ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๑๑๐๙

    สนทนาธรรม ที่ บ้านไม้ขาว

    วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้บุญมีหลายอย่าง ความดีมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ที่เราใช้คำว่า ทานหรือทานะ การให้ สามารถสละให้คนอื่นโดยไม่หวังการตอบแทนใดๆ เลยทั้งสิ้น ใครรู้อนุโมทนาไหม เพราะว่าส่วนใหญ่ให้ยาก ใช่ไหม ให้บ้างให้ได้ใ ห้หมดให้ได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นบุญก็เกิดไม่ง่าย ใช่ไหม แต่ขณะใดก็ตามที่สามารถจะให้ แสดงว่าขณะนั้นสภาพธรรมที่ดีมีกำลัง สามารถที่จะสละให้คนอื่นเป็นวัตถุได้ แล้วก็ยังมีด้วยว่าสละให้แบบไหน สละให้แบบของที่ไม่ดีให้ไปของดีเก็บไว้ก่อน มีไหม อันนั้นก็เป็นธาตุสถาน ถึงให้ก็ให้แต่ให้สิ่งที่ไม่ดีอย่างที่ตนใช้ มีไหม ของสิ่งนี้จะบริโภค ของที่ให้คนอื่นบริโภค เสมอกันหรือเปล่า อย่างเดียวกันหรือเปล่า หรือว่าดีกว่าหรือว่าด้อยกว่า ทั้งหมดนี้ก็เป็นธรรมทั้งหมดเลย ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้จักตัวเอง เราสะสมอะไรมา เป็นธาตุเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นไปตามความเป็นธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นการที่ไม่สามารถจะสละให้ กับการที่สละให้ก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ความดีทั้งหมด คนอื่นที่รู้คุณรู้ค่าของความดีเขาสามารถที่จะยินดีด้วย เป็นกุศลอีกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อการให้สำเร็จลงไปแล้ว ยังสามารถที่จะมีกุศลต่อไปอีกคืออุทิศความดีให้คนอื่นได้รู้ และอนุโมทนา อย่าลืมอุทิศให้หมายความว่าญาติพี่น้องหรือใครก็ตามที่เราจงใจให้เขา อุทิศก็คือเจาะจงให้ ญาติพี่น้องเอ่ยชื่อไปหรืออะไรอย่างนี้ แบบว่าอุทิศส่วนกุศลให้ เพื่อเขาจะได้ยินดี และอนุโมทนา แต่เขาไม่ยินดีก็ได้ บังคับเขาได้ไหม ก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เราไม่รู้เลยว่าใครจะยินดีด้วย หรือไม่ยินดีด้วย แต่ก็ห้ามเราไม่ให้อุทิศไม่ได้ เพราะเราเห็นว่าบุญไม่ได้จบเพียงแค่ทำความดี ยังสามารถที่จะมีความดีอีกขั้นหนึ่ง ก็คือว่าอุทิศส่วนกุศลที่ได้ทำนั้นให้คนอื่นที่สามารถล่วงรู้อนุโมทนา แต่เขาจะอนุโมทนาหรือไม่อนุโมทนาไม่ใช่หน้าที่ที่เราจะไปบังคับ หรือทำให้เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ทำกุศลเอง แต่เห็นคนอื่นเขาทำ เราอนุโมทนาไหม เขาไม่ได้มาบอกเราเลย อย่างคนขับรถแท็กซี่คืนเงินให้ผู้โดยสารที่ลืมไว้ในรถเขาไม่ได้มาบอกเรา แต่เรารู้แล้วอนุโมทนาก็เป็นกุศลที่เราไม่ได้ทำเอง แต่ก็ยังยินดีในกุศลที่คนอื่นทำ

    เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกี่ยวกับทานะ หรือทาน การให้จึงมี ๓ อย่างคือ ให้ด้วยตัวเอง ๑ ให้แล้วอุทิศให้คนอื่นได้สามารถอนุโมทนาด้วยอีก ๑ หรือแม้ว่าเราไม่ได้ให้แล้วไม่ได้อุทิศ เพียงคนอื่นทำเราก็อนุโมทนายินดีตามกุศลที่เขาทำ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นทั้งหมดเป็นธรรมที่เป็นฝ่ายดี แต่ถ้าไม่ดีเขาให้ไม่อนุโมทนา มีไหม คนที่ไม่ชอบกัน แล้วคิดดู บางคนบอกอนุโมทนาไม่ลงเลย ทั้งๆ ที่เขาทำดีแท้ๆ อย่างนี้ดูความเป็นไปของธรรม ว่าธรรมที่เป็นอกุศล หนาเหนียวแน่นให้โทษแค่ไหน แม้แต่ความดีที่คนอื่นทำก็ไม่อนุโมทนา ไม่พูดถึง ไม่กล่าวถึง ไม่สรรเสริญปิดเงียบ แล้วก็ยังไม่อนุโมทนาด้วย

