วคิดไตร่ตรอง ให้เข้าใจคำนั้นทีละคำ ก็จะรู้ว่าคิดเองไม่ได้ แต่ต้องอาศัยการฟังธรรม เรื่องราวของธรรมที่ตรงตามความเป็นจริงของธรรม
ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ การถึงเฉพาะลักษณะสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ คนไทยใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่าคำนี้คืออะไร มาจากไหน เพราะฉะนั้นต้องศึกษาจึงสามารถที่จะรู้ได้ ภาษาบาลีไม่มีคำว่าปฏิบัติ แต่มีคำว่าปฏิปัตติ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง เพราะฉะนั้นปฏิปัตติ คือถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรม แค่นี้เป็นคนเป็นสัตว์หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นอะไรจะถึงลักษณะที่เป็นธรรมได้
ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นลักษณะของความรู้คือปัญญา
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาเท่านั้น ที่จะถึงลักษณะที่เป็นธรรม เวลานี้ฟังเรื่องธรรม แต่เป็นเราฟัง เห็นคนนั้นคนนี้ ยังไม่สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของธรรม ถ้าสิ่งเฉพาะต้องหลายอันหรืออันเดียว
ผู้ฟัง ลักษณะเดียว
ท่านอาจารย์ ต้องหนึ่งเดียว เฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้มีเห็น มีคิด มีจำ มีชอบ มีไม่ชอบ ยังไม่ได้ถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งลักษณะใดเลยทั้งสิ้น เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะยังไม่มีปัจจัยพอที่จะถึงเฉพาะ ซึ่งปัญญาเท่านั้นที่ฟังแล้วรู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมที่รวมๆ กัน แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เกิดแล้วดับด้วย เข้าใจอย่างนี้หรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ ปัญญาที่จะถึงเฉพาะลักษณะหนึ่ง ก็มีไม่ได้
ผู้ฟัง แล้วความเข้าใจแบบนี้ ต้องมีปริมาณหรือว่าต้องเข้าใจลึกซึ้งถึงอย่างไร
ท่านอาจารย์ ขณะไหนก็ตาม ที่ลักษณะที่ถึงเฉพาะเกิดเมื่อนั้นรู้เลย พอหรือยัง เดี๋ยวนี้ถึงเฉพาะหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญายังไม่พอที่จะถึง
ผู้ฟัง แต่ถึงแม้ ถึงก็ไม่ใช่ครั้งเดียวใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอน แต่รู้ความต่างไหม ว่าได้ถึงเฉพาะอันไหนเมื่อไหร่ อย่างไร ด้วยตัวเอง เพราะขณะนั้นต้องเป็นปัญญา ปัญญาไม่รู้ไม่ได้ ปัญญาที่ไม่รู้ไม่มี ปัญญาแล้วต้องรู้ เพราะต้องรู้ว่าถึงเฉพาะเป็นธรรมี หรือเปล่า และธรรมอะไรที่สิ่งเฉพาะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ถึงเฉพาะ ถึงเฉพาะหรือเราถึงเฉพาะ แต่อะไรล่ะที่สิ่งเฉพาะ
ผู้ฟัง ขอคำอธิบายอีกสักนิดหนึ่งว่าลักษณะนั้นๆ เมื่อปรากฏมีเพียงแค่หนึ่งเดียว อยากจะกราบท่านอาจารย์ช่วยยกตัวอย่าง
ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญากระทบแข็ง มีอย่างอื่นปรากฏไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ถึงเฉพาะหรือยัง
ผู้ฟัง ยัง
ท่านอาจารย์ เพราะอะไร
ผู้ฟัง เพราะคิด
ท่านอาจารย์ เพราะปัญญาระดับนั้นยังไม่เกิด ที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมเท่านั้น เป็นธรรมอย่างหนึ่งด้วย เคยเป็นแจกัน เคยเป็นโต๊ะเคยเป็นเรา แต่ขณะนั้นที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นก็รู้ความจริงว่าแค่เป็นแข็ง
ผู้ฟัง ไม่มีลักษณะอื่นปรากฏหรือปะปน
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นอะไรปรากฏ
ผู้ฟัง แข็ง ก็มีนุ่มๆ ด้วย
ท่านอาจารย์ หนึ่งใช่ไหม ถึงเฉพาะ ต้องทีละหนึ่ง
ผู้ฟัง ขออีกตัวอย่างได้ไหม
ท่านอาจารย์ เห็นขณะนี้ เห็นจริงๆ เห็นหรือเปล่า
ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ อย่างนั้นก็ไม่ใช่เฉพาะเห็น ถึงเฉพาะด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นปัญญาไม่ได้เลย เที่ยวไปนั่งจดจ้องอยู่อย่างนั้นได้อย่างไร
