ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
ตอนที่ ๑๐๘๔
สนทนาธรรม ที่ บ้านธัมมะ ลำพูน
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาขั้นฟังจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านี่คือแข็ง และต่อไปก็แข็งเกิด และดับ เพราะแข็งกำลังเกิดดับ แต่ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ด้วยเหตุนี้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้างามทั้งในเบื้องต้น คือคำสอนถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่หลอก ไม่ลวง ไม่เท็จ เพราะฉะนั้นความงามคือความจริงที่ถึงที่สุด นำไปสู่ปฏิปัตติ ปัญญาที่เพิ่มขึ้น คือไม่ใช่เพียงขั้นฟังแต่ถึงลักษณะที่กำลังเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง โดยความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นก็มีความมั่นคงว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นลักษณะที่ถึงนั่นคือ สติ และที่เข้าใจถูกต้องว่าขณะนั้นก็เป็นธาตุหรือเป็นธรรมอย่างหนึ่งก็เป็นปัญญา มาจากการที่ได้ฟังอย่างมั่นคงว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร จนกว่าจะประจักษ์การเกิดดับ รู้ว่าธาตุรู้คืออย่างไร และสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้คืออย่างไร โดยภาวะที่ไม่มีอะไรเจือปนเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะไม่มีโลกซึ่งเต็มไปด้วยกระได ต้นไม้ โต๊ะ เก้าอี้ แต่มีเฉพาะลักษณะของธาตุนั้นเท่านั้นกับธาตุรู้ เพราะฉะนั้นจะสงสัยในธาตุรู้ไหม ในเมื่อไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นนอกจากธาตุรู้กับสิ่งที่ปรากฏให้รู้
เพราะฉะนั้นลักษณะของธาตุหรือธรรมก็ปรากฏเป็นวิปัสสนาญาณหนึ่ง ขั้นต้นคือนามรูปปริจเฉทญาณ ไม่ใช่คิดเอาทั้งวันว่านี่เป็นรูป นั่นเป็นนาม แต่ลักษณะนั้นปรากฏกระจ่างชัดเพราะไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยทั้งสิ้น โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ต้องไม่เหลือ ถ้าเหลือก็แปลว่าปนกันแล้ว เพราะฉะนั้นที่ไม่ปนขณะใด และก็ไม่สงสัยเลยในธาตุรู้ เพราะขณะนั้นธาตุรู้กำลังเกิดขึ้น รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า ขณะนั้นก็เป็นวิปัสสนา การรู้ที่แจ่มแจ้งชัดเจนโดยการประจักษ์แจ้งซึ่งไม่ใช่ขั้นปริยัติและขั้นปฏิบัติ แต่เป็นขั้นประจักษ์แจ้ง ก็เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ยังไม่ถึงการดับกิเลสเป็นพระโสดาบัน เพราะว่าสภาพธรรมที่ไม่รู้นานแสนนานมาแล้ว เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ได้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจทั้งหมดทุกคำที่ได้ยินว่าเป็นธรรมทั้งหมด และก็หลากหลายอย่างไร เช่นอนุสัย พูดถึงกิเลสแต่ก็ยังมีอนุสัยกิเลส แสดงความต่างของกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่ศึกษาธรรมก็ไม่มีทางที่จะละความเป็นเรา หรือความเป็นตัวตนได้เลย เมื่อใดที่ได้ศึกษาคำสอนก็จะช่วยทะนุบำรุงคำสอนของพระสัมมาพุทธเจ้าไม่ให้อันตรธานไปจากความเข้าใจซึ่งเกิดจากการไม่เข้าใจ และก็พูดถึงธรรมตามความคิดของตนเอง และชักชวนคนอื่นให้เข้าใจผิดตามไปด้วย เพราะฉะนั้นแต่ละคำ มาถึงอนุสัย เป็นธรรม แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายที่ไม่ดีด้วย เป็นอกุศลเจตสิก เพราะธรรมต้องเป็นจิต หรือเจตสิก หรือรูป