    เพราะฉะนั้นสภาพของธรรมหลากหลายมาก เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้ว ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่กุศลใดๆ และอกุศลใดๆ ที่เกิดขึ้นแล้วแม้ดับไป ก็สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป แสนโกฎกัลป์มาแล้ว กว่าจะเป็นคนนี้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งใครก็บังคับไม่ได้ว่าจะให้จิตใจเป็นอย่างไร ดีชั่วขนาดไหน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ถ้าไม่มีการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้สภาพของจิตได้เลย แต่ละคำก็ผ่านไป ทำตามกันไป ธรรมสวัสดีกันไป ธรรมคืออะไร สวัสดีตรงไหน ก็ไม่รู้ทั้งนั้น แต่พูดแล้วเหมือนคนตาบอด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตามใครไปง่ายๆ แต่ก่อนไม่มีคำเหล่านี้ก็เกิดมีคนที่คิดคำเหล่านี้ตามกันไปเลย ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่เคยมีการชักชวนกันบวชเป็นร้อยเป็นพันก็เกิดการจะชักชวนกันบวชเป็นร้อยเป็นพัน ไม่รู้หรือว่าบวชคืออะไร เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ไม่รู้ ชักชวนให้เขาเป็นบาป ถ้าเขาไม่เข้าใจธรรมแล้วบวช ความไม่เข้าใจนี้จะเป็นบุญหรือ แล้วก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ บวชคือการสละทั่วในเพศคฤหัสถ์ ทำกิจของคฤหัสถ์ไม่ได้เลยก็กลับไปชื่นชมอนุโมทนา ผู้ที่ไม่ทำตามพระวินัยคือไม่เข้าใจธรรมไม่ศึกษา และไม่ประพฤติขัดเกลากิเลสด้วยใจ ไปยินดีในการที่เขาไปช่วยชาวบ้าน นั่นหรือเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ก็ต้องเป็นไปตามความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ธรรมที่จะช่วยให้พ้นจากอกุศลก็มีอย่างเดียวคือปัญญา ซึ่งเกิดจากการฟังธรรมแล้วเข้าใจ ก็สามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร แล้วก็ไม่เป็นไปตามสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่คนที่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่รู้หรือว่ารู้ว่าไม่ถูกก็ยังทำ ก็ตามกำลังของกิเลส แล้วให้โทษไหม ทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งๆ ที่รู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของความตรง และความจริงใจ และประโยชน์สูงสุดก็คือว่าปัญญาจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

    ผู้ฟัง จะกราบเรียนท่านอาจารย์ การที่เราร่วมอนุโมทนานั้นเป็นการที่จะขจัดความริษยา เพราะว่ามีจิตที่โสมนัสยินดีกับกุศลของเขา จะเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างไร ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ กุศลคืออะไร

    ผู้ฟัง กุศลคือสภาพจิตที่ผ่องใส ซึ่งประกอบด้วยธรรมส่วนดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็รู้ว่า ขณะไหนเป็นกุศล กลางวันอาหารอร่อยใช้ไหม กุศลหรืออกุศล แต่อนุโมทนาในกุศลของผู้ให้ได้ไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องมีปัญญา มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ปะปนกัน เพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ให้ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วก็ยังให้สิ่งที่เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คือให้อาหารด้วย และมีความหวังดีด้วย ไม่ใช่อาหารอะไรก็ได้ แต่อาหารอร่อย เพราะฉะนั้นการอนุโมทนานั้นก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณของบุญหรือกุศลจึงสามารถที่จะอนุโมทนาได้ ไม่อย่างงั้นเราก็อาหารอร่อยดีจัง ชวนเรามาทุกสิ่งทุกอย่างดี แต่ลืมว่าเจตนาของผู้ให้ ให้เนื่องจากอะไรที่จะให้มีการได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมนี้ละเอียดมาก อย่างเมตตา หมายความถึงความหวังดี ภาษาไทยเราก็ใช้คำว่ามิตร เขาเป็นมิตรกันก็คือหวังดีต่อกัน ไม่หวังร้ายต่อกัน เพราะฉะนั้นเมตตาหรือมิตรก็คือสภาพธรรมที่หวังดี เพราะฉะนั้นเรามีความเป็นมิตรมีความหวังดี ที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกในธรรมวินัย นี่ก็คือความเมตตาใช่ไหม แต่เมตตาแล้วยังมีการกระทำต่อไปอีกคือให้ทาน สถานที่อาหารหรืออะไรต่างๆ ใช่ไหม แล้วถ้าจะจบแล้วอุทิศส่วนกุศล ทั้งหมดที่เราได้ทำในวันนี้ให้คนอื่นที่สามารถจะอนุโมทนาได้พร้อมกันนั้น ถ้าคนอื่นรู้ จิตเขาก็อนุโมทนา ยินดีด้วยก็เป็นสิ่งซึ่งแต่ละหนึ่งขณะ ต้องเข้าใจ เพราะฉะนั้นเมตตามีความหวังดีมีความเป็นมิตร ตลอดไปเสมอไป ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง เมตตาเฉพาะคนนี้นะในบ้านเรานะ อย่างนั้นได้หรือ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ใช่ไหม แต่เมตตาต้องเสมอกันหมด ไม่ว่าใคร ในบ้านนอกบ้าน จะสูงต่ำอย่างไรก็ตามแต่ ก็มีความเมตตาคือมีความหวังดี มีความเป็นเพื่อนเสมอกัน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักสภาพธรรมที่เป็นกุศลที่เมตตา คนในบ้านนี่แหละเราเมตตารึเปล่า หรือเรามุ่งที่จะไปเมตตาสัตว์โน้น สัตว์นี้ ปล่อยวัวปล่อยอะไรอย่างนั้น แล้วก็คิดว่าเราหวังดี แล้วคนในบ้านละมีความเป็นมิตรมีความเป็นเพื่อนหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ทุกขณะต้องละเอียด ต้องรู้ว่าต่างกันอย่างไร แล้วสำหรับคนที่เขามีทุกข์เกิดขึ้น ความหวังดีเป็นเพื่อนใช่ไหมที่ทำให้เกิดความกรุณา เห็นใจใครความทุกข์ของเขา และช่วยเหลือ ถ้าคนไม่เห็นใจก็ทิ้งไปเลย เขาป่วยไข้ ก็ปล่อยเขาไป เขาอะไรก็ปล่อยเขาไปหมด แต่ถ้าคนกรุณามีความเห็นใจ มีความเข้าใจพร้อมที่จะช่วยเขาให้พ้นจากความทุกข์เป็นมิตรด้วย และก็ยังกรุณาด้วย แต่เวลาที่เขาได้รับสุข จะลาภหรือจะยศ หรืออะไรก็ตามแต่ ทรัพย์สินเงินทองสิ่งที่ดีงาม ยินดีด้วยในกุศล ที่นำมาซึ่งสิ่งที่ได้นั้น ไม่มีความริษยา เขาจะได้เงินสักพันล้าน จะได้โดยมาวิธีใดก็ตาม โดยวิธีใดก็ตาม ใช่ไหม อนุโมทนาไหม คุณธีรพันธ์