ผู้ฟัง เมื่อกล่าวถึงความเป็นอนัตตาหรือความไม่เที่ยง จะเลือกสถานที่ เลือกเวลา หรือเลือกกาล ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเลือกใช่ไหม ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จะต้อง เลือกไม่ได้
ผู้ฟัง เลือกไม่ได้
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เลือกได้ไหม ให้อะไรเกิดขึ้น
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เกิดแล้วเลือกไม่ได้
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็คือเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
ท่านอาจารย์ แน่นอน อนัตตาชัดเจน หนทางนี้เป็นหนทางที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ จนชัดเจนว่าไม่มีเรา เพราะเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา
ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรจะรอคอยใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แล้วยังไงล่ะเดี๋ยวนี้
ผู้ฟัง เพราะว่าการฟังธรรม เมื่อฟังบ่อยๆ ฟังมากๆ ฟังนานๆ ก็มักจะรอคอยการถึงเฉพาะลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ลักษณะที่รอมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ อะไร
ผู้ฟัง การจดจ้อง
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นโลภะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ปิดกั้น ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ
ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ คำว่ามีจริง พวกเราอาจจะพอเข้าใจ แต่สำหรับคนที่มาใหม่ ธรรมมีจริง อะไรมีจริง
ท่านอาจารย์ มาใหม่ ได้ยินคำแล้วก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ก็ต้องค่อยๆ คิดแล้วตอบ จะได้รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า ไปให้คนรู้ตอบจะมีประโยชน์อะไร เขารู้ คิดว่าอะไรมีจริง ต้องคนไม่รู้ใช่ไหมที่จะตอบ คนรู้เขาตอบได้ ตอบทำไมรู้แล้ว แต่คนที่ไม่รู้ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ เข้าใจว่าอย่างไร อะไรมีจริง
ผู้ฟัง คนมีจริง
ท่านอาจารย์ คนมีจริง ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มีคนไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อะไรจริง
ผู้ฟัง ตามีจริง จมูกมีจริง หูมีจริง ลิ้นมีจริง
ท่านอาจารย์ บอกแล้วนะ ไม่ใช่คนนะ
ผู้ฟัง ไม่ใช่คน
ท่านอาจารย์ ลิ้นก็ต้องเป็นลิ้น ตาก็ต้องเป็นตา หูก็ต้องเป็นหู เพราะฉะนั้นอะไรมีจริง
ผู้ฟัง หูตาลิ้นจมูกกาย
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริง มีจริงๆ แต่ไม่ต้องเรียกว่าคน เพราะสิ่งนั้นมีจริง จะเรียกว่าอะไรก็ได้ เรียกโต๊ะได้ไหม แข็งนี้
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ เรียกเก้าอี้ได้ไหม
ผู้ฟัง ได้
ท่านอาจารย์ ตามรูปร่างสัณฐานที่ปรากฏให้จำได้ และเป็นที่รู้กันว่าสิ่งนี้จำไว้ตั้งแต่เกิด ค่อยๆ จำไปทีละเล็กทีละน้อยว่านี่อะไร แต่ความจริงต้องเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง นี่คือความต่างกัน คนมีจริง โต๊ะมีจริง เก้าอี้มีจริง แต่ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงว่าคืออะไร ต้องให้คนฟังได้เข้าใจ เดี๋ยวนี้มีเห็น เห็นอะไรบ้าง
ผู้ฟัง ตอนนี้ก็เห็นท่านอาจารย์ เห็นคน เห็นป้าย เห็นโต๊ะ
ท่านอาจารย์ หลับตาเลย เห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นความมืด
ท่านอาจารย์ หายไปไหนหมดเลย คน เพราะฉะนั้นไม่รู้ความจริงใช่ไหมว่าเห็นคืออะไร เพราะฉะนั้นก็ฟังจนกว่าจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฟังแค่นี้แล้วเขาจะไปรู้อย่างคนที่ฟังมาแล้วมาก ก็ต้องฟังต่อให้รู้ว่ากำลังนี้ที่ลืมตาเห็นคนเยอะแยะ มีดอกไม้มีสารพัดอย่าง หลับตาแล้วหายไปไหนหมด เร็วอย่างนั้นเลย แค่หลับตาก็ไม่เหลือ คิดดูแล้วอะไรจริง หลับตาไม่มีอะไรปรากฏจริง ลืมตามีปรากฏต่างๆ สีสันวรรณะต่างๆ จำได้ว่าเป็นคนนั้นคนนี้ต่างๆ มีจริง เพราะฉะนั้นค่อยๆ ฟัง ให้เริ่มเข้าใจจากการฟัง แล้วไตร่ตรอง ว่าอะไรแน่ที่มีจริง เสียงมีจริงไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อได้ยิน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ยิน