เพราะฉะนั้นอนุสัยกิเลสมีไหม มี เป็นธรรมหรือเปล่า เป็นธรรม เป็นจิตหรือเป็นเจตสิก เป็นเจตสิก แต่มีคำว่าอนุสัย เพราะฉะนั้นอนุสัยอยู่ไหน จิตเกิดแล้วดับไหม ถ้ามีความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น จิตที่เกิดมีโลภเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นมูล จึงใช้คำว่าโลภมูลจิต ชอบเมื่อไหร่ ไม่ใช่เรา แต่เป็นจิตที่เกิดพร้อมกับโลภเจตสิกเป็นมูล เจตสิกอื่นก็เกิดร่วมด้วยมากกว่า ๗ อีก แต่ว่าเจตสิกอื่นไม่ใช่มูลที่จะเป็นรากฐานที่มั่นคงที่จะทำให้สภาพของโลภะขยายออกไป กว้างออก กว้างออก กว้างออกไม่รู้จักจบสิ้น ด้วยเหตุนี้ความติดข้องเป็นเจตสิกหนึ่ง เป็นโลภเจตสิก หรือจะใช้คำว่ามูลก็ได้ เกิดแล้วดับไหม ดับเมื่อไหร่ ดับพร้อมกับจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกัน แสดงว่าสิ่งที่เกิดร่วมกัน เกิดพร้อมกัน และก็ดับพร้อมกัน และก็รู้สิ่งเดียวกัน เมื่อจิตเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ภาษาบาลีใช้คำว่าอารัมมณะหรืออาลัมพนะ แต่เราจะชินหูกับคำว่าอารัมมณะ เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ อารัมมณะคืออะไร ก็จิตรู้อะไรสิ่งนั้นแหละเป็นอารมณ์ คือสิ่งที่ถูกจิตรู้ เข้าใจชัดเจน จะมีธาตุรู้โดยไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจิตรู้อะไร สิ่งที่จิตรู้ขณะนั้นเป็นอารมณ์ เดี๋ยวนี้อารมณ์ทั้งนั้นเลย เพราะว่าไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่เราคิด จิตเกิดขึ้นและก็รู้สิ่งที่ปรากฏตลอดเวลา จึงปรากฏเป็นเสียงบ้าง เป็นกลิ่นบ้าง เป็นรสบ้าง เป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อไม่มีอะไรคั่นเลยทั้งสิ้น เร็วสุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้นบอกว่าเราหลับ ความจริงไม่มีเรา แต่จิตเจตสิกเกิดขึ้น ไม่ได้ทำกิจเห็น ไม่ได้ทำกิจได้ยิน ไม่ได้ทำกิจคิดนึก แต่ทำภวังคกิจ แม้ไม่เห็นไม่ได้ยินเลย โลกนี้ไม่ปรากฏเลยแต่ยังไม่ตาย เพราะเหตุว่ามีจิตที่เกิดดับสืบต่อ ทำกิจดำรงภพชาติใช้คำว่าภวังคกิจ ภวะ กับ อังคะ ภวะ คือความมี ความเป็น อังคะ คือองค์ที่ยังคงเป็นบุคคลนั้นยังมีบุคคลนั้น ก็คือจิตนั้นยังเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติ แม้ไม่เห็นไม่คิดไม่อะไรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นภวังคจิตไม่ใช่เรา เมื่อคืนนี้มีภวังคจิตไหม โลกนี้ไม่ปรากฏ เดี๋ยวนี้มีภวังคจิตไหม ถ้าไม่ศึกษาไม่รู้ว่าแท้ที่จริงสิ่งที่เกิดและดับ สิ่งอื่นยังไม่ทันจะปรากฏ การดับไปทำให้จิตต้องเกิดสืบต่อดำรงภพชาติไว้ก่อน จนกว่าจะมีสิ่งอื่นปรากฏ
เพราะฉะนั้นระหว่างเห็นกับได้ยินมีภวังคจิต เพราะว่าทันทีที่รูปที่ปรากฏทางตาดับ ยังไม่สามารถจะได้ยินได้ทันที ภวังคจิตต้องเกิดขึ้นสืบต่อก่อน เพราะฉะนั้นทั้งวันก็คือจิตซึ่งเป็นวิถีจิตเมื่อเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือคิดนึกทางใจ เป็นวิถีจิตหมดเมื่ออาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ขณะใดที่ไม่ได้อาศัยตา ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ไม่ฝัน ขณะนั้นก็คือจิตเกิดดับทำกิจดำรงภพชาติจนกว่าจะตื่น ที่เรียกว่าตื่นคือมีสิ่งที่ปรากฎ อาจจะเป็นทางหู ตื่นแล้วได้ยินทันที หรืออาจจะลืมตาเห็นทันที หรืออาจจะคิดทันทีก็ได้ เพราะฉะนั้นมีคำว่าจิตที่เป็นวิถี กับจิตที่ไม่ใช่วิถี จิตที่เป็นวิถีคือจิตที่รู้อารมณ์อื่นนอกจากอารมณ์ของปฏิสนธิจิตขณะแรกของชาตินี้ กับขณะที่เป็นภวังค์ และขณะสุดท้ายของชาตินี้คือขณะที่ตาย และใครจะรู้ว่าไม่มีเราเพราะเหตุว่าเป็นจิต เจตสิกซึ่งเกิดดับสืบต่ออยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้จะดับกิเลสได้ไหม ปฏิปัตติเกิดได้ไหม ไม่มีทาง เพราะว่าปัญญาต้องเจริญขึ้นตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่อาจหาญร่าเริงที่ว่าในสังสารวัฎฏ์ก็จะไม่เหมือนก่อนๆ ที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจ แต่มีความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงซึ่งยากที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเองผิดทันที
ด้วยเหตุนี้จึงอาจหาญร่าเริงที่จะได้เข้าใจความจริง แล้วก็พูดคำจริงตามความจริงที่ได้เข้าใจแล้ว ไม่หวั่นไหวไม่เดือดร้อนเพราะเป็นสิ่งที่จริง และเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย ยังไม่ถึงอนุสัยใช่ไหม เห็นไหมแม้แต่คำเดียวถ้าพูดจบก็จบแล้ว อนุสัยมีเท่าไหร่ ได้แก่อะไรจบไปเลย แต่ว่าความเข้าใจต่างหากว่าขณะนี้มีคำว่ากิเลส แต่ว่ากิเลสมีหลายระดับขั้น ระดับหยาบที่ปรากฏให้ทุกคนรู้ได้ คนกำลังโกรธถ้าแค่โกรธในใจ แค่เคืองๆ ขุ่นๆ นิดๆ ใครรู้บ้าง ไม่มีใครรู้เลยนอกจากบุคคลนั้น หน้าตาก็ยังไม่ได้แสดงออก ไม่ได้ตาเขียว ไม่ได้ค้อนควัก ไม่ได้ทำอะไรทั้งหมดเลย ไม่มีใครรู้ได้
เพราะฉะนั้นจึงมีกิเลสหลายระดับขั้นมาก อย่างหยาบจะรู้ได้เมื่อปรากฏออกมาทางกายหรือทางวาจา ถ้านั่งนิ่งๆ โกรธแต่ไม่พูด รู้ไม่ได้ว่าโกรธแค่ไหนใช่ไหม แต่พูดมาแต่ละคำแสดงความกล้า ความแรงของกิเลสว่าคำที่พูดออกมาด้วยกิเลสระดับไหน เป็นคำพูดธรรมดา เสียงผิดแล้ว แค่เสียง คำธรรมดา แต่เสียงไม่เหมือนเดิม เพราะอะไร เพราะขณะนั้นจิตประกอบด้วยโทสะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเสียงก็เป็นไปตามโทสะ ตั้งแต่เสียงที่จับได้เลยว่าโกรธแล้วนะ ไม่พอใจแล้วนะ คำธรรมดาก็ไปเน้นให้มันชัดๆ ขึ้นมาเป็นแต่ละคำหรืออะไรก็แล้วแต่ จนกระทั่งสามารถที่จะกล่าวคำที่แรงกว่านั้นออกมาได้ ชื่อธรรมดาก็ไม่เรียก มีคำเติมโน่นเติมนี่ออกมาใช่ไหม ด้วยกำลังของอกุศลจิตให้รู้ว่าขณะนั้นคือระดับไหน จนถึงหยาบคายมาก แสดงถึงจิตใช่ไหม ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดคือดีชั่วรู้ได้เพราะจิตที่ทำให้กายวาจานั้นไหวไปตามกำลังของอกุศลประเภทนั้นๆ แต่นั่นคืออกุศลที่เกิดแล้วและดับด้วย แต่ว่าผลเกิดแล้วใช่ไหม จากการที่เกิดมาแล้วดับไปแล้ว แต่ในฐานะที่ได้เกิดแล้วกับจิตนั้นซึ่งดับไปแล้ว แต่จิตนั้นแหละเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย สืบทอดทุกอย่างที่มีในจิตขณะก่อน แม้แต่ความโกรธซึ่งจิตในขณะก่อนเกิดแล้วดับพร้อมเจตสิกนั้น แต่เชื้อ พืชเชื้อของการที่เคยเกิดแล้วก็ประทับอยู่ในจิต สะสมอยู่ในจิตมองไม่เห็นเลย เป็นอนุสัยกิเลส อย่างกาแฟ เมื่อเช้านี้ใครดื่มกาแฟบ้าง หมดแก้วเลยมีอะไรเหลือไหม คราบกาแฟ เอาออกได้ไหม หยิบออกมาสิ เห็นไหมว่าติดแน่นเลย แล้วบอกว่าไม่มีกาแฟหรือก็นั่นไงคราบกาแฟ ดื่มสิ ดื่มไม่ได้เพราะไม่ใช่กาแฟ ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจคำว่าอนุสัยกิเลส กิเลสใดๆ ที่เกิดแล้วแม้ดับไปแล้วก็สะสมสืบต่อ ถ้าโลภะเกิดมากๆ สะสมอยู่ในจิต พอเห็นอะไร มีหรือที่โลภะจะไม่เกิด มีมากจนล้น ทันทีที่ลืมตา มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ไม่รู้หรอกว่าอกุศลจิตเกิดแล้ว เพราะอวิชชาเกิดร่วมกับอกุศลประเภทนั้นๆ เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นเรื่องละเอียดที่ส่องไปถึงความเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ก็จะเข้าใจคำว่าอนุสัยกิเลส หมายความถึงกิเลสซึ่งสะสมอยู่ในจิตโดยฐานะที่เกิดแล้วดับไปก็จริง แต่ก็มีพืชเชื้อที่สะสมไว้หนาแน่น ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้งอาสยานุสยะ หมายความว่าอัธยาศัยของแต่ละคนที่สะสมมาทั้งฝ่ายดีและชั่ว ว่าใครสะสมดีมาแค่ไหน เด็กบางคนเกิดมาก็โตมาหน่อยก็ใจดีแล้ว เมื่อวานนี้ก็มีเด็กคนหนึ่งเปิดพัดลมให้ ไม่มีใครบอกเลย มาจากไหน เห็นไหม เกิดเองเพราะสะสมอาสยะ ธรรมฝ่ายดี แต่พอพูดถึงอนุสยะ หมายเฉพาะกิเลสอย่างเดียวเพราะต้องดับ ถ้าไม่ดับก็คงอยู่ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงปัจจัย หรือกำลัง หรือธาตุ หรือสติ ความเป็นของสิ่งนั้นซึ่งจะต้องเกิด แม้มองไม่เห็น เหมือนพลังหรืออำนาจซึ่งมีอยู่ในแต่ละสิ่งซึ่งไม่เท่ากัน ว่ามีอะไรที่จะทำให้เกิดอะไรขึ้นในขณะใด
เพราะฉะนั้นแม้เป็นเด็กเล็กๆ อัธยาศัยแสดงแล้ว เด็กบางคนช่วยผู้ใหญ่เลย ไม่ขอร้องสักคำไม่บอกสักคำ ไม่ให้ช่วยก็ไม่ได้ จะช่วย นี่คือมาจากไหน อนุสัยกิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่อาสยะฝ่ายดีไม่ใช่อนุสัย ด้วยเหตุนี้พอได้ยินคำว่าอนุสัยต้องหมายความถึงเฉพาะกิเลสที่ไม่ดี แต่ส่วนความดีที่สะสมมาก็ต้องสะสมมาด้วย สืบต่ออยู่ด้วยเป็นอาสยะ หมายความว่าธรรมฝ่ายดี เพราะฉะนั้นทุกคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อาสยานุสยะ พฤติกรรมความเป็นไปของจิตตั้งแต่ในกาลแสนนานแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว แต่ละขณะที่เกิดดับสะสมทำให้แต่ละบุคคลต่างกันไปตามการสะสมนั้นๆ ไม่ใช่เราเลย
เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังสะสมปัญญา เป็นอนุสัยหรือเปล่า ไม่เป็น เพราะอนุสัยต้องเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นฝ่ายดี ด้วยเหตุนี้พระองคุลิมาลซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าท่านสะสมปัญญาระดับถึงความเป็นพระอรหันต์ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยคือได้ฟังพระธรรม แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางเลย
ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็สะสมอัธยาศัยที่จะถึงความเป็นผู้เลิศในทางปัญญา และผู้เลิศในทางอิทธิปาฏิหารย์ แต่ตอนที่ยังไม่ได้ฟังธรรมเลยท่านก็ไปดูมหรสพ แต่ใจที่คิด คิดต่างกัน คนดูก็ดูไปสนุกสนานไป แต่ท่านคิดว่าคนเล่นก็ต้องตาย คนดูก็ต้องตาย ไม่สามารถที่จะพ้นไปได้เลย ท่านแสวงหาผู้รู้ ท่านก็ไปหาใครก็ได้ที่คิดว่ารู้ ไปหาสัญชัยปริพาชกเพราะเข้าใจว่าเขารู้ ไปเป็นศิษย์ของเขา เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้เคยฟังคำของพระพุทธเจ้าเลยก็เป็นศิษย์ของใครต่อใครมากมาย แต่เมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว รู้เลยว่าอาจารย์ผู้นั้นเคยเข้าใจผิด พูดคำที่ผิด ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วยเป็นโทษมาก เพราะฉะนั้นเมื่อท่านได้รู้ความจริงแล้ว ท่านอุปติสสะซึ่งภายหลังเราก็เรียกท่านว่า ท่านพระสารีบุตรเพราะท่านเป็นลูกของนางสารี ก็ได้ไปบอกท่านโกลิตะสหายของท่าน ขณะนั้นไม่ได้ฟังคำจากพระโอษฐ์ แต่คำจริงใครกล่าว คำจริงทั้งหมดเป็นคำของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า