    อ.ธีรพันธ์ ไม่ยินดีในทางทุจริต ไม่อนุโมทนา

    ท่านอาจารย์ ไม่อนุโมทนาในทุจริต แต่ในบุญที่เขาได้ทำไว้หรือเปล่า ที่ทำให้เขาได้รับสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เราอาจจะโกรธเขามากเลยเป็นคนไม่ดี เขาได้เงินเยอะแยะ แต่เขาได้มาอย่างไร ถ้าไม่ใช่ผลของบุญที่เขาได้ทำไว้ เพราะฉะนั้นก็ต้องแยกกันให้ถูกต้อง ไม่ยินดีในความชั่ว แต่สิ่งที่ได้กระทำไว้แล้วที่เขาได้รับ ก็คืออนุโมทนาในกุศล เพราะฉะนั้นเราก็แยกออกใช่ไหม ขณะจิตเราไม่ไปยินดีในความเป็นคนชั่วของเขา แต่ว่าเราก็ไม่ได้ริษยารังเกียจเพราะว่าที่เป็นอย่างนั้นได้พระผลบุญที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นเขาต้องได้กระทำบุญใหญ่มามากจึงได้เป็นอย่างนี้ แต่ความชั่วต้องชั่ว จะให้เราไปพลอยยินดีด้วยไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ก็มีความเข้าใจที่ชัดเจนในเรื่องความเป็นมิตร ไม่ได้รังเกียจคนที่ทำชั่ว รังเกียจเขาทำไม น่าสงสารไหม ที่เขาสามารถทำชั่วได้ถึงอย่างนั้น น่าสงสาร น่าเมตตา น่ากรุณา น่าสามารถที่จะทำให้เขาเป็นคนดีได้ ถ้าสามารถจะทำให้เป็นคนดีได้นี้คือพระมหากรุณา ที่ไม่ให้เราเกิดอกุศลเลย มีประโยชน์อะไร เพราะความชั่วของเขาต้องเกิดจากอกุศล ทีละเล็กทีละน้อย และเราล่ะถ้าสะสมอกุศลไว้มากๆ ก็อย่างนั้นแหละก็เหมือนอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจในความเป็นธรรมว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นมีเมตตา เจาะจงไหมว่าแค่ไหน ไม่เจาะจงเลย แล้วไม่ใช่ไปนั่งท่องสัตว์ทั้งหลาย พูดไปแล้วไม่เห็นจริงใช่ไหม นี่สัตว์ทั้งหลายก็คือยังรู้ว่าทั้งหลายไม่ได้ ใช่ไหม เริ่มมีเริ่มมาก ตามลำดับน้อยหรือมาก ใครรู้นอกจากตัวเอง เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงสัตว์ทั้งหลายต้องเป็นฌานจิต ถ้าไม่ศึกษาอย่างนี้ พูดได้อย่างไรสัตว์ทั้งหลาย พูดแล้วไม่จริง คำที่ไม่จริงพูดแล้วแย่มากเลย ใช่ไหม เป็นคำปลอมไม่ใช่คำจริง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดว่าสัตย์ทั้งหลาย แต่ว่ารู้ว่าขณะนั้นมีความเมตตา มีความเป็นเพื่อนได้แค่ไหน กับใคร ทั้งหมดหรือยัง ทั้งปวงหรือยัง แม้คนชั่วก็คือสัตว์ทั้งหลาย

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้เกิดกุศลไม่ได้ทำให้เกิดอกุศลเลย แต่ว่าจิตที่เป็นอกุศลจะพ้นจากอกุศลได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเข้าใจเราก็ว่าคนชั่ว เราไม่อนุโมทนา แต่ว่าความจริงไม่อนุโมทนาในความชั่ว แต่ว่าผลของบุญ เราจะไม่พลอยยินดีในผลบุญ หรือมุทิตายินดีในกุศล แต่ไม่ใช่ไปยินดีในอกุศล เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเมตตาความเป็นมิตรดีไหม กับใครก็ได้ ไม่เลือกเลยสักคนเขาจะเป็นอะไรนั่นคือเราช่วยไม่ได้ เขาสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น แต่จะห้ามไม่ให้เรามีเมตตาต่อเขา หรือสมควรหรือที่จะเกิดอกุศล

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สัตว์โลกพ้นจากทุกข์เพราะพระธรรมที่ได้เข้าใจ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะพ้นจากทุกข์ได้ มีเมตตา มีกรุณาเมื่อเขาเป็นทุกข์ ช่วยได้ช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็อุเบกขา เมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขา คือไม่ทำจิตตัวเองให้เศร้าหมอง รู้ว่าคือเป็นกรรมของเขาใช่ไหม ถ้าไม่มีกรรมที่ได้กระทำมาเขาจะลำบากถึงอย่างนี้หรือ เขาเจ็บป่วยไข้ถึงอย่างนี้หรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นผลที่ไม่ดีก็ต้องเป็นผลไม่ดีของการกระทำที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้ ก็ไม่ต้องเดือดร้อน ไปร้องไห้โวยวายทำไม ใช่ไหม นั่นเป็นอกุศล แต่ความเข้าใจธรรมว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงธรรมได้เลย ธรรมทั้งหลายต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ขณะนั้นก็สามารถที่จะเป็นอุเบกขา เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องของความเข้าใจ คนอื่นรู้ได้ไหมนอกจากตัวเอง เกลียดคนชั่วดีไหม ไม่ต้องไปเกลียดหรอก เพราะเกลียดก็คือชั่ว