ผู้ฟัง ก็ไม่มี
ท่านอาจารย์ เสียงก็ไม่ปรากฏเลย เสียงเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง เสียงเกิด เมื่อเสียงปรากฏ
ท่านอาจารย์ ถ้าเสียงไม่เกิด จะปรากฏไหม
ผู้ฟัง ไม่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเสียงเกิด แล้วดับไหม
ผู้ฟัง ดับ
ท่านอาจารย์ ไม่เหลือแล้ว ก็ค่อยๆ ฟัง จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจว่านี่คือธรรม คือสิ่งที่มีจริง แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยพิจารณาว่าแท้ที่จริงแล้วโลกว่างเปล่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยไม่มีโลก แต่เพราะมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดนั้นแหละเป็นโลกแล้ว ลองไม่มีอะไรเลยจะเป็นโลกไหม ก็ไม่เป็น แต่พอมีการเกิดขึ้นเมื่อไร เป็นโลกเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นโลกทั้งโลก มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งนั้นเลย ถ้าไม่เกิดก็ไม่ ค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจ จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย คิดเองอย่างไรก็ไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ และสิ่งที่ทรงตรัสรู้ ได้ยินแล้วจริงหรือเปล่า ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจทีละคำ
ผู้ฟัง อันดับแรกเลย ดิฉันเพิ่งมาครั้งแรก แล้วอยากรู้มากๆ ก็คือว่าธรรมคืออะไร
ท่านอาจารย์ แล้วตั้งแต่มานั่งที่นี่ พอจะรู้หรือยังว่าธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง ถ้าตามความเข้าใจก็คือเหมือนกับว่าเราต้องอยู่กับปัจจุบัน อย่าไปปรุงแต่งอะไร
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย
ผู้ฟัง ไม่ใช่เลย
ท่านอาจารย์ คืออะไรก็ต้องตอบ ไม่ใช่ไปอยู่กับปัจจุบัน นั่นอยู่ไม่ใช่คืออะไร
ผู้ฟัง ก็คิดว่า อย่างสมมติ
ท่านอาจารย์ ถ้าเราไม่รู้จักธรรม เราจะรู้ไหมว่าธรรมคืออะไร ถ้าเราไม่รู้จักดอกไม้เราจะรู้ไหมว่าดอกไม้คืออะไร เขาพูดว่าดอกไม้เราก็ไม่รู้ว่าดอกไม้คืออะไร เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าธรรม ตั้งแต่เช้ามานั่งฟังได้ยินคำว่าธรรม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเท่าที่ได้รับฟังแล้วพอจะตอบได้ไหมว่าธรรมคืออะไร
ผู้ฟัง ยังตอบอะไรไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังใหม่อีกครั้งหนึ่ง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เริ่มแล้วไม่เปลี่ยน ถ้าธรรมไม่มีจริง มีประโยชน์ไหมที่เราจะพูดเรื่องธรรม เริ่มเห็นประโยชน์ ว่าเราพูดเรื่องอะไรกัน เราพูดเรื่องสิ่งที่มีจริงเพื่อให้เข้าใจความจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะเข้าใจได้เลย ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำจะใหม่มาก ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยคิดมาก่อนเลย จนกว่าจะได้ฟังคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วกล่าวคำนั้น นานแสนนานมาแล้ว ทุกคำแต่ละคำให้คนที่ได้ฟังมีโอกาสได้ไตร่ตรอง ได้เข้าใจว่าแต่ละคำเป็นความจริงไหม เพราะฉะนั้นเริ่มต้นตั้งแต่คำแรกธรรมคือสิ่งที่มีจริงไตร่ตรอง และไม่ใช่เชื่อ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีจะพูดถึงธรรมทำไม ประโยชน์อะไรพูดไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าไม่มี แต่เพราะเหตุว่าธรรมมีจริง ทำไมพูดเรื่องธรรม เพราะไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม แต่ธรรมต้องมีจริงแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครเข้าใจธรรม แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงว่าธรรมคือทุกสิ่งที่มีจริงๆ ไม่เว้นเลย ทุกคำต้องเก็บไว้ในใจ มั่นคงธรรมคือทุกสิ่งที่มีจริงไม่เว้นอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไรที่จริง ไม่ใช่เอาปัญญาความคิดของคนอื่นมาตอบ แต่จากการฟังเดี๋ยวนี้ ตอบตามความเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรจริงๆ บ้าง