แม้ได้ฟังจากท่านพระสารีบุตร ท่านโกลิตะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน กำลังดูมหรสพท่านรู้ไหมว่าท่านจะเป็นพระโสดาบัน ท่านพระองคุลิมาลฆ่ามนุษย์ตั้งเท่าไหร่ ขณะนั้นท่านรู้ไหมท่านจะได้เป็นพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นเหตุมี ผลต้องมี เมื่อถึงเวลากาลที่สมควรเท่านั้น ไม่ใช่ใครจะบังคับให้เกิดช้าเกิดเร็วเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจที่เกิดจากการฟัง ขณะนี้กำลังสะสม พรุ่งนี้ฟังไม่ใช่คำที่ได้ฟังวันนี้ แต่เข้าใจแล้วจากการฟังวันนี้ใช่ไหม เพราะฉะนั้นปัญญา สังขารขันธ์ปรุงแต่งสะสมอยู่ เพราะฉะนั้นจิตพรุ่งนี้จะเกิดจากจิตขณะนี้ที่ได้มีความเข้าใจแล้ว และอกุศลที่เกิดระหว่างนี้ก็สะสมอยู่ด้วย เป็นอนุสัย สะสมนอนเนื่องอยู่ในจิต เพราะฉะนั้นอนุสัยกิเลสหมายความถึงกิเลสที่ไม่เกิด ยังไม่ได้มีปัจจัยที่จะเกิด แต่เป็นพืชเชื้อมีอยู่ในจิตพร้อมที่จะเกิดทันทีเมื่อมีปัจจัย เช่นพอเห็นลืมตาขึ้น ทันทีกิเลสเกิดแล้ว เพราะอะไร เพราะมีอนุสัยกิเลสที่สะสมนอนเนื่องอยู่ในจิต โดยที่อนุสัยไม่เกิด แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดคือสิ่งต่างๆ ที่กระทบตาในขณะนั้นเกิดยินดีเพราะอนุสัยที่เป็นพืชเชื้อ ทำให้ทันทีที่เห็นไม่รู้ตัวเลย อวิชชาไม่รู้เกิดแล้ว ความติดข้องเกิดแล้ว เป็นกิเลสระดับที่เป็น อาสวะ ไม่ใช่ระดับที่เป็นอนุสัย แต่ยังไม่ถึงขณะที่เป็นนิวรณ์ในขณะอะไรซึ่งปรากฏชัดให้รู้ได้ แต่เพียงแค่เดี๋ยวนี้ เพียงแค่เห็นก็เกิดแล้ว ใครจะรู้ได้
เพราะฉะนั้นจะมีอีกคำหนึ่งสำหรับพระอรหันต์คือ ขีณาสว (ขี-นา-สะ-วะ) ขีณ (ขี-นะ) คือดับ กับอาสวะ ภาษาไทยก็ใช้ตัว พ แทนตัว ว ไม่พูดคำว่า ขีณาสว แต่พูดว่า ขีณาสพ (ฃี-นา-สบ) พระขีณาสพก็คือผู้ที่ดับอาสวะ เพราะเหตุว่า เพราะไม่มีอนุสัย อาสวะจึงมีไม่ได้ แต่ตราบใดที่ยังมีอนุสัย กิเลสเกิดแล้วแม้อย่างบางเบาที่สุดที่ใครก็ไม่รู้ก็เป็นอาสวะกิเลส ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้การฟังธรรมเป็นการเข้าใจ ปัญญาเกิดขึ้นท่ามกลางกิเลสซึ่งเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ ได้ยินเสียงแค่นี้ เสียงยังไม่ทันดับเลย ทรงแสดงจิตโดยละเอียดตั้งแต่ก่อนได้ยินจนกระทั่งเริ่มได้ยินแต่ละขณะ จนกระทั่งเสียงดับ ซึ่งก่อนเสียงดับก็ยินดีพอใจในเสียงนั้นแล้ว โดยไม่รู้เลยเพราะเร็วมาก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกเต็มไปด้วยความไม่รู้เพราะอวิชชานุสัย เพราะฉะนั้นเมื่อมีสิ่งใดปรากฏก็เป็นอวิชชาสวะ เพราะฉะนั้นอวิชชาสวะกับอนุสัยต่างกัน อนุสัยคือมีอยู่ในจิตสะสมมาไม่ปรากฏเลย รู้ไหมอนุสัยอะไร แต่อัธยาศัยที่มีในแต่ละชาติก็พอจะรู้ได้ว่าสะสมอนุสัยอะไรมามาก เพราะฉะนั้นบางคนก็โกรธยาก ในขณะที่คนอื่นไม่น่าจะโกรธก็ยังโกรธเลย เห็นไหมว่าตามกิเลสอนุสัยที่สะสมมา เป็นอาสวะหรือว่าเป็นระดับขั้นของโทสะ ถ้าเป็นโทสะไม่เป็นอาสวะ