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ที่เมื่อครู่กล่าวว่าเกลียดคนชั่วหรือความชั่ว ก็คือชั่ว แล้วอย่างไรเวลาคนทำความชั่วแล้วทำความไม่ดี แล้วจะไม่ให้เกลียดแล้วจะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าเกลียดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง พระพุทธเจ้าไม่โกรธเกลียดแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วสอนให้คนอื่นโกรธเกลียดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ไม่

    ท่านอาจารย์ เข้าใจให้ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ว่า

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม

    ผู้ฟัง เข้าใจให้ถูกต้องว่าความชั่ว ก็เป็นธรรม เพราะว่ามีเหตุปัจจัยก็ทำ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีสัตว์บุคคลเลย เป็นสภาพธรรมทั้งหมด ฟังแล้วว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นต้องตรง และจริง จนกว่าธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง หลายคนที่ยกตัวอย่างว่าบ้านเมืองนี้ มีคนโกงอะไรมากมายหรือว่าพระรับเงิน ก็เป็นพระทุศีล

    ท่านอาจารย์ แล้วทำอะไรล่ะ เขาโกงกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วเราทำอะไรล่ะ เราจะโกงด้วยหรือ

    ผู้ฟัง ก็ทำอะไรไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ทำดีสิ จะเป็นคนนี้อีกนานไหม นานเท่าไร ไม่มีใครรู้เลย ใช่ไหม แต่สามารถมีโอกาสได้ยินได้ฟังได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่สุด ก็คือว่าอย่างไรก็ต้องจากโลกนี้ทั้งหมด ไม่เหลือเลย เพื่อนก็ไม่มี ญาติพี่น้องก็ไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี เป็นคนใหม่ที่มาจากคนนี้แหละ เพราะฉะนั้นคนนี้เดี๋ยวนี้ทำอะไร คนใหม่ก็เกิดจากการกระทำของชาตินี้แหล่ะ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาส มีตา มีหู มีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรม แล้วทำความดี เพราะฉะนั้นประโยชน์ที่สุดก็คือว่าคนใหม่ข้างหน้าต่อจากนี้ ก็จะเพิ่มคุณความดีขึ้น มิเช่นนั้นแล้วก็แย่ลง ต้องไม่ลืมที่เป็นคนนี้ก็ผลของความดีที่ได้กระทำไว้แล้วจึงได้เป็นคนนี้ แต่ข้างหน้าต่อไปใครจะรู้ หายไปจากโลกนี้เลย ไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีคนนี้อีกเลย ความสามารถไม่เท่ากัน ใช่ไหม แค่วาดรูปบางคนวาดเก่ง บางคนก็วาดไม่เป็น เป็ดสักตัวยังวาดไม่ได้เลยใช่ไหม แต่นั้นเป็นเรื่องของการวาด แต่สภาพของจิตซึ่งมีสังขารขันธ์ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมที่วาด จะเป็นใคร รูปร่างหน้าตาอย่างไร แล้วก็ในชาตินั้นจะมีผลของกรรมอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เหมือนเดี๋ยวนี้ชาตินี้เกิดมาเป็นคนนี้ แล้วก็ยังไม่รู้เลยผลของกรรมพรุ่งนี้จะเป็นอะไร ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เพราะฉะนั้นก็เห็นโทษของอกุศลแล้วก็ทำความดีทุกโอกาสที่จะเป็นได้


    สนทนาธรรม ที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดราชบุรี

    วันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐


    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ถึงสาระสำคัญของการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำจริง แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่ามีคุณค่ามีประโยชน์อย่างไร จึงต้องศึกษาคำจริงแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นเบื้องต้น ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน คำว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย แล้วก็ลึกซึ้งมาก แต่ก็สามารถ ที่จะเริ่มเข้าใจให้ถูกต้อง ตามลำดับ เพราะเหตุว่าพระธรรม เป็นสิ่ง ซึ่งกว่าใครจะเข้าใจได้ ไม่ใช่เพียงฟังครั้งเดียวแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจทุกคำที่ได้ฟัง แต่ว่าทุกคำที่เป็นคำที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมลึกซึ้ง แล้วก็มีอยู่แม้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นการฟังเพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนี้มีสิ่งซึ่งกำลังมีแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ฟังให้เข้าใจเท่านั้นเอง