ผู้ฟัง ก็มีเพื่อนๆ มีเห็นรถ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีเพื่อน มีรถ มีจริงๆ แต่ว่าก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคนก็รู้ว่ามีเพื่อนมีรถ เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต่างจากคนอื่นอย่างไร ทรงแสดงว่าสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นเพื่อน เป็นรถยนต์ ถ้าไม่เห็นจะมีไหม ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ใช่ไหม รูปร่างของรถก็อย่างหนึ่ง รูปร่างของโต๊ะอย่างหนึ่ง รูปร่างที่เราเรียกว่าเป็นคนก็อีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งที่มีสีสันต่างๆ ต้องมีสิ่งที่ปรากฏหลากหลายเป็นสีต่างๆ ถ้าเป็นสีเดียวจะเป็นคนเป็นสัตว์ได้ไหม สีเดียวเลยขาวหมดอย่างนี้
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ดำหมดแล้วจะเป็นอะไรได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ แต่เพราะเหตุว่ามีสีหลากหลายใช่ไหม สั้นบ้าง ยาวบ้าง ต่างกัน ตัดกัน ทำให้จำได้ว่านี่เป็นอะไร อย่างที่ไมโครโฟน เห็นไหมสีดำ ต้องรูปร่างอย่างนี้ด้วย ต้องยาวอย่างนี้ด้วย ต้องเป็นอย่างนี้จึงจะจำไว้ว่านี่เป็นสิ่งหนึ่ง พอเห็นอีกอย่างหนึ่ง ก็รูปร่างอีกอย่างหนึ่งแล้ว นี่ตรงนี้เป็นอย่างนี้ ตรงนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็เรียกต่างกันใช่ไหม และถึงจะเรียกอย่างเดียวกัน แต่หลายรูปร่างก็ได้ อย่างที่ว่าเป็นคนรูปร่างเหมือนกันไหม
ผู้ฟัง ไม่เหมือน
ท่านอาจารย์ สูงต่ำ ดำขาว ไม่เหมือนกันเลย แต่มีสีสันที่ทำให้จำได้ว่านี่นะคนนะ ไม่ใช่นก ไม่ใช่แมว ไม่ใช่กุ้ง ไม่ใช่ปู ไม่ใช่ปลา ใช่ไหมนี่เราเริ่มเข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่คนอื่นเข้าใจว่าเป็นคนเป็นนกเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ แต่ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลยสักอย่าง มีคนไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ มีโต๊ะไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ มีเก้าอี้ไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ มีนกไหม
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งต้องเกิด แต่หลากหลายมากตามเหตุตามปัจจัย ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นได้เลย แข็งมีไหม
ผู้ฟัง มี
ท่านอาจารย์ เมื่อไหร่
ผู้ฟัง เมื่อเราจับต้อง
ท่านอาจารย์ ต้องกระทบสัมผัส ดอกไม้อ่อนหรือแข็ง
ผู้ฟัง อ่อน
ท่านอาจารย์ รู้ได้อย่างไร
ผู้ฟัง เคยจับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยจับ บอกไม่ได้ใช่ไหม ดูแค่ตาแต่ไม่รู้เลยว่าอ่อนหรือแข็ง ใช่ไหม ต้องกระทบสัมผัสจึงสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นเวลากระทบสัมผัส สิ่งที่สามารถจะกระทบได้ก็คืออ่อนหรือแข็งถูกต้องไหม เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว เท่านั้นที่กระทบกายได้ แต่ทางตาปรากฏเป็นสีสันต่างๆ รวมกันเลยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเพียงแข็งไม่มีสีสันที่ต่างกัน จะเป็นพวงมาลัยไหม แค่แข็งไม่มีสีสันที่ต่างกัน รูปร่างต่างกัน จะเป็นพวงมาลัยได้ไหม
ผู้ฟัง ก็ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ แต่แข็งที่ทำให้มีสีสันวรรณะปรากฏ หลากหลาย กลมบ้าง ยาวบ้าง สั้นบ้าง เหลี่ยมบ้าง ใช่ไหม ปรากฏทางตาใช่ไหม
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ พร้อมกับลักษณะที่แข็ง ก็เลยเข้าใจว่าสิ่งที่แข็งอย่างนี้ รูปร่างอย่างนี้เป็นโต๊ะ อันนี้ไม่ใช่โต๊ะ และเป็นยา
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140