เพราะฉะนั้นทรงจำแนกว่าอกุศลเจตสิกทั้งหมดมี ๑๔ ประเภท ประเภทใดเป็น อาสวะ ประเภทใดไม่ใช่อาสวะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ฟังพระธรรม และกิเลสจะหมดได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ แล้วไปนั่งทำด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นเรา หลงเข้าใจว่าจะดับกิเลสถึงความเป็นผู้ปฏิบัติ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย แค่ได้ยินคำก็คิดต่อแต่งเติมจนปรากฏเป็นความผิดอย่างมากทั่วโลก เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพสูงสุด พระธรรมที่ตรัสเป็นปัจฉิมวาจา "จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" แม้ในการฟังต้องไม่ประมาท จึงจะชื่อว่าถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพราะว่าประมาทไม่ได้เลย รอบตัวเต็มไปด้วยความไม่รู้ แต่ต้องรู้ความเป็นธรรมซึ่งเป็นอนุสัย ความเป็นธรรมซึ่งเป็นอาสวะ ความเป็นธรรมซึ่งเป็นกิเลส ความเป็นธรรมซึ่งเป็นนิวรณ์ ความเป็นธรรมซึ่งเป็นสังโยชน์ ก็ได้แก่เจตสิก สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นอกุศลเจตสิก ๑๔ แต่จำแนกโดยฐานะโดยความเป็นประเภทนั้นๆ ว่าเป็นประเภทไหนอย่างไร คนธรรมดาทั่วไปนอนหลับมีกิเลสไหม ไม่เห็น ไม่ฝัน ไม่ได้ยิน ไม่ได้เลย หลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏชื่ออะไรอยู่ที่ไหน มีครอบครัวมีเงินมีทองฐานะอะไรไม่รู้เลยทั้งสิ้น นั่นคือหลับสนิท แต่มีจิตซึ่งเกิดดับทำกิจภวังค์ดำรงภพชาติ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดแต่ละหนึ่งทำหน้าที่ของกิจนั้นๆ แสดงว่าไม่ใช่เราทำ เราหรือจะทำอะไรได้ เพราะไม่มีเรา แต่มีธรรมได้แก่จิต และเจตสิก จิตก็ทำหน้าที่ของจิตแต่ละหนึ่งขณะ เจตสิกเมื่อเป็นเจตสิกประเภทไหนก็เกิดทำกิจของเจตสิกนั้นๆ ก้าวก่ายสับสนไหว้วานกันให้ทำแทนก็ไม่ได้ ต้องเป็นเจตสิกนั้นๆ ซี่งเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ทำกิจอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นกำลังนอนหลับสนิทมีกิเลสไหม กิเลสยังไม่ได้ดับ เพราะฉะนั้นต้องมีกิเลสประเภทไหน อนุสัยกิเลส มีกิเลสก็ไม่ปรากฏ กำลังฟังธรรม ขณะใดที่ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีภวังคจิต มีกิเลสไหม มีอนุสัยกิเลส เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรา ฟังจนกว่ากี่ชาติก็ตามแต่เพื่อละความไม่รู้เพราะรู้ว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิด จะไม่เกิดก็ต่อเมื่อดับเหตุปัจจัย ถ้ายังคงมีอวิชชาอยู่ต้องเกิด เพราะฉะนั้นพระโสดาบันดับอกุศลจิตที่เกิดเพราะอวิชชา ความไม่รู้ซึ่งเกิดพร้อมกับความติดข้อง และความเข้าใจผิดซึ่งยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะต้องรู้แจ้งความจริงตั้งแต่ขั้นฟังจนกระทั่งเป็นปฏิปัตติ สภาพธรรมแต่ละหนึ่งปรากฏเฉพาะแต่ละหนึ่ง จนกระทั่งปัญญาสามารถที่จะเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ซึ่งถ้าศึกษาแล้วจะเข้าใจว่าคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงความเป็นไปของธรรมแต่ละขั้น เช่นได้ยินคำว่าขันติไหม หมายถึงอะไร เป็นธรรมหรือเปล่า
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1081
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1082
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1083
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1084
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1085
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1086
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1087
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1088
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1089
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1090
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1091
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1092
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1093
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1094
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1095
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1096
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1097
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1098
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1099
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1100
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1101
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1102
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1103
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1104
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1105
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1106
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1107
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1108
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1109
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1110
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1111
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1112
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1113
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1114
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1115
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1116
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1117
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1118
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1119
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1120
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1121
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1122
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1123
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1124
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1125
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1126
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1127
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1128
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1129
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1130
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1131
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1132
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1133
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1134
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1135
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1136
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1137
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1138
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1139
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 1140