    อ.วิชัย ก็มีโอกาสได้อ่านในสูตรหนึ่งซึ่งก็พอที่จะเข้าใจในความหมายของสูตรนั้น ก็คือท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ เพราะว่าอาศัยกัลยาณมิตรคือมิตรที่ดีในการที่จะดำเนิน ที่จะถึงความสิ้นทุกข์ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เพราะว่าอาศัยกัลยาณมิตรเช่นพระองค์ เป็นเหตุให้ถึงการสิ้นทุกข์โดยชอบ แต่ขณะนี้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว การที่จะรู้ว่าบุคคลใดที่จะเป็นมิตรหรือไม่ใช่มิตร ที่จะเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญถึงการดับกิเลสจะเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็มีเพื่อนมากบ้าง น้อยบ้าง หวังอะไรจากเพื่อน หรือว่าควรจะเป็นเพื่อนให้คนอื่นเขาหวัง การเป็นมิตรต่อกัน ก็แล้วแต่ว่าความคิดของคนว่าเราหวังอะไรจากเขา หรือว่าเขาหวังอะไรจากเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือมิตร หมายความว่าความเป็นเพื่อน ความเป็นเพื่อนคือไม่ใช่ศัตรูคำว่าเพื่อนมีความหมายมาก มิตรคือผู้ที่หวังดี พร้อมที่จะเกื้อกูล เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นมิตรกับเราเขาหวังดีต่อเรา แล้วเวลาที่เราเป็นมิตรกับใคร หวังดีกับคนที่เราเป็นมิตรด้วยแน่นอน แต่ว่ามิตรต้องคบหาสมาคมกัน แล้วจะได้รับประโยชน์อะไรจากการคบหาสมาคม เพราะเหตุว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่จะให้ลองคิดดูว่าจะให้อะไรดี ให้ทรัพย์สินเงินทองให้ทุกสิ่งทุกอย่างก็เพียงชั่วคราว ที่เขาสามารถที่จะใช้สอยได้ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่สิ่งที่ดีกว่านั้นซึ่งใครก็ให้ไม่ได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อเป็นกัลยาณมิตรของทุกคน ที่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟังคำของพระองค์ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ให้สามารถรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือการได้เข้าใจความจริงของชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะให้ได้ คนอื่นก็เพียงแต่คิดเอาแล้วก็บอกอย่างนั้นอย่างนี้ ให้มีความสุขอย่างนั้น ให้หมดความทุกข์อย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สามารถที่จะหมดทุกข์ได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่คนอื่นให้ ที่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้นก็พูดถึงเรื่องปลายเหตุบ้าง พูดถึงต้นเหตุ แต่ว่าผลยังไม่ปรากฏบ้าง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และให้สิ่งที่ดีที่สุดกับทุกคน ด้วยคำที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นก็ต้องคิด เกิดมาได้อะไรจะดีที่สุด ได้ลาภ ได้ยศ ก็มีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ได้สรรเสริญ ก็มีนินทา มีทั้งนั้นแหละขึ้นๆ ลงๆ

    เพราะฉะนั้นได้อะไรจะดีที่สุด ได้ความเข้าใจความจริง ซึ่งไม่มีใครเห็นค่า ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดว่าความจริงอยู่ที่ไหน แล้วก็ความจริงอะไร แล้วจะได้อย่างไร แต่ความจริงก็คือ ตั้งแต่เกิดจนตายไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นว่าสิ่งที่มี มีเพียงชั่วคราว เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วรู้ว่า พุทธผู้ที่ทรงตรัสรู้ คำว่าตรัสรู้ไม่ใช่คิด แต่ว่าต้องเป็นการที่ประจักษ์แจ้งความจริง ของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เพราะฉะนั้นต่างกันมากเลย ระหว่างความคิดไตร่ตรองกับการที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังมีในขณะนี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 182
    6 ก.ย. 2567